ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดขุนศึกสะท้านปฐพี 2

    ลำดับตอนที่ #5 : วางแผนปราบกบฎ

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 60






     
         
                    ยามดึก บุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลา และสง่างาม ยังคงนั่งร่ำสุรา เหม่อลอยอยู่ในศาลาผิงอันเพียงโดดเดี่ยว เวลานัดหมายผ่านไปแล้ว หากนางยังคงไม่ปรากฏกาย หรือคำอำลาสุดท้ายนั้นจะเป็นจริง นางยอมทิ้งเขา และจากไปอย่างนี้ หรือนางยอมลบลืมความทรงจำดีๆ ระหว่างเรา เพียงเพราะการจาบจ้วง ล่วงเกิน โดยมิตั้งใจ เช่นนั้นแล้ว เขาคงเศร้าใจ และตำหนิตัวเองไปชั่วชีวิต

         ดรุณีอ้อนแอ้น ในชุดสีชมพูอ่อน แต่งหน้างดงาม เปล่งประกายยอดโฉมสะคราญแห่งยุค เยื้องกายเข้ามาอย่างเนิบช้า ทุกจังหวะการก้าว ล้วนหนักหน่วงเช่นดวงใจที่อึดอัด ราวกับแบกภูเขาอันหนักอึ้ง นางมิอาจไม่มา เพราะความรู้สึกของการเก็บกดไว้ ช่างทรมานยิ่งนัก

         "ย่งฉี..."

         เขาลุกขึ้นยืน จ้องดวงตาประสาน คืนนี้เขาได้ยลความงามของนางชัดกับตา หากเขามิได้ปิติยินดี ชื่นชมกับรูปโฉมนั้น มากไปกว่า การได้พบนางอีกครั้ง

         "...ยังจะเรียกข้า แบบนั้นอีกหรือ"

         นางเอ่ยแผ่วเบา ดวงตาเหม่อลอย หยางซื่อหลางยิ้มอ่อนโยน

         "ได้ หากตอนนี้เจ้าไม่ต้องการเป็นจุนย่งฉีแล้ว ข้าก็จะเรียกเจ้า...จื่อเอียน"

         นางหลุบตาลงมองพื้น เอ่ยถามซึมๆ

         "ท่านรู้ความจริงตั้งแต่เมื่อใด"

         "ครั้งแรกที่เจอ ข้าเพียงสงสัย เมื่อได้คบหา ก็ดูออกแล้ว เพียงแต่ที่ข้าไม่เปิดโปง เพราะอยากรู้จัก คบหากับเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่อยากให้เจ้าห่างเหินไป แต่พอเจ้ามาเข้าค่ายทหาร ข้าก็อยากรู้ว่า เจ้าเป็นใครกันแน่ จึงสั่งจิ้งจงไปสืบ จนรู้ว่า ที่แท้แล้ว เจ้าคือ...ธิดาเสนาผาน"

         ประโยคหลัง เขาเอ่ยเบาเหมือนอย่างไม่เต็มใจ คุณหนูผานยิ้มซึมๆ อย่างเศร้าใจ

         "ท่านผิดหวังมากใช่ไหม"

         "ไม่ ถ้าข้าผิดหวัง หรือโกรธเกลียดเจ้า คงไม่ให้เจ้าเป็นทหารต่อไปหรอก ก็จริงที่เจ้าเป็นหญิง ผิดกฏจะเข้าค่าย แต่ข้านับถือ และชื่นชมในความสามารถของเจ้า โดยไม่ถือสาว่าเป็นหญิงหรือชาย จึงได้ยอมแหกกฏ"

         ผานจื่อเอียนยิ้มขำ ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อถือ

         "ท่านยอมแหกกฏเพื่อข้า ลูกสาวตระกูลผาน ทั้งที่ครอบครัวตระกูลหยางของท่านรังเกียจ และเราก็เป็นอริกันมาตลอด ท่านทำไปเพื่อเหตุใด"

         "ข้าฝึกทหาร กฏเกณห์ในการรับ ข้าเป็นคนกำหนด ไม่เคยดูคนที่สูง ต่ำ ดำ ขาว รวยหรือจน ฉลาดหรือโง่ หญิงหรือชาย เจ้าแสดงให้ข้าเห็นว่า เจ้ามีคุณสมบัติเพียบพร้อม แม้กายจะเป็นหญิง แต่จิตใจ และสติปัญญาของเจ้า ผู้ชายบางคนยังเทียบไม่ได้ ในฐานะครูฝึก เจ้าคือ ทหารที่ข้ายอมรับ และยกย่องคนหนึ่ง งานที่ข้าทำ จริงจัง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จึงไม่ได้คิดหวังจะเล่นสนุกขำๆ กับเจ้า เมื่อเจ้าเข้าค่ายมา ข้าก็อยากจะฝึกให้เจ้าเป็นทหารที่ดีจริงๆ"

         หยางซื่อหลางพูดอย่างจริงจัง และจริงใจ ฉายชัดออกทางแววตา นางทั้งเชื่อ และตื้นตันใจ แต่ใบหน้ายังคงนิ่งซึม เดินช้าๆ เข้ามาอยู่ในศาลาเดียวกัน ลังเล ก่อนจะถามสิ่งที่คาใจ

         "คืนนั้น เกิดอะไรขึ้น"

         คุณชายหยางสะอึก ถอนหายใจเศร้าๆ ก่อนบอกความจริงกับนางโดยมิปิดบัง

         "มันเป็นเคราะห์กรรมของข้า ดวงชะตาข้า จันทราเป็นผู้ลิขิต ข้าเกิดวันเริ่นซี เดือนเริ่นซี ปีเริ่นซี เวลาเริ่นซี! นั่นทำให้ ตัวข้าเป็นคนธาตุอินล้วนทั้งหมด ตอนข้าเกิดมา ก็เกือบจะตายแล้ว ดีแต่ท่านพ่อช่วยถ่ายพลังไอร้อนรักษาชีพจรหัวใจไว้ และให้ข้าดื่มโสมไฟพันปี ของล้ำค่าประจำตระกูล ข้าตัวเย็นมาก เย็นเฉีบบเหมือนน้ำแข็ง กอปรกับคืนนั้น เป็นคืนวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง ข้าหยุดหายใจไปหลายครั้ง ใครๆ ก็คิดว่าคงไม่รอด แต่ท่านพ่อไม่ถอดใจ ถ่ายลมปราณธาตุหยางเข้าสู่ตัวข้าตลอดทั้งคืน จนในที่สุด ข้าก็ผ่านคืนแรกของการเกิดมาได้"

         คุณหนูผานตกตะลึง มิคาดฝันว่าจะได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้ ถามอย่างงุนงงนัก

         "ทำไม...จึงเป็นอย่างนี้ได้"

         "ข้าไม่รู้หรอก ดวงชะตา ฟ้าเป็นผู้กำหนด สวรรค์คงเกลียดชังข้า เลยประทานโรคร้ายที่แก้ไม่หายมาคอยกลั่นแกล้งทรมานข้า ทุกคืนวันเพ็ญ จันทร์เต็มดวงทีไร ข้าต้องทนทุกข์กับความหนาวเย็น แม้จะมียา ก็แค่บรรเทาให้ไม่ถึงตายเท่านั้น แต่ความรู้สึกของการทรมาน มันโหดร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก ข้าตากแสงจันทร์ไม่ได้ แม้ขณะอยู่ในห้อง อยู่ใต้ผ้าห่มหนาๆ พิษเย็นยังกำเริบ นับประสาอะไร กับการเข้าใกล้ดวงจันทร์ขนาดนั้น คืนนั้น ข้ากินยาไปเกือบสิบเม็ดยังทานทนไม่ไหว ข้าหนาวเหน็บ เย็นร้าวจนถึงกระดูกสันหลัง รู้สึกเหมือนตัวเองถูกแช่แข็ง และกำลังจะกลายเป็นก้อนหิมะ ความรู้สึกในตอนนั้น มันเหมือนตกนรกจริงๆ"

         ผานจื่อเอียนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เดินมาตรงหน้าเขา บอกด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

         "ข้าทำผิดต่อท่าน ข้าไม่ควร... ถ้าข้าไม่ขึ้นไป ท่านคงไม่ต้องทรมานถึงเพียงนี้"

         "ไม่ใช่หรอก ไม่เลย ข้าไม่โทษเจ้า เจ้าจะผิดได้อย่างไร เป็นข้าสะเพร่าไม่เจียมตัว ชอบท้าทายความตาย อวดดีอยู่เสมอ ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าต้องมาลำบากด้วย"

         เขาจับมือนางไว้ นางตกใจจะดึงออก หากเขายึดไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จ้องดวงตานางแน่วนิ่ง เป็นประกายซาบซึ้ง ตื้นตัน

         "จื่อเอียน ข้าอยากขอบคุณเจ้า คืนนั้น เจ้าช่วยข้าไว้ เจ้ายอมเสียสละเกียรติ และศักดิ์ศรีของตนเอง ข้าหยางซื่อหลางทำบุญด้วยอะไร จึงได้รับความห่วงใยเพียงนี้"

         นางรีบชักมือกลับ หลบแววตาที่ทำให้สะท้านหวั่นไหว หันหลังให้ พยายามข่มใจ

         "ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องพึงกระทำ ข้าไม่อยากนึกถึงมันอีก"

         "แต่ข้าอยากบอกกับเจ้า ข้าเป็นลูกผู้ชาย และเป็นสุภาพชน เมื่อทำลงไปแล้ว ข้าก็พร้อมจะรับผิดชอบ!"

         นางหันขวับมา ร้องอย่างตกใจ

         "รับผิดชอบอะไร"

         หยางซื่อหลางเก้อเขิน บอกอ้อมแอ้มด้วยความอาย เพราะเพิ่งเคยเอ่ยปากเป็นหนแรก

         "จื่อเอียน เราอาจรู้จักกันไม่นาน แต่ข้า...เอ่อ...ข้าไม่รังเกียจที่จะผูกพันกับเจ้า"

         "ท่าน...ท่านพูดอะไร"

         ผานจื่อเอียนจ้องตะลึง ยิ่งบีบให้เขาเขิน และอายมากขึ้น

         "ถ้า...เอ่อ...ถ้าเจ้าไม่ถือสา เรา...หมั้นหมายกันไว้ก่อนได้ไหม รอจนข้าพร้อมเมื่่อใด แล้วเราค่อย..."

         "พอแล้ว! ท่านพูดไปถึงไหนกัน"

         นางกลับสะบัดหน้า หันหลังใส่ หัวใจเต้นแรงจนแทบระงับไม่อยู่ นางมิรู้ว่าตอนนี้ มีความรู้สึกอย่างไรกันแน่ เพราะมันเต็มไปด้วยความอบอุ่น วาบหวาม ดีใจ ตกใจ อึดอัด และกลัว ผสมปนเปกันจนแยกแยะไม่ออก หยางซื่อหลางงุนงงวูบ นึกว่านางเข้าใจผิด จึงเคืองขุ่น

         "ทำไมล่ะ เจ้าไม่พอใจหรือ ไม่ใช่ว่าข้าถ่วงเวลานะ เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังไม่พร้อม ข้ายังต้องช่วยท่านพ่อรบศึกเปิ่ยฮั่น เจ้าให้เวลาข้าหน่อยได้ไหม แล้วข้าจะ..."

         "หยางซื่อหลาง ท่านรู้รึเปล่า ว่าพูดอะไรออกมา"

         นางหันกลับมาจ้องหน้า ตวาดเสียงเครียด เขาตอบอย่างมึนงง

         "ก็ต้องรู้สิ ข้าหยางเอี๋ยนหลาง ล่วงเกินเจ้าไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบ นี่เป็นเรื่องที่ชายชาตรีพึงกระทำอยู่แล้ว"

         นางอ้าปากอย่างตกใจ คำพูดนั้นแทบสลายความปั่นป่วน เขินอายไปจนหมด เริ่มมีอารมณ์โกรธเข้ามาแทนที่ ผิดหวัง จนต้องร้องอย่างขุ่นเคือง

         "ใครขอให้ท่านมารับผิดชอบ!"

         หยางซื่อหลางเป็นฝ่ายอ้าปากค้างบ้าง

         "เจ้า...เจ้า...เรา...เราสัมผัสเนื้อตัวกันแล้วนะ เจ้ายังจะ...นี่เจ้าคิดจะแต่งงานกับคนอื่นรึไร"

         "ข้าบอกแล้ว ว่าแค่ช่วยชีวิตคน ท่านคิดเลยเถิดไปใย"

         ยิ่งนาน ก็ยิ่งขุ่นเคือง เพราะวาจาของเขา มิใช่สิ่งที่นางอยากฟังเลยสักนิด หากบุรุษผู้ไร้ประสบการณ์ความรัก และสตรี กลับงุนงงกับท่าทีนาง จนต้องโพล่งอย่างโง่งม

         "ช่วยชีวิตคน แต่ว่าเจ้าต้องเสียสละเกียรติของตนเอง ข้าเป็นชาย ยังรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ แล้วเจ้าเป็นหญิง ไม่คิดจะถือสาหรือ!"

         คุณหนูผานหงุดหงิดจนอยากขยี้เท้า ในความซื่อของชายหนุ่มผู้ฉลาดแต่เรื่องรบศึก

         "ถือสาก็ถือสาสิ แล้วท่านจะทำไม"

         "จื่อเอียน...!"

         "ถ้าท่านต้องการแค่รับผิดชอบ ก็ไม่จำเป็น ข้าผานจื่อเอียน ไม่ได้น่าเวทนา ถึงขั้นต้องให้ใครมาตอบแทนด้วยความสงสาร"

         "ข้าไม่ได้สงสาร ข้า...!"

         หยางซื่อหลางจะสารภาพ แต่ก็ติดอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออก จริงอยู่ เขาเกิดความรู้สึกดีๆ กับนาง ในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ใด แต่เขายังคงไม่มั่นใจ ว่ามันถูกต้องแล้วหรือไม่ หากพลั้งปากออกไป ทั้งที่ยังไม่ตรึกตรองไถ่ถามตัวเองให้แน่ อาจจะเป็นการทำร้ายนาง และตัวเองได้

         อาการนิ่งเงียบของเขา ทำให้นางเสียใจ และตีความหมายไปอีกแบบ

         "ท่านมี...แม่นางยั่วหลาน...อยู่แล้วมิใช่หรือ"

         "...ใช่..."

         "ท่านพร้อมจะลืมนาง แล้วแต่งงานกับข้าหรือ"

         "...ใช่..."

         "เพราะเหตุใดล่ะ"

         คุณชายสี่ยืดอกตอบอย่างทระนง องอาจ

         "เพราะความซื่อสัตย์ รับผิดชอบเป็นเรื่องใหญ่ และศักดิ์ศรีเกียรติยศของผู้หญิง เป็นสิ่งที่ควรรักษา สองอย่างนี้มันหนักหนายิ่งนัก ข้าหยางเอี๋ยนหลางไม่กล้าเนรคุณ!"

         นางกลับแค่นหัวร่ออย่างขมขื่น และขบขัน

         "ถ้ามีหญิงอีกคน เปลือยกายกอดท่านล่ะ ท่านมิต้องแต่งนางด้วยอีกคนหรือ!"

         "จื่อเอียน ใยเจ้าพูดเช่นนี้"

         "ข้าขอถามท่านคำเดียว ท่านรัก...ยั่วหลานหรือไม่"

         หยางซื่อหลางอึ้ง นิ่งคิด แล้วถอนหายใจ

         "นางเป็นเพื่อนสมัยเด็กของข้า จริงอยู่ ข้ามีสัญญาใจผูกพันกับนาง แต่ผ่านมาสิบสามปีแล้ว ตอนนี้นางเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ข้าก็...ตอบไม่ได้"

         ผานจื่อเอียนงงงันวูบ

         "ผู้หญิงคนนั้น...ที่บ้านพักของท่าน ไม่ใช่ยั่วหลานหรอกหรือ"

         "เจ้าหมายถึง...หลิงหลง นางเป็นจอมยุทธิ์หญิง และนางเป็นเพื่อนข้าเท่านั้น"

         คุณหนูผานแทบจะยิ้มออก ใจชื้นขึ้นอีกเป็นกอง เมื่อรู้ว่านางคนนั้น ที่ท่าทางสนิทสนมกับเขา ไม่ใช่ยั่วหลาน คนรักเก่าที่เขาเฝ้ารอคอย

         "งั้นท่านตอบมาให้ชัดเจนสิ รัก หรือ ไม่รัก"

         เขายืนอึ้งด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนถอนใจตอบเฉียบขาด

         "ไม่รัก!"

         "ไม่หรือ"

         นางถามย้ำอย่างประหลาดใจ เขาจึงหันมาอธิบายให้ฟังอย่างอึดอัด

         "ข้าไม่ได้เจอนางมาสิบสามปี ตอนสิบขวบก็เป็นแค่รักเด็กๆ จากกันนานขนาดนี้ ไม่ได้พบหน้า ไม่ได้เชื่อมสัมพันธิ์ จะรักกันได้อย่างไร"

         "แปลว่า ตอนนี้...ท่านยัง...ไม่มีใคร"

         นางถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เขาส่ายหน้า คุณหนูผานลอบถอนใจ ความทุกข์คลี่คลายได้เกือบหมดแล้ว บอกเขาอย่างฉาดฉาน

         "ก็ได้ หยางซื่อหลาง ท่านจำคำของท่านไว้ให้ดี หนี้ที่ท่านติดข้า ข้าต้องให้ท่านชดใช้แน่ แต่ยังไม่ถึงเวลา"

         "แล้วเจ้าจะเอายังไง"

         "ข้าขอให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม ลืมเรื่องในคืนนี้ซะ ข้าลาก่อน!"

         พูดจบแล้ว ก็หันหลังเดินจากไปทันที ไม่ทิ้งคำตอบใดๆ ไว้ให้กับเขาเลย หยางซื่อหลางจึงต้องตะโกนเรียกอย่างไม่เข้าใจ นางไม่หันกลับมา เดินไปอย่างสงบ แต่ปรากฏรอยยิ้มอันชื่นใจ
     

     
         แม่ทัพเจ้าเหยียนเต๋อ สังกัดกองทหารฝ่ายสนับสนุนทางเขตฝั่งเหนือ ขี่ม้า นำกำลังไพร่พลส่วนหนึ่งมาสมทบกับกองทหารหลักค่ายที่สาม แม่ทัพใหญ่ หยางเยี่ย กับบุตรชาย หยางเอี๋ยนถง ออกมาต้อนรับขบวนที่หน้าค่าย ว่ากันตามศักดิ์แล้ว แม่ทัพหยาง คือ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเหล่าทหารทุกฝ่ายในต้าซ่ง จึงมียศสูงกว่าแม่ทัพเจ้า ซึ่งเป็นเพียงผู้ดูแลกองทหารฝ่ายหนุนการศึกยามคับขันมากนัก แต่หยางเยี่ยก็หาได้หยิ่งทระนง ยโสโอหัง ถือตัวกับขุนพลชั้นผู้น้อยกว่าไม่ เขามีสัมมาคารวะ ให้เกียรติทุกคนเป็นอย่างดี จึงเป็นเสาหลักที่ไม่ว่าเหล่าทหารค่ายไหน ล้วนยกย่องนับถือ ชื่นชมบูชา และเคารพยำเกรง  
         "แม่ทัพเจ้า..."

         หยางเยี่ย กับบุตรชาย ยกมือคำนับ พร้อมกล่าวต้อนรับ เจ้าเหยียนเต๋อ กระโดดลงจากหลังม้า ยกมือคำนับกลับ 

         "คารวะ แม่ทัพหยาง"

         "ตัวท่านประจำอยู่ทิศเหนือ มิทราบมีกิจอันใดจึงยกทัพมาที่นี่"

         เขาถามอย่างมิทราบเรื่องราว แม่ทัพเจ้าจึงเฉลยด้วยเสียงกังวาน

         "องค์ฮ่องเต้มีบัญชา ให้ข้านำทหารส่วนหนึ่งมาช่วยเหลือท่าน สู้ศึกกับโจรเป่ยฮั่นอีกแรง"

         หยางเยี่ยเลิกคิ้วอย่างเหนือความคาดหมาย หยางอู่หลางถึงกับงงงัน พิศวง บิดามีขุมกำลังพรรคพร้อม ปกครองค่ายทหาร มิเคยคับขัน ถึงขั้นต้องขอความช่วยเหลือจากค่ายใด มิทราบว่าเหตุใด ฮ่องเต้ถึงต้องประทานผู้ช่วย!

         "โองการฝ่าบาทกระนั้นหรือ"

         "ใช่แล้ว ความจริง แม่ทัพหยางคุมกองทหารที่สาม ผู้คนต่างก็วางใจ เชื่อในความสามารถของท่าน เพียงแต่ฮ่องเต้ปรารถนาเผด็จศึกโดยเร็ว มิอยากให้ยืดเยื้อต่อไป และเกรงว่าท่านปกติรบพุ่งอยู่ชายแดน อาจจะทำศึกในเมืองไม่ถนัดนัก และมีความไม่สะดวกบางประการ จึงให้ข้ามาเป็นกำลังเสริม ช่วยสนับสนุน ถือว่าข้าเป็นขุนพลในสังกัดของท่านอีกคนหนึ่งก็แล้วกัน"

         เจ้าเหยียนเต๋อกล่าวอย่างนอบน้อม ด้วยถ้อยคำรื่นหู น่าฟัง พยายามปั้นสีหน้า และแววตาให้จริงใจ เพื่อตบตาเขาไม่ให้หวาดระแวง หยางเยี่ยนิ่งคิด ด้วยสีหน้าเยือกเย็น จนเขาเดาใจไม่ออก

         "แม่ทัพเจ้าถ่อมตัวไปแล้ว ข้ารู้สึกเป็นเกียรติ และยินดีจะร่วมงานกับท่านอย่างยิ่ง เชิญท่าน เข้าไปปรึกษาหารือกันในกระโจมเถิด"

         แม่ทัพเจ้าพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปก่อน หยางอู่หลางขยับปาก จะถามความข้องใจกับบิดาทันใด ตามประสาคนซื่อ แต่หยางเยี่ยยกมือ เป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งพูดสิ่งใดอันไม่ควรในตอนนี้ ให้ลอยเข้าหูแขกไม่ได้รับเชิญเด็ดขาด!
     

     
         เมื่อเข้ามาในกระโจมแล้ว ทั้งสามก็นั่งวงล้อมโต๊ะประชุมกัน

         "เรียนถามแม่ทัพหยาง ตอนนี้ ท่านมีแผนจะจัดการโจรกู้ชาติแล้วหรือไม่"

         แม่ทัพเจ้าเอ่ยถามก่อน หยางเยี่ยพยักหน้า บอกอย่างเปิดเผย

         "ตอนนี้ ข้าได้รับข้อมูล ถึงแหล่งกบดานที่พวกมันใช้เป็นฐานบัญชาการแล้ว ประชุมเหล่าขุนพลทุกค่ายเมื่อวานนี้ ตกลงว่า อีกสองวัน จะเคลื่อนทัพบุกปราบ"

         "อ้อ แล้วท่านทราบจำนวนที่แท้จริงของพวกมันหรือไม่"

         แม่ทัพใหญ่จ้องหน้าเจ้าเหยียนเต๋อ นิ่งไป ก่อนตอบขรึมๆ

         "น่าจะมีประมาณ...พันกว่าคน!"

         "พ...พันกว่าคน นี่ ท่านพูดจริง หรือล้อเล่น"

         แม่ทัพเจ้าร้องอย่างตกใจ ตาโต

         "มันเป็นข้อมูลดิบ ที่ยังไม่ได้กลั่นกรอง แต่จากที่รู้มา มีอยู่ประมาณนั้นจริงๆ"

         "นี่เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยนะ แม่ทัพหยาง"

         "ถูกแล้ว ถ้าเป็นที่ชายแดน ถือว่าน้อยมาก แต่เมื่อเป็นในเมือง ก็ต้องถือว่าเยอะจนน่าตกใจ เท่าที่สืบมา ยามนี้ พวกโจรกระจุกตัวอยู่ในสามเมืองใหญ่ คือ เปี้ยนจิง ไคซู และหงเหอ พวกเขามีหัวหน้าหลัก คอยบัญชาการในแค่ละค่าย แต่ที่เปี้ยนจิง คือ กองบัญชาการใหญ่สุด"

         "อย่างนี้ก็อันตรายมากนะ"

         "ข้าเข้าใจความเป็นห่วงของท่าน ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน กองโจรกู้ชาติมีจำนวนมาก ทั้งคนมาก และฝีมือดี การลอบฆ่าท่านอ๋องเฉา และบุกก่อกวนค่ายที่สามได้ถึงสองครั้ง ถือเป็นการประกาศศักดาที่น่ากลัว พวกเขาแข็งแกร่ง และอหังการ ถ้าจะยกทัพปราบ กระทำในเมืองใหญ่ทั้งสามแห่ง โดยเฉพาะที่เมืองหลวง จะต้องเกิดความวุ่นวาย โกลาหล อลหม่านใหญ่หลวงแน่ ประชาชนอาจโดนลูกหลง หรือถูกจับเป็นเหยื่อมาข่มขู่ และบีบบังคับเราได้"

         "การอพยพประชาชนก็คงทำมิได้ เพราะจะทำให้พวกโจรรู้ตัว อาจทำร้ายราษฏร์อีก"

         "ดังนั้น มีอยู่ทางเดียว คือ ต้องปราบ โดยไม่ให้เกิดสงคราม!"

         หยางเยี่ยบอกเสียงเข้ม เจ้าเหยียนเต๋ออึ้ง โพล่งอย่างพิศวง

         "ปราบ โดยไม่มีสงคราม ทำอย่างไร"

         "บุกตีเงียบเชียบ จับอย่างรัดกุม ควบคุมอย่างสงบ ต้องเร็วและเด็ดขาด ไม่ให้โอกาสพวกเขาทันกระดิกตัว!"

         "แต่ว่า คนมาก จัดการไม่ได้ง่ายๆ"

         "ถูกต้อง หากบุกจับพวกโจรในเปี้ยนจิง พวกของมันที่เมืองอื่น ก็จะรวมตัวกันก่อจราจล และพากันแห่เข้ามาในเมืองหลวง เพื่อทำการช่วยเหลือ ข้าได้เตรียมการในขั้นนี้ไว้แล้ว ขุนพลคนอื่นๆ จะคอยตัดกำลัง และเผด็จศึกพวกลิ่วล้อนอกกำแพงเมืองก่อน ไม่ให้เข้าไปสมทบกับกลุ่มหัวหน้าได้ ส่วนข้า และท่าน มีหน้าที่จับกุมผู้บัญชาการหลักที่อยู่ข้างใน หากทำสำเร็จ จะไม่เกิดสงคราม หากจับผู้นำได้ เราจะถือไพ่เหนือกว่า และมีโอกาสชนะโดยไม่ต้องนองเลือด"

         หยางเยี่ยบอกแผนอย่างเยือกเย็น สุขุม เจ้าเหยียนเต๋อ คิดตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

         "แล้วท่านทราบ ตัวผู้นำของมันหรือไม่ ว่าเป็นใคร"

         "นางโจรสาวที่บุกค่ายแห่งนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในระดับผู้นำที่สำคัญ แต่ข้าคิดว่า เบื้องหลังของนาง ยังมีคนสำคัญกว่า นั่งอยู่หลังฉาก คอยบงการเงียบๆ ข้าไม่ทราบว่ามันเป็นใคร และอยู่ที่ใด แต่ก็มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือส่งมาว่า พวกเขาต่างอยู่ที่เปี้ยนจิง"

         "ข้าก็คิดว่า ตัวการใหญ่น่าจะอยู่เมืองหลวงเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เรากำหนดเปิดศึกที่เปี้ยนจิง เป้าหมาย คือ จับตัวหัวหน้าให้ได้ เพื่อกดดันให้พรรคพวกทั้งหลายยอมแพ้"

         แม่ทัพเจ้าย้ำแผนการเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง หยางเยี่ยพยักหน้า

         "ตกลงตามนั้น"

         "งั้นดี ข้าขอตัวกลับไปประจำที่ค่ายพักสำรองก่อนเพื่อเตรียมตัว ไว้ท่านแม่ทัพมีคำสั่งเมื่อใด จะเคลื่อนพลมาสมทบทันที"

         เจ้าเหยียนเต๋อ ลุกขึ้นยืน คำนับ กล่าวสนับสนุนอย่างห้าวหาญ หยางเยี่ยผายมืออย่างเกรงใจ

         "รบกวนท่านแล้ว"

         "ข้าขอตัวก่อน..."

         เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญออกจากกระโจมไป หยางอู่หลางจึงได้เวลาถามสิ่งค้างคาใจ

         "ท่านแม่ทัพ ทำไมฮ่องเต้ต้องส่งแม่ทัพเจ้ามาช่วยเราด้วย"

         "อืม...เพราะไม่มั่นใจในกองทหารที่สามล่ะมั้ง"

         หยางเยี่ยตอบปัดๆ ไป ทั้งที่ใจมิได้เห็นเป็นเช่นนั้น หากไม่ต้องการให้ลูกวุ่นวายมากความ จึงไม่ตอบตามที่ใจคิด หยางเอี๋ยนถงก็ซื่อเกินกว่าจะทันเฉลียวนึกเองได้

         "จริงสิ ท่านแม่ทัพ สายสืบที่เราส่งไปในเมืองหลวง ไม่เคยสืบอะไรได้เลย แล้วทำไม ท่านถึงรู้เรื่องราวมากมายเพียงนี้เล่าครับ"

         ถามข้อข้องใจอีกข้อ บิดามีรอยยิ้มประหลาด

         "เพราะข้ามีสายสืบชั้นดี ผู้ลึกลับอยู่อีกคนน่ะสิ!"

         "หา สายสืบผู้ลึกลับเหรอ ใครกัน"

         "เจ้าไม่ต้องรู้หรอก ไปเตรียมทหารให้พร้อมเถอะ ไป"

         บุตรชายรับคำอย่างมิยินยอมนัก แต่ก็ไม่กล้าทวงถามมากความ หยางเยี่ยเดินมานั่งบนโต๊ะ หยิบจดหมาย ที่มีข้อมูลของโจรเป่ยฮั่นมากมายมาอ่านอีกครั้ง ด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง
     

     
         ที่ค่ายบัญชาการลับของหัวหน้าโจร หวังหงหมิน ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกทางทิศตะวันตกเมืองเปี้ยนจิง สายสืบควบม้าเร็วเข้ามา แล้วส่งสาสน์ถึงมือรองหัวหน้าใหญ่ หวังหงเยี่ย นางยืนอยู่บนโขดหิน เปิดอ่าน พร้อมกับสุ่ยหลง ทหารเอก

         "ว่าอย่างไร หงเยี่ย"

         สหายคนสนิทถาม นางปิดจดหมายแล้วบอกเสียงเรียบขรึม

         "ข้าบอกแล้ว ว่าหยางเอี๋ยนหลางเป็นศัตรูตัวฉกาจของเรา สายของหยางเยี่ยสืบอะไรไม่ได้เลย ตอนนี้กลับจะยกทัพมาปราบเราได้อย่างรู้จุดแม่นยำ แถมทราบจำนวน และที่อยู่ที่แน่นอน ของค่ายอื่นๆ อีกด้วย พวกเขารู้ได้อย่างไร ถ้ามิใช่เพราะหยางเอี๋ยนหลางเป็นคนส่งข่าว"

         "หยางเยี่ยจะยกทัพมาปราบเรา!"

         สุ่ยหลงร้องอย่างตกใจ นางหันมาตวาด

         "กลัวอะไร ที่นี่เป็นยิ่งกว่าถ้ำเสืออย่างจวนเทียนปอ และวังมังกรของฮ่องเต้ซะอีก ใครก็ทำลายจุดยุทธศาสตร์ของที่นี่ไม่ได้"

         "แต่หยางเยี่ยยกทัพมาเอง ประมาทไม่ได้เด็ดขาด"

         "เจ้าเห็นว่าข้า...กำลังประมาทหรือไร!"

         นางถามเสียงเข้ม แววตานั้นหาได้หวาดหวั่นพรั่นพรึง กับข่าวที่ได้รับไม่ กลับมีรอยยิ้มประหลาด น่ากลัวผุดขึ้นมา สุ่ยหลงพิศวงนัก

         "ข้าไม่เข้าใจเลย หงเยี่ย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ แล้วเจ้ารู้ข่าวนี้ได้อย่างไร"

         "สายสืบของข้าในกองทหารที่สาม หาได้มีแค่คนเดียวไม่!"

         "เจ้ายังวางสายไว้ในกองทัพหยางเยี่ยอยู่อีกหรือ หงเยี่ย หัวหน้าใหญ่ สั่งให้เจ้าถอนสายสืบออกมาแล้วนะ"

         "ไม่จำเป็น เจ้าไม่รู้หรือ หยางเยี่ยบัญชาทัพเอง ไม่เหมือนเฉาเหยินฟั่น ถ้าไม่วางสายไว้ เขาเดินหมากอย่างไร เราจะรู้ได้ยาก ต้องมีคนใน คอยดักฟังและรายงาน ความเคลื่อนไหวของพวกมันทุกฝีก้าว เราถึงจะชนะ"

         "แต่ถ้าถูกหยางเยี่ยจับได้"

         "ทุกคนพร้อมฆ่าตัวตาย พลีชีพเพื่อแผนการกู้ชาติ! อีกอย่าง สายไม่ได้มีคนเดียว ต่อให้หยางเยี่ยจับได้ ก็จับไม่ได้ทั้งหมดหรอก"

         "กลับไปประชุมกับหัวหน้าใหญ่ รับมือกองทัพพวกมันเถอะ"

         "ข้ามีแผนเด็ดจะเสนออยู่แล้ว งานนี้สนุกแน่นอน"

         นางโจรสาวยิ้มอย่างเร้นลับ
     

     
         หยางซื่อหลางนั่งนิ่งบนหลังม้าที่เนินเขา ดวงตาครุ่นคิด ขณะมองบริเวณช่องเขาลาดชัน และคับแคบเบื้องล่างอย่างพิจารณา จิ้งจงเหยาะม้ามาเคียงข้าง

         "คุณชาย ท่านมาดูที่นี่บ่อยๆ คิดอะไรออกหรือครับ"

         นายน้อยสี่ส่ายหน้าขรึมๆ

         "เปล่า ข้าเพียงเห็นว่า ชัยภูมิที่นี่สำคัญมาก ใครก็ตามที่ใช้เส้นทางนี้สัญจร หากมีคนร้ายลอบแฝงกาย ดักซุ่มอยู่บริเวณเนินเขาที่รกทึบไปด้วยต้นไม้ แล้วบุกตีลงไป หรือกลิ้งหินใหญ่ๆ ตกลงมา น่ากลัวคนด้านล่างจะพินาศย่อยยับกันหมดแน่"

         ทหารเอกหันมองซ้ายขวา สำรวจบ้างอย่างสนใจ ก่อนพยักหน้า

         "เป็นพื้นที่ที่น่าหวาดเสียวจริงๆ เหมาะแก่การทำศึกอยู่มิน้อย"

         ได้ยินคำว่า "ทำศึก" หยางซื่อหลางก็ชะงัก ขมวดคิ้วคิด หันมองซ้ายขวาอย่างสำเหนียกบางอย่าง จิ้งจงคอยสังเกตอาการเขา ถามมาอีก

         "หือ คุณชาย คิดอะไรออกอีกหรือครับ"

         "อ่า ข้าเพิ่งนึกมาได้ ที่จริงมันก็ติดอยู่ในใจมานานแล้ว คำพูดของเจ้า ทำให้คลี่คลายขึ้นมา เจ้าดูสิ! ช่องเขานี้น่ะ อยู่ตรงกลาง ขวางไว้ระหว่างหุบเขาเหมยซี แหล่งกบดานใหญ่ของพวกโจร กับค่ายทหารที่สามของท่านพ่อเลยนะ"

         "จริงด้วย ถ้าใช้เส้นทางสายนี้ จะเชื่อมต่อถึงกันโดยตรง ไม่ต้องอ้อมป่าไปอีกด้าน"

         "อีกสองวัน ท่านพ่อจะยกทัพมาปราบ เจ้าคิดว่า ท่านพ่อจะใช้เส้นทางไหน"

         "ต้องไม่ใช้เส้นทางนี้แน่นอน อันตรายยิ่งนัก"

         นายน้อยสี่พยักหน้า พร้อมหัวเราะประหลาด

         "ฮ่ะ ฮ่ะ ใช่เลย อันตรายเกินไป และข้าก็สะเพร่าควรตายจริงๆ ด้วย!"

         "อ้าว ทำไมหรือครับ คุณชาย"

         ทหารเอกงุนงงวูบ หยางซื่อหลางส่ายหน้าอย่างเคืองตนเอง

         "ก็ข้าเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้ ไม่ได้เขียนบอกท่านพ่อไป ท่านจะทราบได้อย่างไรว่า ทางทัพผ่านจะมีช่องเขาลึกลับนี้อยู่ด้วย ขืนท่านพ่อยกทัพมาโดยมิทันสำรวจ ถูกพวกโจรซุ่มโจมตี ข้าหยางซื่อหลาง มิกลายเป็นคนทำลายกองทัพซ่ง ให้พินาศด้วยมือตัวเองหรือ"

         จิ้งจงถึงกับอึ้ง มองสีหน้าแค้นเคืองตัวเองของนายน้อย แล้วได้แต่ยิ้มฝืนๆ

         "คุณชาย ท่านทุ่มเทเพื่อท่านแม่ทัพมามากแล้ว ทั้งเป็นสายสืบด้วยตัวเอง ทั้งเขียนจดหมายเอง ทั้งเสนอแผนด้วยตัวเอง ท่านเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ปัญหานั้นรอบด้าน จุกจิกเกินไป ท่านคนเดียวมิอาจครอบคลุมจัดการไหว ก็อย่าได้โทษตนเองนัก"

         หยางซื่อหลางถอนใจ เข้าใจความเป็นห่วงของทหารเอก

         "แต่เรื่องแบบนี้จะพลาดไม่ได้ เรื่องชัยภูมิ ภูมิประเทศ ในการรบ ถ้าพลาดอาจถึงตายทีเดียวนะ"

         "ข้าแค่ไม่อยากให้คุณชาย เคี่ยวกรำตัวเองมากไป ท่านต้องรักษาสุขภาพด้วย หลายวันมานี้ท่านเหนื่อยมาก การเขียนจดหมาย ท่านทำทั้งคืนแทบไม่ได้นอน นอกจากต้องใช้ความคิด ลายมือยังต้องบรรจงให้เป็นอีกแบบ แถมกลางวันยังต้องฝึกทหาร และออกสืบข่าวพวกโจร ข้าเกรงคุณชายพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะรับไม่ไหว"

         "ขอบใจที่เป็นห่วง แต่สำหรับลูกหลานตระกูลหยางแล้ว แค่นี้ ยังนับว่าเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับ ภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของพวกพี่ใหญ่ที่ชายแดน"

         ประโยคหลัง เขาเอ่ยซึมๆ แล้วถอนหายใจ เหม่อลอย

         ความโหยหาที่จะได้ไปที่นั่น...ค่ายทหารชายแดน...ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมรบอยู่ข้างพี่ใหญ่...พี่สอง...พี่สาม มันช่างเป็นความหวังที่เลือนลางนัก และเป็นสิ่งที่เขา คงทำได้เพียงฝันเท่านั้นในชีวิตนี้

         "อาหลาง...อาหลาง..."

         สุ่ยหลิงหลง นางโจรโฉมสะคราญชุดเขียว ควบม้าเร็วเข้ามา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เขาคุ้นเคยกับนาง จนไม่ถือสาที่นางเข้ามาในค่ายบ่อยๆ แล้ว ยังไม่ทันถึง นางก็ร้อง โบกไม้โบกมือ

         "อาหลาง...ข้ามารับแล้ว"

         "จะทำอะไรอีก หลิงหลง"

         เขาถามยิ้มๆ อย่างขันๆ เมื่อนางหยุดม้าลงเคียงข้าง แล้วบอกเขาเสียงกังวาน

         "ไปงานชุมนุมบู๊ลิ้มกัน!"

         นายน้อยสี่หันมองหน้าทหารเอก แล้วต่างก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน กำลังนึกอยู่ว่า จะทำอะไรเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด ก่อนงานใหญ่จะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า สหายสาวผู้นี้ ก็หยิบยื่นความบันเทิงมาทันท่วงที พวกเขาจึงมิปฏิเสธแต่อย่างใด
     

     
         "เรียนท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านคนหนึ่งนำจดหมายมามอบให้ท่านครับ"

         ทหารยามหน้าค่าย ถือสาสน์นำมาส่งให้กับหยางเยี่ย ที่นั่งอยู่ในกระโจม เขารับมาแล้วเปิดอ่าน พบว่าเป็นรูปวาดช่องเขาจี่ซันที่ค่อนข้างละเอียด และลงสีชัดเจนทีเดียว มีกำกับข้อความไว้เล็กน้อย ถึงความสำคัญของพื้นที่ และความเกี่ยวโยงของหุบเขาเหมยซี กับค่ายที่สาม

         หยางเยี่ยปิดจดหมาย แล้วยิ้มเล็กน้อยอย่างมีเลศนัย
     
    © themy�butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×