ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สองผู้ยิ่งใหญ่
กระทิงเพ่งมองรูปและอิษฎาสลับกัน พลันกระตุกคิ้ว ...เป็นพี่น้องกัน แต่หน้าตาไหงไปคนละทางเลยหว่า...!
ระหว่างดูรูป นายหญิงลั่นทมก็กล่าวพลาง
"ป่าโศกไม่ใช่ป่าเปิด... จริงอยู่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่การจะเข้าไปในนั้น ต้องได้รับความเห็นชอบจากฉันก่อน คนที่ไม่เหมาะสม เช่นว่า ยังไม่บรรลุนิติภาวะ สตรีที่อ่อนแอ คนพิการ หรือ ติดเงื่อนไขบางอย่าง เช่น พฤติกรรมน่าสงสัย หรือมีจุดประสงค์ที่ไม่ได้มาเพื่อการท่องเที่ยว ฉันจะไม่อนุญาตให้เข้าไปเด็ดขาด... เสียใจด้วย ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้ ฉันจำนักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้าไปได้"
ก่อนจะสรุปเรียบๆ ในประโยคหลัง พับรูปทั้งหมด ส่งคืนกลับเจ้าของ อิษฎารับมาแล้วนิ่งเงียบ สบชัยกล่าวแทน
"ผมรู้มาว่า ป่าโศกไม่ได้มีทางเข้าทางเดียว"
"อ๋อ แน่นอน ใครก็ตามที่บังอาจลักลอบเข้าไปยังเส้นทางอื่น ที่นอกเหนือจากประตูหน้าของเรา ฉันถือว่า เป็นผู้บุกรุก หรือ คนร้าย เราไม่มีนโยบายรับผิดชอบความปลอดภัยของคนที่แหกกฎ มิหนำซ้ำ จะเรียกค่าปรับเสียด้วย น้องสาวของคุณอาจไปที่อื่น หรือถ้าเข้าป่าโศกจริง เธอก็คงคิดฆ่าตัวตาย เพราะฉันมีตารางเวลาการเดินป่าของพรานทุกคนในหมู่บ้าน กระทิงเป็นพรานคนสุดท้ายที่กลับออกมา ในป่าโศกยามนี้ ไม่มีพรานคนไหนอยู่อีกแล้ว คนที่อยู่ในป่าโศกโดยไม่มีพรานนำทาง ครั้งสุดท้ายที่จำได้ ตายตั้งแต่สามวันแรก"
คำพูดของนายหญิงแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์ สะกดลมหายใจของอิษฎาให้หยุดนิ่ง
ผู้การฉัตรทิพย์ยกขาไขว่ห้าง ยกแก้วน้ำดื่ม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปัญหาของอดีตผู้พันคู่อริ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาเลย ส่วนปัญหาระหว่างพวกเขาเอง ที่เกือบทำให้เกิดการรบพุ่งขึ้นกลางหมู่บ้านนั้น เขาก็ยอมปล่อยวางไว้ก่อน ด้วยมีธุระสำคัญใหญ่กว่าต้องทำ
"พูดอย่างนี้ ไม่ใจดำไปหน่อยเหรอ" อิษฎาเอ่ยเสียงเย็นชาเป็นครั้งแรก
ลั่นทมยังคงระบายยิ้มอย่างใจเย็น จากการสังเกตของสบชัย หล่อนนิ่ง และมีท่าทีผ่อนคลาย สุขุมเยือกเย็น มากกว่าผู้ยิ่งใหญ่สองคนนี่เสียอีก
"ขอบเขตความรับผิดชอบของฉัน อยู่เพียงในกฎที่ตราขึ้นเท่านั้น ฉันคงจะรับผิดชอบชีวิตทุกคนที่อุตริหนีเข้าป่าไม่ได้หรอกนะ แต่ฉันก็ไม่ใช่คนใจแคบ ในเมื่อคุณยอมแบกหน้ามาขอร้อง เข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่ได้ลักลอบเข้ามา... อ้อ... แม้จะพกพาอาวุธเข้ามากร่างก็เถอะนะ ฉันจะยอมให้ความช่วยเหลือในด้านการออกตามหา โดยจัดพรานพื้นเมืองฝีมือดีให้แก่คุณก็ได้"
"หึ แน่ใจหรือว่าเข้าไปได้ ป่าโศกแห่งหมู่บ้านไพรพฤกษ์เวลานี้ ชักมีกลิ่นผิดปกติ ไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่ใช่รึยังไง!"
ผู้ที่แทรกด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมเล็กๆ คือ ผู้การฉัตรทิพย์
"พูดแบบนี้หมายความว่าไง" พรานหนุ่มโพล่งตามประสาคนโผงผาง
"กระทิง อย่าเสียมารยาทกับผู้การ จะพูดจะจา ให้ความเคารพหน่อย อย่าลืมว่า ท่านเป็นตำรวจ"
ลั่นทมปรามเรียบๆ เน้นหนักคำสุดท้าย เหมือนเจตนาโยนหินถามทาง ผู้การฉัตรทิพย์ที่หน้าตากระด้างเย็นชากว่าอิษฎา ล้วงสิ่งหนึ่งจากแผ่นหลัง ออกมาโยนบนโต๊ะ พูดเสียงห้วน ด้วยสีหน้าดุดันกว่าเดิม
"ผมไม่ได้มาเพื่อจับกุมคุณ แต่มาทวงความเป็นธรรมให้พี่ชาย ที่เสียชีวิตจากการเที่ยวป่าโศก!"
กระทิงอึ้ง แม่บุญธรรมของเขาถึงกับนิ่งไปวูบ ก่อนจะหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลขึ้นมาเปิด ดึงภาพสีแผ่นใหญ่ออกมา
"มิน่าล่ะ ถึงรู้สึกคุ้นหน้า ดร. เฉลิมพงศ์ นักผจญภัย และนักพืชวิทยา เป็นพี่ชายของคุณนั่นเอง เขาเสียชีวิตเมื่อครึ่งเดือนก่อน ด้วยสาเหตุไข้ป่า..."
"ไม่ใช่! แพทย์ชันสูตรระบุออกมาแล้ว เขาตายเพราะถูกพิษที่มาจากสัตว์ชนิดหนึ่ง... พิษที่แม้แต่นักพิษวิทยา หรือศูนย์วิจัยโรค ก็ให้คำตอบไม่ได้ สัตว์ตัวนั้นสร้างบาดแผลเล็กๆ บนตัวเขา พิษจำนวนนิดเดียวเท่านั้น แต่มีอานุภาพฆ่าคนได้มหาศาล ผมมาที่นี่เพื่อหาคำตอบ และคุณเป็นคนเดียวที่จะต้องให้คำตอบที่ผมพอใจ พร้อมกับมอบตัวการที่เป็นฆาตกรออกมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็..." ฉัตรทิพย์เว้นวรรคไว้ ใช้สายตาอำมหิตสื่อความหมายแทน
กระทิงผู้เลือดร้อน เดือดแทนแม่ "ถึงเป็นตำรวจ ก็ใช่ว่าคุณจะข่มขู่คนที่นี่ได้ตามใจชอบนะ
"พรานนำทางที่ไปด้วย จะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมต้องการสอบปากคำเขา"
เกิดความเงียบสงัดขึ้นภายในห้องทันที ผู้การฉัตรทิพย์สมกับเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ลักษณะท่วงท่าวางอำนาจ แม้แต่น้ำเสียงยังแผ่กังวาน ทรงอานุภาพน่าเกรงขาม เพียงแต่บุคคลในห้องนั้น ล้วนไม่มีใครยอมสยบแก่เขา โดยเฉพาะพรานกระทิง ที่เริ่มจะหมั่นไส้ และชังขี้หน้านายตำรวจผู้ใหญ่คนนี้ขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว
"ถามไปก็ป่วยการ สรุปว่า ไม่มีใครในหมู่บ้านนี้ สามารถให้คำตอบเรื่องนี้แก่คุณได้ แม้แต่ตัวฉันเอง"
นายหญิงลั่นทมลอบถอนหายใจ เห็นทีว่าเรื่องนี้ คงจะหนีไม่พ้น...
"ด้วยตำแหน่งของผม จะเล่นงานหมู่บ้านนี้ไม่ยากเย็นเลย เห็นแก่ที่คุณพูดจาแบบคนมีการศึกษา อย่าบีบให้ผมใช้ความรุนแรงจะดีกว่า" ผู้การข่มขู่นิ่งๆ ควักซิการ์ออกมาจุดสูบ
"นี่ อย่าให้เกินไปนัก รู้ไหมว่าแม่ผม..." พรานหนุ่มฉุนกึก ยกมือชี้หน้า
"กระทิง!" ลั่นทมปราม ก่อนบุตรชายจะหลุดปาก
อดีตผู้พันนั่งฟังเงียบๆ ตลอดมา จนมาถึงช่วงที่อึดอัด เขายกมือกอดอก หันมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนสะดุดเข้ากับกำแพง หัวเราะหึๆ ในลำคอ หันกลับมา
"คุณลั่นทม นั่น... เอ็มโฟร์เอวัน (M4 A1) ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในปืนยาวจู่โจมที่ดีที่สุดในโลกใช่ไหม ส่วนข้างๆ มัน ก็คือ สเตเออร์ อาท (steyr Aug) รู้สึกว่าผมจะเคยเห็นพวกระดับสูงในทีมเสือป่าแห่งกองทัพบกเคยใช้อยู่ระยะหนึ่งนะ มิทราบว่าผู้การฉัตรทิพย์เคยได้ยินมาบ้างรึเปล่า"
การเปลี่ยนบทสนทนากะทันหันของอิษฎาทำเอากระทิงงุนงง ตามไม่ทันความคิดของเขา ตรงข้ามกับลั่นทม ที่อ่านเจตนาของเขาออก อดนับถือในสายตาอันคมกริบ และไหวพริบอันว่องไว ของอดีตผู้พันหนุ่มมิได้
...อาวุธระดับสูงแบบนี้ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ครอบครอง มันมาปรากฎอยู่ในหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงแบบนี้ หรือว่า เบื้องหลังของหมู่บ้านนี้ จะมีคนใหญ่คอยคุมอยู่ ถ้าเราทำอะไรบุ่มบ่ามลงไป...
ฉัตรทิพย์กลอกตาครุ่นคิด แผนการที่คิดไว้ตอนแรกก่อนจะออกเดินทางมาเริ่มสั่นคลอน ลั่นทมรู้สึกอยากขอบคุณอิษฎาที่ช่วยหาทางรอดให้หล่อน
"เอ็มโฟร์เป็นของ... อดีตสามีฉันเอง ส่วนอีกกระบอกนั้นก็ของฉัน เพียงแต่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เลยนำมาตกแต่งประดับบ้าน อ้อ ฉันคงลืมบอกไปว่า ฉันเคยเป็นทหารในกองทัพบก เช่นเดียวกับอดีตสามี แต่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดถึงอีก สำหรับคุณ ผู้การ... ฉันสัญญาว่าจะสืบหาความจริงมาให้ได้ ไม่ว่าจะยากลำบากสักแค่ไหน เพราะปัญหาของคุณ ก็เป็นปัญหาที่ฉันอยากจะแก้ให้ตกเหมือนกัน"
ผู้การฉัตรทิพย์คิดใคร่ครวญแล้ว ลุกพรวดขึ้นยืน
"ทางออกมีวิธีเดียวเท่านั้น... บุกเข้าป่าโศก!"
ลั่นทมยืนกอดอก มองกรอบรูปบนฝาผนัง เหม่อลอย
ภาพชาย หญิง และเด็กสาวตัวน้อย นั้น ช่างดึงดูดใจด้วยรอยยิ้มสดใส และมีความสุข โดยเฉพาะเด็กสาววัยสิบขวบ ในชุดผ้าพื้นเมือง หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดูเหลือเกิน ภาพความทรงจำในอดีตย้อนกลับมา ลั่นทมน้ำตาซึม หยาดน้ำใสที่รื้นมาคลอเบ้าจวนจะไหล จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนไว้
"แม่..." เสียงเรียกแผ่วเบา พร้อมมือที่แตะบ่ามา น้ำเสียงคนทักเหมือนสังเกตถึงความผิดปกติ หล่อนจึงกลับมาเป็นคนเดิม สูดลมหายใจลึก
"เตรียมตัวพร้อมรึยัง" หมุนตัว เดินกลับมานั่งบนโต๊ะ
"แม่จะไปจริงๆ เหรอ"
"รับเช็คเขามาแล้ว จะไม่ไปได้ยังไง"
"ไม่รู้แม่คิดยังไงน๊าา ไปตกปากรับคำพวกนั้น นายผู้พันยังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ เอ้ย ท่านผู้การนี่สิ แม่ไม่กลัวมันจับเราเชือดทิ้งกลางป่ารึยังไง"
ลั่นทมช้อนตามองกระทิง ซึ่งยืนทำหน้าบู้บี้อยู่หน้าโต๊ะ
"จะให้เขาเชือดในป่า หรือเชือดตรงนี้?"
"อ้าว ปกติ แม่ไม่กลัวพวกมีอิทธิพลนี่นา"
แม่บุญธรรมถอนหายใจอ่อน "กระทิง ตอนนั้นน่ะ เธอก็อยู่ด้วย สถานการณ์ตอนนั้น ฉันมีทางลงที่สวยงามกว่านี้เหรอ ฝ่ายหนึ่งเป็นทหาร ฝ่ายหนึ่งเป็นตำรวจ กลุ้มรุมฉันด้วยโจทย์หนักทั้งคู่ ฉันหนีไม่ไปไหนไม่ได้ เข้าป่าโศกเป็นหนทางเดียว ที่จะยุติปัญหา แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้แก้ปัญหาก็เถอะ"
"แต่ว่า มีคนตายลึกลับในป่าตั้งสิบเอ็ดคนนะแม่ ปกติ แม่ต้องปิดป่า ไม่ให้คนเข้าไปแล้ว ตามหาน้องสาวก็ดี สืบหาคนฆ่าพี่ชายก็ช่าง ถ้าในป่านั้น มันมีบางอย่างที่อันตรายอยู่จริงๆ มันจะไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเรานะ บอกตามตรง เข้าป่าครั้งล่าสุดนี้น่ะ ผมรู้สึกว่า... มันมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนป่าที่ลุยมาแต่เด็ก ผมก็อธิบายไม่ถูกหรอก ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องของบรรยากาศที่น่าขนลุกผิดแผกไปจากเดิม ต้นไม้ใบหญ้าเอย สัตว์ป่าเอย มันดูผิดหูผิดตาไปหมด หรือผมอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ มันแปลกนาแม่ ไอ้ธรรมชาติป่าเขาแถบนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนไม่คุ้นเคยขึ้นมา..."
พรานหนุ่มบรรยายความรู้สึกไปเกาหัวแกรกๆ ไป เพราะเขาไม่ใช่คนมีการศึกษาสูง เรียบเรียงคำพูดแบบเป็นเรื่องเป็นราวไม่เก่ง แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ลั่นทมฉุกใจคิด ลางสังหรณ์ในตอนแรกที่เกิดเรื่องกับนักท่องเที่ยว เริ่มเด่นชัดเมื่อได้ยินคำพูดของพรานกระทิง
...หรือว่า ประตูนรก ซึ่งเป็นเรื่องเล่าปรัมปรา จะเป็นเรื่องจริง...!
"พูดก็พูดเถอะ ถ้าพ่อบุญธรรมยังอยู่ เรื่องคงง่ายกว่านี้เยอะ"
ได้ยินประโยคถัดมา ลั่นทมถึงกับแววตาวาววับ ตวาดเกรี้ยวกราด
"หยุดพูดถึงเขาได้แล้ว!"
"โธ่ แม่...!" กระทิงยานคาง
"ต่อให้ไม่มีเขา ฉันก็พาทุกคนเข้าป่าโศกได้"
"ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ผมรู้ว่าแม่เก่งอยู่แล้วน่าา แต่พ่อบุญธรรม เอ่อ.. ก็หายตัวไปในป่าโศกเหมือนกัน เราไปครานี้ อาจได้เจอกับท่านก็ได้นะ"
กระทิงรีบมาบีบนวดไหล่เอาใจ ไม่อยากให้มารดาอารมณ์เสีย
"เฮอะ "พรานแก่หนังเหนียว" อย่างนั้นเหรอ จะหลงป่า โน่น! ไปเป็นทาร์ซานเสพสุขอยู่กับนางไม้ จนลืมสภาพการเป็นคนไปแล้ว เขาอยากอยู่แบบนั้นก็ปล่อยเขาไปสิ ไม่รบกวนหรอกนะ"
นายหญิงลั่นทมกล่าวกระแหนะกระแหน กระทบกระเทียบ ด้วยอารมณ์เกลียดชัง กระทิงปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที มันเป็นบทสนทนาที่สร้างความขุ่นข้องหมองใจมาได้ยาวนานตลอดห้าปี จนถึงวันนี้ กระทิงก็ยังหาวิธีแก้ไม่ได้
"โธ่ แม่ก็... ป่ามันมีถนนอยู่สักกี่สายเชียว วันนึงเดินมาจ๊ะเอ๋กัน โบกมือทักทายกันบ้างก็ไม่เสียหายน่า พ่ออาจจะมีวิธีจัดการสองผู้ยิ่งใหญ่นั้นก็ได้"
"ฉันจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเขาเด็ดขาด จำเอาไว้นะ เราต่างคนต่างอยู่ ถึงเจอก็ไม่ต้องข้องแวะสนทนา!"
ลั่นทมตัดบทเฉียบขาด ลุกจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องไป กระทิงเป่าปาก คอตก ห่อเหี่ยว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น