คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : หลงกลแผนกองโจร
เสนาบดี ผานเหรินเปียน นั่งอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามาปักบนยอดเสาอย่างแม่นยำ และหนักหน่วง เขาทะลึ่งพรวดขึ้นยืน ร้องลั่น
"นั่นใคร!"
รีบเปิดประตูห้องออกไปดู แต่ก็ไม่เห็นวี่แววแม้แต่เงา พอไปดูที่ธนูปัก ก็พบจดหมายเสียบอยู่ เขาชะงัก ครุ่นคิดอย่างสงสัย ก่อนแกะสาสน์ออกอ่าน ถึงกับตะลึง
"หา...นี่มัน..."
ณ ค่ายทหารที่สาม แม่ทัพใหญ่ หยางเยี่ย กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในกระโจม ขุนพลห้า หยางอู่หลาง อยู่ว่างๆ จึงออกตรวจตรากองทัพ หยางซื่อหลางควบม้าเร็วมาถึง หยุดอยู่หน้าค่าย กระโดดลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้ามาตรงๆ อย่างอาจหาญ
"หยุดก่อน ที่นี่ค่ายทหารที่สาม คนนอกเข้าไม่ได้"
ทหารยามที่หน้าค่ายสองนาย ลดทวนประสานกัน ขวางกั้นเขาไว้ อีกคนถามว่า
"ท่านเป็นใคร โปรดแจ้งชื่อ"
เขามองนิ่งๆ ก่อนเอามือไพล่หลัง บอกอย่างทระนงเย่อหยิ่ง
"ข้าเป็นใคร ไปเรียกขุนพลห้าของพวกเจ้าออกมาก็รู้เอง"
"กำแหง สงสัยเป็นพวกกองโจรมาก่อกวนอีกแน่ รายงานท่านแม่ทัพ"
"ไม่จำเป็น ข้าไม่ใช่กองโจร แต่ข้าไม่บอก ถ้าอยากรู้ก็จับตัวข้าไปมอบให้ท่านแม่ทัพสิ!"
เขาบอกอย่างก่อกวน ทหารยามฉุนขาด ร้องสั่ง
"จับมันไว้!"
"ครับ"
นายทหารห้าคนถือทวนพร้อม วิ่งเข้ามารุมล้อมเขา หยางซื่อหลางยิ้มหยัน
"นี่ พวกเจ้าใช้อาวุธอย่างนี้ เอาเปรียบกันไปหน่อยไหม ข้ามือเปล่าแค่คนเดียว แน่จริงสู้กันด้วยเพลงหมัดสิ"
"ได้อยู่แล้ว จัดการ"
พวกทหารทิ้งทวน แล้วจู่โจมเขาด้วยเพลงหมัด อย่างนี้ก็เข้าทางหยางซื่อหลาง เขาจึงสั่งสอนพวกทหารอ่อนหัด ด้วยเพลงหมัดทลายภูผาอย่างสนุกสนาน มันมือ จนบาดเจ็บกันระนาว
"หยุดนะ!"
หยางเอี๋ยนถงออกมาพบเข้าพอดี จึงตวาดลั่น พวกทหารหันมาจ้องงงๆ ส่วนพี่ชายยิ้มขัน
"พี่สี่ พี่นี่ก็จริงๆ เลย ทำไมถึงไม่ยอมบอกชื่อแซ่ พวกเขาจะได้ให้พี่เข้ามา"
น้องห้า พาเขาเข้ามาในค่าย ทั้งสองเดินคุยกัน พร้อมกับเดินสำรวจค่ายไปด้วย
"ข้าก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ได้ออกกำลังกายนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก"
"จะไม่เป็นไรได้ไงล่ะ ที่นี่ค่ายทหารนะ ต่อยตีกันในค่าย มีโทษถึงโดนโบย ถ้าเมื่อกี้ท่านพ่อออกมาเห็นเข้า..."
"ข้ารู้ ข้ารู้ กฏระเบียบของค่ายทหาร สามร้อยแปดสิบเจ็ดข้อ อ่านแค่บทแรกก็จะหลับแล้ว อยากรู้จริงเจ้าทนได้ยังไง"
หยางซื่อหลางบอกอย่างรำคาญปนขำ สายตาคอยสังเกตบริเวณรอบค่าย ขุนพลห้าหยุดเดิน ถอนหายใจ
"เฮ้อ เป็นทหารก็ต้องอยู่ในกฏ เคร่งครัดวินัย ข้าเพิ่งเข้ากองทัพใหม่ๆ ยังไม่ค่อยชิน แต่ก็พยายามปรับตัวอยู่ บางครั้งมันก็น่าอึดอัดอยู่บ้าง แต่ถ้าพี่สี่ได้เข้ามาสัมผัสจริงๆ จะรู้ว่า ที่นี่ก็มีความสนุก และอบอุ่นไปอีกแบบนะ"
พี่สี่ชะงักกึก น้องห้าเพิ่งรู้ว่าตัวเองพลั้งปากโดยไม่ระวัง รีบแก้ไขอย่างเสียใจ
"เอ่อ พี่สี่ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ"
"อย่าคิดมากเลย ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อจะมาเยี่ยมค่าย เออ ได้ข่าวว่า หลายวันก่อน พวกโจรน่ะบุกค่ายเรามิใช่หรือ"
เขาแสร้งลอบสืบความลับแบบชวนคุยธรรมดา หยางอู่หลางไม่มีความระแวงสงสัยอยู่แล้ว พยักหน้า
"อืม ใช่ น่าขายหน้าจริงๆ เลย แต่ตอนนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ"
"ทำไม"
"เพราะท่านพ่อซ่อมแซมค่าย ปิดจุดอ่อนทั้งหมดแล้วน่ะสิ ถ้าพวกโจรบุกมาอีกคราวนี้ล่ะก็ มันต้องเป็นฝ่ายเสร็จเราแน่ๆ"
หยางซื่อหลางหันมาเลิกคิ้ว ทำหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อ แต่หัวใจเต้นแรงอย่างดีใจ
"...จริงเหรอ"
"ถ้าพี่ไม่เชื่อ ข้าจะพาไปชมให้ทั่วค่ายเลย ตามมา"
เขาจึงเดินนำพี่ชาย ไปเยี่ยมชมค่ายทหารแบบใกล้ชิด และถ้วนทั่ว สมเจตนารมณ์ของหยางซื่อหลางในการมาครั้งนี้
ระหว่างพาดูสถานที่ ทักทายพวกทหาร และขุนพลบางส่วน หยางซื่อหลางยังได้ดูการฝึกทหาร ซักซ้อมวินัยการรบของรองแม่ทัพ อู๋จิ้ง ที่ด้านหลังของค่ายอีกด้วย หยางเยี่ยเดินออกจากกระโจมมาพบเข้าพอดี เขาเห็นรอยยิ้มของลูกชายคนที่สี่ ที่ปลาบปลื้มใจนัก เพราะพ่อได้ทำตามคำแนะนำที่เขาให้ไว้ในจดหมาย แม่ทัพใหญ่มองอย่างสังเกต นิ่งไปครู่ ก่อนจะส่งเสียงเรียก สองพี่น้องหันมา หยางเอี๋ยนถงใจหายวาบ นึกว่าคราวนี้คงมีเรื่องอีกแล้ว
"เอ่อ ท่านพ่อ..."
หยางเยี่ยไม่พูดกระไร กวักมือเรียกพวกเขาเข้ามา หยางซื่อหลางเดินเข้ามาในกระโจมใหญ่ ที่ใช้สำหรับประชุม และบัญชาการศึก กวาดมองอย่างทึ่ง แม่ทัพใหญ่ เดินตามหลังเข้ามาพร้อมขุนพลห้า
"เป็นไง ค่ายทหารที่สาม กองกำลังรักษาวังหลวง มีข้อตำหนิตรงไหน ให้นายน้อยสี่ตระกูลหยางไม่พอใจบ้างรึเปล่า ข้าจะได้ขอคำชี้แนะสักหน่อย"
"พ่อ..."
หยางอู่หลางปรามอย่างขอร้อง หยางซื่อหลางหันมา ไม่สนใจน้ำเสียงประชดนั้น กลับตอบอย่างจริงจัง
"ท่านแม่ทัพกล่าวหนักไปแล้ว กองทหารที่สาม ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ฝีมือน่ะมีอยู่แล้ว เพียงแต่ปกติประจำอยู่วังหลวง ไม่ค่อยได้ออกรบ เวลาสู้ศึกจริงๆ จึงมือไม้อ่อนอยู่บ้าง"
"ว่าไงนะ"
เขาไม่สนว่าบิดาจะฉุน ยกมือคำนับอย่างให้เกียรติ พูดเสียงห้าวหาญ
"เรียนท่านแม่ทัพตามตรง ที่ข้าน้อยมาวันนี้ เจตนาคือ เยี่ยมค่าย อยากดูการฝึกปรือกองทหารของพวกท่าน ข้าได้รู้มาว่า ท่านปรับปรุงซ่อมแซมค่าย จนตอนนี้ปราศจากช่องโหว่แล้ว แต่กลับมีอีกจุดหนึ่งน่าห่วงแทน"
หยางเยี่ยมองบุตรชายกล่าวฉาดฉานอย่างหมั่นไส้ อดตวาดเสียมิได้
"ได้ งั้นต้องขอให้นายน้อยสี่ ชี้แนะมากๆ หน่อยแล้ว หึ!"
แล้วสะบัดหน้ามานั่งลงบนโต๊ะ หยางซื่อหลางพูดต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวบารมี
"ข้าสังเกตว่า การฝึกทหารของที่นี่ ออกจะโบราณ และขัดกับธรรมชาติอยู่บ้าง"
"ว่าไงนะ"
หยางเยี่ยร้อง น้องห้าถามแทรกก่อน
"พี่สี่ มันยังไงกันเหรอ"
"ยุทธวิธีการฝึกทหาร ควรปรับเปลี่ยนบ้าง ตามชัยภูมิ และรูปแบบภารกิจ ไม่ควรยึดถือจำเจ ฝึกตามสูตรสำเร็จไปซะทุกอย่าง ความจริง การฝึกอย่างนี้เป็นพื้นฐาน ค่ายไหนก็ต้องมี เพียงแต่ กองทหารที่สาม สมควรเป็นข้อยกเว้น"
"อ๋อ เพราะอะไร"
แม่ทัพใหญ่ถามอย่างสนใจ เขาหันมาตอบเสียงเรียบอย่างจริงจัง
"เพราะกองทหารที่สาม ไม่ได้ประจำอยู่ชายแดน ไม่ต้องตรากตรำกรำศึก ไร้ประสบการณ์หฤโหดแบบทหารมืออาชีพ ที่รบพุ่งเป็นกิจวัตร และนอนกลางดินกินกลางทราย เปรียบก็เหมือนพวกเขาเป็นทหารแก้ว คือ ภายนอกดูหรูหรา สง่างาม น่าเกรงขาม ที่จริงแล้ว เปราะบางมาก ไม่ได้เป็นเหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง"
หยางซื่อหลางหันไปทางหน้ากระโจมที่เปิดกว้าง มองพวกทหารที่กำลังฝึกซ้อมเพลงทวน ตามการควบคุมของรองแม่ทัพอู๋ แล้วบอกน้องชาย
"เจ้าดูพวกเขาสิ ฝึกอย่างเป็นระเบียบ จริงจัง มีความเชื่อมั่น มีพลัง แต่ว่าขาดสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นสำคัญมากที่สุด สำหรับการรบ เจ้ารู้ไหม คืออะไร"
"ก็ต้องเป็น วิชาฝีมือ และสติปัญญา"
"ไม่ใช่ ความกระหาย ฮึกเหิม และเหี้ยมหาญต่างหาก"
"เจ้าว่า กองทหารของข้า ไร้ความฮึกเหิมเหรอ!"
หยางเยี่ยแทรกขึ้นมา เขาหันกลับมามองบิดา เห็นแววตาที่แม้เคืองขุ่น แต่ก็ซ่อนความสนใจอยากรับฟังต่ออยู่ลึกๆ นั้น จึงกล้าพูดต่อไปอย่างเชื่อมั่น
"ท่านแม่ทัพ คำว่า ทหารนั้น ย่อมมีคุณสมบัติในตัวของมันเองอยู่แล้ว ซึ่งท่านก็ทราบดี เพียงแต่คุณสมบัติที่ว่านี้ กลับมีอยู่ และหาได้อย่างเต็มที่ จากพวกทหารที่ชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพตระกูลหยาง เพราะพวกเขาที่นั่น ผ่านศึกอย่างโชกโชน ใช้ชีวิตอยู่กับการนองเลือด และห้ำหั่น จึงมีทั้งความกระหาย ฮึกเหิม เหี้ยมหาญ และระวังตัวอย่างเจนจัด แต่อย่างที่ข้าน้อยบอก ทหารวังหลวงของกองที่สาม เหมือนทหารแก้ว ภายนอกก็ดูเหมือนทหาร แต่ที่จริง คุณสมบัติบางอย่าง กลับด้อยกว่าทหารที่อยู่ชายแดนมาก"
หยางเยี่ยนิ่ง แต่แอบสะอึกในใจ เพราะเป็นคำพูดที่จริงแท้ทุกประการ หลังจากเขาได้รับตำแหน่งให้มาคุมทัพนี้ เขาก็รู้สึกอย่างนั้นแล้ว เพียงแต่ ไม่มีใครจี้จุดให้ขุดเรื่องนี้มาคุยอย่างจริงจัง และเปิดเผย บุตรชายคนที่สี่ พูดได้ตรงกับปัญหา ที่เขากำลังห่วงอยู่
"เอ่อ พี่สี่ พี่พูดเข้าใจยากจังเลย"
"ก็เหมือนอย่างเมื่อครู่นี้นั่นแหละ ตอนข้าเดินมาที่หน้าค่าย พวกทหารสกัดให้หยุด ถามชื่อแซ่ข้า พอข้าไม่บอก ก็สั่งทหารออกมา จัดการข้ายังไงล่ะ"
"หือ เจ้ามีเรื่องกับทหารในค่ายเหรอ"
หยางเยี่ยร้องเสียงเข้ม เขานิ่ง ลูกห้ารีบแก้ตัวแทนให้
"เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ท่านพ่อ แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ"
หยางซื่อหลางจึงหันมาบอกกับท่านแม่ทัพอย่างตรงไปตรงมา
"ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยบุกรุกค่าย ทหารถามชื่อแซ่ และจุดประสงค์ ข้าน้อยไม่ตอบ ทหารของท่าน จึงสั่งคนออกมา คิดจับกุมตัวข้าน้อย ไปมอบให้แก่ท่าน"
"นั่นก็ถูกแล้วนี่ คนลึกลับไม่รู้ที่มา พบเจอต้องนำตัวมาสอบสวน"
"แต่ขณะพวกเขาจะจับกุมข้า ข้าบอกว่า ตัวข้านั้นมือเปล่า พวกเขามีอาวุธครบ ไม่ยุติธรรมเลย แน่จริงลองทิ้งอาวุธ แล้วมาสู้กันด้วยเพลงหมัดสิ พวกเขาก็ทำตามทันที"
"หา...!"
หยางเยี่ยอุทานตกใจ หยางอู่หลางก็ถึงกับอึ้ง
"เรียนถามท่านแม่ทัพ ถ้าที่นี่เป็นชายแดน ทหารหน้าค่ายที่นั่น จะทำแบบนี้รึเปล่าล่ะครับ"
"ฮึ่ม...!"
แม่ทัพใหญ่คำราม ทุบกำปั้นบนโต๊ะ ไม่ใช่โกรธเคืองบุตรชาย แต่ฉุนการปฏิบัติหน้าที่ของพวกทหาร ขุนพลห้าก็ส่ายหน้าอย่างเหลือเชื่อ พึมพำ
"สะเพร่า หละหลวม สมควรตายจริงๆ"
"ใช่แล้ว ข้ารู้ว่ากองทหารที่สาม ปกติเป็นกองทัพในอำนาจของท่านอ๋องเฉา เมื่อท่านอ๋องเฉาตายไป และศัตรูที่อยู่ตรงหน้า คือโจรกู้ชาติ ท่านแม่ทัพจึงต้องมารับผิดชอบค่ายนี้แทน ข้ารู้ดีว่า ภายใต้การนำของท่านแม่ทัพ ต้องไม่มีทหารสะเพร่า หละหลวมแบบนี้แน่ เพียงแต่ท่านเพิ่งมาคุมได้ไม่นาน กฏระเบียบที่ออกมาใหม่ พวกเขาก็ยังไม่ชิน การจะให้พวกเขาปรับตัวกับเจ้านายใหม่ ในเวลาอันรวดเร็วนั้น ก็ทำได้ยาก ไม่เหมือนกองทัพตระกูลหยางเรา แต่ข้าเกรงว่า ถ้าท่านไม่เตรียมป้องกันแต่เนิ่นๆ การศึกกับเป่ยฮั่นครั้งนี้ ทหารในสังกัดของท่านเอง อาจเป็นจุดเปลี่ยน ที่จะทำให้เราเสียเปรียบได้"
คำพูดของบุตรชาย จี้แทงใจดำความวิตกที่เขาซ่อนไว้อยู่ลึกๆ มาตลอด อย่างไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย หยางเยี่ยยกมือลูบเครา นั่งครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เขารู้ดีว่าการศึกครั้งนี้ มีจุดที่น่าเป็นห่วง ที่เขายังมิอาจแก้ไขได้ประการหนึ่ง คือ ทหารในสังกัดของเขานั่นเอง ถ้าเป็นกองทัพตระกูลหยาง เดินทางมาจากชายแดน มาจัดการภาระนี้ ตัวเขาย่อมไร้ซึ่งความกังวลใดๆ แต่ตอนนี้ เขาคุมทหารที่ไม่ใช่คนของเขา และพวกนั้นก็มีจุดอ่อนใหญ่หลวงอย่างที่บุตรชายบอก ถูกเสียด้วย!
"ท่านพ่อ เอ้ย ท่านแม่ทัพ พี่สี่พูดมีเหตุผลนะครับ ข้าก็สังเกตเห็นว่า พวกทหารน่ะ ออกจะเฉื่อยชา หย่อนระเบียบวินัย และขาดความกระตือรือร้นอยู่บ้าง"
บิดาไม่ตอบ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินมือไพล่หลัง ครุ่นคิดตรึกตรองอย่างหนักใจอยู่ หยางซื่อหลางมองพ่ออย่างเป็นห่วง เขาอยากจะเสนอวิธีที่ดี แต่ก็มิอาจพูดได้ เพราะจะเป็นการก้าวก่ายในส่วนที่ไม่ใช่หน้าที่มากเกินไป
ดีที่หยางอู่หลาง น้องห้า หันมาถามคำตอบจากเขา
"พี่สี่ แล้วอย่างนี้จะมีวิธีแก้ไขยังไง แก้ค่ายมันแก้ง่าย แต่แก้คนมันแก้ลำบากนะ"
หัวใจของเขาพองโต นึกดีใจที่น้องห้าเอ่ยถามอย่างนี้ เพราะรู้ดีว่า คำพูดที่ตัวเองตอบน้องไปนั้น จะดังเข้าหูบิดาได้ โดยที่ไม่ต้องให้บิดามาเสียหน้าถาม และเขาก็ไม่ต้องออกตัวมากไป
"ความจริงก็ไม่ยากหรอก พวกเขาเป็นทหารซ่ง แม้ไม่สังกัดตระกูลหยาง แต่ก็มีศรัทธาในกองทัพตระกูลหยาง และแม่ทัพใหญ่อยู่ เพียงแต่จะใช้กฏระเบียบกับพวกเขาอย่างเดียว ดูจะเป็นทางการ และห่างเหินเกินไป ถ้าอยากให้พวกเขาปรับเปลี่ยนนิสัย ยอมถวายตัวถวายใจรับใช้สุดชีวิต และเพิ่มความฮึกเหิม กร้าวแกร่งมากกว่านี้ ก็ต้องเริ่มจากวิธีการฝึก"
"เหรอ ยังไงล่ะ"
"ก็แบบนี้นะ..."
"ซื่อหลาง..."
ยังไม่ทันได้พูด หยางเยี่ยก็เรียกขรึมๆ เขาชะงัก หันมามองบิดาอย่างแปลกใจ
"ครับ ท่านแม่ทัพ"
"เจ้าไม่ใช่คนในกองทัพ ไม่มีตำแหน่งในนี้ เจ้าอย่าได้...เข้ามายุ่งให้มากนักจะดีกว่า!"
หยางซื่อหลางตะลึงวูบ หยางอู่หลางร้องอย่างตกใจ
"ท่านพ่อ พี่สี่ก็แค่..."
"เอี๋ยนถง ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว ในค่ายทหารต้องเรียกตามยศศักดิ์ ถ้าแม้แต่เจ้ายังหย่อนวินัย พวกลูกน้องจะเอาอย่างได้ยังไง"
แม้จะไม่เห็นด้วยกับการเคร่งครัดเกินไปของบิดา แต่ขุนพลห้าจำเป็นต้องน้อมรับ
"ครับ ท่านแม่ทัพ"
นายน้อยสี่รู้สึกเก้อไปพักใหญ่ บอกอ้อมแอ้มอย่างเกรงใจบิดาเป็นครั้งแรก
"ข้า...ข้าน้อยขอโทษด้วย ที่ก้าวก่ายเกินไป ที่จริง เอ่อ ทั้งหมดเป็นเพราะแม่ทัพสามแสดงความเห็น ข้าน้อยก็เลยนำมาบอกต่อ ถ้าอย่างนั้น...ข้าน้อยก็หมดธุระแล้ว ขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน"
"พี่สี่...พี่สี่...หยุดก่อน..."
หยางอู่หลางวิ่งตามเขาออกมาที่หน้าค่าย เขาเลยหันกลับมามอง
"น้องห้า..."
"พี่สี่ อย่าโกรธท่านพ่อเลยนะ ท่านทำตามวินัยน่ะ ข้าว่า ท่านพ่อไม่ได้ตั้งใจหรอก"
เขากลัวพี่สี่จะเคืองขุ่นวาจาที่ไม่รักษาน้ำใจของบิดา หากหยางซื่อหลางกลับยิ้มซึมๆ
"ข้าไม่ได้เคืองหรอก ท่านพ่อตำหนิถูกแล้ว ข้าเป็นคนนอก ไม่ควรยุ่งมากไป"
เขายืนมองพวกทหารเดินกันขวักไขว่ที่หน้าค่าย แล้วฉุกใจคิด ถามน้องว่า
"นี่ น้องห้า เจ้าจำหน้า และชื่อของทหารในสังกัดได้มากแค่ไหนกัน"
"โห เป็นร้อยๆ จะไปจำหมดได้ยังไงล่ะ เราเพิ่งทำงานร่วมกัน แถมไม่สนิทกันด้วย"
"ถ้าข้าเป็นโจรเป่ยฮั่น โจมตีค่ายซึ่งหน้าไม่ได้แล้ว ข้าก็จะใช้แผนส่งคนลอบเข้ามาเป็นไส้ศึก ทางหนึ่งก็สืบความลับ อีกทางอาจมาทำร้าย ทหารที่นี่ใหม่สำหรับท่านแม่ทัพทุกคนเลย ย่อมเป็นไปได้ที่ท่านแม่ทัพจะไม่รู้ตัว"
เขาบอกสิ่งที่กำลังระแวงออกไป น้องห้าร้องอย่างตกใจ
"หา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แย่สิ แล้วเราจะมีวิธีป้องกันยังไง"
"สัญญาณมือ"
เขาตอบสั้นๆ แต่น้องชายงงวูบ
"สัญญาณมือเหรอ มันคืออะไร"
หยางซื่อหลางอ้าปากจะพูด แต่เห็นว่าในเวลาแบบนี้ไม่เหมาะ จึงควักจดหมายออกมามอบส่งให้
"เอานี่ ข้าเตรียมทั้งหมดไว้ให้แล้ว ทั้งวิธีฝึกทหาร แล้วก็แผนป้องกันโจรลอบเข้ามาเป็นไส้ศึก เจ้าก็นำไปศึกษาดู ทำได้ก็ทำ ถ้ามันเกินกำลัง ก็หาวิธีอื่นเอาเอง"
บอกแล้วจะเดินจากไป หยางอู่หลางรีบรั้งแขนไว้ บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
"เดี๋ยว พี่สี่ พี่นี่เก่งจริงๆ เลยนะ คิดแผนออกมาได้เป็นฉากๆ ลื่นไหลไปหมด ทุกอย่างดูง่ายดายสำหรับพี่เหลือเกิน ไม่ได้เจอพี่หนึ่งปี พี่พัฒนาไปมากจริงๆ ต่อไปนี้ ต้องมองพี่ใหม่แล้ว"
หยางซื่อหลางอึกอัก มองน้องอย่างอึดอัดใจ ก่อนจะตบแขนเบาๆ ยิ้มฝืนๆ
"ขอบคุณพี่สามเถอะ ทุกอย่างเป็นความคิดของเขา ข้าแค่รับฝากมาบอกเท่านั้น"
หยางอู่หลางเกาหัว มองพี่ชายที่เดินจากไปอย่างฉงน คิดอย่างซื่อๆ
"ที่แท้เป็นพี่สามหรอกหรือ อืม...แต่ทำไม เราถึงรู้สึกว่า พี่สี่ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนะ"
พอลับหลังหยางซื่อหลาง นายทหารที่กำลังฝึกซ้อมอยู่รวมกับเพื่อนนายหนึ่ง ก็หันขวับมา ยิ้มเหี้ยมอย่างมีเลศนัย!
"คุณชาย เจ็บนิ้วหรือครับ"
หยางซื่อหลางกลับมานั่งเขียนจดหมาย ทหารเอกวางน้ำชาลงบนโต๊ะ ถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเขาวางพู่กัน แล้วบีบนิ้วไปมา
"เปล่า"
ตอบเรียบๆ แต่ดวงตาซึมๆ จิ้งจงฝืนยิ้ม
"ถ้าไม่เจ็บก็คงแปลก เล่นเขียนจดหมายลายมือตัวเองบ้าง ลายมือคุณชายสามบ้าง เมื่อคืนก็นั่งเขียนให้กับคุณชายห้าทั้งคืน คงจะเมื่อยน่าดู"
"จดหมายที่ข้าส่งให้ท่านพ่อ เขียนแผนไปเยอะแยะ แต่ท่านไม่ลงมือเลย"
เขาบอกสิ่งที่ไม่สบายใจออกมา จิ้งจงฉุกใจคิด
"แต่ท่านก็ซ่อมแซมปรับปรุงค่าย ตามคำแนะนำของคุณชายนี่ครับ"
"ถ้าท่านพ่อเดินหน้าซะบ้าง ข้าคงไม่วิตกอย่างนี้ ท่านซ่อมแซมค่ายเสร็จ ก็เอาแต่นิ่งเงียบ จะทำอะไร ก็ไม่ทำสักที แล้วข้าจะรู้ได้ยังไง ว่าต้องช่วยแบบไหน"
"ศัตรูไม่เคลื่อนไหว เราก็สงบ เป็นกลยุทธิ์ที่ท่านแม่ทัพชอบใช้อยู่แล้ว ท่านคงไม่กล้าใช้แผนดุเดือดของคุณชาย เพราะเกรงสถานการณ์ที่ชายแดน"
หยางซื่อหลางส่ายหน้า ถอนใจ แล้วลุกขึ้นเดินแก้เบื่อ
"ที่ท่านพ่อกลัว ไม่ใช่ชายแดนหรอก แต่เป็นชีวิตของชาวบ้านในเมืองต่างหาก รบศึกภายในอย่างนี้ น่ากลัวราษฏรจะต้องเดือดร้อน แถมอาจโดนลูกหลง ต้องมารับเคราะห์ไปด้วย"
"แต่ช่วงนี้ พวกกองโจรนิ่งมากนะครับ"
ทหารเอกเปรยอย่างสงสัย นายน้อยสี่ใช้ความคิดอย่างสุขุม เยือกเย็น
"เงียบ ก็แปลว่ามีแผน ค่ายทหารที่สามนั่นแหละ คือเหยื่อที่จะต้องโดนเล่นงานก่อนเพื่อน คืนนี้จันทร์เต็มดวง ข้าต้องพักผ่อน น่าเป็นห่วงจริงๆ รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีอย่างไรไม่รู้!"
หยางซื่อหลางพึมพำอย่างไม่สบายใจ มันคือความจริง วันนี้ เขาหายใจไม่ปลอดโปร่งเลย มันเหมือนมีลางร้ายบางอย่าง กำลังคืบคลานเข้ามาช้าๆ และเขาไม่อาจจะสกัดไว้ได้
ออกมาเดินเล่นที่หน้าค่าย ทหารหยุดพักผ่อน พากันกลับไปแล้ว จุนย่งฉีกลับปีนขึ้นต้นไม้ เพื่อไปเก็บดอกไม้งามที่นางชอบ หยางซื่อหลางชะงักเท้า เงยหน้ามอง
"ย่งฉี เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น"
"หา อ๊ะ อ๊าย..."
นางเสียสมาธิ มองลงมา เท้าลื่นจึงพลัดร่วงจากต้นไม้ เขารับร่างนางไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
"ปล่อย...ปล่อยข้าลง"
"หึ เจ้าน่ะสะเพร่าแบบนี้อยู่เรื่อย คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว รู้ว่าห้อยโหนไม่เก่ง ก็อย่าขยันปีนต้นไม้นักได้ไหม"
เขาตำหนิอย่างเอ็นดู นางพูดอ้อมแอ้ม หลบตา
"ข้าตกใจเสียงท่านต่างหาก อะไรกัน แค่ปีนขึ้นไปเด็ดผลไม้กินก็ไม่ได้หรือ"
"เมื่อคืน...เจ้าไปไหนมา"
"หา..."
"หาอะไรล่ะ จิ้งจงมาสำรวจค่ายตอนมืด พบว่าบนเตียงเจ้าว่างเปล่า เจ้าออกไปทำอะไรข้างนอกมา"
เขารีดเค้นถาม แสร้งทำหน้าดุ นางอึกอัก
"เอ่อ ข้า...ข้าก็...กลับบ้านน่ะสิ"
"บ้าน... จวนตระกูลผานน่ะหรือ"
"ไม่ ไม่ใช่ เอ่อ บ้านญาติข้าต่างหาก คือว่า เมื่อวานลุงข้ากลับมาบ้าน ข้าก็เลยต้องไปเยี่ยมสักหน่อย ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน"
"ไม่เป็นไร ข้าก็นึกว่าเจ้า ไปเที่ยวงานลอยโคมซะอีกนะ"
จุนย่งฉีสะอึก วางหน้าไม่ถูก พอเห็นสีหน้าเย้าแหย่ของเขา ก็เลยตอบเสียงขุ่นเคือง
"งานลอยโคมเหรอ อยากไปที่ไหนกัน ข้าจะบอกให้นะ ข้าน่ะเกลียดการลอยโคมที่สุด ชาตินี้ข้าไม่ไปลอยเด็ดขาด ขี้เกียจพูดแล้ว ข้าไปหาเพื่อนดีกว่า"
นางสะบัดหน้า เดินจากไปอย่างแง่งอน เขาได้แต่หัวเราะอย่างขำๆ
ยามราตรี ทหารในค่ายที่สามกำลังนั่งจับกลุ่มกันรับประทานอาหาร สายลับที่ถูกส่งมาอยู่ในค่ายเมื่อสองวันก่อน เดินถือสำรับอาหารเข้ามาในกระโจมท่านแม่ทัพอย่างเยือกเย็น
"ท่านแม่ทัพ เชิญรับประทานอาหารครับ"
"อืม..."
หยางเยี่ยวางตำราลง ลุกมานั่งบนโต๊ะ มองดูอาหารเหล่านั้น แล้วหยิบตะเกียบในชามข้าวมาคีบ...
"ช้าก่อน ท่านแม่ทัพ!"
หยางอู่หลางเดินเข้ามา ยับยั้งไว้ นายโจรผู้นั้นเหลือบตามอง บิดาเงยหน้าอย่างสงสัย
"มีอะไร"
"ช่วงนี้อยู่ระหว่างการศึก ควรระวังไว้หน่อยดีกว่า"
บุตรชายชักเข็มออกมา จิ้มลงในชามอาหารทั้งหมด แล้วนำมาดู เข็มไม่เปลี่ยนเป็นสีดำแต่อย่างใด!
"เจ้าวางใจรึยัง มานั่งทานด้วยกันสิ"
หยางเยี่ยบอกอย่างไม่สนใจอะไรนัก ลูกห้าเห็นว่าปลอดภัย จึงนั่งลงเคียงข้าง แล้วคีบตะเกียบ ร่วมรับประทานกับบิดา สายลับโจรถอยออกมาอย่างนอบน้อม แล้วแอบยิ้มกริ่ม
ดึกสงัด กองทหารที่สามกำลังตกอยู่ในภาวะหลับไหล แม้แต่พวกเวรยามก็ด้วย!
หยางเยี่ย กับ หยางเอี๋ยนถง นั่งคุยกันอยู่ในกระโจม เริ่มรู้สึกถึงความเงียบผิดปกติ แม้จะเป็นเวลาพักผ่อน แต่ก็มิควรจะเงียบถึงเพียงนี้ เสียงคุยกันของทหารค่อยๆ เบาลง แม้แต่เงาของเวรยามที่เดินผ่านไปมาหน้ากระโจมก็บางตา ขณะเริ่มสำเหนียกถึงความผิดปกติ ธนูดอกหนึ่งก็ปลิวเข้ามาเสียบบนเสากระโจมอย่างหนักหน่วง รุนแรง!
"ใครน่ะ"
ขุนพลห้าวิ่งออกไปนอกกระโจม แล้วต้องตกตะลึง เมื่อพบว่า ค่ายทหารของตน มีแขกสำคัญมาเยือนยามวิกาลกลุ่มใหญ่ แถมมาอย่างเงียบกริบ ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ ยืนประจันหน้ากับกระโจมของท่านแม่ทัพห่างเพียงแค่ไม่ถึงสามสิบก้าว ไร้ซึ่งใครมาขัดขวางป้องกัน
"เฮ้ เฮ้ ตื่นสิ ข้าศึกบุกแล้ว นี่ พวกเจ้า เป็นอะไรไป เสี่ยวเถียน ฮั่วถัง..."
เขาก้มลง เขย่าตัวปลุกเรียกทหารที่เฝ้าอยู่หน้าค่าย แต่พวกเขาสลบไสลราวกับสิ้นชีพไปแล้ว มิแค่สองคน แต่เป็นนายทหารเกือบทั้งหมด ที่ตกอยู่ในอาการเดียวกัน คือ นอนหลับสนิท เกะกะอยู่กลางทาง หาใช่การหลับตามปกติแน่นอน เพราะปลุกเรียกขนาดนี้แล้วยังไม่ตื่น มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น
"เอี๋ยนถง เกิดอะไรขึ้น"
หยางเยี่ยเดินออกมา การประจันหน้าโดยไม่คาดหมาย ทำแม่ทัพใหญ่ยืนอึ้ง ปฏิกริยาแรกคือ หันขวับมองทหารที่ประจำอยู่บนหอยามสูง ปราการด่านแรกที่ควรจะส่งข่าว หากมีผู้บุกรุก สองนายนอนราบอยู่บนนั้น ไม่อาจเดาได้ว่าสลบ หรือสิ้นใจแล้ว
"ท่านพ่อ พวกทหาร ห...หลับหมดเลย!"
แม่ทัพใหญ่ย่อกายลง จับชีพจรบนมือของลูกน้องอย่างว่องไว แล้วพึมพำ
"พวกเขาไม่ได้หลับ แต่ถูกพิษ!"
"หา..."
"แม่ทัพหยางสมเป็นผู้เชี่ยวชาญรอบด้าน แม้แต่พิษผงจันทราที่ร้ายแรงที่สุดในธิเบต ยังถูกท่านตรวจพบได้ น่าเสียดายที่รู้ตัวช้าไป"
หวังหงเยี่ย ยืนมือไพล่หลัง เอื้อนเอ่ยอย่างทระนง ห้าวหาญ รอยยิ้มมีชัยปรากฏบนใบหน้า หยางอู่หลางจับทวนขึ้นมา กวัดแกว่งตั้งท่า หยางเยี่ยกลับยืดกายขึ้นอย่างเยือกเย็น มองสำรวจบริเวณโดยรอบค่าย พบว่า แม้ทหารส่วนใหญ่จะถูกพิษจนสลบไสล แต่ยังมีส่วนน้อย ที่มีสติอยู่ และถูกจับ คร่ากุมตัวให้ไปอยู่ในซอกเงาของต้นไม้ใหญ่ และป่าข้างทางอย่างมิอาจขัดขืน
"โจรเป่ยฮั่น แน่จริง ก็เข้ามา ตัวต่อตัว"
เขาจำนางได้ เพราะเคยเกือบต้องตายเพราะนางมาแล้วครั้งหนึ่ง หวังหงเยี่ยยิ้มเย็นเยือก หยางอู่หลางร้องก้องอย่างเดือดดาล จะถลันเข้าไป บิดาเอาแขนขวางไว้ ใช้สายตาเป็นสัญญาณให้อยู่ในความสงบ
"วางยาค่ายทหารที่สาม และบุกมาถึงนี่ได้ แปลว่า พวกเจ้ามีฝีมือไม่น้อย แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ก็อย่าหวังจะได้กลับออกไป"
แม่ทัพใหญ่ประกาศเสียงเข้มอย่างกล้าหาญ ขณะเดียวกัน ก็ไตร่ตรองสถานการณ์อย่างสุขุม ประการแรก ด้วยการซ่อมแซม ปรับปรุงค่ายที่ผ่านมา ไม่น่าจะมีช่องโหว่ให้โจรกู้ชาติเข้าถึงตัวได้ง่ายขนาดนี้ มีเหตุผลประการเดียว คือ เกลือเป็นหนอน หรือมีสายลับปลอมตัวเข้ามา ประการสอง จัดการกับกองทหารส่วนใหญ่ได้แล้ว กลับยืนรออย่างสงบ นิ่งเฉย ไม่ลงมือแบบฟ้าแลบ บุกเข้าไปจับตัวเขา และบุตรชาย แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า ด้วยสถานการณ์ที่ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้เช่นนี้ แน่นอนว่า เขาสมควรจับอาวุธ แล้วสู้รบจนตัวตาย แต่หยางเยี่ยมิอาจหักใจทำได้ เนื่องด้วยชีวิตบุตรชายที่อยู่ข้างๆ และกองทหารที่ถูกจับตัวไว้ หากเขาม้วยมอด พวกนั้นย่อมมีอันเป็นไป เขาหาได้กลัวตายรักชีวิตไม่ แต่ในฐานะแม่ทัพ การปกป้องชีวิตผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นหน้าที่ จึงต้องรอดูท่าทีศัตรูก่อน
"เขาว่าคนเก่ง ย่อมคล้อยตามสถานการณ์ ท่านทำถูกแล้ว ที่ไม่หักหาญลงมือ มิเช่นนั้น ไม่เพียงตัวท่านต้องพลีชีพ บุตรชาย และลูกน้องของท่านเกือบพัน ก็ต้องสังเวยชีวิตด้วย ที่ถูกจับกุมก็ส่วนหนึ่ง ที่สลบอยู่ด้วยฤทธิ์ผงจันทราก็ส่วนหนึ่ง ท่านแม่ทัพเปรื่องปราดวิชายาพิษ คงดูออกว่า พวกเขาใกล้จะเดินทางสู่ปรภพแล้ว!"
"หา...!"
หยางอู่หลางร้องอย่างตกใจ รีบก้มลงตรวจอาการทหารอีกครั้ง ก็พบว่า ใบหน้าเริ่มเป็นสีเขียวคล้ำ
"ท่านพ่อ ใบหน้าเขาเปลี่ยนสี ตัวก็เย็นชืด ชีพจรเต้นอ่อนเต็มที จะไม่มีลมหายใจแล้ว"
หยางเยี่ยอึ้ง ก่อนจะตัดสินใจเลือกคุ้มครองผู้อยู่ในอาณัติเป็นอันดับแรก
"ได้ แปลว่าตอนนี้พวกเจ้าถือไพ่เหนือกว่าข้า คิดจะทำอย่างไรล่ะ"
"หึ ถ้าข้าหมายชีวิตของท่าน คงสั่งพลธนูยิงเข้าไปแล้ว ที่ข้ามานี่ เพราะอยากเจรจา ตกลงเงื่อนไข ถ้าท่านยอมรับ พวกเขาทั้งหมดจะรอดตาย หาไม่แล้ว ที่นี่ก็จะกลายเป็นสุสานทหารที่นองเลือดที่สุดในแผ่นดิน และเตรียมตัวรับโทษประหารจากฮ่องเต้ในวันพรุ่งได้เลย"
"ข้าหยางเยี่ยไม่กลัวตาย แต่ถ้าพวกเจ้าต้องการเจรจา ข้าก็ยินดีรับฟัง"
"ท่านพ่อ อย่าไปฟังมัน เราบุกออกไปเถอะ ข้าจะช่วยท่านฝ่าออกไปให้ได้"
หยางอู่หลางมิอาจทนเห็นพ่อต้องตกเป็นรองพวกข้าศึก หยางเยี่ยยกมือห้ามลูก
"ลองบอกข้อเสนอเจ้าออกมา ดูซิว่าข้ารับได้หรือไม่"
"หึ ยืนคุยกันตรงนี้นานไป น่ากลัวจากได้เปรียบ ข้าจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน ใครจะรู้ว่าท่านแกล้งถ่วงเวลา เพื่อรอคนมาช่วยรึเปล่า และข้าก็ไม่อาจยืนเป็นเป้านิ่ง ให้พวกของท่านมาดักซุ่มทำร้ายได้ พาข้าเข้าไปคุยในกระโจม ข้าจะตกลงเงื่อนไขกับท่านเพียงสองคน"
หวังหงเยี่ยเสนอความต้องการ หยางเยี่ยนิ่งคิดอย่างชั่งใจ
"ท่านพ่อ อย่าไปนะ"
เขาเกรงว่าจะเป็นลวดลายของนางโจรสาวเสียมากกว่า แต่แม่ทัพใหญ่ไม่มีทางเลือก
"ตกลง เชิญ!"
หยางเยี่ยผายมือ หวังหงเยี่ยยิ้มมีชัย สั่งลูกน้องให้ยืนอยู่ตรงนั้น ตัวเองเดินนำแม่ทัพใหญ่เข้าไปในกระโจมกลาง บิดาหันมากระซิบกับลูกห้า
"เจ้าเฝ้าพวกเขาไว้ คอยสังเกตความเคลื่อนไหว ไม่ชอบมาพากล รีบเข้าไปบอกข้า"
ขุนพลห้าจึงยืนเผชิญหน้ากับกลุ่มกองโจรเหล่านั้นที่ด้านนอกเพียงลำพัง
พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงแล้ว หากผู้ที่มีธาตุอินล้วนในร่าง กลับมิใคร่หวาดหวั่นถือสา ยืนทระนงอยู่บนเนินเขาอย่างองอาจ มองจันทร์กลมใหญ่ที่ลอยอยู่ห่างออกไป ด้วยแววตาเหม่อลอยเซื่องซึม วิตกในเรื่องของประเทศ จนลืมเลือนโรคร้ายของตนเอง ที่อาจจะกำเริบขึ้นได้
"ย่งฉี..."
ได้ยินเสียงลูกหินกลิ้งตกเขา จึงหันไปมอง พบว่า หญิงงามในคราบหนุ่มหน้ามน ปีนยอดเขาขึ้นมาบนเนินอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว เปรี่ยมด้วยความทรหด แข็งแกร่ง นางเข้ามายืนตรงหน้าเขา ยกมือคำนับ บอกเสียวห้าว
"คารวะ ท่านแม่ทัพ"
"นี่...เจ้าขึ้นมาทำอะไร"
"ข้าน้อยนอนไม่หลับ ก็เลย...มาชมดาวน่ะ"
"ชมดาว หึ อารมณ์เจ้าสุนทรีย์ดีนะ"
"ข้าเห็นท่านแม่ทัพ ก็ขึ้นมาบนเนินนี้บ่อยๆ ยามราตรี ท่านก็อารมณ์สุนทรีย์เหมือนกันนั่นแหละ"
"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ากำลังเหงา"
เขาพึมพำเศร้าๆ ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งลงเคียงข้างกันบนพื้นหญ้าที่เขียวชอุ่ม
"ทำไมถึงชอบมาอยู่บนนี้คนเดียว ท่านน่าจะกลับจวนเทียนปอนะ"
"ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นี่ ย่งฉี เจ้าว่าพระจันทร์สวยกว่า หรือดวงดาวสวยกว่า"
นางหันไปมองท้องฟ้าอย่างพินิจ ก่อนตอบตามใจ
"พระจันทร์ดวงใหญ่ ทอแสงสว่างจ้า ทั้งทรงอำนาจ และมีมนต์ขลัง แต่ข้าชอบดาว
มากกว่า"
"เหรอ ทำไมล่ะ"
"เพราะว่ามันน่ารัก แม้เล็ก สว่างเพียงน้อย แต่สุกสกาวสดใสตามกำลัง ไม่โอ้อวด เจียมตน มีความสุขกับแสงระยิบระยับอันนิด ไม่ต้องแข่งขันกับใคร เวลามองบนฟ้า เห็นดาวหลายดวงพร่างพราย ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอย ดวงจันทร์ทำให้เคลิ้มฝัน แต่ดวงดาวทำให้ผ่อนคลาย และมีความสุข อาจเพราะว่าข้าไม่ยิ่งใหญ่เหมือนดวงจันทร์ และพอใจเป็นแค่ดาวดวงน้อยๆ ที่น่ารักเท่านั้น"
บรรยากาศความอบอุ่นในคืนนี้ กล่อมเกลาจนนางเริ่มเคลิบเคลิ้ม เผยธาตุแท้ของสตรีอันละเอียดอ่อน โรแมนติก ออกมาทีละน้อย และนั่นทำให้หยางซื่อหลางประทับใจมาก
"ต่างกับข้า ข้าชอบดวงจันทร์มาก"
"เหรอ"
"เพราะว่ามัน...ช่างเหมือนตัวข้า...จริงๆ เลย!"
เขาตอบละเมอ เหม่อมองแสงทองอร่ามด้วยแววตาลึกซึ้ง นางเข้าใจเป็นอีกอย่าง
"ท่านคงรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่เหมือนเทพจันทราใช่ไหม"
"ยิ่งใหญ่เหรอ ฮ่ะ ฮ่ะ เปล่าเลย ข้ารู้สึกขมขื่น และต้อยต่ำเช่นดวงจันทร์ต่างหาก"
"ดวงจันทร์จะขมขื่น และต้อยต่ำได้อย่างไรกัน"
นางถามอย่างสงสัย ไม่เข้าใจเลย
"เวลาเจ้ามอง เจ้าไม่รู้สึกหรือว่า มันดวงใหญ่ แต่ช่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง เทพแห่งจันทรา เทพแห่งรัตติกาล ที่เฉิดฉายเพียงลำพัง เปล่งแสงอย่างเหงียบเหงาเดียวดาย"
"ตะวันก็เงียบเหงาเช่นกัน ดวงจันทร์ยังมีดวงดาวเป็นเพื่อนนะ"
"ใช่ แต่พอดวงจันทร์ส่องแสงขยายอำนาจของมัน ก็ไม่มีดาวดวงใดหยุดมันได้!"
เขาพูดอย่างสะท้านสะเทือนใจ นางขมวดคิ้ว หันมาจ้องงงๆ ครุ่นคิดว่า คืนนี้ เขาช่างดูแปลกๆ ไปเสียจริง คล้ายคนมีความในใจล้ำลึก
ผ่านไปอึดใจเดียวเท่านั้น หวังหงเยี่ยก็เดินออกจากกระโจม พร้อมกับหยางเยี่ย ในสภาพที่แลดูปกติทุกอย่าง เรียบร้อยทุกประการ เหมือนคนเข้าไปคุยเรื่องธรรมดาต่อกัน
"หวังว่าท่านจะนำกลับไปขบคิดให้ดี นี่เป็นทางเลือกสุดท้าย และเป็นทางออกที่ดีที่สุดของท่าน พวกเราไป!"
นางยอมถอนกำลังกลับไปง่ายๆ ทั้งปล่อยพวกทหารที่จับกุมอยู่ หยางอู่หลางมองกลุ่มโจรจากไปอย่างเงียบกริบ และเร้นลับ ด้วยแววตาฉงน
"ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น"
"เจ้านำยานี้ไปให้พวกทหารที่ถูกพิษกิน"
บิดามอบขวดยาใบหนึ่งให้กับเขา บุตรชายรับมาอย่างยินดี นึกรู้ทันทีว่าเป็นยาถอนพิษ
"ครับ"
แม่ทัพใหญ่ยกมือไพล่หลัง เดินมาข้างหน้าสองก้าว ขณะขุนพลห้า และพวกทหารที่ถูกปล่อยตัว ช่วยกันรับยามา นำไปป้อนพวกทหารที่สลบไสล แม่ทัพใหญ่ก็นิ่งคิดอย่างสุขุม
"เจ้าเห็นชัดรึยัง!"
เสนาบดี ผานเหรินเปรียน ที่แอบซุ่มซ่อนตัวอยู่บนเนินเขามาเนิ่นนานแล้ว ถอนสายตาจากค่ายทหาร หันมาถามทหารคนสนิท
"ชัดครับ ท่านเสนา"
"ดี คราวนี้เจ้าหยางเยี่ย ดิ้นไม่หลุดแน่!!"
พูดเสียงกร้าว แถมรอยยิ้มสมใจ สาสน์ที่ถูกคนร้าย ลอบส่งเข้ามาในบ้านของเขา คือข้อมูลสำคัญ ที่ทำให้ตัวเขาต้องมาที่นี่ เมื่อมาก็ได้เห็นกับตาตัวเอง ถึงความจริงในสาสน์นั้น
บนเนินเขา...เวลาเดียวกัน
"ท่าน...รู้สึกจะสนใจดวงจันทร์มากนะ"
นางลองไถ่ถาม ถึงอาการแปลกๆ ของเขาในยามนี้ เขายิ้มซึม
"ก็ข้าบอกแล้วไง ว่ามันเหมือนตัวข้า"
"คืนนี้จันทร์เต็มดวง สว่างสดใสดีจริง ข้าอยากจะเข้าไปสัมผัสมันใกล้ๆ ดูสักครั้ง"
หยางซื่อหลางมองนางที่คาดหวังอย่างสดใส แล้วพยักหน้า พาจูงมือไปดูใกล้ๆ นางร้องอย่างยินดี วิ่งเข้าไปแตะขอบจันทราดวงใหญ่ยักษ์อย่างหลงไหล และพึงพอใจ
"สวยจริงๆ ร้อนจังเลย ข้านึกว่าดวงจันทร์จะเย็นชืดซะอีกนะ"
เขายืนนิ่ง คำเตือนหนึ่งที่ได้ยินมานานจากมารดา วูบขึ้นมาในสมอง
...จำไว้นะ ซื่อหลาง ตอนจันทร์เต็มดวง เจ้าต้องอยู่ให้ห่างจากรังสีมากที่สุด หากเจ้าเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ ต่อให้กินยาไปสิบเม็ด มันก็ช่วยไม่ได้ เจ้าอาจตายเพราะถูกธาตุอินแทรกซึมชีพจรหัวใจได้ทุกเมื่อ...!
เขาควักขวดยาออกมาจากร่าง กรอกเม็ดยาลงคอหลายเม็ด โดยที่นางไม่ทันเห็น ก่อนจะสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง เมื่อรังสีแผ่เข้ามาทำปฏิกริยากับร่างกาย
"นี่ ท่านลองมาแตะดูสิ มันร้อนผ่าว ไม่เย็นเลย"
นางชี้ชวนอย่างระรื่น หาสังเกตไม่ว่าใบหน้าของเขากำลังซีดลงทุกขณะ
"ข้าแตะไม่ได้หรอก เข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้"
"มาเถอะน่า โอกาสดีๆ แบบนี้ นานๆ จะมีสักทีนะ"
นางหาได้รู้ความนัย จูงมือเขา ฉุดดึงไปยืนอยู่ข้างจันทรา แล้วจับแขนเขายกขึ้นให้มือได้สัมผัสกับขอบกลมนั้นอย่างตื่นเต้นยินดี
"ดูสิ เป็นยังไง อุ่นมากใช่ไหม มันสวยจริงๆ ใช่รึเปล่า"
ใบหน้าเริ่มเย็นวาบ ปรากฏไอเย็นวูบเป็นระยะๆ พยายามข่มความหนาวเหน็บที่เริ่มสะท้านอย่างรุนแรงอยู่ภายใน หลับตา ครุ่นคิดในใจอย่างขมขื่น ปวดร้าว
...พระจันทร์...ดวงนี้เอง...ที่ทำร้ายข้า...มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...
"เอ๊ะ ทำไมมือท่านเย็นจัง ตัวท่าน...มีไอขาวพวยพุ่งออกมาด้วย เย็นยะเยือกอะไรเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น ท่านเป็นอะไร อ๊ะ"
มิอาจทานทนไหวอีกแล้ว ร่างของคนป่วยโรคประหลาด ทรุดลงไปนอนตัวสั่นกึกๆ ม้วนตัวงออย่างหนาวเหน็บ ทรมาน ราวถูกใครนำน้ำแข็งเข้ามาแช่ไว้ในอวัยวะภายในเต็มไปหมด นางร้องลั่น มองอาการเขาอย่างตกใจ พยายามพยุงตัวขึ้นมา แต่แค่จับ ก็เย็นสะท้านน่าแตกตื่น
"ซื่อหลาง...ซื่อหลาง... ท่านเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้าตกใจสิ ท่านอย่าเป็นอะไรนะ"
"...หนาว...หนาวจังเลย...ท่านแม่...ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว!"
เสียงพร่ำเพ้อ ละเมอ ทำให้นางฉุกใจคิด
"หนาวเหรอ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ"
"...จันทร์...พระจันทร์..."
"หา จันทราเหรอ เพราะดวงจันทร์นี่เหรอ"
ผานจื่อเอียนร้องงุนงง ก่อนตัดสินใจด้วยไหวพริบ ลากร่างเขาออกมาห่างจากดวงจันทร์ แต่เพราะบนนั้นเป็นเนินสูง ไม่มีทางหลบรัศมีพ้น จึงทำได้เพียงลากเขามาอิงแอบกองไฟ ให้ความร้อนช่วยคลี่คลายความหนาวเย็นเท่านั้น
"ท่าน อย่าเป็นอะไรนะ ทำไงดีล่ะ ทำไมหนาวได้ถึงเพียงนี้ ตัวท่านเย็นชืดเหมือนน้ำแข็ง แถมมีไอขาวพวยพุ่งออกจากร่าง ใบหน้าก็วูบวาบซีดเผือด ข้าจะทำยังไงดี ใช่แล้ว ต้องตามจิ้งจง"
นางผลุนผลันจะจากไป เพื่อปีนเนินลงไปตามทหารเอกมารักษาเขา แต่หยางซื่อหลางฉุดมือไว้
"อย่า...อย่าทิ้งข้า ได้โปรด...ช่วยด้วย..."
"อ๊ะ ซื่อหลาง..."
เขาฉุดนางล้มลงไปนอน แล้วขยับตัวโผเข้ากอดแนบแน่น นางร้องอย่างตกใจแทบสำลัก
"ซื่อหลาง..."
"ช่วย...ช่วยข้า...กอด...กอดข้าหน่อย..."
"ซื่อหลาง ท่านเป็นอะไรไป ไม่นะ ท่านต้องไม่เป็นไร ข้าจะกอดท่าน"
นางมิอาจทนเห็นเขาทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ แม้ตัวเขาจะคล้ายน้ำแข็งก้อนใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ หล่อนก็มิเกรงกลัวหวาดหวั่นใดๆ แล้ว สนองความอบอุ่นให้แก่เขา เพียงหวังให้เขาทุเลาอาการลงบ้าง หากเขาบีบรัดร่างนางแน่นเกินไป จนหายใจแทบไม่ออก
"ย่งฉี...ย่งฉี.."
ในสติที่เลือนลาง ใกล้จะดับวูบเต็มที เขารู้ว่าตัวนางแนบชิดอยู่ตรงนี้ มีความอบอุ่น ตื้นตันใจ และซาบซึ้งอย่างมิอาจอธิบายเป็นคำพูด เขาไร้พลังจะต่อต้าน มิอาจควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว กำเริบครั้งนี้ หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าครั้งไหน รู้ตัวแล้วว่าแม้ได้ไออุ่นจากร่างนางก็มิอาจบรรเทาคลี่คลายลง ธาตุอินอันเหี้ยมโหด เลือดเย็นที่ครอบคลุมไปทั่วชีพจรสำคัญทั่วร่าง ส่งสัญญาณเตือนว่า ชีวิตเขาใกล้จะดับสิ้นในอีกอึดใจนี้!!
"ซื่อหลาง ท่านต้องไม่เป็นไร ท่านต้องหาย ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าอยู่กับเจ้า..."
ยิ่งนาน กายเขาก็ยิ่งสั่นหนักขึ้น รุนแรงจนนางมิอาจสงบใจได้อีก ลุกขึ้นนั่งมองร่างที่คุดคู้อยู่ด้วยความทรมานขีดสุดอย่างตกตะลึง แม้จะไม่ทราบถึงโรคร้าย แต่อาการอย่างนี้ นางผู้ฉลาดย่อมสังเกตได้ว่า เขาใกล้จะไปปรภพเต็มทีแล้ว!
"ทำยังไงดี ไม่ได้ผลเหรอ แบบนี้ไม่ดีแน่ เขาต้องมาเป็นอย่างนี้เพราะข้า ข้าควรรับผิดชอบ ซื่อหลาง ข้าจะปล่อยให้ท่านตายไม่ได้"
กัดฟัน ชั่งใจอย่างหนัก ตัดสินใจคุกเข่าลง หันหน้าไปทางดวงจันทรา ยกมือขึ้นกล่าวคำสาบาน ด้วยความกล้าหาญ และมั่นคง
"พระจันทร์เป็นพยาน ข้าผานจื่อเอียน ต้องการช่วยชีวิตหยางซื่อหลาง ไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือคิดอุบาทว์สกปรก ข้า...ข้ายอมสละเกียรติของตน เพื่อรักษาอาการเขา เป็นการทำบุญอันประเสริฐ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ขอตัดพ้อ หรือเสียใจ ขอเทพจันทราโปรดคุ้มครองเขาด้วย"
นางค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างอย่างช้าๆ ภายใต้แสงจันทรา ส่องให้เห็นความนวลเนียน ขาวสล้างได้รูป สะอาดอ้านหมดจด อันงดงามสมบูรณ์แบบ หันมาพยุงร่างเขาขึ้นนั่ง คนป่วยมิรู้ความ ผวากอดแนบชิด ตักตวงไออุ่นอันล้ำค่าจากร่างงามอย่างทุรนทุราย นางหลับตานิ่ง ทำใจให้สงบ แต่มิอาจหยุดยั้งหัวใจที่เต้นถี่แรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงก่ำ ปล่อยให้เขาแนบชิดอย่างพอใจ ทนทานต่อความหนาวเย็น ที่แทบจะแทรกซึมเข้ามาภายในกายของนางด้วย หากเพียงชั่วไม่นาน ความเหน็บหนาวนั้นก็ค่อยๆ จางไป เปลี่ยนเป็นความอบอุ่นที่วิเศษยิ่งนัก!
ความคิดเห็น