คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : กนกเมทนี เกตุเรืองแก้ว
กรุงเทพฯ
ประเทศไทย
ภายในสตูดิโอชั้นหรูของบริษัทเดอะไลท์
ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายแบบเครื่องประดับอัญมณีขึ้นปกนิตยสาร “เดอะไลท์
จิวเวลรี่” และงานซ้อมแสดงโชว์ของเหล่านางแบบบนแคทวอล์ค
ยามนี้ ฝ่ายจัดการแสดงกำลังฝึกซ้อมโปรเจ็คใหม่กันอย่างคึกคัก แข็งขัน
เพราะจะมีงานโชว์สำคัญในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า เหล่านางแบบชั้นสูงในวงการ
ช่างกล้อง และฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ล้วนเป็นพนักงานมืออาชีพของบริษัททั้งนั้น
สตูดิโอหรูหรากว้างใหญ่แห่งนี้ ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งในบริษัท ทำงานกันอย่างสะดวก
มิดชิด เป็นความลับ และปลอดสายตาคนนอก
หญิงสาวรูปร่างงามงด
หน้าตาหมดจด วัยยี่สิบเจ็ดปี ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ารูป กับกางเกงขายาวสีครีม
คาดเข็มขัดประดับเลื่อมสีทอง ยืนถือสมุดโครงงาน คอยชี้นิ้วสั่งการ อธิบายงานกับลูกทีมอยู่
ประธานบริษัทหนุ่มเดินเข้ามา ยืนกอดอกมองดูเงียบๆ
“ขยันขันแข็งดีจริง เหนื่อยไหม คุณครีเอทีฟ?”
เสียงทักทายนุ่มหูดังขึ้นเบื้องหลัง
กนกเมทนีหันมา ร้องอุทาน
“บอส! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
“เมื่อวานนี้ เป็นไง ราบรื่นดีไหม ใกล้จะถึงวันงานแล้วนะ?”
พวกพนักงานหันมากล่าวทักทายบอสใหญ่
ก่อนจะลงมือทำงานต่อ ครีเอทีฟสาวสวยยิ้มอย่างมั่นใจ
“พร้อมเกือบทุกอย่างแล้วค่ะ
เหลือแค่...เพิ่มเติมลูกเล่นในการพรีเซ็นต์อีกสักหน่อย รับรองว่า
อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า งานจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบ”
“เชื่อมือคุณอยู่แล้ว อีกสิบนาทีเจอกันที่ห้องประชุมนะ”
ประธานหนุ่มเดินออกไป
กนกเมทนียิ้มปลื้มในคำชมของเขา ซึ่งทำให้หล่อนหัวใจพองโตทุกครั้งที่ได้ฟัง
ณ.
ห้องประชุมใหญ่ของบริษัทเดอะไลท์ จิวเวลรี่
เหล่าหัวหน้าแผนก
และกลุ่มผู้บริหารสำคัญๆ ของบริษัท ต่างเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน
โดยในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง ชั้นบนสุดของตึกสูง 19 ชั้น
มีโต๊ะยาวอยู่กึ่งกลางห้อง หัวมุมโต๊ะ คือ ประธานบริษัทใหญ่ ตามฟ้า
เรืองฤทธิ์ธารันท์ เลขาของเขา คือ นิตยา ยืนอยู่ข้างหลัง ด้านขวามือหัวแถว คือ เถกิงรมณี หญิงวัยสี่สิบสองปี ตำแหน่งรองประธานบริษัท
ควบตำแหน่งหัวหน้าใหญ่แผนกการขาย ด้านซ้ายมือหัวแถว คือ ดิลก
หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบสามปี หัวหน้าใหญ่แผนกการเงิน รองลงมา คือ หัวหน้าแผนกครีเอทีฟ
กนกเมทนี เกตุเรืองแก้ว เนตรลดา หัวหน้าแผนกลูกค้าสัมพันธ์ วีรยุทธ
หัวหน้าแผนกโฆษณา นอกนั้นเป็นกลุ่มรองฯ และผู้ช่วย
ทั้งหมดมีผู้เข้าร่วมประชุมสิบสองคน
บรรยากาศภายในห้องประชุมเงียบสนิท
อย่างเป็นพิธีการ ก่อนที่ท่านประธานจะเริ่มกล่าว
“ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ที่เดอะไลท์โลดแล่นอยู่ในวงการ
เรามีพัฒนาการที่สูงขึ้น ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ จนมายืนอยู่แถวหน้า
เป็นบริษัทชั้นนำของโลก กิจการเติบโตยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะช่วงสามปีหลังสุด เราทำกำไรได้เป็นอันดับต้นๆ
ของประเทศ มีลูกค้าวีไอพีมากมาย ผมทราบดีว่า นี่เป็นผลจากความตั้งใจทำงาน อย่างเป็นมืออาชีพ
ขยันซื่อสัตย์ มีวินัย และสมัครสามัคคีของทุกคน ผมขอขอบคุณ และสัญญาว่า คนดีมีคุณธรรม
และความสามารถ จะได้รับค่าตอบแทนอย่างสมเกียรติแน่นอน”
พนักงานทุกคนนั่งนิ่ง
ขณะท่านประธานร่ายยาว กนกเมทนีลอบมองชายหนุ่มหล่อเหลา วัยเยาว์บนหัวโต๊ะ แวบหนึ่ง แววตาเลื่อมใสจับใจ
เขาอายุยี่สิบแปดปีเท่านั้น แต่กลับนั่งคุมบังเหียนใหญ่อย่างเดอะไลท์ได้อย่างทระนงองอาจ
ทั้งวุฒิภาวะ การวางตัว สติปัญญา บารมี ความสามารถ ความเป็นผู้นำ
นั้นช่างสูงเกินวัยของเขาเสียจริงๆ
“เริ่มจาก คุณพงศ์ธรก่อนเลย
ผมขอเลื่อนตำแหน่งคุณขึ้นเป็นรองหัวหน้าแผนกการเงิน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
ชายหนุ่มหน้าจืดวัยสามสิบสามปีที่นั่งอยู่เก้าอี้ท้ายสุด
อ้าปากค้างตะลึงงัน ขณะที่ดิลก ร้องค้านอย่างตกใจ
“ด...เดี๋ยวก่อน บอส ย...อยู่ดีๆ เลื่อนตำแหน่งหมอนี่ได้ยังไง? มันเพิ่งทำงานได้ไม่ถึงสามปี แล้ว วีระผู้ช่วยผมล่ะ?”
บอสใหญ่หันมองหน้าดิลก
ด้วยแววตาขรึมระคนสมเพศเล็กน้อย ขณะที่ วีระ รองหัวหน้าแผนกการเงิน ผู้ช่วยของดิลก
นั่งตะลึง หน้าซีดอยู่เคียงข้างเจ้านายเขา
“คุณพงศ์ธรแม้อายุการทำงานไม่มาก ประสบการณ์น้อย แต่ทำงานเก่ง ละเอียด
รอบคอบ และซื่อสัตย์ มีความขยันครบถ้วน ผมติดตามผลงานดูแล้ว เชื่อว่า ตำแหน่งนี้
ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับเขา ส่วน คุณวีระ...”
ตามฟ้าโยนซองเอกสารสีน้ำตาลที่นิตยายื่นให้ลงบนโต๊ะด้านหน้าชายหนุ่มหนวดครึ้ม
แล้วกล่าวเสียงเรียบ
“ผมขอไล่คุณออก โทษฐานทุจริตต่อหน้าที่!”
วีระ
ทะลึ่งพรวดขึ้นจากเก้าอี้ จนทุกคนหันมามอง เขาร้องตะโกนขึ้นกลางห้องว่า
“ผมไม่ได้ทำ! ผมถูกใส่ร้าย!”
“ในซองเอกสารนั้น มีหลักฐานการทำผิดของคุณครบถ้วน คุณเป็นนักพนัน
เล่นการพนันเป็นอาชีพ พอถึงคราวเสีย หมดตัว ก็ไปกู้นอกระบบ ได้เงินมาเข้าบ่อนอีก
หนี้เก่ายังไม่ได้ชำระ หนี้ใหม่ทดเพิ่ม จนตอนนี้ตัวคุณมีหนี้สินรุงรังเป็นหลักล้าน
เจ้าหนี้ก็คอยตามทวง ถึงขนาดขู่ฆ่าถึงบ้าน หมดปัญญาหาเงิน
ก็แอบยักยอกเงินบริษัทไปใช้ เลือกเอา ว่าจะให้ผมดำเนินการตามกฎหมาย หรือ
จะยอมออกไปโดยดี?”
ตามฟ้ากล่าวเสียงเรียบ
แต่เฉียบขาดทรงอำนาจ ทุกคนหันไปมองผู้กระทำผิดด้วยสายตาเหยียดหยาม ยกเว้นเถกิงรมณี
ที่นั่งสีหน้ากังวล กับดิลกที่กระวนกระวาย อยากช่วยแต่ก็กลัวโดนไปด้วย
เลยได้แต่หุบปาก วีระกวาดตามองทุกคนอย่างโกรธแค้น ก่อนเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไป รองประธานบริษัทพูดขึ้นเป็นครั้งแรกว่า
“สั่งรปภ. ข้างล่างให้จับตัวเขาไว้ เราจะส่งเขาให้ตำรวจ”
“ไม่ต้อง ปล่อยเขาไป เขาไม่มีพิษสงอะไรหรอก”
บอสใหญ่สั่งแทรกขึ้นทันที
เถกิงรมณีนิ่งเงียบ ตามฟ้ากวาดตามองทุกคน ก่อนพูดส่งท้ายอย่างเยือกเย็น
“อย่างที่ผมบอก ใครทำดี ย่อมได้ดี
หวังว่านี่จะเป็นบทเรียนให้ทุกคนรู้จักคุณค่าของชีวิตมากขึ้น และช่วยกันรักบริษัทของตัวเองให้มากกว่านี้
ใครพบเห็นคนทำผิด อย่านิ่งเฉย หากว่าผมสืบรู้ คุณจะโดนไปด้วย
และยิ่งถ้าใครให้ความร่วมมือกับคนเลว จ้องจะทำความฉิบหายให้กับบริษัท
ขอเตือนไว้เลยว่า โทษสำหรับคนๆ นั้น จะเลวร้ายอย่างถึงที่สุดแน่! ปิดประชุม”
ณ.ห้องรองประธานบริษัท...
เถกิงรมณี
เดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่างจากดิลกที่หน้านิ่วคิ้วขมวด
ด้วยความไม่สบอารมณ์จัด
“นี่ แรนดี้ ทำไมอยู่ในห้องประชุม คุณไม่พูดอะไรสักคำเลย
ปล่อยให้ตามฟ้าทำตามอำเภอใจอยู่ได้?”
“พูดอะไร? แค่นี้ยังถูกตอกหน้ากลับมาไม่พอหรือ?”
สาวใหญ่ย้อนเข้าให้
ชักหงุดหงิดในความโง่เง่าของพรรคพวกตัวเอง ดิลกทำหน้างง
“ตอกหน้า? หมายความว่ายังไง?”
“ยังไม่รู้ตัวอีก? ตามฟ้าแต่งตั้งพงศ์ธรขึ้นมา
เพื่อให้เขาจับตาดูคุณ ฉากเมื่อครู่นี้ เป็นแค่การเชือดไก่ให้ “ลิง” อย่างคุณดูเท่านั้น”
“อะไรนะ จ...เจ้าเด็กนั่น...มันกล้าสงสัยฉันงั้นเหรอ?”
ดิลกร้องอย่างตกใจปนโมโห
เถกิงรมณีส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“บอกแล้วไงว่า นายวีระนั่นเป็นตัวยุ่ง คุณก็ยังจะเข้าข้างมันอยู่ได้
ยักยอกเงินบริษัทแค่นี้ นึกว่าตามฟ้าจะไม่รู้เชียวหรือ เขาจับงานบริษัทตั้งแต่อายุยี่สิบนะ
คุณประเมินเขาต่ำเกินไป ตอนนี้ไม่เพียงเสียคนของเรา ตัวคุณยังถูกเฝ้ามอง
กระดิกตัวทำอะไรทีก็ลำบากแล้ว ต่อไปจะทำงานยังไง?”
“โธ่เอ๊ย! กะไอ้แค่พนักงานกิ๊กก๊อก เด็กบัญชีอย่างเจ้าพงศ์ธร
มันจะสักเท่าไหร่กันเชียว กึ๋นมันห่างชั้นกันเยอะน่า”
“คนที่ตามฟ้าเลือก ต้องมีอะไรดีแน่ อย่าประมาทไป ฉันขอสั่งนะ
ช่วงนี้ทำตัวให้ดีหน่อย ฉันไม่อยากเสียคนเพิ่มอีกแล้ว”
สาวใหญ่สั่งเสียงเฉียบขาด
ดิลก หน้ามุ่ย ไม่ค่อยจะพอใจกับคำสั่งของรองประธานนัก แต่ก็ยอมรับคำ
ณ.ห้องประธานบริษัทเดอะไลท์...
บอสหนุ่มนั่งอยู่บนอาร์มแชร์ตัวใหญ่
ในห้องทำงานหรูหรากว้างขวาง
กำลังพลิกนาฬิกาข้อมือเฮอร์คิมเมอร์ส่องกับแสงตะวันทอประกายแวววาวขาวใส พลางคิดถึง
“หญิงสาวเจ้าของร้าน พิงค์ จิวเวลรี่” ผู้เป็นคนเลือกเครื่องประดับชิ้นนี้ให้กับเขา
“...เธอเป็นพนักงานขายที่พิเศษ มีความสามารถไม่ธรรมดา
ถ้าได้มาช่วยงานเราก็คงดี...”
ชายหนุ่มรำพึง
ก่อนจะแอบสงสัยตัวเอง ไม่รู้ว่าที่เขาคิดถึง คือความสามารถของหญิงสาว หรือ
รูปโฉมงดงามทรงเสน่ห์ดึงดูดของหล่อนกันแน่! ก่อนจะรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านไปเสีย
ใส่นาฬิกาไว้ตามเดิม เหลือบไปมองภาพหญิงสาวคนรักที่ส่งยิ้มมาให้จากในกรอบรูปบนโต๊ะ
ก็ยิ้มออกมาอย่างชื่นใจ
“เอ่อ...ขออนุญาตครับ บอส...”
พงศ์ธรเปิดประตูเข้ามา
ตามฟ้าผายมือบนเก้าอี้ด้านหน้า ชายหนุ่มวัยสามสิบสามจ้องมองชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดตรงหน้า
ด้วยสีหน้ากังวลอย่างปิดไม่มิด ยังไม่ทันเอ่ยอะไร บอสใหญ่ก็ทักขึ้นก่อนด้วยรอยยิ้มขำๆ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ คุณพงศ์?
ผมเรียกคุณมาคุยเรื่องงาน ไม่ใช่มารับซองขาวนะ ผมล่ะสงสัยจริงๆ เลย
มันเป็นสัญลักษณ์ของพวกฝ่ายการเงินรึไง ที่ชอบทำหน้ายุ่งๆ เคร่งเครียด
เหมือนคนท้องผูกตลอดเวลาเนี่ย”
“โธ่! บอสครับ...ผมจะไม่เครียดได้อีกหรือ จู่ๆ
บอสก็แต่งตั้งผมเป็นรองฯ ไม่บอกผมก่อนสักคำ”
พงศ์ธรระบายความอัดอั้น
และทำท่าจะร่ายยาว ตามฟ้ายกมือห้าม ถอนใจนิดหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฟังนะ ถึงคุณจะอยู่บริษัทมาแค่สามปี แต่ผมคิดว่าคุณเข้าใจสถานการณ์ในเดอะไลท์ตอนนี้ดีที่สุด
และเข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำ หมายความว่ายังไง ขอถามคุณประโยคเดียวเท่านั้น
จะยอมช่วยผมไหม?”
พงศ์ธรนิ่งอึ้ง
ท่าทางสับสนวุ่นวายสงบลง เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้านายยามนี้ แต่ยังขาดความมั่นใจ
“ผม...ผมไม่มั่นใจว่า...ตัวเองจะมีความสามารถ...ช่วยเหลือบอสได้”
“สิ่งที่ผมขอให้คุณทำ ไม่ยากเลย ตอนนี้ในเดอะไลท์แบ่งเป็นสองฝ่าย
ปัญหามากมายเหมือนคลื่นใต้น้ำที่รอการระเบิด ผมรู้วิธีกำราบมัน ทำเช่นไร
แต่ว่าทำเพียงคนเดียวไม่ได้ ในฐานะหัวหน้า ตอนนี้ คุณคือคนที่ผมไว้ใจที่สุด
ผมแค่ต้องการให้คุณ ทำงานให้ดีในหน้าที่ของตัวเอง และจงรักภักดีต่อ “บริษัท” ของผมเท่านั้น”
คำว่า
“บริษัท” ที่ตามฟ้าเน้น ไม่ต้องถาม พงศ์ธรก็พอเดาออกว่าแปลว่าอะไร
เขาพยักหน้ารับทันที
“ผมอยู่ฝ่ายบอสครับ นี่เป็นเรื่องจริงแน่นอน”
ตามฟ้าสั่นศีรษะ
นิ้วควงปากกาเล่น
“ไม่ใช่อยู่ฝ่ายผม คุณพงศ์ คุณต้องตอบว่า อยู่ฝ่ายบริษัทต่างหาก จำเอาไว้
ระวังเรื่องการพูดจาด้วย”
ชายหนุ่มเตือนมาอย่างจัดเจน
ทำให้พนักงานหนุ่มที่แก่กว่าเขา ก้มหน้าอายๆ ที่เผลอแสดงความอ่อนหัด
ณ.ห้องประธานบริษัทเดอะซัน จิวเวลรี่
บริษัทส่งออกอัญมณีชั้นนำ คู่ปรับของเดอะไลท์
ก้องภพ
บูรณ์พิภพ หนุ่มใหญ่วัยสามสิบแปดปี หน้าตาคมเข้ม บุคลิกงามสง่า เปี่ยมเสน่ห์แพรวพราว นั่งโยกกายบนอาร์มแชร์
ทอดสายตาหวานเชื่อมแวววาวอันมีเสน่ห์น่าหลงใหลสำหรับหญิงสาว จับอยู่ที่ทรวดทรงเลขาสาวสุดเซ็กซี่ที่เดินมาวางกาแฟบนโต๊ะ
อย่างเปี่ยมความหมาย
“วันนี้ไม่ใส่คาร์ซิโดนีหรือ?”
เขาถามเสียงนุ่ม
หมายความถึง สร้อยคอประดับอัญมณีจี้คาร์ซิโดนี ซึ่งตนเองมอบให้หญิงสาวเป็นของขวัญ เมทิดาอมยิ้ม
“แหม ใส่ทุกวันก็ต้องมีเบื่อบ้างสิคะ
บอสกะจะไม่ให้เมย์ใส่เครื่องประดับอย่างอื่นบ้างเลยรึไงกัน?”
สาวเลขาในชุดทำงานรัดรูป
เดินนวยนาดเข้ามาอย่างมีจริต หย่อนก้นริมๆ โต๊ะ แล้วโน้มตัวลงเล็กน้อย คอเสื้อที่ลึกและกว้างจึงหย่อนลง
บอสใหญ่จ้องตาไม่กระพริบ ยื่นมือลูบแขนหล่อนเบาๆ กล่าวพึมพำ
“ก็อัญมณีแบบนั้นมันมีเสน่ห์ ใส่แล้วยิ่งทำให้คุณสวย”
“แล้วตอนนี้...เมย์ไม่สวยรึไงคะ?”
หญิงสาวกระซิบเสียงอ้อน
ดวงตาท้าทาย หมุนตัวท่าสวยมานั่งลงบนตักเขา ทอดแขนโอบรอบคอเขา โน้มกายลงมา ก้องภพกระตุกตัวเข้าหา
เมื่อริมฝีปากสีแดงสดเคลื่อนมาประทับ บทจูบอันเร่าร้อนก็เริ่มต้นขึ้น...
เสียงเคาะประตูห้อง
ดังขึ้นขัดจังหวะ เมทิดารีบลุกขึ้นยืน จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่
ขณะที่ก้องภพรีบปรับอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปกติ ยิ้มกับเลขาอย่างเซ็งเล็กน้อย
เมทิดายิ้มหวานเชื่อมให้อีกครั้ง ก่อนเดินไปเปิดประตู
สาวสวย
แต่ใบหน้าคมเท่กว่า ยืนอยู่หน้าประตู เมทิดาส่งยิ้มให้นิดหนึ่ง ก่อนเดินออกไป
“ว่าไง แซนดี้ งานมีปัญหารึเปล่า?”
ประธานหนุ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเล็กน้อย
แต่ยังคงความนุ่มอยู่ ครีเอทีฟสาวหุ่นเซ็กซี่มองเขา ก่อนยักไหล่
“แซนดี้คุมเอง จะมีปัญหาได้หรือคะ หรือว่าบอสแค่ถามแก้เก้อไปอย่างนั้น?”
น้ำเสียงออกแนวประชด
ดวงตาคมวาวจ้องที่คอปกเสื้อเชิ้ต อันมีรอยสีแสดประทับอยู่อย่างชัดเจน
ก่อนจะเดินไปดึงทิชชู่จากกล่องที่วางบนตู้ด้านหลัง คีบมาส่งให้ เอ่ยเรียบๆ
“วันหลัง เอากล่องทิชชู่มาวางบนโต๊ะดีกว่านะบอส จะได้ทันใช้
เวลามีคนมาขัดจังหวะ...”
หล่อนบุ้ยปากบอกตำแหน่งให้เขา
หนุ่มใหญ่รับมาถือไว้ ยังไม่สนใจจะเช็ด ยิ้มเซ็งๆ
“ประชดอีกแล้ว เฮ้อ!
เกิดเป็นคนเสน่ห์แรงมันก็น่าหนักใจแบบนี้ ทำตัวไม่ถูกเลย”
โศภิตาค้อนขวับ
ก่อนจะทรุดนั่งลงตรงหน้าเขา แล้วรายงานเสียงจริงจัง
“งานสำหรับการโชว์เรียบร้อยสมบูรณ์แบบแล้วค่ะ สองอาทิตย์ข้างหน้า
เราจะเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน”
“มันต้องอย่างนั้น คุณรู้ดีนี่ ว่าผมไม่ชอบความผิดพลาด
และเกลียดความพ่ายแพ้ที่สุด พลังของคุณ บวกกับลูกไม้เล็กน้อยที่ผมวางไว้ในเดอะไลท์
ยังไงเกมนี้เราก็ต้องชนะ เหนือเจ้าเด็กมาร์ตินแน่”
“มาร์ติน” คือ ชื่อสากลของตามฟ้า
ที่ใช้เรียกกันในแวดวงธุรกิจ เป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ที่มาท้าชิงตำแหน่ง “เจ้าพ่อจิวเวลรี่” ในเมืองไทยกับเขา
และเป็นคนที่เขาเกลียดชังแทบจะทุกด้านก็ว่าได้ โดยเฉพา “ตัวตน” ของหมอนั่น มันทำให้เขาด้อยลงทุกครั้งที่เผชิญหน้า
การต่อสู้ครั้งนี้ เขาจึงต้องเป็นฝ่ายชนะให้ได้
ที่ร้านอาหารหรู
ริมแม่น้ำ ยามค่ำคืน...
บนโต๊ะติดขอบแม่น้ำ
ชายหนุ่มแสนหล่อ กับ หญิงสาวแสนสวย นั่งรับประทานอาหารกันอยู่
ชายหนุ่มรูปร่างสง่างาม ส่วนหญิงสาว สวยเรียบ นิ่มนวล บุคลิกเยือกเย็น
รูปร่างสูงระหงของหล่อนอยู่ในเดรสทรงบอลลูนลายทางสีเหลืองครีม
รัดเอวด้วยเข็มขัดหนังสีดำเส้นใหญ่ผูกโบว์ กับเลกกิ้งสีดำ
สวมคัตชูกำมะหยี่สีน้ำตาล หล่อนนับว่ามีเรือนร่างสมส่วน หุ่นงามเหมือนนางแบบ
สวยแบบเรียบๆ หากดูไม่จืดชืด สะอาดผุดผ่อง เรียบร้อยสมเป็นกุลสตรีไปทุกจุด
หล่อนเปล่งประกายเหมือนพระจันทร์เย็นยามราตรี
กนกเมทนี
เกตุเรืองแก้ว เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทพ่อตามฟ้า ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว
หล่อนรู้จักกับตามฟ้ามาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าเติบโตมาพร้อมกันก็ว่าได้ ทั้งคู่คบหาในฐานะเพื่อนสนิท
เมื่อหญิงสาวเรียบจบ ตามฟ้าเป็นฝ่ายชักชวนให้มาทำงานด้วยกัน เพราะหล่อนมีพรสวรรค์ด้านการจัดการแสดง
การออกแบบงานโชว์สุดยอด หล่อนจึงมาเป็นครีเอทีฟข้างกายเขา ได้ห้าปีมาแล้ว
ในฐานะเพื่อน...หล่อนเป็นเพื่อนสนิทรู้ใจ
ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง...หล่อนเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุดในบริษัท
“คุณดิลกคงหัวเสียน่าดูนะคะ ไล่คู่ขาของเขาออก ก็เหมือนขาดแนวร่วม
จากนี้คงระวังตัวมากขึ้น”
กนกเมทนีเปรยขึ้นเบาๆ
ตามฟ้ายิ้มนิดหนึ่ง หล่อนเป็นคนฉลาดหลักแหลม และอยู่ฝ่ายเขาเสมอมา เขาจึงวางใจ
“ท่าทางจะระวังยากสักหน่อยล่ะ หมอนี่ไม่เก่งเรื่องระวังตัว แต่ถ้าเรื่องทำชั่วพลาดล่ะก็
ยกให้เป็นที่หนึ่ง”
ครีเอทีฟสาวหัวเราะขำๆ
อดทึ่งในอารมณ์ขันของเขามิได้ ผู้ชายคนนี้ ช่างรับมือกับปัญหาได้สบายๆ ทุกครั้งเสมอ
“เที่ยวซิดนีย์มา เป็นไงบ้างคะ?”
หญิงสาวถามเรื่อยๆ
อย่างชวนคุย ตามฟ้านึกขึ้นได้ “อ้อ จริงสิ ลืมของฝาก...”
ก่อนล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูท หยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใบเล็กๆ มาส่งมอบให้
หญิงสาวรับมา พยายามวางสีหน้าปรกติ แม้ใจตื่นเต้น
“ว้าว! เซเลไนท์!! รูปหงส์
สวยงามจัง”
หญิงสาวอุทาน
ยิ้มชื่นชอบในของฝากอันแสนงดงามล้ำค่า ซึ่งเป็น เข็มกลัดประดับอกเสื้อรูปหงส์ตัวน้อยๆ
เจียระไนจากอัญมณีหายากที่ชื่อว่า เซเลไนท์ ซึ่งมีสีขาวใสกระจ่าง และสะท้อนแสง
“นี่หรือคะ ของฝาก รู้สึกไม่เหมือนรับมาจากซิดนีย์เลย?”
หล่อนเอ่ยล้อเขา
ชายหนุ่มหัวเราะ
“โทษที มันไม่ใช่สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมายอะไรจากที่นั่นก็จริง
แต่ผมก็ซื้อมาจากซิดนีย์จริงๆ นะ ก็...ผมไม่ถนัดหาของขวัญนี่
อย่างอื่นก็กลัวคุณไม่ถูกใจ จะซื้อตุ๊กตาหมีโคอาล่าให้รึ คุณก็โตแล้ว จะเอารูปปั้นจิงโจ้มีลูกโผล่ในกระเป๋าหน้าท้อง
ก็กลัวคุณตลกขำกลิ้ง อัญมณีแหละดีที่สุด เป็นเครื่องประดับได้
แล้วยังมีคุณค่าด้วยนะ”
“ค่า เชื่อแล้วว่า เลือดนักจิวเวลรี่ในตัวคุณนั้นเข้มข้นจริงๆ ขอบคุณนะคะ”
“ที่จริง ผมจะเลือกคันไซต์ แต่แองจี้ค้านว่า คุณเป็นมือขวาข้างกายผม
ต้องต่อสู้ฝ่าฟันปัญหาในบริษัทร่วมกันกับผมทุกขณะ จึงน่าจะสวมอัญมณีที่ส่งเสริมเกื้อกูลกัน
และลักษณะนิสัยของคุณก็เข้ากับเซเลไนท์ คือ ให้ความร่วมมือดีเสมอ ผมก็เลย O.K”
ตามฟ้าเล่าให้ฟังยิ้มๆ
กนกเมทนีชะงักกึก เมื่อได้ยินประโยคหนึ่ง จ้องตาเขานิ่ง ก่อนจะยิ้มฝืนๆ
“ที่แท้...คุณอินทราณี...ช่วยเลือกให้ด้วย เธอสบายดีหรือคะ?”
“ครับ ดีมาก ฝากความคิดถึงมายังคุณด้วยนะ”
“เก่งจังเลยนะคะ ทั้งสวย ทั้งมีความรู้ในเรื่องอัญมณีดีด้วย”
“เธอมีแฟนเป็นนักธุรกิจจิวเวลรี่นะ ผมไม่ปล่อยให้เธอเขลาในเรื่องนี้หรอก
จะว่าไป แองจี้ก็รักอัญมณี และเรียนรู้มาระยะหนึ่งแล้ว ผมอยากให้คุณทั้งสองเจอกัน
รับรองเลยว่า ต้องเป็นเพื่อนที่คุยกันสนิทถูกคอแน่”
กนกเมทนียิ้มนิดหนึ่ง
ก่อนก้มหน้ารับประทานเงียบๆ เพียงเพื่อหลบซ่อนสายตาเศร้าจากเขา
ซิดนีย์
ประเทศออสเตรเลีย...
ภายใต้ท้องฟ้าผืนดำสนิท
แต่งแต้มด้วยพระจันทร์สีทองเต็มดวง อัญมณีเครื่องประดับอันงามเจิดจรัสสองชิ้น
วางอวดโฉมอยู่บนผืนผ้านุ่มริมหน้าต่าง
รับแสงไออุ่นจากดวงจันทราที่ชโลมสาดแสงลงมาอาบไล้วัตถุล้ำค่านั้นอย่างเต็มที่
โดยมีสตรีนางหนึ่งนั่งเท้าคาง เหม่อมองยอดอัญมณีนั้นอย่างหลงใหล
ด้วยอารมณ์โรแมนติก
“สวยจริงๆ สวยจับใจจนบอกไม่ถูกเชียว เรียกว่าอะไรนะ?”
โธมัส
แคมป์เบลล์ ผู้เป็นบิดา เดินเข้ามาโอบไหล่ ถามหล่อนด้วยแววตาทึ่งๆ ปนสนใจ
“จี้ชิ้นนี้ เรียกว่า พรีเชียสโอปอลค่ะ ส่วนหัวแหวน จากตระกูลเดียวกัน
ชื่อว่า แบล็กโอปอล”
“อืม...รู้อยู่หรอกว่ามีมูลค่ามหาศาล แต่ถึงขนาดต้องเอามานั่งอาบพระจันทร์กันเชียวหรือ?”
บุตรสาวหัวเราะ
หันหน้ามาอธิบายให้ผู้เป็นพ่อ ซึ่งไม่ใคร่มีความรู้ในเรื่องนี้ฟัง
“แองจี้ไม่ได้ลุ่มหลงถึงขนาดเอามาตั้งอวดรัศมีพระจันทร์หรอกค่ะ พ่อ
นี่เรียกว่า วิธีทำความสะอาด มันเป็นหนึ่งในวิธีชะล้างพลังด้านลบให้หมดไป
ซึ่งเหมาะจะใช้กับเครื่องประดับของผู้หญิงอย่าง โอปอล”
“อ้อ! เป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจละ
ลูกก็มีความรู้ในเรื่องนี้ดีนี่นะ แต่ก่อนไม่เห็นสนใจ พ่อแตะได้ไหมนี่?”
บุตรสาวอนุญาต
แคมป์เบลล์จึงหยิบอัญมณีขึ้นมาอย่างระวัง หมุนทาบส่องกับดวงจันทร์อย่างชื่นชม
“ตอนนี้ วิชาอัญมณี เป็นศาสตร์ที่แองจี้ให้ความสนใจเป็นอันดับสองรองจากการเรียนค่ะ
พ่อ ตั้งแต่ได้พบตามฟ้า ซึมซับเรื่องเหล่านี้มา จากความหลงใหลเพียงรูป
มันเพิ่มมากขึ้น จนถึงอยากสัมผัสเนื้อในจริงๆ อัญมณีไม่ใช่แค่เครื่องประดับ
หรือของตั้งโชว์ ที่มีดีเฉพาะรูปโฉมนะคะ คุณค่าที่แท้จริงนั้น คือ
พลังงานธรรมชาติที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ประโยชน์ของสิ่งนี้ จะว่าไป
ก็เปรียบคล้ายเครื่องรางของขลังที่ปลุกเสกแล้ว เพียงแต่
เครื่องรางนั้นให้คุณในขอบเขตที่แคบกว่าอัญมณี ซึ่งมีหลายชนิดกว่าบนโลก”
อินทราณีจูงมือพ่อไปนั่งลงบนโซฟา
พร้อมกล่าวอธิบาย แคมป์เบลล์โอบไหล่ลูกสาวอย่างสนิทชิดเชื้อ
“ดูเป็นวิชาที่น่าสนใจศึกษานะ ดีแล้ว ที่ลูกมีความรู้เรื่องนี้
ต่อไปต้องเป็นภรรยาของนักธุรกิจจิวเวลรี่อันดับหนึ่งของเมืองไทย
จะได้เข้าสังคมของเขาได้ไม่เคอะเขิน ดีไม่ดี อาจได้ทำงานเป็นเลขาของเขาด้วย”
บุตรสาวแก้มร้อนผ่าว
หลบตาบิดา ตอบอ้อมแอ้มว่า
“ใครบอกว่าแองจี้จะทำงานกับเขา?”
“อ้าว พอลูกเรียนจบ ก็ต้องแต่งงาน แต่งแล้วจะไม่ไปทำงานกับเขาหรือ?”
“บริษัทตามฟ้า มืออาชีพชั้นอินเตอร์เขายึดหมดแล้วล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็น
ครีเอทีฟ ดีไซเนอร์ ซูปเปอร์โมเดล พีอาร์ มีที่ให้แองจี้สอดแทรกเมื่อไหร่ และแองจี้ก็ไม่ชอบเป็นลูกน้องใครด้วย
แองจี้แพลนไว้ว่า จะเปิดร้านจิวเวลรี่ในแบบฉบับของแองจี้เองค่ะ”
“แปลกดี ทำไมต้องยุ่งยากแบบนั้น แต่ถ้ามันเป็นความฝันของลูก
พ่อก็สนับสนุนนะ”
ตามประสาชาวต่างชาติหัวสมัยใหม่
ที่นิยมเลี้ยงลูกแบบให้อิสรเสรี แคมป์เบลล์จึงว่าง่ายกับลูกเสมอ
ความคิดเห็น