ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไพรบรรพกาล

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 448
      12
      14 เม.ย. 62




    คำว่า "เจ้าป่า" ทำให้คณะชาวกรุงหูผึ่ง พวกลูกหาบลุกขึ้นยืน

    "เสือ!" เทอดศักดิ์อุทาน ขนลุกซู่เฉียบพลัน สองสาวสีหน้าตกใจ

    "ยังไม่ทันไร เจ้าแห่งพงไพรมาเยี่ยมเยียนซะแล้ว" ชัชวาลว่า ผิวปากหวือ ในดวงตามีแววคึกคะนอง มากกว่าจะหวาดหวั่น

    "ปกติ พวกสัตว์ป่าตัวใหญ่ รวมถึง เสือ ไม่เคยมาป้วนเปี้ยนบริเวณแถบนี้ครับ ถิ่นอาศัยของมันอยู่ลึกกว่าเยลโลว์สโตนเข้าไปมาก น่าแปลก ที่ครั้งนี้ ออกมาไกลจากแหล่งหากิน ผมเลยว่าจะชวนพรานออกสะกดรอยตามดูสักหน่อย ว่าเป้าหมายของมันคืออะไร และไปในทิศทางไหน จะได้วางแผนรับมือถูก"

    เผ่าไทยพูดเสียงเรียบ สีหน้าอาการไม่แสดงความวิตกลนลาน กฤตธาจ้องหน้านิ่ง พยายามสังเกตว่า พรานใหญ่ปกปิดอะไรไว้รึเปล่า

    "เอาให้แน่ คุณเผ่าไทย แค่สะกดรอยตาม หรือ ไล่ล่า มัน"

    หัวหน้าคณะถามเสียงต่ำ พรานไพรเกาคางยิกๆ เขารู้สึกว่า ดอกเตอร์หนุ่มเบื้องหน้านี้ เป็นคนฉลาด ช่างสังเกต และอ่านใจคนเก่งเอาเรื่อง

    "ถ้ามันไปไม่ไกลจากห้วยนางพญานัก และเดินทับเส้นทางของเรา ก็คงต้อง "เก็บ" ครับ ปล่อยไว้ไม่ได้ ไม่ใช่แค่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับพวกเรา ชาวบ้านไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่ตามหลังเรามา จะพลอยซวยไปด้วย เสือพลัดถิ่นส่วนใหญ่ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะใกล้หมู่บ้านอย่างนี้"

    "อ้าว ล่าก็บอกล่าสิ ทำไมต้องปดว่าสะกดรอยตามด้วย" รัญชนาติ รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีก ที่พรานไพรบ่ายเบี่ยงเฉไฉ

    "เอาน่า รันก็... อย่าจับผิดนักเลย" เทอดศักดิ์สะกิด กระซิบเสียงอ่อน เผ่าไทยวางหน้าเฉย ทำหูทวนลม

    "คุณพบร่องรอยของมันบริเวณไหน เป็นเสืออะไร ตัวใหญ่มากไหม" กฤตธาถามต่อ ไม่สนใจความยุ่งของหญิงสาว

    "จากลักษณะรอยเท้า น่าจะเป็นเสือโคร่งครับ ขนาดใหญ่ทีเดียว ผมเจอรอยย่ำบนดินหลังหนองน้ำ รอยข่วนบนเปลือกไม้ มันคงไปกินน้ำ และหาอาหาร เพิ่งจากไปไม่นาน น่าจะราวๆ ยี่สิบนาทีก่อน แถวนี้ไม่มีสัตว์ใหญ่พอจะรองรับกระเพาะมันด้วย จากเส้นทาง มันมุ่งหน้ากลับ แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่า มันจะย้อนกลับมาไหม เพื่อความปลอดภัย ผมจึงจะไปจัดการก่อน ทุกคนจะได้เดินทางต่ออย่างราบรื่น คงไม่คิดว่า ผมดูถูก หรือ ไม่ไว้ใจพวกคุณนะครับ จากที่พกปืนมา ก็ทราบว่าพอมีฝีมือกัน เพียงแต่ ระยะทางอีกยาวไกล เซฟกระสุนไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า และที่อยากไปเพียงลำพัง เพราะความสะดวกคล่องตัว เสือมีประสาทสัมผัสไว ถ้าไปเป็นขบวนใหญ่ เข้าไม่ถึงตัวมันแน่" 

    กฤตธาเดินเข้ามาตบหลังจอมพรานเบาๆ พูดเสียงอ่อนโยน 

    "เข้าใจ ไม่คิดว่าเป็นการปรามาสไรหรอก แค่เป็นห่วงจึงถาม แปลว่า คุณจะไปกับพรานเฒ่าสองคน ให้พวกเรารออยู่ที่นี่ จนกว่าจะเสร็จเรื่องใช่ไหม"

    "ไม่นานหรอกครับ ถ้าผมเห็นว่ามันออกนอกเส้นทาง ไปคนละทางกับเรา หรืออยู่ไกลเกินไปแล้ว ผมคงต้องปล่อย รับรองว่าไม่เกินหนึ่งชั่วโมงครับ"

    "งั้นเอาอย่างนี้..." คนเอ่ยห้าวๆ คือ ชัชวาล "...คุณตามพรานคนหนึ่ง กลับมารวมกลุ่มกับพวกเรา เพราะเสือตัวหนึ่งมาถึงนี่แล้ว วางใจไม่ได้ว่าจะไม่มีตัวที่สอง ทางนี้มีแต่พวกลูกหาบ เกิดเรื่องขึ้นมาจะรับมือไม่ไหว ส่วนผมขอสมัคร ไปแทนผู้ช่วยของคุณ ร่วมล่าเจ้าเสือโคร่งเอง"

    "ห๊า...!" คนอุทานดัง คือ เทอดศักดิ์ "เล่นบทบู๊ตั้งแต่เปิดเรื่องเลยเหรอวะ ชัช ห้าวจริง" ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นมองอย่างทึ่ง

    "มันก็ต้องมีคน "เปิดซิง" ก่อนอ่ะนะ ใครอ่อนแอก็รอคิวต่อไป" ชัชวาลเท้าสะเอว ยกไหล่กวนๆ รัญชนาหมั่นไส้ ยกเท้าเตะขาเบาๆ

    "ไหวเหรอ ชัช" กฤตธาถาม 

    ชัชวาลยิ้มมุมปาก "ถามไม่สมเป็นแกเลยว่ะ ต้องถามคุณเผ่าไทยมากกว่า ว่าสารรูปอย่างผม ไหวไหม?"

    พรานใหญ่เป่าลมพรู ปลดไรเฟิลจากไหล่มาถือไว้ กล่าว

    "ไหวไม่ไหว ไปหาคำตอบเอาด้านหน้าละกันครับ เสียเวลามากแล้ว ผมขอตัวก่อน จะเรียกบุญหมายกลับมาให้" 

    พูดจบ ก็เดินเร็วจากไปทันที ชัชวาลปลดเป้ออกจากบ่า ทิ้งแบะไว้บนพื้น มือแตะปืนสั้นที่เอวอย่างเช็คความพร้อม ก่อนก้าวยาวๆ ตามหลังไป

    "โชคดีโว้ย" เทอดศักดิ์อวยพร โบกมือ เพื่อนฝูงยืนส่งเรียงหน้ากระดาน มองตามอย่างเอาใจช่วย พวกลูกหาบไม่ตื่นเต้นกระไร แยกย้ายไปพักผ่อน ชัชวาลชูนิ้วโป้งมาทั้งหันหลัง รัญชนาหมั่นไส้คนขี้เต๊ะ ป้องปากร้องดัง

    "ระวังเสือคาบไปกินเน้ออออ!"



    สักครู่ บุญหมายก็เดินกลับมา กฤตธายืนรออยู่คนเดียว พรรคพวกแยกย้ายกันไปหมดแล้ว

    "ไปทางไหนกันเล่า ลุงหมาย เส้นทางเดียวกับเราไหม" ร้องถาม

    "ทางเดียวกันแหละครับ นายใหญ่ ดีว่าคุณเผ่าเจอรอยเท้ามันเสียก่อน ไม่อย่างนั้น จ๊ะเอ๋กลางทางแน่" บุญหมายตอบ ก่อนทรุดนั่งลงบนโขดหิน ควักสิ่งของอะไรไม่รู้ลักษณะคล้ายเปลือกไม้จากในย่ามแกออกมาเป่าๆ เช็ดถู 

    "อ๋อ ปกติ แถวนี้มีเสือพลัดถิ่นบ่อยไหมล่ะ" นั่งลงตรงข้าม ถามมาอย่างชวนคุย เพราะการเดินทาง ทำให้ไม่มีโอกาสสนทนากับพรานเฒ่าเลย

    "ไม่บ่อยเลย ถึงป่าแถวนี้อุดมสมบูรณ์ แต่ไม่ใช่ทำเลหากินของพวกเสือ ป่าลึกอาหารเยอะกว่าอีก แต่... ป่ามันเชื่อมต่อถึงกันหมด หลงมาบ้างก็ไม่แปลก"

    พอเช็ดถูเรียบร้อยแล้ว ก็เอาเข้าปากกัดกินหน้าตาเฉย กฤตธาไม่อยากสงสัย คนป่ากินเศษไม้ใบหญ้าเยอะแยะไป และอาวุโสตรงหน้า จากคำพูดจา ก็ดูปราดเปรื่องมากกว่าจะโง่เขลา 

    "อืม... งั้นลุงหมายว่า มันจะเป็นไปได้ไหม ที่นายเกี้ยง...พรานซึ่งรอดออกจากป่าเมื่อวาน แล้วเสียชีวิตลงนั้น จะได้รับบาดเจ็บ เพราะไอ้เสือโคร่งตัวนี้"

    หัวหน้าคณะถามอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่า หลังจากบัวขาววิ่งขึ้นบันไดบ้าน มาแจ้งข่าวเรื่องเสือเขี้ยวดาบนั้น พรรคพวกรวมถึงตัวเขาเอง ได้ตามไปดูด้วย หลังจากพยายามเยียวยาบาดแผลและพิษไข้กันตามประสาชาวบ้าน (คนที่รักษา ก็คือ หมอสมุนไพร บุญหมาย คนนี้นี่แหละ) ยื้อมาแทบทั้งคืน ก็ไม่อาจรอดมัจจุราช ไม่มีใครตลกขบขัน หรือพูดอะไรขึ้นมา เกี่ยวกับชื่อ "สัตว์ดึกดำบรรพ์" ที่พรานเกี้ยงพร่ำเพ้อก่อนตาย เพื่อนคนอื่นจะคิดอย่างไรเขาไม่ทราบ แต่สำหรับตัวเขา... มันฝังใจอย่างประหลาด ทั้งที่ไร้เหตุผลที่สุด

    "โอ๊ย เป็นไปได้สูงเลยนาย จากแผล... ไม่เสือโคร่ง ก็เสือดำ เสือดาวแหละ สัตว์ตระกูลเสือก็มีอยู่เท่านี้ เว้นแต่ นายจะเชื่อว่าเป็นเสือเขี้ยวดาบ ฮ่าฮ่าฮ่า" บุญหมายพูดแล้วหัวเราะ ก่อนพึมพำ "...ดีเหมือนกัน ได้แก้แค้นให้ไอ้เกี้ยง"

    กฤตธายิ้มจืดๆ ลอบถอนใจ เขาอุตส่าห์เลี่ยงถามพรานใหญ่ แต่ดูเหมือนพรานแก่ก็ไม่มีวี่แววเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเลย เขาคงเพี้ยนไปแล้วจริงๆ



    เผ่าไทย ชัชวาล และบัวขาว ออกตามรอยเจ้าป่า...

    พรานใหญ่ชี้ให้ดูรอยเท้าเสือ และเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในการเดิน เขานำหน้า ชัชวาลอยู่กลาง บัวขาวปิดหลัง ย่องเบากริบในความเงียบ คอยสำเหนียกเสียงพิรุธต่างๆ ป่าดิบที่ถูกถางล่วงหน้า ด้วยฝีเท้าเจ้าสี่ขา ปรากฏร่องรอยอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะบนพื้น หรือบนต้นไม้

    ไม่มีเสียงพูดจา เพราะต้องการทำเวลา พรานใหญ่เดินเบามาก และเร็วมาก ราวกับลอยได้ ชัชวาลกลืนน้ำลายลงคอหนืดๆ เขาพยายามแล้ว แต่เสียงฝีเท้ายังดังเด่นชัดที่สุดในสามคน ไม่รู้ว่าพวกพรานมีวิชาตัวเบาหรือไร นี่กระมังเป็นที่มาของคำว่า หาตัวจับยาก

    สะกดรอยตามมาประมาณสามร้อยเมตร เผ่าไทยหยุดแล้วคู้ลง พิงหลบใต้ต้นไม้ ทั้งสองรีบคู้ตาม กลิ่นสาบกระทบนาสิก แม้แต่คนเมืองอย่างชัชวาลยังได้กลิ่น มันฉุนจนเหลือเชื่อ...

    "อยู่..." ชัชวาลกระซิบ แต่คำว่า "ไหน" ไม่ทันหลุดจากปาก พรานใหญ่ที่นั่งหันหลังพิงต้นไม้ หันหน้าหาเขา ทำปาก "ชู่ว์" เบาๆ แล้วยกมือ ชูหัวแม่โป้งข้ามไหล่ตัวเองไปข้างหลัง ส่วนตาจับหน้าชัชวาลนิ่ง ไม่กะพริบ

    ชัชวาลกระตุกคิ้วฉงน ค่อยๆ เอียงหน้าไป ภาพที่เห็น ถึงกับเบิกตาโต ตัวเย็นเฉียบ กลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ

    หลังต้นไม้ใหญ่ที่กำบังร่างพวกเขาจนมิด เสือโคร่ง หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อ เสือลายพาดกลอน เพศผู้ ตัวใหญ่มาก วัยฉกรรจ์เต็มที่ ความยาวสามร้อยห้าสิบเซนติเมตร น้ำหนักน่าจะอยู่ราวๆ สองร้อยห้าสิบกิโลกรัม กำลังนั่งหมอบ หันบั้นท้ายให้มนุษย์ กัดแทะซากเนื้อกวางกินอย่างเอร็ดอร่อย ท่าทางมันคงขย้ำมานานแล้ว เพราะกวางตัวนั้น กำลังจะเหลือแต่กระดูก

    อะไรก็ไม่ร้ายเท่า พวกเขานั่งอยู่ห่างจากตัวมัน ไม่ถึง สามสิบเมตร!!

    ขณะที่ชัชวาลเอียงหน้าไปตะลึงอยู่ เผ่าไทยสบตากับบัวขาว อย่างรู้ทัน เพราะร่วมงานกันมานาน บัวขาวค่อยๆ ย่องออกไป จังหวะเดียวกับที่เผ่าไทยเคลื่อนตัวไปด้านหลังต้นไม้อีกต้น ในแนวมุมตรงกับร่างบัวขาว เสือโคร่งได้ยินเสียงย่ำใบไม้ ดัง ...กรอบ... ซึ่งบัวขาวตั้งใจทำ มันหันขวับมา แยกเขี้ยวขู่ พรานเฒ่าค้อมตัวลง ค่อยๆ ก้าวถอยหลัง เจ้าเสือร้ายซึ่งยังไม่อิ่ม มีหรือจะปล่อยอาหารอันโอชะหลุดมือไป มันกระโดดลงจากเนิน วิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า จังหวะเดียวกับบัวขาว หันหลังหนีขึ้นเนินสูง มันกระโดดกลางอากาศ ห่างแค่คืบจะตะครุบหลังพรานเฒ่า...

    ปัง...!! นัดเดียวแผดก้องกังวานไปทั่วป่า เสียงนกกระพือปีกขึ้นจากต้นไม้ เสียงฝีเท้าสัตว์ป่าวิ่งระนาวตามสัญชาตญาณ แต่... สัตว์ที่ไม่มีโอกาสหลบหนีไปไหนได้อีกแล้ว นอนตะแคง ทอดร่างแน่นิ่งอยู่บนพื้น

    พรานใหญ่ในท่าคุกเข่าประทับปืน ควันกรุ่นลอยจากท่อกระบอกไรเฟิล ค่อยๆ ลดปืนลง แล้วลุกขึ้นยืน เช่นเดียวกับชัชวาล ที่เหมือนถูกจังหวะเมื่อครู่สะกดจนตะลึงลาน พรานบัวขาวที่วิ่งหน้าตั้ง โดดเข้าถึงตัวเสือร้ายก่อนใคร ตามด้วยพรานใหญ่ ชัชวาลได้สติเมื่อเผ่าไทยเรียก จึงเข้ามารุมล้อมอีกคน

    "รุกฆาต...!" ชัชวาลคุกเข่า สำรวจบาดแผลบนใบหน้ามัน ผิวปากหวือ

    "กลางแสกหน้า ระหว่างช่องตาพอดี แม่นฉมัง"

    "ไม่ได้ตั้งใจจะโชว์ หรือ โอ้อวดหรอกครับ แต่ระยะแค่นี้ ไม่มีวิธีไหนจัดการมันได้นอกจากแผนล่อ ขอโทษด้วยที่พามาใกล้เกินไป เพราะผมกับบัวขาวเคยชินกับการปราบเสือในพื้นที่แคบ"

    ชัชวาลลุกขึ้นยืน ยื่นมือออกแทนคำพูด จอมพรานจับตอบ

    "ขอบคุณที่ไว้ใจผม ตกใจก็จริงแหละ แต่ได้รสชาติดี ความท้าทายอย่างนี้สิ ที่น่าหลงใหล"

    "คุณสอบผ่านครับ เป็นคนอื่นคงวิ่งเตลิด หรือ แตกตื่นไปแล้ว"

    "งั้นคราวหลังให้ผมเป็นคนวิ่งแทนลุงขาวได้ไหม!" หนุ่มชาวกรุงถามกลับหน้าตาเฉย เผ่าไทยชะงัก เลิกคิ้วอย่างทึ่ง ปรากฏรอยยิ้มในแววตา

    "เอ่อ มันมี... รายละเอียดเล็กน้อยอยู่ในการวิ่งน่ะครับ ง่า... เช่นว่า หากวิ่งช้าไป เสืออาจตะครุบก่อน หากวิ่งเร็วไป ผมอาจลั่นไกไม่ทัน"

    "ฮ่าฮ่าฮ่า..." ชัชวาลปล่อยก๊าก หัวเราะตัวงอ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า พ่อพรานไพรจอมขรึมตรงหน้า มันตลกหน้าตาย แถมร้ายกาจในฝีมือขั้นเทพจริงๆ





    เสียงปืนที่ดังขึ้นหนึ่งนัด ทำให้สองสาวที่แช่อยู่กลางลำห้วยชะงัก...

    เมื่อกลุ่มล่าเสือเข้าป่า รัญชนา กับ วิชชุนีย์ จึงคร่าเวลาโดยการหนีมาลงเล่นน้ำ คลายร้อน ซึ่งกฤตธาอนุญาตแล้ว แต่ก็สั่งให้เทอดศักดิ์ถือปืนมานั่งคุมด้วย สองสาวให้เขาหลบอยู่หลังโขดหิน ชายหนุ่มเอนนอนว่าจะงีบสักหน่อย กำลังจะหลับอยู่แล้ว เสียงปืนทำให้ลืมตา ลุกขึ้นมานั่ง ชะเง้อคอพ้นโขดหิน

    "เฮ้ย เอากันแล้ว"

    ...ฉ่า... วิชชุนีย์อยู่ใกล้ กวักน้ำใส่หน้าเทอดศักดิ์อย่างแรง ร้องแหว "ไม่ได้หูหนวก ไม่ต้องแจ้งข่าว หันไป!"

    เพื่อนหนุ่มร่างโย่งยกมือลูบหน้า บ่นอุบ ก่อนล้มตัวลงนอนตะแคง หันหน้าไปอีกทาง

    สองสาวเรือนร่างเปลือยเปล่า อวดความงามสะพรั่งใต้ผืนน้ำสีเขียว หันมาสบตากัน นิ่ง เพื่อสดับฟังเสียง แต่หลังจากเสียงปืนนัดแรกแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดตามมาอีก จึงกระซิบกระซาบพูดคุยกันอย่างสงสัย

    "เสียงไรเฟิลนะ น่าจะพรานใหญ่" วิชชุนีย์กล่าว

    "ทำไมดังแค่นัดเดียว ยิงเสือ นัดเดียวพอเหรอ?" รัญชนาข้องใจ

    "ก็...ถ้าเข้าจุดตายก็น่าจะอยู่มั้ง เขาเป็นพรานอาชีพ ล่าสัตว์มาเท่าไหร่แล้ว คงไม่พลาดหรอกน่า"

    "หรือไม่งั้น ก็อาจถูกเสือตะปบหัว เรียบร้อยโรงเรียนป่าไปแล้ว" รัญชนาพูดลอยๆ กวักน้ำลูบท่อนแขน ยิ้มระรื่น

    "บ้า! อยู่ดีๆ ไปแช่งชักหักกระดูกเขาทำไม เออ เธอนี่แปลกเนอะ รู้สึกว่าไม่ชอบตาพรานนี่เอาซะเลย ทั้งๆ ที่เขาก็ดูสุภาพ อ่อนโยน ขรึมเข้ม เก่ง เท่ ครบสูตรเจ้าพ่อพงไพรดีออก ทำไม เขามาจีบ หรือทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่เธอเหรอ" 

    วิชชุนีย์ถามหยอกๆ พลางหัวเราะสดใส รัญชนาชะงัก ค้อนตาคว่ำ 

    "บ้า! ก็เห็นๆ อยู่ว่าเขากวนประสาท แถมไม่ชอบคุยกับฉัน เอาเวลาที่ไหนมาชีกอ ฉันว่า หมอนี่ เย่อหยิ่ง ยะโส ถือดี แล้วก็อวดเก่ง ไม่เห็นสุภาพ นอบน้อมตรงไหนเลย พี่กฤตน่ะไม่รู้ชอบเข้าไปได้ยังไง เออ ถ้าบอกว่าเหมือนกับตาพี่ชัชก็ว่าไปอย่าง พ่อพรานเย็นชา กับ นายปากหมาเลือดเย็น เข้ากันดี คิก คิก

    หญิงสาวปิดปากขำในฉายาที่ตั้งขึ้นเอง เพื่อนสาวหัวเราะตาม ก่อนจะหันมองรอบๆ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป

    "ไม่นึกว่าชีวิตจะได้มาอยู่ในที่แบบนี้ ขอโทษนะรัน ฉันอยากขอโทษเธอ และทุกๆ คนจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันอ่อนแอ จนถูกมันควบคุม ทำร้าย เธอกับเพื่อนๆ คงไม่ต้องมาที่ป่าพราก เดินป่าทุรกันดาร ลำบากลำบนกันอย่างนี้"

    วิชชุนีย์แสดงความเสียใจผ่านแววตาเศร้า รัญชนาหมดความสนุกทันที ลุยน้ำมากอดคอปลอบโยน

    "พูดแบบนี้อีกแล้ว เพื่อนรัก... เรื่องมันเกิดขึ้นกับเธอคนเดียวที่ไหนกันล่ะ ทุกคนก็เผชิญชะตากรรมเหมือนเธอทั้งนั้น เพราะพวกเราห่วงใยซึ่งกันและกัน จึงได้เกิดการเดินทางนี้ขึ้น เราจะไปป่าพราก เพื่อค้นหาความลับของมัน ไขปริศนาที่ตามรังควาญ และปีศาจที่ตามหลอกหลอน เราต้องรู้ให้ได้ ว่าพวกเราทั้งห้าคน เกี่ยวข้องอะไรกับที่นั่น!"

    วิชชุนีย์ยิ้มออก เมื่อได้รับกำลังใจที่ดี ก่อนจะนึกขึ้นได้

    "ครึ่งวันผ่านมานี้ เธอเห็น "เงาดำ" นั้นอีกรึเปล่า"

    "ไม่นะ ไม่เห็นมันมาตั้งแต่เข้าหมู่บ้านหินขาวแล้ว ก็ดีอย่างเนอะ เราจะได้เดินป่าอย่างสงบ ไม่ต้องพะวงศึกหลายด้าน เอาล่ะ รีบอาบน้ำเถอะ ก่อนที่เจ้าพ่อพงไพรหน้าหงิกจะกลับมา แล้วหาว่าเราเป็นตัวถ่วง เฮอะ" 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×