ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บัลลังก์ไพร [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #4 : คณะท่องป่าโศก

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 61




    หลังจากตกลงราคากันจนเป็นที่น่าพอใจ นายหญิงแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์ อนุญาตให้ชาวเมืองทั้งสองกลุ่ม ร่วมเดินทางไปพร้อมกัน

    ทีมของอิษฎา มีเป้าหมาย คือ หาตัวน้องสาว ทีมของฉัตรทิพย์ มีเป้าหมาย คือ หาตัว (อะไรสักอย่าง) ที่ทำให้พี่ชายตาย เพราะจุดประสงค์แตกต่าง ซ้ำเป็นอริเก่าก่อน เดิมที ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะร่วมขบวนเดียวกัน แต่ลั่นทมยื่นคำขาด หากไปพร้อมกันไม่ได้ กลุ่มหนึ่งก็แยกกันไปเอง โดยจะไม่มีพรานนำทางให้ 

    "...ป่าโศก เป็นป่าที่ใหญ่และลึกลับที่สุดในเอเซียอาคเนย์ แม้แต่นักผจญภัยระดับโลก ก็ยังสำรวจไม่ทั่วถึง ถ้าคิดว่าสามารถลุยที่นั่นได้โดยไม่มีพรานนำทางก็เชิญ แต่บอกไว้ก่อน หนึ่งเดือนมานี้ มีนักท่องเที่ยวตายปริศนาสิบเอ็ดรายในป่าลึกแห่งนั้น หนึ่งในนั้น ก็คือ พี่ชายของคุณ..." 

    สองผู้ยิ่งใหญ่เกิดมาไม่เคยถูกข่ม แต่ต้องยอมอ่อนข้อให้นายหญิงแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์ ด้วยชื่อเสียงลึกลับสลับซับซ้อน และน่าเกรงกลัวของป่า รวมถึง "สิ่งเร้นลับ" บางอย่าง ที่ออกคร่าชีวิตนักเดินป่าในยามนี้ ผู้การฉัตรทิพย์ไม่เสี่ยงพาลูกน้องวัดดวงเพียงลำพัง 

    การเดินทางจึงเริ่มต้นขึ้น... ถึงกระนั้น สัญญาณไม่ดีก็มีตั้งแต่ช่วงเตรียมหีบห่อสัมภาระ กลุ่มทหารอยู่ซ้าย กลุ่มตำรวจอยู่ขวา แยกกันจัดข้าวของเครื่องใช้ของตัวเอง แบ่งแยกอาณาเขตชัดเจน ไม่มีสุงสิง ไปมาหาสู่กัน

    ลั่นทมเดินสำรวจ มาหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย หันมองทางซ้ายลูกทีมกลุ่มอิษฎา กำลังขนเครื่องยังชีพลงหีบเหล็ก เห็นคร่าวๆ คือ ปืนไรเฟิล ลูกกระสุน เชือก อุปกรณ์สำคัญในการเดินป่า อาทิ ไฟฉาย เข็มทิศ กล้องส่องทางไกล เครื่องเวชภัณฑ์ มองขวา กลุ่มฉัตรทิพย์เน้นอาวุธยุทโธปกรณ์หนัก ส่วนใหญ่เป็นปืนยาวสารพัดแบบ แถมลูกระเบิดหลายขนาด! 

    "แผนที่ป่าโศกนี้ ระบุจุดสำคัญๆ ซึ่งเป็นทางหลักที่ใช้ผ่าน ตำแหน่งสีเขียวหมายถึงจุดพักแรม หรือ สถานที่ปลอดภัย ตำแหน่งสีแดง คือ สถานที่อันตราย ที่เราควรหลบเลี่ยง การเดินทางจะใช้แผนที่จำลอง ซึ่งฉันและพรานกระทิงมีอยู่คนละฉบับ จุดหมายแรกของเรา คือ ผาสีไม้ สถานที่ท่องเที่ยว เรียกว่าประตูทางเข้าสู่ป่าโศกชั้นแรก ระยะทางแปดไมล์ถึง คลองน้ำเขียว คือ จุดค้างแรมคืนแรกของพวกเรา เราจะวางแผนการเดินทางขั้นต่อไปที่นั่น" 

    ลั่นทมสรุปแผนการอย่างคร่าวๆ ให้กับเหล่าคณะเดินทางทั้งสองกลุ่ม สิบเอ็ดคนมองแผนที่อันใหญ่โตบนผนังด้านหลังของหล่อน เส้นสายลวดลายที่คดเคี้ยวราวกับเขาวงกตนั้น ชวนวิตกกังวลเล็กน้อย

    อิษฎาขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนชี้นิ้วลงไป

    "ทำไมสองแห่งนี้ ถึงไม่มีชื่อกำกับไว้ มีแต่หมุดสีแดง?" 

    พรานกระทิงกลืนน้ำลายอึก ลั่นทมนิ่งไปวูบ ก่อนตอบเรียบๆ โดยไม่หันมา 

    "มันเป็นเขตที่ไม่เคยมีใครไปถึง ไม่เคยมีบุคคลล่วงล้ำ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริง"

    หลังจากซักซ้อมทำความเข้าใจเบื้องต้นแล้ว ลั่นทมปล่อยทุกคนเดินออกไป ก่อนจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับมือผู้ใหญ่บ้านที่เดินเข้ามา

    "คุณลั่นทม น...นี่มัน..." บุญศรี ผู้ใหญ่บ้านอายุเจ็ดสิบแปดปีแล้ว มองจดหมายในมือ สลับกับวีรสตรีผู้เป็นที่พึ่งพาของหมู่บ้านไพรพฤกษ์มาโดยตลอด ราวกับรับรู้ถึงการจากลาที่แสนยาวไกล

    "ถ้าลูกสาวฉันกลับมา บอกเขาว่าไม่ต้องออกตามหา ฉันไปทำหน้าที่... ฉันมอบหมายงานให้พรานต่ายกับลุงอินไว้แล้ว เขาสองคนจะช่วยกันรักษาหมู่บ้านตอนที่ฉันไม่อยู่ ถนอมร่างกาย และฝากดูแล ทัตติยา... ลูกสาวของฉันด้วย" 



    12.03 นาฬิกา คณะเดินทางสู่ป่าโศก เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากหมู่บ้านไพรพฤกษ์

    สิบสามชีวิตประกอบด้วย ลั่นทม กระทิง (พรานนำทาง) กลุ่มทหารมี อิษฎา สบชัย ผู้ติดตาม คือ จ่าสิบเอก ศราวุธ จ่าสิบเอก พัชร จ่าสิบโท สมนึก จ่าสิบโท (หญิง) สาวิตรี กลุ่มตำรวจมี ผู้การฉัตรทิพย์ ผู้ติดตาม คือ ดาบตำรวจ ธงชัย ดาบตำรวจ สุธี สิบเอก วัลลภ สิบตรี (หญิง) วรมาศ 

    กลุ่มคนเมืองทั้งหมด พกพาอาวุธปืนสั้นในรังซองข้างเอว...

    นายหญิงแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์เปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากสาวบ้านป่า เป็นชุดที่ทะมัดทะแมง รัดกุมขึ้น ถือไม้ไผ่ยาวในมือ สะพายกระเป๋า ส่วนพรานกระทิง สะพายย่ามพาดลำตัว เป้หลังอีกหนึ่งใบ มีคันธนูยื่นออกมา และสะพายปืนไรเฟิลคล้องไหล่ ทั้งสองไม่มีสัมภาระมากมายเหมือนเหล่าคนเมือง ที่ขนกันมาเป็นหีบ เป็นลัง ต้องใช้ผู้ติดตามทั้งแปดคนจับคู่แบกหามกันไป 

    บนเส้นทางที่มีฉากข้างเป็นทิวเขาสลับป่าโปร่ง บังเกิดทัศนียภาพที่สวยงาม ตามหลัก ด้วยสภาพผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์เต็มที่ สมควรจะให้ความร่มรื่น แต่เพราะเป็นยามเที่ยง แสงอาทิตย์เคลื่อยคล้อยไล่ทับเงา แดดระอุจึงแผดเผาใบหน้า ลำคอ จนแสบร้อน แม้ทั้งหมดสวมเสื้อแขนยาว แจ็คเก็ต และกางเกงผ้าหนา แต่อุณหภูมิที่ร้อนแรง อบอ้าว ดุจดั่งจะแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าเข้าไปได้ 

    "อาทิตย์ตั้งฉาก..." สบชัยตาหลุบมองพื้นแล้วพึมพำ คนอื่นก้มมองดู พบปรากฏการณ์เงาตกใต้เท้าพอดี 

    "เขาบอกว่าช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉาก อุณหภูมิจะร้อนที่สุด" อิษฎาเปรยลอยๆ 

    "ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย เช่น ปริมาณฝน เมฆ อิทธิพลมรสุม ความร้อนสะสมในชั้นบรรยากาศ... ป่าโศกร้างฝนมานานนับเดือนแล้ว หลังจากพายุเข้าเที่ยวล่าสุด แต่วันนี้ ไม่ใช่วันที่ร้อนที่สุด" 

    ลั่นทมบอก ก่อนขยับก้าวยาวขึ้น ผละจากกลุ่มมานำหน้า เดินดุ่มๆ ไปกับพรานกระทิงสองคน ก่อนทิ้งระยะห่าง เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้ชาวคณะเร่งฝีเท้าไวขึ้น ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้านอะไร เพราะอยากหนีจากความร้อนในพื้นที่โล่งแจ้งนี้โดยเร็ว

    เพียงหกร้อยเมตรก็หลุดจากป่าโปร่ง ทั้งขบวนต้องปีนลงเนินเล็กๆ เข้าสู่พื้นที่ราบต่ำ จากพื้นแข็งเปลี่ยนเป็นดินทรายอ่อนนุ่ม ต้นไผ่เปลี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่หลากหลายสายพันธุ์ ตั้งตระหง่านทอดยาวริมสองด้าน เว้นช่วงกลางไว้เป็นทางเดินที่ไม่แคบมาก ใบไม้ใหญ่และเถาวัลย์แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาปกคลุม เหมือนเป็นหลังคาขนาดย่อมช่วยกรองแสงยูวีให้เบาบาง แสงแดดพอลอดทะลุส่องลงมาเป็นจุดๆ 

    "เอ้อ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย" พัชรเอ่ยเสียงร่าเริง กระทิงหันมามองแล้วยิ้ม 

    เมื่อสภาพแวดล้อมอบอุ่น ร่มรื่นขึ้น ชาวคณะจึงได้มีอารมณ์มองสำรวจบริเวณโดยรอบ นอกจากดอกไม้สีสันสวยงามที่ส่งกลิ่นหอมตลอดทางแล้ว ที่นี่ ยังชุมไปด้วยนก ลิง และไก่ป่า เป็นธรรมชาติแท้ๆ ที่ปราศจากสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อน ชาวกรุงรู้สึกเหมือนหลุดมาอยู่ในโลกอีกใบ แม้หลายคนจะเคยผ่านหลักสูตรวิชาชีพในป่า คุ้นเคยกับป่าอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ใช้เป็นพื้นที่ฝึกยุทธวิธีการรบ และแฝงตัว ไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัส ชื่นชม หรือเก็บรายละเอียด เสน่ห์ที่ซ่อนเร้นของป่าดงพงไพร

    "สวยจัง" สาวิตรีถูกรุมล้อมด้วยฝูงผีเสื้อ ส่วนศราวุธหยอกล้อเล่นกับลิง เหล่าสมุนของสองผู้ยิ่งใหญ่คล้ายจะถูกความหฤหรรษ์ของป่าละลายพฤติกรรมทีละน้อย กระทิงยิ้มโล่งอก เพราะสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนอยู่ในหมู่บ้าน แต่ละคนวางท่าเคร่งขรึม นิ่งราวกับหุ่นยนต์ พอเห็นอย่างนี้ ค่อยรู้สึกเบาใจหน่อย

    "ไง พี่ชาย หาบของหนักอยู่ได้ วางลงแล้วไปเล่นกับลิงไหม ไม่ดุ ไม่กัดนะ จับได้ตามสบาย" 

    กระทิงพาร่างที่มีลูกลิงตัวน้อยเกาะไหล่ เล่นหัว เดินมาตบบ่าธงชัย บอกยิ้มๆ ดาบตำรวจหนุ่มสนใจ ทำท่าจะปลดไม้หาบ แต่ผู้การฉัตรทิพย์เหลือบมองมา "เอ่อ ไม่ล่ะ" ธงชัยทำท่าเกรงๆ แล้วเดินสวนตัวไป

    "เราจะพักทานข้าวกันที่ผาสีไม้ ทุกคนทำเวลาหน่อย" ลั่นทมร้องบอก




    ผาสีไม้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของป่าโศก เพราะเป็นผาหินที่เกิดตามธรรมชาติ ผ่านการชะล้างกัดเซาะของแดดลมฝนและแร่ธาตุมายาวนานแบบไม่รู้วันเวลา ก่อเกิดเป็นหน้าผาสูงชัน ที่มีลวดลายวิจิตรแปลกตา หลากสีสันถึงเจ็ดแปดสี พื้นผาเรียบนั้นราวกับระบายด้วยสีไม้อ่อนๆ เป็นเส้นตรงยาวตลอดแนว บวกกับบริเวณโดยรอบเป็นพื้นหญ้าเขียวขจี มีโขดหินวางระเกะระกะเป็นเก้าอี้ ห่างออกไปหน่อยเป็นเนินเขาหัวโล้นขนาดย่อม สามารถปีนป่ายขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้ ลึกเข้าไปทางซ้าย คือ ต้นไม้เขียวชอุ่ม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นอกจากใช้เป็นจุดพักผ่อน ยังนิยมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก  

    ถึงจุดหมายแรกบ่ายสองโมงตรงพอดี เหล่าลูกน้องที่ทำหน้าที่เหมือนลูกหาบปลดวางหีบของลงอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่พวกเขาทำทันทีตามสัญชาตญาณและหน้าที่ คือ สร้างที่พัก

    "ไม่จำเป็นต้องกางเต็นท์ เราจะค้างแรมกันที่คลองน้ำเขียว"

    ลั่นทมเดินมาบอก ทั้งแปดคนชะงัก งุนงง

    "จะให้นั่งกินข้าวกลางแดดเหรอ" สุธีถามห้าวๆ 

    "เห็นต้นไม้ใหญ่โน่นไหม?" พรานหญิงชี้มือไปทางเขาหัวโล้น แล้วเดินไป

    "ใครอยากจะนั่งกินกลางแดดก็ตามใจนะ หึ หึ" กระทิงกระดกไหล่ พูดยิ้มๆ เชิงขัน แล้วเดินตามแม่บุญธรรมไป พวกที่เหลือยืนมองตาปริบๆ 

    ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตีนเขาหัวล้าน เป็นที่หลบกำบังแดดชั้นดีเยี่ยม เพียงแต่ต้องนั่งล้อมวงบนพื้น เพราะอาณาเขตค่อนข้างเล็ก สำหรับคณะใหญ่ที่มากันถึงสิบสามชีวิตนั้น ที่นั่งพอเบียดชิดกันแบบไม่คับแคบนัก แต่เมื่อลั่นทม และกระทิง ทรุดนั่งลงแล้ว พวกเขาก็มองเห็นปัญหาชัดเจน หลังจากตงิดใจมาตลอดทาง

    กลุ่มตำรวจ และกลุ่มทหาร ยืนจับกลุ่มแบ่งข้าง สบตากันนิ่ง 

    "เชิญ ผู้การ นั่งก่อน" วรมาศผายมือบอก

    "ผู้พันของเรามาก่อน ควรเป็นฝ่ายนั่งก่อน" สาวิตรีแย้งทันควัน

    "ผู้พันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ ตำแหน่งผู้การใหญ่สุด เรียงลำดับขั้นไม่เป็นรึไง" สุธีว่า

    "ผู้การแล้วไง ที่นี่ในป่า ไม่ใช่ในเมือง ยศไม่สำคัญ" สมนึกตอบโต้

    "แต่ผู้การเป็นหัวหน้าคณะในการเดินทางครั้งนี้นะ" วัลลภข่ม

    "เราไม่ได้ติดตามเขา พวกเรารับใช้หัวหน้าของเรา" พัชรเถียง

    ลั่นทมลุกพรวด แล้วก้าวฉับๆ จากมา ท่ามกลางสายตาของทุกคน

    "อ้าว แม่ รอเดี๋ยวสิ แม่..." กระทิงเลยตามไปด้วย

    พรานหญิงแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์มายืนกอดอก ถอนหายใจ อยู่ริมผาสีไม้ แหงนหน้ามองเหม่อ บุตรชายบุญธรรมเดินเข้ามาพร้อมเสียงบ่นปอดแปด 

    "โธ่ แม่... ดูคนพวกนี้สิ เจ้ายศเจ้าอย่าง ถือพรรคถือพวก อะไรของเขานักหนา ใหญ่ในเมืองไม่พอเหรอ มากร่างในป่าได้อะไร จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลย นี่พวกเขารู้บ้างรึเปล่า ว่ากำลังลุยป่าที่อันตรายที่สุดในโลกอยู่น่ะ ทำยังกะเล่นการเมือง แย่งชิงเก้าอี้ แย่งชิงที่นั่ง ปะโธ่เอ๊ย มีที่ให้หลบแดดก็บุญแล้ว จะบ้าตาย ขืนเดินไกลกว่านี้ ไม่ยิงกันตายห่า ก็โรคประสาทถามหาแน่" 

    กระทิงระบายความในใจหมดเปลือก หลังอึดอัดจากการร่วมเดินทางกับชาวคณะที่แบ่งกลุ่มกันชัดเจน ทำให้บรรยากาศอึมครึม ตึงเครียดไปหมด

    "กระทิง..." ลั่นทมกลับมีแววตาลึกซึ้งต่างออกไป "...คิดถึงทัตติยาไหม"

    เอียงหน้ามาถามอ่อนโยน แววตาอันโศกซึ้ง รวมถึง "ชื่อ" นั้น ทำเขาสะอึกวูบ อาการขุ่นเคืองสลายโดยพลัน ถอนหายใจ

    "ถามอะไรอย่างนั้นล่ะครับ ผมต้องคิดถึงน้องทิพย์อยู่แล้ว ไม่เจอหน้าสองปี ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง" 

    "เขาไปท่องโลกเพื่อหาประสบการณ์ ป่านนี้ ตัวเขาคงคิดได้แล้วว่า ควรเลือกเดินเส้นทางไหน" น้ำเสียงเศร้าๆ ของลั่นทม แฝงความชื่นชมและห่วงใย

    "ถ้ามีโอกาสได้กลับบ้าน ผมจะออกตามหาเขา!"

    กระทิงหลุดปากเด็ดเดี่ยว ออกจากส่วนลึกในใจ

    ลั่นทมมองหน้าอย่างทึ่ง "รู้หรือว่าเขาอยู่ที่ไหน"

    "ไม่รู้ แต่ผมจะสู้จนหยดสุดท้าย ถ้าไม่เจอ ผมก็จะเอาอย่างเขา ผจญภัยด้วยการปั่นจักรยานเที่ยวรอบโลก ค่ำไหนนอนนั่น ทุกแห่งก็เหมือนบ้าน" 

    ...ค่ำไหนนอนนั่น ทุกแห่งก็เหมือนบ้าน แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ หนูเอาตัวรอดได้...
    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×