ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : น้ำใจในยามยาก
...ค่ำไหนนอนนั่น ทุกแห่งก็เหมือนบ้าน แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ หนูเอาตัวรอดได้...
คำพูดประโยคสุดท้ายของบุตรสาว ยังประทับตราตรึงอยู่ในใจ ลั่นทมรู้สึกปั่นป่วนมวนอก ความหลังเกือบทำน้ำตารื้นอีกครั้ง ต้องรวบรวมกำลังใจขึ้นใหม่ เดินมาหยุดข้างหน้าเขา พูดเฉียบขาด
"เราต้องได้กลับบ้าน ทัตติยารอฉันอยู่"
"แต่ผมไม่มีความมั่นใจเลย การเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ผู้ว่าจ้างของเราไม่เพียงมีอำนาจ ยังขนปืนผาหน้าไม้มาเป็นคลัง! วันดีคืนดีไม่พอใจเราขึ้นมา... แม่ แม่คิดผิดรึเปล่า ทำไมแม่ต้องรับอาสามาเองด้วย แถมไม่ให้พรานคนไหนติดตามเลย มีแค่ผมคนเดียว ถ้าเกิดพวกนั้นทรยศเรา หรือบ้าดีเดือดขึ้นมา ผมจะปกป้องแม่ยังไง ผมเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ค่าจ้างเป็นล้าน มันก็ซื้อชีวิตเราสองคนไม่ได้นะแม่ ไหนจะอันตรายจากป่าที่มองไม่เห็นอีก"
"ถ้าฉันไม่มั่นใจในตัวเธอ ก็คงไม่เลือก... กระทิง ถ้าลางสังหรณ์ของฉันไม่ผิดพลาด ฉันต้องพึ่งพาเธอ มากกว่าที่ตัวเธอจะคิดไปถึง!"
กระทิงตะลึงงัน เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังคำพูดแบบนี้ เด็กกำพร้าอาภัพที่ถูกหญิงตรงหน้าเลี้ยงดูมาเหมือนลูก อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชา ตัวเขากลับไม่เอาไหน แถมทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ตลอดมา สำนึกตัวเองว่าเป็นแค่พรานอ่อนหัด ชั้นปลายแถวที่สุดในหมู่บ้าน มันทำให้เขาตั้งตัวไม่ทันกับคำพูดยิ่งใหญ่ที่แฝงปริศนานี้
เสียงทะเลาะดังแว่วมาขัดจังหวะ ทั้งสองหันมอง กลุ่มนายจ้างยังทุ่มเถียงกันไม่สำเร็จ
"หยุดได้แล้ว!" เสียงตวาดสะกดทุกสรรพเสียงของเหล่าลูกสมุน
"ถ้าไม่กินข้าวก็ออกเดินทาง จากที่นี่ถึงคลองน้ำเขียว เดินต่อเนื่องหกชั่วโมงเต็ม อยากจะหิวหมดแรงระหว่างทาง รึยอมลดศักดิ์ศรีแล้วนั่งลง ให้ตายสิ! ลงเรือลำเดียวกันแล้ว กัดกันให้ได้อะไร หนทางหลังจากนี้ ถ้าไม่คิดหวังพึ่งพา สมัครสามัคคี กันให้มาก ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายของตัวเองทั้งนั้น รึอยากจะฆ่ากันตายกลางป่าก็เอาเลย ฉันจะได้เดินทางกลับ"
การเกรี้ยวกราดของนายหญิงลั่นทมเป็นผล พวกสมุนต่างเงียบกริบเป็นแถว ฝ่ายหัวหน้าที่ถือศักดิ์ศรี ไม่ยอมลงให้อีกฝ่าย แม้จะไม่ได้ร่วมผสมโรงด้วย ก็อึ้งไปเหมือนกัน
...เฮอ เฮอ... เจอคนจริงเข้าแล้ว ให้มันรู้ซะบ้าง ไผเป็นไผ... กระทิงชอบใจ
"ทางโน้นก็มีต้นไม้เหมือนกัน ทำไมเราต้องมานั่งกระจุก" ฉัตรทิพย์เอ่ย
"แดดจางลงแล้ว นั่งตรงไหนก็เหมือนกัน ทุกคนกินข้าวเถอะ" อิษฎาพูดเรียบๆ แล้วถือกล่องข้าวไปนั่งบนพื้นหญ้า กลางตีนเขา
กระทิงมองเหล่าสาวกแยกย้ายไปนั่งห่างไกลกัน ก็ยกมือกอดอก ถอนใจเฮือก!
แดดยามบ่ายทอแสงอ่อนลง สิบสามชีวิตมุ่งหน้าสู่ป่าทึบที่รกชัฏกันดารกว่าที่ผ่านมา
ป่าโปร่งสลับเป็นป่ารก เพราะเป็นฤดูร้อน บวกกับฝนไม่ตกมานานนับเดือนแล้ว พื้นดินจึงแห้ง แตกระแหง เส้นทางไม่ได้เปิดเป็นช่องให้สัญจรสะดวกเหมือนตอนแรก ต้นไม้สูงขึ้นหนาทึบระเกะระกะ เถาวัลย์พาดระโยงระยางจากด้านบนถึงด้านล่าง เนินดินสูงสลับต่ำ หนทางคดเคี้ยว ไม่เป็นเส้นตรง คนตัวเปล่าบางช่วงยังต้องเดินก้มหัว เพื่อหลบเถาวัลย์ หรือฟันกิ่งไม้หนาที่กีดขวาง ประสาอะไรกับสมุนทั้งแปด ที่หาบหีบเหล็ก หีบไม้ มา เหลือมือข้างเดียวแค่พอช่วยตัวเอง แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงความทรหด ด้วยจบหลักสูตรฝึกโหดบนบกกันมาแล้ว มือขวาหาบของ มือซ้ายถือมีดฟันสิ่งกีดขวาง ผ่านมาอย่างทุลักทุเล ลั่นทมเดินนำทาง ใช้ไม้ไผ่ในมือ เขี่ยเถาวัลย์เปิดทาง พลางเคาะพื้นไปด้วย เพื่อไล่สัตว์เลื้อยคลานอันตรายชนิดงู กระทิงไม่ได้อยู่เปล่า มาช่วยพวกลูกหาบจำเป็นฝ่าฟันขวากหนาม พยุงข้ามอีกแรง
ถึงกระนั้นก็ดี ทุกคนต้องมายืนมองตาปริบๆ เมื่อมาถึงอุโมงค์ดิน ที่เป็นช่องเล็กแคบ ขนาดพอให้คนคลานลอดผ่านไปได้ทีละคนเท่านั้น
"เอาล่ะ ฉันจะไปรอที่ปากทางออก รีบตามมาก็แล้วกันนะ"
นายหญิงลั่นทมพูดหน้าระรื่น ก่อนก้มมุดช่องอุโมงค์เป็นคนแรก
"ระยะทางแค่สี่สิบเมตรไม่ไกลมาก แต่ว่า ช่องพอลอดได้ทีละคนเท่านั้น เชิญผู้การ กับ ผู้พัน ก่อนเลยครับ" กระทิงยืนคุมอยู่ข้างๆ ผายมือบอกมา
"เอาเชือกผูกหีบ แล้วลากเข้าไป" สบชัยหันไปสั่งลูกน้อง พรรคพวกทั้งสี่วางหีบ ล้วงเชือกออกมาจัดการมัดหีบอย่างรวดเร็ว สบชัยหันมาบอกอิษฎา "คุณชายเข้าไปก่อนเถอะครับ ผมอยู่คุมเอง"
"ให้พวกเขาเข้าไปก่อน" อิษฎาบอก ผู้การฉัตรทิพย์สั่งลูกน้องทางสายตา ก่อนมุดตามไปเป็นคนที่สอง พรรคพวกของผู้การกระทำแบบเดียวกับฝ่ายโน้น หีบใหญ่สองใบผูกติดกันอย่างแน่นหนา สองฝ่ายต่างมีคนละสองหีบ
"พวกเราไปก่อน" กลุ่มของอิษฎาเสร็จไวกว่านิดเดียว สาวิตรีลุกขึ้นบอก
"ของเราตั้งอยู่ใกล้กว่า ให้เราไปก่อนสิ" วรมาศเถียง สองฝ่ายทำท่าจะทะเลาะกันอีกครั้ง
"ให้เขาไปก่อน" อดีตผู้พันสั่งเบาๆ สี่ผู้พิทักษ์สันติราษฎรจึงรีบยกหีบขึ้นไป สองคนแรกลาก สองคนท้ายรุน ชั่วพริบตาก็หายเข้าไป ทีมของอิษฎารีบมุดตาม การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็ว กระฉับกระเฉง และคล่องตัว
สบชัยเป็นคนถัดไป อิษฎายืนอยู่ปากทางเข้า กระทิงเข้ามาตบไหล่ยิ้มๆ
"ใจกว้างมาก ผู้พัน มีทั้งความเป็นผู้นำ มีทั้งน้ำใจ ดีกว่านายผู้การนั่นเยอะ" เห็นวิธีการจัดการของชายหนุ่ม เขารู้สึกถูกใจมากกว่าผู้การจอมหยิ่ง
"ฉันแค่คิดว่า ถ้าฉัตรทิพย์วางกับดักกลั่นแกล้งเราข้างใน พรรคพวกเขาจะได้รับเคราะห์ก่อน"
อดีตนายทหารหนุ่มตอบเรียบๆ น้ำเสียงไม่ถึงกับกระด้างเย็นชา แต่แฝงความลุ่มลึกเต็มขั้น กระทิงยืนอึ้งเป็นบื้อใบ้ ขณะอิษฎาหายวับเข้าไปในอุโมงค์
คณะเดินทางใช้เวลาเพียงไม่นานออกจากอุโมงค์มาถึงสะพานแขวนข้ามเหว ที่เก่าผุพัง
เป็นสะพานเชือกลอยฟ้า รองรับด้วยแผ่นไม้ธรรมดา สูงจากพื้นห้าสิบเมตร ด้านล่างเป็นแอ่งน้ำแห้งขอด กองหินระเกะระกะ เมื่อลั่นทมเดินไป พบว่าสะพานโอนเอน เสียงดัง เอี๊ยดอ๊าด... คล้ายจะไม่มั่นคงนัก เหล่าลูกหาบทำหน้าหวาดระแวง เพราะขนาดคนตัวเปล่าเดินยังโยกไหวไปมา
"ต้องใช้ความระวังมากหน่อย ทรงตัวดีๆ ก็จะไม่ตกลงไป"
พรานหญิงพูดมาจากกลางสะพาน
"ไม่มีทางลัดอื่นรึไง รู้สึกว่า คุณจงใจจะเลือกหนทางยากลำบากให้เรานะ" ฉัตรทิพย์พูดเหมือนไม่พอใจ
"อะไรกัน แค่นี้เรียกลำบากแล้วเหรอ ยังบุกไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของป่าเลยนะ ต่อไปเจอหนักกว่านี้ ไม่ถอดใจวิ่งหนีกลับบ้านรึไง เฮอ เฮอ"
พรานหนุ่มกระแทกแดกดันให้อย่างหมั่นไส้ ผู้การปรายตาเขม่นมอง
"เราเดินได้ค่ะ หัวหน้า ฝึกหนักมาแล้ว แค่นี้สบายมาก" วรมาศบอกห้าวหาญ
แล้วชาวคณะก็เดินตามกันมาแบบเรียงเดี่ยว ลั่นทมทะลุมาถึงอีกฝั่งคนแรก ยืนกอดอกมอง ฉัตรทิพย์ ธงชัย สุธี วัลลภ วรมาศ สาวิตรี สมนึก ศราวุธ พัชร สบชัย อิษฎา ปิดท้ายด้วยกระทิง
ทุกคนก้าวอย่างเชื่องช้า ใช้ความระมัดระวัง เพราะหากสะพานโคลงเคลงมากไป อารจะเสียการทรงตัว ตกลงไปข้างล่าง ฉัตรทิพย์ข้ามมาถึงเป็นคนที่สอง คู่หาบธงชัยกับสุธีกำลังจะถึงฝั่งตามมา ...แพล่กกก... ปรากฎว่าใต้เท้าของสาวิตรีแผ่นไม้เกิดแตกเป็นรู ขาซ้ายของหล่อนหลุดทะลุลงไป เพราะบ่าขวาหาบหีบเหล็กไว้ เมื่อเสียหลัก น้ำหนักเลยเทลงมาทับ หีบกระแทกร่างซ้ำเติม แผ่นไม้เลยหลุดออกทั้งแผ่น คู่หาบของหล่อน คือ สมนึก รีบตะครุบหีบไว้ ทำให้ตัวเองเกือบร่วงไปด้วย ดีว่าคว้าเชือกไว้ทัน คนบนสะพานร้องโวยวาย พวกที่อยู่ใกล้ฝั่งตกใจรีบวิ่งเร็วขึ้น พวกจะไปช่วยสาวิตรีที่ห้อยต่องแต่งก็ผลุนผลันเข้าหา ทำให้สะพานโยกเยกรุนแรง
"อย่าเคลื่อนไหว ทุกคนอยู่นิ่งๆ"
กระทิงร้องเตือน รีบกระโจนมายืนทางขวาเพื่อสร้างสมดุล เพราะสะพานเริ่มเอียงแล้ว สบชัย อิษฎา ก็ทำตามเขาเช่นกัน
"อย่าเข้ามา แผ่นไม้มันร้าว!"
สมนึกขยับจะช่วยเพื่อน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด สาวิตรีร้องบอก ตัวหล่อนคว้าเชือกไว้ด้วยแขนข้างเดียว แต่แผ่นกระดานที่ยึดเกาะอยู่กับเชือกนั้นจวนจะหลุดออกเต็มทีแล้ว
อิษฎาอยากช่วยลูกน้อง แต่จนใจ ถ้าข้ามไปฝั่งโน้นสะพานจะเอียงมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงคนบนฝั่ง ที่ทำได้แค่ตะลึงมอง
"วางของลงก่อน" วรมาศตัดสินใจบอกเพื่อน วัลลภที่หาบคู่กับหล่อนปลดเชือกออก
"จับมือไว้" หญิงสาวฝ่ายคู่อริย่อตัวลง มือหนึ่งยึดเชือกไว้ อีกมือส่งให้สาวิตรี สาวิตรีมองอย่างคาดไม่ถึง ใช้ความพยายามสองครั้งจึงคว้าได้ วรมาศดึงตัวหล่อนขึ้นมา สาวิตรีไม่เสียทีที่เป็นทหาร พยายามปีนกลับขึ้นมาให้นิ่งที่สุด ไม่ทำให้สะพานโยกหนักขึ้น ไม่มีลนลาน ขาดสติ ตกใจเกินเหตุ
"เปลี่ยนมาเดินทางขวา คุณสาวิตรีล่วงหน้าไปก่อน ผมหาบแทนเอง" นั่นคือ การแก้ปัญหาอย่างถูกต้องของพรานกระทิง
เมื่อทุกคนขึ้นไปจนครบ สะพานก็พังครืนลงต่อหน้าต่อตา!
"ด...เดี๋ยวก่อนนะ แล้วเราจะกลับยังไง" สมนึกทำหน้าพิกล
"อ้อ ลืมบอกไป ใกล้ๆ นี้ยังมีอุโมงค์ใต้ดินอีกแห่งเชื่อมถึงกันได้ เพียงแต่ต้องเดินอ้อมหน่อย และจากที่ผ่านมา เห็นว่าทุกคนไม่ค่อยชอบอุโมงค์กันสักเท่าไหร่ ฉันก็เลยไม่ได้บอก มาเถอะ ต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงคลองน้ำเขียว"
ฉัตรทิพย์ กับ อิษฎา มองตามแผ่นหลังของพรานหญิงแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์ ที่เดินจากไป ด้วยความรู้สึกอันบอกไม่ถูก!
คณะเดินทางต่อ อุปัทวเหตุที่เกิดขึ้น กลายเป็นเรื่องเล็กและชวนขบขันไปในภายหลัง โดยเฉพาะสาวิตรีที่น่องขามีรอยถลอกเล็กน้อยถึงกับหัวเราะขำตัวเอง ไม่มีใครในกลุ่มเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ด้วยเป็นตำรวจทหารผ่านสถานการณ์คับขันมามาก สาวิตรีไม่ลืมขอบคุณกระทิงที่ช่วยหาบของ ส่วนกับวรมาศนั้น แม้ไม่มีคำพูดใดๆ แต่จากสายตาที่ทั้งคู่มองสบกันหลายครั้งระหว่างเดินทางนั้น ก็เรียกรอยยิ้มเล็กๆ ให้กระทิงได้
บนเส้นทางขรุขระทอดยาวไกล สิบสามชีวิตเรียงเดี่ยวไปอย่างสงบ เงียบเหงา เมื่อนั้นเอง เสียงเพลงคลอจากเทปคาสเซ็ตในกระเป๋าพรานหนุ่ม
"...เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า เก็บเอามาเก็บไว้ในใจ เก็บพลัง เก็บแรงแห่งแสงยิ่งใหญ่ รวมกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว...
...เก็บเอากาลเวลาผ่านเลย สิ่งที่เคยผิดหวังช่างมัน หนึ่งตัวตนหนึ่งคนชีวิตแสนสั้น เจ็บแค่นั้นก็คงไม่ตาย...
...ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้มเมฆหม่น พายุฝนอยู่บนฟากฟ้า คงไม่นานตะวันสาดแสงแรงกล้า ส่องให้ฟ้างดงาม..."
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น