ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดขุนศึกสะท้านปฐพี 2

    ลำดับตอนที่ #7 : ประกาศศักดา เพลงทวนตระกูลหยาง

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 60



     

     


     

     
     
       
                   หยางซื่อหลางไม่ได้หักหลบ เขาคาดไว้อยู่แล้ว ว่าคนอำมหิตแซ่ตั้งต้องเล่นลูกไม้นี้ แน่นอน กระบวนท่าเหรินฉี มีหรือเขาจะดูไม่ออก ไหวพริบอันสารเลวของมัน ก็ไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึง ในมือของเขาจึงถือมีดสั้นไว้ ขณะโดดเข้าไป แล้วเกร็งพลังภายในสูงสุด ซัดมีดนั้นเข้าใส่ปลายแหลม ลมปราณอันหนักหน่วงรุนแรง ถึงกับทำปลายทวนเฉไปด้านข้าง เขาก็หมุนตัวไปอีกทาง เก็บมีดกลางอากาศเข้ามา แล้วกระโดดลงตรงหน้าหมิงจู อย่างราบรื่นปลอดภัยทุกประการ 
     
         "ยอดมาก!"

         การพลิกแพลง แก้ไขความอันตรายเมื่อครู่นี้ ชาวยุทธิ์คนอื่นมองเห็นไม่ทัน และหาคำตอบมิได้ว่าเหตุใด ตั้งอิวเหลียงจึงเบนทวนเฉียบไปเสียเฉยๆ ทั้งที่จะเสียบถูกตัวเขาอยู่รอมร่อ หากแต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาดุจพญาเหยี่ยวของซุนไห่ถังไปได้ เขาจึงร้องออกมาอย่างชื่นชม

         "เกือบไปแล้ว"

         หยางอู่หลางร้อง แล้วถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก หยางฉี่หลางยังอ้าปากค้างอยู่ 

         "เจ้าเป็นใครกัน คนกำลังประลองอยู่ กลับขึ้นมาก่อกวน"

         ตั้งอิวเหลียงตั้งหลักได้ หันมาตวาดแก้เก้อ บิดเบือนความต่ำช้าของตัวเอง ที่ใช้ออกในกระบวนท่าเมื่อครู่ ชาวยุทธิ์พากันร้องโห่อย่างทุเรศมัน

         หยางซื่อหลางยืนมือไพล่หลังอย่างสง่างาม หันมามองมันด้วยสีหน้าเย็นชา

         "นางบอกแล้วว่านี่ไม่ใช่การประลองคัดเลือก แค่อยากขอคำชี้แนะจากท่าน ท่านกลับลงมือเหี้ยมโหด รุนแรง ทุกกระบวนท่าล้วนเข่นฆ่าคน ขอถามจอมยุทธิ์ตั้ง อาวุธไร้นัยน์ตา หรือว่าท่านไร้คุณธรรมกันแน่"

         "นี่ เจ้า..."

         ตั้งอิวเหลียงจะโต้ตอบ ประมุขซุนเอ่ยเสียงกังวานขึ้นก่อน

         "บุคลิกองอาจผ่าเผย ไม่ธรรมดา คาดว่าท่านคงเป็นหนึ่งในนายน้อยตระกูลหยาง"

         หยางซื่อหลาง จึงหันมายกมือคำนับซุนไห่ถังอย่างนอบน้อม

         "หยางเอี๋ยนหลาง บุตรชายคนที่สี่ของตระกูลหยาง คารวะประมุธซุน"

         "ฮะ ฮะ ดี หยางฮูหยินมีทายาศประเสริฐ เป็นวีรบุรุษทุกรุ่นจริงๆ วันนี้ได้ชื่นชมถือเป็นบุญตา"

         ตั้งอิวเหลียงกลอกตาขึ้นๆ ลงๆ สำรวจชายตรงหน้า แล้วแค่นหัวร่อหยันๆ

         "เฮอะ เฮอะ หรือว่า คุณชายสี่แห่งจวนเทียนปอ ก็จะขึ้นมาขอคำชี้แนะจากข้าด้วย"

         หยางซื่อหลางจ้องคนต่ำทรามนิ่ง แววตาเคร่งขรึมปราศจากโทสะ ความเยือกเย็นของเขาดูมีมากผิดปกติ จนสาวใช้จอมแก่นที่ยืนสังเกตอยู่ข้างๆ ลอบนิยมนับถือในใจ

         "ซวยแล้ว ซวยแล้ว ขนาดหมิงจูฝึกเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สาม แตกฉานกว่าพวกเราทั้งหมด ยังแพ้ งั้น...งั้นเราก็ต้องขายหน้ากันน่ะสิ โธ่เอ๊ย! งานนี้จวนเทียนปอชื่อเสียงป่นปี้แน่!"

         หยางฉี่หลางพึมพำกระสับกระส่าย เต้นผางอย่างร้อนใจสุดๆ นึกด่าตัวเองว่าช่างไม่เอาไหนเสียเลย ปกป้องชื่อเสียงวิชาของตระกูลก็ไม่ได้ วูบหนึ่ง สำนึกผิดที่เอาแต่เกียจคร้านฝึกวิชามาตลอด ครานี้ คงต้องขายหน้า อับอายต่อพวกชาวยุทธิ์ทั้งงาน

         "ข้าไม่ได้ขึ้นมาประลอง แค่อยากจะไกล่เกลี่ย ตัดสินเท่านั้น" 

         หยางซื่อหลางพูดเสียงเรียบ เต็มไปด้วยความสุขุมเยือกเย็น

         "ตัดสินอะไร นางแพ้แล้ว ทุกคนก็เห็น"

         "เฮอะ ท่านใช้เพลงทวนเหรินฉีขั้นที่สี่ เอาชนะเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สามได้ ถ้าจะถือว่าชนะ ท่านก็ภาคภูมิใจไปคนเดียวเถอะ"

         เขาเย้ยหยัน ตั้งอิวเหลียงแค่นหัวร่อเสียงดัง

         "ระดับชั้นเพลงทวนข้าสูงกว่านางแล้วผิดตรงไหน นางอ่อนหัดเอง ใครใช้ให้มาสู้"

         "นางบอกแล้วว่า ไม่พอใจที่ท่านพูดจายโส ข่มเหงคน เหยียดหยามวิชาอื่น เพลงทวนในใต้หล้านี้ ความจริงล้วนสัมพันธิ์กัน แทบจะเป็นเนื้อเดียวกันหมด ไม่ควรจะถือเอาว่าใครสูงกว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถ้าท่านจะนับจริงๆ เพลงทวนเหรินฉีเหี้ยมโหดรุนแรง แต่ขาดธาตุหยิน ไม่มีความสมดุล เพลงทวนตระกูลหยาง สมดุลทั้งหยินหยาง อีกทั้งก็สูงถึงระดับเจ็ด จึงสมควรถูกยกว่า เป็นเพลงทวนอันดับหนึ่งในใต้หล้ามากกว่าเพลงทวนเหรินฉี"

         หยางซื่อหลางกล่าวเสียงกังวาน เปิดเผยชัดเจน ทุกคนในลานประลองต่างได้ยินกันทั่ว พึมพำเห็นด้วยเป็นการใหญ่ น้องชายทั้งสองที่เบื้องล่างแทบจะกระโดดตัวลอย ยิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้มในตัวพี่ชายยิ่งนัก พี่ชายผู้อาภัพที่ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำเรียนวิชาประจำตระกูล แต่ก็ยังพูดจายกย่อง เพลงทวนตระกูลหยาง ว่าเป็นอันดับหนึ่ง เหนือกว่าเหรินฉีของตัวเอง 

         "ฮะ ฮะ เจ้าเป็นคนตระกูลหยาง ก็ต้องว่าวิชาของตัวเองดีเลิศอยู่แล้ว พูดใครก็พูดได้ แน่จริงก็แสดงออกมาให้ประจักษ์สิ!"

         "..."

         หยางซื่อหลางนิ่ง ใบหน้าชาเย็นเรียบขรึม ผู้คนต่างโห่ร้องให้เขาสำแดงวิชา เพื่อปราบตั้งอิวเหลียงให้ได้ แต่คราวนี้ นายน้อยทั้งสองไม่ร้องเชียร์ด้วย ยืนกระอึกกระอัก กระวนกระวาย ว้าวุ่น พูดไม่ออก สุ่ยหลิงหลงชูมือ เร่งให้เขาจัดการ แต่หันมาเห็นอาการของสหายด้านข้างทั้งสอง ต้องฉงนงงงัน

         "หมิงจู!"

         หยางซื่อหลางเรียกเสียงต่ำ สีหน้าขรึม แววตาเข้ม ยกมือขึ้น แบออกต่อหน้านาง สาวใช้ยิ้มมุมปาก หมุนทวนที่ไขว้อยู่ด้านหลังออกมา วางบนมือของเขาอย่างมั่นคง นอบน้อม แล้วเดินค้อมตัวผ่าน ลงเวทีไป

         ทุกคนสงบเงียบกริบเป็นดุษฎี นายน้อยสี่กางแขนขวาออก หมุนทวนกลางฝ่ามืออย่างคล่องแคล่วเป็นรูปกงจักร ด้วยลมปราณที่พรักพร้อมสมบูรณ์ ก่อนจะไขว้ประสานทางด้านหลัง ปรากฏรอยยิ้มประหลาด!

         "คิดว่านายน้อยสี่ตระกูลหยาง คงไม่ธรรมดา ฝึกเพลงทวนได้ถึงขั้นที่สี่ ที่ห้าแล้ว จะได้มาสู้กันอย่างสมน้ำสมเนื้อ!"

         ตั้งอิวเหลียงยังพล่ามอย่างผยอง เขามอบรอยยิ้มสมเพศเป็นคำตอบ มันถึงกับฉุนกึก

         "ฮ้า หมิงจู เจ้าให้ทวนพี่สี่ไปทำไม เจ้าก็รู้ว่า..."

         นายน้อยเจ็ดกระซิบตำหนิสาวใช้ที่กลับลงมาด้วยสีหน้าร้อนใจ หมิงจูยิ้มลึกลับ ยืนเงียบไม่ตอบ สุ่ยหลิงหลงจ้องอาการพวกพี่น้องอยู่ จึงถามอย่างสงสัย 

         "นี่ มีอะไรกันเหรอ ทำไมทำหน้าตกใจล่ะ"

         ไม่มีใครตอบคำถามของนาง สองหนุ่มตระกูลหยางหันไปมองบนเวที ด้วยสีหน้าว้าวุ่น

         ตั้งอิวเหลียงประเมินว่าผู้มาใหม่ เป็นถึงทายาศตระกูลหยาง ย่อมมีฝีมือไม่ต่ำทราม สูงกว่านางสาวใช้แน่ คราวนี้จึงไม่ประมาท เริ่มใช้ออกด้วยระดับสี่เลย

         หยางซื่อหลางยืนสงบ รอทวนจิ้มมาเกือบถึงตัว จึงขยับต้านรับในระยะประชิด ลำดับแรกคือการหยั่งเชิง ให้มันสำแดงเดชออกมาถึงที่สุด เพื่อสอบถึงพลังลมปราณ และสำรวจหาจุดอ่อน มือหนึ่งจึงไขว้ทวนไว้ด้านหลัง ไม่ชักออกต่อสู้ พลิกตัว เบี่ยงทิศ ก้มหัว งอหลัง หลบหลีกไปเรื่อยๆ ภายนอกคล้ายกับตกเป็นรอง ถูกรุกไล่จนเสียกระบวน โต้ตอบมิได้ แท้จริงซ่อนความหมายอันร้ายกาจ ให้มันสาดใส่จนหมด แล้วค่อยเก็บในกระบวนท่าเดียว! 

         "โอ๊ย มิน่าเล่า พวกเจ้าถึงหนักใจ เขาไม่มีโอกาสสู้แม้สักท่าเดียว ฝีมือยังอ่อนกว่าหมิงจูอีกหรือเนี่ย ขนาดชักทวนออกมายังทำไม่ได้ ถูกรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียวเลย ดูสิ!

         สุ่ยหลิงหลงร้องอย่างไม่รู้ความ แม้จะไปที่ค่ายทหารบ่อยๆ แต่ไม่เคยเห็นหยางซื่อหลางใช้ทวน จึงตัดสินจากการที่เขาเอาแต่หลบหลีก ว่าอ่อนวิชาทวนอย่างที่สุด

         น้องชายทั้งสองหันขวับมองนางด้วยแววตาขุ่นๆ แม้พี่สี่จะยังไม่ได้รุก แต่ฝีมือของเขามิได้อ่อนด้อยขนาดนั้น นางหันมาเห็นสายตาตำหนิ ถึงกับหน้าเจื่อน สงบปากสงบคำลงทันที

         หมิงจูจ้องนิ่ง ไม่ได้เห็นว่าเขาถูกรุกไล่ รังแกอย่างนางโจรสาว นางกำลังลุ้นด้วยใจระทึก มีความหวัง รอชม...ความพิเศษ พิสดาร ที่อาจจะปรากฏขึ้นบนเวที จากคุณชายสี่ของนาง!

         ผ่านไปยี่สิบกระบวนท่า ตั้งอิวเหลียงยิ่งมายิ่งโมโห อาวุธของเขาเกรี้ยวกราดหักโหม บุกทะลวงแทงไม่ยั้ง เพิ่มระดับความว่องไวปราดเปรียวจนถึงขีดสุด ยังมิอาจกระทบถูกตัวคนแซ่หยางแม้เพียงชายเสื้อ แถมปฏิกริยาการเคลื่อนไหวหลบหลีกนั้น กระทำอย่างงดงามหมดจดยิ่ง หาได้ร้อนรนจนตรอก ปั่นป่วนวุ่นวาย อย่างผู้ตกเป็นฝ่ายตั้งรับทั่วไปไม่ ยิ่งบันดาลให้มันเกิดโทสะ หงุดหงิดยิ่งนัก 

         "คนแซ่หยาง เจ้าเอาแต่หลีกหลบแบบนี้ นับว่าเป็นการต่อสู้หรือ"

         "ท่านกระทบถูกตัวข้าไม่ได้ หรือนับว่าเก่งกาจดุจเทวดาเล่า"

         เขาย้อนให้อย่างสะใจ ยิ้มสนุก จุดเพลิงโทสะให้ลุกโหม มันเอาทวนชี้หน้า ตวาดลั่น

         "แน่จริง แสดงฝีมือออกมา อย่าดีแต่ปาก"

         "ได้ แต่เกรงว่าท่านจะรับไม่ไหวเท่านั้น!"

         วูบเดียว ร่างของหยางซื่อหลางมาประชิดถึงตัว ตั้งอิวเหลียงผงะ เพราะแม้แต่ท่าร่างยังมองไม่เห็นชัด ว่าใช้กระบวนท่าใด จึงมาถึงได้เร็วปานนี้ ปลายทวนก็มาถึงก้านคอแล้ว รีบมุดหัวหลบ สวนกลับโดยกวาดทวนฟาดใส่ข้อเท้า เขากระโดดหลบ แล้วย่อกายครึ่งตัวฟาดใส่เอวมัน ตั้งอิวเหลียงกระเด็นไปทางหนึ่ง เขาจ่อทวนไล่ตามติดอย่างไม่ให้หยุดพัก ทั้งสองประสานทวนกัน ดัง เคร้ง เคร้ง พริบตาเดียว ดวลกันสิบกว่าเพลง...

         ก่อนหยางซื่อหลางจะใช้ท่าไม้ตายขั้นสูงสุดของระดับสี่ โอบล้อมจักรวาล ย่อกายลงต่ำสุด แล้วหมุนควงทวนในมืออย่างรวดเร็วจนดูไม่ทัน ราวกับกงจักรที่หมุนเหวี่ยงด้วยความเร็วสูง กวาดทุกอย่างในจักรวาล ตั้งอิวเหลียงหลบไม่ทัน ถูกปลายทวนเฉี่ยวไหล่ไปจนโลหิตหลั่งรด แถมพลังลมปราณธาตุหยางอันกล้าแข็งขีดสุด แผ่กระจายออกมา จนฝุ่นควันรอบด้านฟุ้งตลบอลอวล ใบไม้ไหว ร่างของคนแซ่ตั้งโดนแรงปะทะถอยหลังกรูดไปจนเกือบตกขอบเวที ดีแต่ใช้กำลังภายในฝืนทรงตัวไว้ พวกชาวยุทธิ์ที่อยู่แถวหน้าสุดต่างเอามือป้องหน้ากันฝุ่นควัน และสัมผัสถึงกำลังภายในอันหนักหน่วง รุนแรง โถมปะทะร่างจนเซผงะไปทุกคน!

         แล้วเขาก็ยืนขึ้น ผนึกลมปราณกลับลงสู่ร่าง เพื่อรักษากำลังไว้ ไขว้ทวนไว้ด้านหลัง ยืนสง่างามตามปกติ เสียงพึมพำอย่างตระหนกดังขึ้นรอบทิศ ในพละกำลังอันสมบูรณ์เต็มเปี่ยมนั้น น้องชายทั้งสอง กับสุ่ยหลิงหลง อ้าปากค้าง เป็นใบ้ไปเสียแล้ว หมิงจูก็ตะลึง เพราะไม่เคยเห็นวิชาสุดท้ายของเพลงทวนเหรินฉีระดับสี่มาก่อน ลอบร้องในใจ

         ...แค่ระดับสี่ ยังรุนแรง สะท้านสะเทือนถึงเพียงนี้ นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่า ขั้นที่ห้าของคุณชาย จะทรงอานุภาพร้ายกาจสักเพียงไหน สุดยอดจริงๆ... 

         ซุนไห่ถังถึงกับยืนขึ้น ยกมือลูบเครา ครุ่นคิดด้วยแววตาลึกซึ้ง นับถือ เลื่อมใสอย่างยิ่ง

         ...หาใช่เพียงกระบวนท่าที่เฉียบขาด เปี่ยมอานุภาพสังหารขั้นสูงสุด หากพลังภายในยังอยู่ในระดับสูงสุดหยั่งอีกด้วย คนที่ฝึกวิชาลมปราณถึงขั้นนี้ ในยุทธจักรนับแล้วมีไม่ถึงสิบคน มิทราบว่า หยางเอี๋ยนหลางผู้นี้ รับการถ่ายทอดมาจากยอดปรมาจารย์ท่านใด...

         "นี่ เจ้า... เจ้าใช้เพลงทวนเหรินฉี"

         ตั้งอิวเหลียงร้องอย่างแตกตื่น หยางซื่อหลางหันมองมันอย่างหยิ่งทระนง หยามอย่างไม่รักษามารยาทอีก

         "ใช่แล้ว ข้าใช้เพลงทวนเหรินฉีขั้นที่สี่ของข้า เอาชนะเพลงทวนเหรินฉีขั้นที่สี่ของเจ้าได้ จะเชื่อไหม"

         ตั้งอิวเหลียงอกสั่นขวัญแขวนเสียแล้ว ตั้งแต่เลือกฝึกวิชาทางสายนี้ มิเคยเลยจะพ่ายแพ้ต่อผู้ใด และไม่เคยพบเจอผู้ใดที่ใช้เพลงทวนเหรินฉีได้เก่งกาจไปกว่ามันอีกแล้ว ยามนี้ ถึงกับมาเจอยอดคน ที่ทั้งกระบวนท่า พลังฝีมือ และลมปราณ ล้วนสูงส่งกว่ามันทุกอย่าง ระดับสูงสุดของขั้นที่สี่ (โอบล้อมจักรวาล) มันก็ยังฝึกไม่สำเร็จ สู้ต่อไป รังแต่จะต้องตายด้วยวิชาของตนเอง ถึงกับหน้าซีด ใจสั่น กลอกตาลอกแลก คิดหาทางลงให้ตัวเองอย่างเร่งด่วน

         แต่แล้ว สะดุดใจ ฉุกคิดความผิดปกติขึ้นมาได้ ถามเสียงดัง

         "ทำไมเจ้าไม่ใช้เพลงทวนตระกูลหยางล่ะ!"

         รอบด้านพากันสงบเงียบกริบ หยางอู่หลาง หยางฉี่หลางกลั้นหายใจ หยางซื่อหลางใบหน้าเย็นชากระด้าง นิ่งวูบหนึ่ง แล้วเชิดหน้าตอบอย่างเย่อหยิ่ง

         "...จัดการคนอย่างเจ้า ไม่ถึงกับต้องรบกวนเพลงทวนอันดับหนึ่งในใต้หล้า"

         ตั้งอิวเหลียงโทสะพุ่ง จะตวาดกลับ แต่แล้วฉุกใจคิดอีก

         ...ไม่ถูก หยางเอี๋ยนหลางฝีมือเหนือกว่าหมิงจูสิบเท่า ไม่มีเหตุผลอันใด จะไม่สำแดงเพลงทวนประจำตระกูลออกมาข่มทับเรา อันเป็นการตอกกลับที่สาสมใจยิ่งกว่า...

         คิดไปคิดมา คนฉลาดรอบรู้อย่างมันเลยพาลนึกออก แสยะยิ้มเย้ยหยัน เอ่ยกังวาน  

         "อ๋อ ข้ารู้แล้ว เคยได้ยินเหมือนกันว่า มีบุตรชายคนหนึ่งของหยางเยี่ย ป่วยเป็นโรคประหลาด ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้ หรือว่าจะเป็นเจ้า แกะดำตัวนั้น!!"

         ดั่งอสนีบาตฟาดกลางใจ หยางซื่อหลางยืนตะลึง ตัวชาดิก คำว่า "แกะดำ" ดังมา เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ด้วยก้อนน้ำแข็ง น้องชายทั้งสองแตกตื่น เต้นผางเหมือนถูกจับโยนลงกองไฟ โทสะพุ่งพรวดถึงที่สุด

         "ตั้งอิวเหลียง เกินไปแล้ว!"

         หยางฉี่หลางร้องก้อง จะโถมขึ้นเวทีไป หยางอู่หลางยื้อแขนไว้สุดฤทธิ์ ร่ำร้อง

         "ใจเย็นไว้ น้องเจ็ด ใจเย็นๆ"

         สุ่ยหลิงหลงอ้าปากค้างอย่างไม่เข้าใจ สรรพสำเนียงดังขึ้นระส่ำเมื่อรู้ว่าชายบนเวทีคือใคร ซุนไห่ถังขมวดคิ้ว หาได้สนใจกับโรคประหลาดของหยางซื่อหลางไม่ แต่เขาเคืองขุ่นวาจาสามหาว จาบจ้วง ก้าวร้าวของตั้งอิวเหลียง จนแทบมิอาจข่มใจไหวอีกแล้ว 

         ขณะจะพูดสยบความกำแหงของมัน หยางซื่อหลางปรากฏใบหน้าเย็นชา เครียดขรึม ดวงตาแฝงรัศมีดุดัน เกรี้ยวกราด จนน่ากลัว มือค่อยๆ กำทวนแน่นขึ้นเรื่อยๆ ก้มหน้าช้าๆ มองทวนที่อยู่ในมือ หลุดเสียงกระด้างไร้วิญญาน 

         "ลูกหลานตระกูลหยาง..."

         ตั้งอิวเหลียงชะงัก ทุกคนก็เงียบกริบ 

         "ไม่มีใคร...ใช้เพลงทวนตระกูลหยางไม่เป็น!"

         สิ้นเสียงร้องกังวาน ทวนในมือของหยางซื่อหลางกระเด้งลอยสู่ฟ้า หมุนคว้างกลางอากาศด้วยความเร็วสูง ก่อนกระโดดขึ้นไปคว้าหมับที่ปลายทวน กดลงมา พุ่งแทงใส่ลำคอตั้งอิวเหลียงดุจเกาทัณฑ์ที่หลุดจากคันศร คนแซ่ตั้งยกทวนปัดเฉียง เขากระหน่ำเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สามรุกใส่เป็นระลอกคลื่น รวดเร็ว รุนแรง แข็งแกร่ง ยิ่งกว่าเพลงทวนเหรินฉีเป็นสิบเท่า

         ตั้งอิวเหลียงมือไม้ปั่นป่วน ถอยร่นไม่เป็นกระบวน ตื่นตระหนกเป็นหนักหนา ขนหัวลุกยิ่งกว่าเจอภูติผี เพลงทวนของคนแซ่หยาง เมื่อครู่นี้ แม้ระดับสูงกว่า แต่ก็ไม่น่ากลัวนัก เพราะอานุภาพอันเหี้ยมโหด รุนแรงนั้น ตัวมันเองก็ซึมซับอยู่ทุกขณะจิตอยู่แล้ว หากแต่ครานี้ต่างออกไป...

         ...มันมิได้ก้าวร้าว โกรธเกรี้ยว อำมหิต ระดับเหรินฉี แต่มันเย็นเยือก เย็นชา เลือดเย็น และแผ่รังสีอำนาจประหลาด ที่ทำให้หนาวจับถึงขั้วหัวใจ...

         กระบวนท่าเดียวกัน วิชาถอดแบบมาเหมือนกันหมด เหตุใดเล่า เมื่อคนผู้นี้ใช้ จึงทรงอานุภาพ น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ยิ่งกว่าหมิงจู หลายร้อยเท่า!

         "หมิงจู พี่สี่ใช้วิชาอะไร"

         หยางฉี่หลางเบิกตาแทบถลน ร้องดังลั่น แต่มิอาจกลบเสียงร้องฮือฮาของเหล่าจอมยุทธิ์ได้

         หมิงจูยิ้มสมใจ ตอบเสียงห้าวหาญ

         "ก็ต้องเป็น...เพลงทวนตระกูลหยางสิคะ"

         "ฮ้า!"

         หยางอู่หลาง กับหยางฉี่หลางอุทานพร้อมกัน ไม่ใช่ว่าทั้งสองดูไม่ออก ว่ากระบวนท่านั้นถอดแบบมาจากหมิงจู หากแต่ไม่อยากเชื่อสายตา ว่าแม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวกัน แต่อานุภาพจะออกมาแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้

         ...นี่ไม่ใช่ ขั้นที่สาม ของหมิงจู หากแต่เป็น ขั้นที่สามของหยางเยี่ยแล้ว! บิดาเคยแสดงให้พวกเขาดู แต่ทั้งสองคน รวมถึงหมิงจู มิอาจฝึกสำเร็จได้ 

         ตรงหน้านี้ เหมือนภาพเก่ากลับมาฉายใหม่ น้องทั้งสองมองเห็นเงาของบิดาซ้อนทับอยู่บนตัวพี่ชาย และเสียงสอนสั่งอันทรงอำนาจนั้น ดังลอยเข้ามาในหู 

         ...หัวใจสำคัญของเพลงทวนตระกูลหยาง มีอยู่สามระดับ ขั้นแรก ต้องพลิ้วไหว อ่อนละมุน นุ่มนวล บางเบาดุจสายน้ำเย็นเอื่อย ล่อหลอกให้คู่ต่อสู้หลงไหล เคลิบเคลิ้ม ชื่นฉ่ำ มึนเมาไปกับกระบวนท่าร่ายรำอันสวยงาม จนดูดกลืนความเหี้ยมโหด ดุร้าย เกรี้ยวกราดในตัวของมันออกหมด หลงเหลือไว้แต่ความประมาท เลินเล่อ และอ่อนแอ เมื่อยามเขาสูญสิ้นความฮึกหาญ มอมเมาตัวเอง และขาดความระวังตัว จะเข้าสู่ขั้นที่สอง จากหยินเปลี่ยนเป็นหยางอย่างรวดเร็ว รุกโจมตีอย่างฉับพลัน ดุดัน แข็งกร้าว เหี้ยมโหด ต่อเนื่อง เย็นชา เฉียบขาด และรวดเร็ว ประหัตประหารฟาดฟันศัตรูอย่างย่อยยัย และเมื่อเข้าถึงระดับสูงสุด พวกเจ้าจะรู้ตัวว่า สามารถใช้ใจบังคับทวนในมือสั่งการก่อนความคิด หยินหยางสมดุล กอปรด้วยความนุ่มและแข็งในกระบวนท่าเดียว หนักเบาควบคุมได้ตามใจปรารถนา เคลื่อนไหวก่อนกายสั่ง นี่จึงจะเรียกว่า บรรลุถึงแก่นแท้ ของเคล็ดวิชาเพลงทวนตระกูลหยางอย่างสมบูรณ์แบบ...

         และเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สาม อันสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้แล้ว

         "อ๊าค...!"

         ตั้งอิวเหลียงมิอาจต้านทานถึงกระบวนท่าที่สิบ ถูกคมแหลมของทวนทะลุไหล่ ร้องก้องอย่างเจ็บปวด คุกเข่าหลั่งโลหิต มือกุมแผล หอบหายใจ เหงื่อโทรมกาย ใบหน้าซีดเผือด แววตาหวาดกลัวพรั่นพรึง หมดสภาพจอมอหังการคนเดิมแล้ว

         เงียบกริบราวกับป่าช้า ไร้เสียงโห่ร้อง ยินดี ทั้งที่ทุกคนอยากทำเช่นนั้น หากความสวยงาม และเก่งกาจของวิชานี้ ยอดเยี่ยมเกินไป สะกดให้พวกมันนิ่งตะลึง เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง อย่างต้องมนต์ขลัง 

         "ไม่จริง ไม่เป็นความจริง นี่มัน...กระบวนท่าอะไร"

         คนแซ่ตั้งพึมพำอย่างสับสน งงงวย ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น หยางซื่อหลางมองมันอย่างสมเพศ ไขว้ทวนกลับไว้เบื้องหลัง บอกชัดๆ

         "เพลงทวนตระกูลหยาง ขั้นที่สาม"

         "เป็นไปไม่ได้ ขั้นที่สามไม่มีทางเอาชนะข้า"

         มันร้องก้องอย่างไม่เชื่อเป็นอันขาด มันอุตส่าห์พากเพียรถึงเจ็ดปี ถึงฝึกขั้นที่สี่ ที่น้อยคนนักจะฝึกได้สำเร็จ จู่ๆ จะมาถูกสยบได้ง่ายๆ ด้วยเพลงทวนที่ต่ำชั้นกว่าได้อย่างไร

         หยางซื่อหลางแค่นเสียงเย็นชา มองมันอย่างเวทนา บอกมาเสียงกระด้าง

         "ข้าก็บอกแล้วว่า เพลงทวนตระกูลหยาง เหนือกว่าเพลงทวนเหรินฉี ข้าใช้แค่ระดับสาม ก็เอาชนะระดับสี่ของเจ้าได้ เพราะระดับชั้นของเพลงทวนตระกูลหยาง เหนือกว่าเพลงทวนเหรินฉีทุกขั้นอยู่แล้ว ที่หมิงจูแพ้ เพราะยังฝึกไม่สำเร็จ แต่ข้าประยุกต์แก้ไขด้วยตัวเอง จนสำเร็จสมบูรณ์แล้ว เจ้ายอมรับรึยังล่ะ"

         ตั้งอิวเหลียงใช้สายตาเคียดแค้นมองเขา ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พึมพำให้ได้ยินเพียงสองคนว่า

         "หยางเอี๋ยนหลาง ข้าต้องจำเจ้าไว้แน่"

         แล้วเดินกระโผลกกระเผลกลงจากเวทีไป ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ขับไล่ อย่างเย้ยหยัน สมน้ำหน้าของพวกชาวยุทธิ์ ก่อนจะหันมาปรบมือกึกก้อง ยกย่องเยินยอคุณชายหยางเป็นการใหญ่

         "สุดยอดจริงๆ เพลงทวนตระกูลหยางเป็นหนึ่งในแผ่นดิน..."

         "แค่ระดับสามก็ขนาดนี้แล้ว ข้าศึกถึงได้พ่ายแพ้ย่อยยับ..."

         "คุณชายสี่ ท่านต้องเป็นแม่ทัพให้ได้นะ ต้าซ่งเราต้องแข็งแกร่งแน่..."

         สารพัดเสียงชมอันเซ็งแซ่ สร้างความปลื้มปิติแก่นายน้อยทั้งสอง และหมิงจูเป็นยิ่งนัก กลายเป็นคนดังในยุทธภพเพียงชั่วยามเดียว ถูกเหล่าชาวยุทธิ์เข้ามาห้อมล้อม ทักทาย ชื่นชมอย่างไม่ขาดสาย หากมิได้เข้าหูหยางซื่อหลางเลยแม้แต่น้อย!

         เขายืนนิ่ง ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวลงจากเวที มึนหัวอย่างรุนแรงวูบหนึ่ง อาการต่อมาคือ ภาพเบื้องหน้าเดี๋ยววูบเดี๋ยวหาย เสียงที่ได้ยินมันเบาลงเรื่อยๆ ความหนาวยะเยือกเริ่มรุกไล้มาจากข้อเท้า แล้ววูบขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว ไอเย็นจู่โจมหัวใจจนสะท้านเฮือก สะดุ้งไปทั้งร่าง เมื่อพิษเย็นเริ่มกำเริบ ไหลแล่นพล่านทั่วร่างราวกับกระแสคลื่น จู่โจมใบหน้า และทรวงอกเป็นระลอกอย่างรุนแรง

         มิมีผู้ใดสังเกตเห็นว่าใบหน้าเขาเดี๋ยวคล้ำ เดี๋ยวขาววูบวาบสลับกันไป มือเริ่มชา และสั่นระริก มีไอขาวพวยพุ่งออกมาทางแผ่นหลัง หัวไหล่ ฝ่าเท้า และฝ่ามือ และก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะชาจนขยับไม่ไหว เมื่อหมิงจูหันมามองอีกครั้ง จึงพบว่า ร่างของเขาหายวับไปจากเวทีแล้ว!
     

     
         ภายในพรรคเทวา ประมุขซุนพานายน้อยทั้งสอง และหมิงจู เข้าพบในห้องรับแขกด้านใน 

         "วันนี้คนแซ่ตั้ง ทำให้บรรยากาศการคัดเลือกต้องหม่นหมอง และต้องเลื่อนการประลองออกไปอีก นับว่าสร้างความผิดหวัง และขายหน้าแก่พวกเจ้าจริงๆ"

         ซุนไห่ถังกล่าวแสดงความเสียใจ อย่างมีรอยยิ้มละไมให้กับหลานชายทั้งสอง 

         "ท่านประมุขกล่าวเกินไปแล้ว เพราะตั้งอิวเหลียง พวกเราถึงได้รู้จักกับชาวยุทธิ์มากมาย แถมได้ประกาศศักดา เพลงทวนตะกูลหยางด้วย ถือว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้วล่ะ"

         หยางฉี่หลางพูดยิ้มแย้ม ร่าเริง หยางอู่หลางก็ยิ้ม บอกเสียงนุ่มนวน นอบน้อม

         "ตอนอยู่บ้าน ท่านแม่มักเล่าถึงวีรกรรมสมัยหนุ่มๆ ของท่านประมุขให้ฟังบ่อยๆ เสียดายที่ท่านแม่ไม่ได้มาด้วย มิเช่นนั้นคงสนุกกว่านี้แน่"

         "ฮ่ะ ฮ่ะ แน่นอน หากหยางฮูหยินอยู่ คนที่จะตบปากสั่งสอนตั้งอิวเหลียงเป็นคนแรก ก็คือนาง แต่ยามนี้นางคงไม่ผิดหวังแล้ว เพราะลูกๆ ทั้งสาม แม้แต่แม่ครัวในบ้าน ต่างกล้าหาญ ออกหน้ารักษาเกียรติบ้านตระกูลหยางบนเวที ท่านรู้เข้า จะต้องซาบซึ้งใจนัก"

         ประมุขซุนโอบอ้อมอารี นิสัยตรงไปตรงมา เปิดเผยและใจกว้างยิ่งนัก ทำให้นายน้อยทั้งสองนิยมนับถือเป็นอันมาก หมิงจูกลับนั่งนิ่ง ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ คอยแต่มองออกไปข้างนอก

         "แม่นางหยาง มีความในใจใช่หรือไม่"

         ซุนไห่ถังเดาจากท่าทาง นางพยักหน้ารับ บอกตามตรง 

         "ข้าน้อยเป็นห่วงคุณชายสี่ค่ะ"

         "หือ..."

         เสียงครางอย่างสงสัยออกจากปากเจ้ายุทธภพ
     

     
         หยางซื่อหลางนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ ตัวสั่นและเย็นเฉียบจนมิอาจกระดิก หรือร่ำร้องออกมาได้ สะท้านเฮือก และหายใจอย่างยากลำบาก ร่างกระตุกเป็นระยะ เขารู้สึกเหมือนตัวเองยามนี้ เป็นก้อนน้ำแข็งลูกหนึ่ง ใบหน้าและร่างเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ กำลังรอการสาปให้กลายเป็นน้ำแข็งหินไปชั่วกาล!

         ร่างหนึ่งวูบลงตรงหน้า แตะชีพจรบนข้อมือเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเครียดขรึม

         "ท...ท่าน...ประมุข!"

         หยางซื่อหลางหลุดครางอย่างยากเย็น ซุนไห่ถังขมวดคิ้วมุ่น แล้วไม่รอช้าอันใด นั่งลงด้านหลัง เกร็งลมปราณหยาง ทาบฝ่ามือสองข้างลงไป ถ่ายทอดความร้อนเข้าสู่ร่างอย่างรวดเร็ว

         ไอเย็นแผ่ซ่านออกจากบ่าของเขา พวยพุ่งอย่างทลักทลาย เขานั่งหลับตา สงบจิต เปิดทางรับพลังความร้อนให้เข้ามาโคจร ไหลเวียนในร่างได้โดยสะดวก ด้วยพลังวัตรอันสูงส่งของท่านจ้าวยุทธิ์ เพียงมินาน ก็ขับพิษไอเย็นระลอกหนึ่งออกจากกายจนหมดได้

         "ขอบคุณประมุขซุน ที่ช่วยชีวิตข้า"

         คนอาภัพลุกขึ้นกล่าวคำนับ สำนึกดีว่าเพิ่งรอดพ้นจากประตูนรกมาหมาดๆ ซุนไห่ถังมองเขาด้วยดวงตากังวล เคร่งขรึม

         "พิษไอเย็นในตัวเจ้า แค่ขับออกบางส่วน มิใช่ทั้งหมด มีความเย็นสูงสุด ไหลวนอยู่ในตัวเจ้า เป็นพลังหนักหน่วง ล้ำลึก และรุนแรง ข้ามิอาจขับออกมาได้"

         หยางซื่อหลางยิ้มซึมๆ

         "สวรรค์ประทานธาตุหยิน ฝังรากลึกในร่างข้าแต่กำเนิด ชั่วชีวิตนี้ น่ากลัว ไม่มีผู้ใดขับมันออกได้หรอก"

         ประมุขซุนครุ่นคิด แหงนหน้ามองฟ้า แล้วทอดถอนใจ

         "ล้านคนถึงจะมีสักคน นี่ไม่ใช่โรคประหลาด แต่เป็นความผิดปกติทางดวงชะตา ที่หาได้ยากมาก แถมเท่าที่รู้มา ไม่มีทางรักษาหายเสียด้วย"

         "ขอบคุณท่านประมุขที่เป็นห่วง แต่ข้าทำใจนานแล้ว"

         เขาตอบซึมๆ สีหน้าเศร้า ซุนไห่ถังวางมือลงบนบ่าของเขา ทั้งปลอบโยน และกล่าวตักเตือนอย่างเป็นห่วง

         "เพลงทวนตระกูลหยาง ทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บ สวรรค์ช่างโหดร้ายจริงๆ ซื่อหลาง เจ้าอย่าได้ฝืนชะตา บนโลกนี้ยังมีวิชาธาตุหยางอีกมากมาย ที่นับเป็นสุดยอด ขอเจ้าอย่าดื้อรั้น และคิดสั้นเกินไปนัก"

         "ขอบคุณประมุขซุนที่สั่งสอน ข้าซื่อหลางจะจำไว้"

         เขายกมือคำนับ ด้วยความซาบซึ้งเต็มหัวใจ ซุนไห่ถังอ้าปาก อยากจะพูดอะไรอีกหลายคำ แต่ฉุกใจคิด แล้วกล่าวอำลาดีกว่า เดินจากไปเงียบๆ 

         "อาหลาง...อาหลาง..."

         สุ่ยหลิงหลงเดินตามหา และพบเขายืนสงบอยู่คนเดียว

         "ท่านอยู่นี่เอง หายไปไหนมา ข้าตามหาแทบแย่"

         "พี่สี่...พี่สี่..."

         อีกด้าน น้องๆ ก็กำลังตามหาเขาด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน เดินมาพบพอดี หยางฉี่หลางวิ่งมาถึงก่อนเพื่อน คว้าแขนเขามาจับไว้ ร้องกระหืบกระหอบ ด้วยสีหน้าร้อนใจ

         "พี่สี่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม จู่ๆ ก็หนีมา พวกเราตกใจหมด"

         "นั่นสิ หรือว่า อาการของพี่สี่..."

         หยางอู่หลางไม่ทันได้พูด เขาก็แทรกขึ้นเรียบๆ สีหน้าปกติ

         "ข้าก็มารอพวกเจ้าอยู่ตรงนี้ไงล่ะ ทำธุระเสร็จแล้วใช่ไหม งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ"

         หมิงจูสังเกตอาการคุณชายสี่อย่างฉงน น้องเจ็ดมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะร้องอย่างยินดี ยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจสุดๆ ชูมือ ประกาศเสียงดัง

         "จริงด้วย กลับบ้านกัน ให้ท่านพ่อได้เห็นกันตา คราวนี้พ่อต้องอึ้ง และเถียงไม่ออกแน่ๆ"

         "อะไรของเจ้า น้องเจ็ด"

         พี่ห้าถามงงๆ น้องชายตัวแสบหันมายิ้ม

         "อ้าว ก็...วิชาเพลงทวนตระกูลหยางไง! พี่ห้าดูสิ พี่สี่ใช้แล้ว ปกติเรียบร้อย โรคไม่เห็นกำเริบเลย ก็แสดงว่าฝึกได้ ธาตุหยินอะไรนั่น ไม่เกี่ยวสักหน่อย ท่านพ่อน่ะคิดมากเกินไป ไม่ให้พี่สี่ฝึกเพลงทวนประจำตระกูล ถ้าท่านพ่อรู้ว่าพี่สี่ไม่เป็นไร จะต้องยอมให้พี่สี่ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางแน่!"

         "ฮ้า จริงด้วย พี่สี่ ท่านไม่เป็นไรเลยเหรอ"

         น้องผู้หัวช้า หันมาถามอย่างนึกขึ้นได้ จ้องมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง หยางซื่อหลางอึ้ง ยืนอึกอัก หลบตา นิ่งไปครู่ ก่อนตอบอ้อมแอ้ม

         "...ไม่เลย...!"

         "เย้ เห็นไหมล่ะ บางทีสวรรค์อาจจะเมตตา ให้เพลงทวนตระกูลหยางเป็นข้อยกเว้น ดีแล้ว คราวนี้ พ่อไม่มีเหตุผลมาคัดค้านอีก เรากลับบ้าน แจ้งข่าวดีกันเถอะ"

         หยางฉี่หลาง ผู้มีไหวพริบ แต่ขาดการสังเกตที่ดี พูดอย่างคึกคัก แล้วเดินหน้าฉับๆ ออกนำไปก่อนทันที สาวใช้ตาแหลม ยืนมองคุณชายสี่อย่างระแวงสงสัย หากเขาตีสีหน้าขรึม นางเองก็ไม่สะดวกจะถามให้ลำบากใจ จึงเดินตามนายน้อยเจ็ดไป หยางอู่หลางเข้ามาร้อง แสดงความยินดีกับพี่อย่างดีใจสุดๆ แล้วควงแขนเดินไป ลืมนางโจรสาวให้ยืนเก้ออยู่ตรงนั้น

         "หลิงหลง เจ้าก็กลับพร้อมพวกเราเถอะ ถึงในเมืองแล้วค่อยแยกกันก็ได้"

         หยางซื่อหลางหันมาชวน หยางอู่หลางเห็นนาง หัวใจกระตุกวูบอีกครั้ง ยิ้มอายๆ  

         "เอ่อ จริงด้วย แม่นางหลิงหลง ไปด้วยกันเถอะนะ"

         "นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว"

         นางพึมพำอย่างแง่งอน แล้วขยับตัวเดินตามมา ทั้งห้าจึงมุ่งหน้ากลับเมืองเปี้ยนจิง
    © themy�butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×