ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : คลองน้ำเขียว
คณะเดินทางแห่งป่าโศกมาถึงคลองน้ำเขียวเมื่อเวลาหนึ่งทุ่มตรง
ความมืดเริ่มเกาะกุมไปทั่วป่าทึบแล้ว ลั่นทมสั่งก่อกองไฟบริเวณขอนไม้ กลุ่มทหารพกพาโคมไฟสนามแบบสปอร์ตไลท์มาด้วย นำมาตั้งรอบๆ ค่าย ที่พักถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วโดยลูกหาบทั้งแปด มีทั้งเต็นท์นอน เต็นท์สนาม และเต็นท์บ้าน สบชัยและกระทิงมาช่วยอีกแรง และเนื่องจากทั้งหมดนำอาหารแห้งมาพอรับประทานเฉพาะวันนี้เท่านั้น จึงไม่ต้องออกหาอาหารเพิ่ม
แต่การรับประทานอาหารในมื้อค่ำนั้น ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แยกกันไปทานในเต็นท์สนามของตัวเอง กระทิงมองอาณาจักรจำลองที่หรูหรา เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เกือบครบถ้วน ถึงกับเป่าปาก
...ยังกะมาเที่ยวป่าซาฟารี พวกทหารตำรวจนี่ดีจังแฮะ...
หลังจบมื้อนั้น ลั่นทมก็ประกาศว่า
"ทางซ้ายมีธารน้ำตกสายเล็ก ทุกคนอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมาเข้าประชุม"
เกิดเสียงโห่ร้อง ดีใจ ในกลุ่มลูกน้อง ถึงจะเป็นชายชาติทหาร หรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อันแข็งแกร่ง สิ่งเดียวที่พวกเขามักจะยอมแพ้ คือ ความเหนียวเหนอะหนะ สกปรกโสมม ภายภาคหน้านั้น ทุกคนรู้ดีว่าอาจไม่มีแหล่งน้ำสะอาดคอยให้บริการทุกครั้ง เมื่อมีโอกาสตักตวง ต่างคนจึงหวังจะเล่นน้ำอย่างเต็มที่ คงมีเพียงแต่ฉัตรทิพย์ อิษฎา สบชัย เท่านั้น ที่วางท่าเฉย ไม่กระตือรือร้นเท่าไรนัก
"อ้อ ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าเข้าไปลึกกว่านั้น บริเวณคลองน้ำเขียวเป็นจุดอันตราย ห้ามลงเล่นน้ำเด็ดขาด!"
สี่คนแรก กลุ่มทหาร ลงน้ำก่อน
บริเวณแอ่งน้ำเล็กๆ ทางรับน้ำตกที่ไหลมาจากซอกหิน ศราวุธ พัชร สมนึก เปลือยกายท่อนบนนั่งแช่น้ำ ส่วนสาวิตรีใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น บนโขดหินใกล้ๆ วางปืนสั้นไว้สี่กระบอก เป็นลักษณะนิสัยอันเคยชินของทหาร ที่ต้องระแวดระวังตลอดเวลา ระดับของพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีคนเฝ้าคุ้มกัน
"ฮ่าาา สบายจริงๆ น้ำป่านี่ใสเย็นดีชะมัด ชื่นใจ" สมนึกพูดยิ้มแย้ม
"เสียดายที่มาช่วงหน้าแล้ง ถ้ามาหน้าฝน น้ำคงเยอะกว่านี้" ศราวุธว่า
"นี่ สา สัมภาษณ์ความรู้สึกหน่อยสิ รู้สึกยังไงบ้าง ที่ถูกพวกโน้นช่วยเมื่อตอนบ่าย" สมนึกถาม
"ก็ไม่รู้สึกอะไรนี่..." สาวิตรีตอบหน้านิ่ง
"เป็นพวกนายจะช่วยไหม" ศราวุธถามความเห็น
"ไม่รู้สิ คงคิดดูก่อน" พัชรตอบ แล้วต่างก็เงียบกันไปพักใหญ่
อันความขัดแย้งระหว่างพวกเขานั้น มันเกิดขึ้นมานานสองปีแล้ว เพราะหัวหน้าของทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูคู่อริกันมาตั้งแต่อยู่ในวงราชการ เคยกระทบกระทั่งถึงขั้นลงมือลงไม้ ก่อนที่ผู้พันอิษฎาจะลาออก แต่ยังมิวายต้องมาพบเจอกันโดยบังเอิญอีก สำหรับพวกเขาแล้ว ศัตรูของเจ้านายก็คือศัตรูของพวกเขา แม้พวกเขายังเป็นทหาร แต่จงรักภักดีถึงขั้นยอมติดตามอิษฎามา
สี่คนต่อมา คือ กลุ่มตำรวจ
เช่นเดียวกับกลุ่มทหาร พวกเขาวางปืนไว้บนโขดหิน นั่งลงแช่น้ำ ธงชัย สุธี วัลลภ วรมาศ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ก่อนจะวกมาเรื่องเมื่อตอนบ่ายเช่นกัน
"ทำไมตอนนั้นถึงช่วยเขาล่ะ" ธงชัยเปิดคำถาม
"โธ่เอ๊ย ฉันไม่ช่วย คนอื่นก็ต้องช่วย แล้วจะเสียเวลาทำไม อีกอย่าง ฉันว่าคุณลั่นทมพูดถูก เรามาด้วยกัน ก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน เอาเป็นว่า ถ้าเจ้านายไม่แตกหัก เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรพวกเขาหรอก" วรมาศตอบตรงไปตรงมา
"นี่ ที่นี่ชื่อคลองน้ำเขียว ทำไมไม่เห็นมีคลอง?" วัลลภหันซ้ายหันขวา
"นั่นสิ ฉันว่าถ้าแช่น้ำในคลองจะสบายกว่านี้นะ แอ่งนี้มันแคบไปหน่อย" สุธีว่า
ธงชัยลุกขึ้นจากน้ำก่อนคนอื่น คว้าปืน แล้วเดินดุ่มๆ หายเข้าไปทางป่าด้านหลัง เพื่อนๆ ไม่มีใครสนใจเขา นายดาบเดินสำรวจเข้าไปไม่ลึกมากนัก เพราะไม่ได้พกไฟฉายมาด้วย อาศัยแสงไฟจากในค่าย พอมองเห็นแบบลางๆ
ภายในเต็นท์บ้าน สิบสามชีวิตมายืนอยู่พร้อมหน้า เพื่อประชุมแผนการเดินทางในวันต่อไป
ลั่นทมยืนอยู่หน้าโต๊ะสนามตัวใหญ่ที่กางแผนที่ไว้ โดยมีทุกคนยืนรายล้อมแบ่งเป็นสองฟาก
"ตามหลัก ฉันเคยแต่นำทางคณะที่มีจุดมุ่งหมายเดียว คือ เที่ยวชมป่า ตอนนี้ เรามาเป็นขบวนใหญ่ มีจุดหมายที่แตกต่างกัน ตามความเห็นของฉัน การตามหาตัวคุณ มุกมณี น้องสาวของคุณ เป็นเป้าหมายที่ใกล้กว่า เพราะการดำรงชีวิตในป่าลึกโดยผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ที่ไม่เคยผจญภัย หล่อนจะต้องยังไปได้ไม่ไกลนัก อีกทั้งระหว่างทางที่มานั้น ฉันพบเจอร่องรอยเล็กๆ ที่ทำให้พอแน่ใจได้ว่า คุณมุกมณีน่าจะเคยผ่านเส้นทางของเรา"
"คุณเจอหลักฐานอะไร" อิษฎาถามเร็วปรื๋อ ท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก
กระทิงรับของจากมือมารดา เดินมาส่งมอบถึงมือผู้พัน มันคือ... ไข่มุกสีชมพู
"นี่เป็นสร้อยข้อมือของมุก ผมซื้อให้เขาเอง ทำไมมันถึงขาด หรือว่า เกิดอะไรขึ้น" อิษฎาทั้งดีใจและร้อนใจ ดีใจที่พบเบาะแส ร้อนใจที่ไม่เจอตัว
"ไม่ต้องกังวล ไม่เจอศพก็แปลว่ายังไม่ตาย ใส่เครื่องประดับเดินป่าสามารถขาดได้ตลอดเวลา ฉันเดาว่าเธอถูกกิ่งไม้เกี่ยว มันกองอยู่ใต้โคนต้นไม้"
"พบเบาะแสอื่นอีกรึเปล่า เช่นว่ารหัส หรือรอยเท้า ผมอยากรู้ว่าเธอไปทางไหน" ความสุขุมนุ่มลึกของเขาเหมือนจะหายไปเพราะผู้หญิงคนนี้
"ใจเย็นๆ ก่อน เธอล่วงหน้าเราไปก่อนตั้งสองอาทิตย์ แถมฝนไม่ตก สังเกตรอยเท้ายาก ถ้าเธอยังอยู่บนเส้นทางหลัก ยังไงก็ต้องพบกันข้างหน้า"
กระทิงช่วยพูดมา อิษฎากำไข่มุกในมือแน่น สบชัยจับบ่ามาเป็นเชิงปลอบ
"ความหมายของคุณ คือ จะออกตามหาเด็กผู้หญิงคนนั้นก่อน หมายความว่า เรื่องพี่ชายของผม เป็นเรื่องรองเหรอ" ผู้การฉัตรทิพย์พูดเสียงเย็น
"เปล่า กรณีของคุณสำคัญกว่าเขา และเป็นเรื่องใหญ่ที่หาคำตอบไม่ง่าย พวกคุณสังเกตไหมว่าระหว่างทางที่เดินมา นอกจากสัตว์ป่าเล็กๆ เช่น ลิง นก แมลงแล้ว เราไม่เจอสัตว์ใหญ่เลย นั่นเป็นเพราะเรายังไม่ได้เข้าถึงป่าโศกชั้นกลาง ซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาก ดร. เฉลิมพงศ์ เป็นนักผจญภัยมือฉกาจ เขาไม่มาตายน้ำตื้นแถวนี้หรอก และพิษจากสัตว์ที่แม้แต่ห้องแล็บยังวิจัยไม่ได้ ต้องไม่มาจากสัตว์ป่าธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า ถ้าเราอยากพบคำตอบ เราอาจต้องเข้าไปลึกถึงอาณาเขตชั้นในของป่าโศก ซึ่งนั่นเป็นการเดินทางที่ยาวไกลมาก จะดีกว่าไหมถ้าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสำเร็จเป้าหมาย บรรลุภารกิจก่อน จะได้ถอนตัวกลับไป ฉันว่า น่าจะเป็นผลดีด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกคุณก็ไม่ได้อยากเดินทางร่วมกันอยู่แล้ว"
สบชัยซ่อนยิ้มสบตากับอิษฎา พรานหญิงแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์ไม่เพียงแต่กล้าหาญ องอาจ เป็นผู้นำ ยังมีวาทะศิลป์ที่ดี สามารถยกเหตุผลมาพูดจนอีกฝ่ายตอบรับไม่ลง ปฏิเสธไม่ออก ผู้การฉัตรทิพย์อิหลักอิเหลื่อ ยืนเงียบกริบ
"แล้วถ้าหาผู้หญิงไม่เจอ ก็ไม่ต้องหาตัวสัตว์ร้ายของเรารึไง" ธงชัยว่าแทน
"ฉันกำลังจะกำหนดแผนการเดินทางจุดต่อไป เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ขอให้ทุกคนดูแผนที่นี้..." ลั่นทมใช้ไม้ยาวจิ้มลงไปบนแผนที่จำลองบนโต๊ะ
"...เมื่อเราออกจากคลองน้ำเขียวในตอนรุ่งเช้า แล้วเดินทางขึ้นเหนือต่อไป จะเข้าถึงบริเวณที่เรียกว่าป่าโศกชั้นกลาง ประตูแรก คือ หุบอสรพิษ จากนั้นขึ้นเหนือไปอีกสี่กิโลเมตร จะผ่าน ช่องผาแยก และถึง ทุ่งทรายแดง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะใช้ค้างแรมพรุ่งนี้ อย่างที่บอก อาณาเขตป่าโศกชั้นกลางกว้างขวางมาก มีเส้นทางแยกแตกย่อยไปอีกหลายสาย เป็นบริเวณที่หลงได้ง่าย มาตกลงกันก่อน หากคุณมุกมณีอยู่บนเส้นทางหลักของเรา ก็แล้วไป เราจะตามต่อจนกว่าจะพบ แต่ถ้า...เธอหลงไปเส้นทางอื่น นั่นเท่ากับเพิ่มความยากลำบากเป็นทวีคูณในการตามหา เราจะประชุมกันใหม่ เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด"
"ทำไมเราไม่แบ่งทีมกัน พรานกระทิงหรือคุณคนใดคนหนึ่งไปกับทีมผม อีกคนไปกับทีมเขา" อิษฎากล่าวในทันที
"หา? พูดยังกะเดินสยาม ป่านะจ๊ะไม่ใช่เมืองกรุง ถึงขับเครื่องบินก็ยังต้องมีเส้นทาง ขึ้นชื่อว่าป่าถ้าไม่เดินยึดทางสายหลักไว้ เอาชีวิตรอดกลับออกมายากมาก พูดตรงๆ ก็คือ หลงป่า นั่นแหละ แล้วอีกอย่าง... เอ่อ ประสบการณ์ผมก็ยังไม่โชกโชนเท่าแม่" กระทิงทำหน้าตลก ก่อนเสียงอ่อนในตอนท้าย
"ไม่ว่าจะยังไง ผมไม่มีทางทิ้งน้องสาว อยู่ต้องเจอคน ตายต้องเจอศพ ต่อให้คุณไม่นำทาง ผมก็จะตามหาต่อไป" ผู้พันหนุ่มกล่าวเด็ดเดี่ยว
"คุณชาย พรานแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ และมีอุดมการณ์ พวกเขาไม่ทอดทิ้งนายจ้างไว้กลางทางหรอก"
สบชัยพูดเรียบๆ แต่แฝงนัยยะชัดเจน ทำไมลั่นทมจะไม่รู้!
"ที่จริง พวกเราก็ผ่านการฝึกการใช้ชีวิตในป่ามาแล้ว ลุยกันเองก็ได้ ป่าโศกจะสักเท่าไหร่เชียว" สมนึกคุยโว
"เฮอะ ถ้าแน่จริงอย่างว่า แล้วมาจ้างพรานนำทางทำไม" ธงชัยหมั่นไส้
"ทหารน่ะมีความเคยชินกับป่ามากกว่าตำรวจ ไม่เหมือนบางคนขาดพรานไม่ได้ ต้องตามก้นเขาไปตลอดชาติ" พัชรกอดอก เย้ยมา
"ใครตามก้นใคร!" สุธีขึ้นเสียง
กระทิงเอานิ้วแหย่หู เพราะรู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดการทุ่มเถียงสั่นโสตประสาทขึ้นอีกแล้ว
"โอเค ให้โชคชะตาเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า" ลั่นทมตัดบท ก่อนขยุ้มแผนที่บนโต๊ะ แล้วเดินออกจากเต็นท์ไป
"แม่ อารมณ์ไม่ดีเหรอ" กระทิงย่องมาทางข้างหลัง มารดายืนกอดอก หันหน้าสู่ป่าด้านนอก ซึ่งเวลานี้มืดสนิทแล้ว
"มันแปลก..." ลั่นทมพึมพำ
"ห๊ะ เอ่อ แม่หมายถึง...?"
"ร่องรอยที่พบในป่า ไม่ได้เป็นของผู้หญิงคนเดียวนะ มีจุดหนึ่งที่รอยเท้าค่อนข้างชัดเจน นอกจากคุณมุกมณีแล้ว ยังมีผู้ชายอีกคนอยู่กับเธอด้วย"
กระทิงอึ้งไปวูบ ก่อนโพล่ง "พ่อบุญธรรมรึเปล่า"
"ฉันจะจำรอยเท้าเขาไม่ได้รึไง!" มารดาว่าเสียงขุ่น "ไม่ใช่ รอยเท้าเล็กกว่า ลักษณะการเดินไม่ใช่พรานแน่ หากมีคนเข้าไปกับมุกมณี อิษฎาก็ต้องบอก หากทั้งสองพบกันโดยบังเอิญ แล้วทำไมถึงไปด้วยกัน นี่ เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกออกไปนะ รอให้พบตัวก่อน ทุกอย่างคงกระจ่างเอง"
"อื้อ แม่พักผ่อนเถอะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวผมเดินตรวจตราอีกรอบก็จะนอนเหมือนกัน คืนนี้ คงไม่มีไรมากหรอก ฮ้าว" พรานหนุ่มปิดปากหาว
ลั่นทมตบแขนเขา ยื่นหน้ามากระซิบ "นอนได้ แต่อย่าชะล่าใจนัก หูไวหน่อย อย่าลืมว่าเราพักอยู่ใกล้ คลองผีสิง!"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น