ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไพรบรรพกาล

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 61




    เผ่าไทย รักษ์พนา มองหนุ่มสาวปัญญาชน จากรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดัง ด้วยความฉงนสนเท่ห์ อะไรทำให้นักศึกษาหัวกะทิ สามในห้า คือ บัณฑิตเกียรตินิยม อนาคตสดใส มีตำแหน่งหน้าที่การงานอันทรงเกียรติในเมืองใหญ่รองรับ ทิ้งชีวิตศิวิไลซ์ เดินทางไกลมาเหยียบย่ำฝุ่นธุลี ในสถานที่ที่เรียกว่า "ไกลปืนเที่ยง"

    "ผมขอยืนยันคำเดิม หากพวกคุณอยากจะท่องไพร เพื่อแสวงหาประสบการณ์ชีวิต ผมยินดีเป็นไกด์พาเที่ยวรอบหมู่บ้านหินขาว หรือถ้าต้องการรสชาติแบบตื่นเต้น ผจญภัย โหดดิบ และบู๊สะใจ ป่า ณ ผาทรายดำ แห่งนี้ ก็นับว่าตอบโจทย์ได้ดีเยี่ยม เพราะภายในพื้นที่เจ็ดสิบตารางวานี้ คุณจะได้พบกับสิงสาราสัตว์แทบทุกชนิด สนุก และลุ้นระทึก ด้วยการประกันชีวิตตัวเอง ไร้ความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ คุณจะมันส์ และได้ฟิลลิ่งระดับถึงเลือดถึงเนื้อ หรือถึงกระดูก แบบหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว"

    กลุ่มอาคันตุกะนั่งเรียงรายบนผืนเสื่อน้ำมันกลางห้องรับแขก เผชิญหน้าเจ้าของบ้าน ที่เอนหลังพิงเก้าอี้หวายด้วยท่าทางสบายอารมณ์ รัญชนาไม่ได้ตั้งใจจ้อง แต่หล่อนถอนสายตาจากตัวเขาไม่ได้เลย ขณะที่เพื่อนๆ บางคนทำหน้าเหวอ บางคนมองทึ่ง บางคนหันสบตากันปริบๆ หล่อนกลับสำรวจพิจารณา "เขา" ตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยแววตาคมกริบ

    พรานใหญ่ และผู้ใหญ่บ้าน แห่ง หมู่บ้านผาทรายดำ วัยสามสิบปี ความสูงเพียงร้อยเจ็ดสิบกว่า รูปร่างสันทัด ค่อนไปทางผอม ผิวสีแทนออกคล้ำ มีรอยแผล รอยขีดข่วนหลายจุด ที่สะดุดตา คือ รอยสักสัตว์ประหลาดบนข้อมือขวา ดูลึกลับ และมีมนต์ขลัง หนวดเคราประปรายบนใบหน้าคมเข้ม ดวงตาสีนิลแหลมคมดุจเหยี่ยว ประเดี๋ยวเจิดจ้า ประเดี๋ยวหม่นทึบ แสดงถึง เป็นคนที่ชอบซ่อนงำประกายความคิด

    "เป็นการโฆษณาที่ประทับใจมาก" ชัชวาลเบ้ปาก กระดกไหล่หยิ่งๆ เขาเป็นหนุ่มวัยสามสิบ รูปร่างกำยำ ผิวคล้ำคมเข้ม ด้วยเป็นนักกีฬาเอ็กซ์ตรีม

    "พวกเราเข้าใจเจตนาของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเตือนด้วยความหวังดี หรือหยามหมิ่นด้วยความขบขัน แต่พวกผมก็ยังขอยืนยันเป้าหมายเดิม เราจะเข้า "ป่าพราก"

    กฤตธา ผู้เป็นหัวหน้าคณะ อายุมากสุดในทีม ตอบมาเสียงเรียบ เขาเป็นชายวัยสามสิบสอง เปลือกนอกดูสำอาง บุคลิกลักษณะคุณชาย ด้วยชาติตระกูลดี แต่เป็นผู้ทรงความรู้ เก่งทั้งบู๊และบุ๋น เป็นที่รัก และเคารพของเพื่อนๆ

    พรานล้วนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหลังเผ่าไทย ฟังการสนทนาอย่างสงบเสงี่ยม ภายในบ้านไม้สองชั้นแห่งนี้ มีเพียงเจ้านายของเขา กับแขก เท่านั้น ส่วนหมาสามตัวที่นอนอยู่ใต้ถุนบ้าน พากันเห่า และหอนเกรียวตอนอาคันตุกะมาถึง ตอนนี้เงียบไปแล้ว บรรยากาศของบ้านกลางป่าใหญ่ในฤดูหนาว ค่อนข้างเย็น และอับชื้น โดยเฉพาะเมื่อมีฝนตกหนักตอนหัวค่ำ

    "ป่าพรากไม่มีอะไรน่าสนใจเลย เป็นแค่ป่าดิบที่ลึกลับ และทุรกันดารเกินกว่าคนจะเหยียบย่าง ไม่มีสัตว์ป่าแสนสวย หรือ ธรรมชาติน่าภิรมย์ เมื่อคุณมาทางใต้ ผาทรายดำ คือ สุดเขตของการผจญภัยแล้ว เลยจากนั้น เป็นความดิบเถื่อนล้วนๆ ไม่มีคนอาศัยอยู่ ยกเว้น เจ้าถิ่น" เผ่าไทยบอกเรียบๆ

    "แปลว่า คุณเคยผ่าน "ที่นั่น" มาแล้วใช่ไหมคะ" วิชชุนีย์ถาม หล่อนเป็นสาววัยยี่สิบหก ผมสีน้ำตาลยาวหยิกลอน รูปร่างอวบ ลักษณะท่าทางแอคทีฟ

    "หลายปีก่อน ผมเคยเข้าไปสำรวจ หวังบุกเบิก หมายจะสร้างทางเชื่อมให้กับหมู่บ้าน เปิดเส้นทางคมนาคมสายใหม่ แต่ก็ล้มเหลว ผมทะลุไปไม่ถึง พูดตรงๆ แบบไม่กลัวเสียหน้า ผมอยู่ในป่านั้นได้เพียงแค่อาทิตย์เดียว ด้วยความอดทน และทรหดสุดๆ แล้ว คุณไม่มีทางทราบว่า ป่าพราก "ทารุณ" แค่ไหน หากไม่เจอกับตัวเอง"

    "ก็รู้หรอกนะว่ามันไม่สบาย หรือหรรษา เหมือนสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ไอ้ข้อมูลของสถานที่นี้เราก็พอทราบมาบ้าง แต่ขอถามเป็นความรู้หน่อยเถอะ ผู้ใหญ่ ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทำไมมันถึงได้ชื่อว่า "ป่าพราก" 

    เทอดศักดิ์ถามยิ้มๆ เขาเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบ สูงที่สุดในทีม รูปร่างผอมแต่แข็งแรง ดวงตาสุกใส อารมณ์ดี บ่งบอกว่าเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา

    "พราก... พลัดพราก... คงหมายถึง เข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมามั้ง" วิชชุนีย์พึมพำ ก่อนยักไหล่ เทอดศักดิ์เหล่มอง สะกิดบอก

    "ตรงเกินไปรึเปล่า ถ้าจะสื่อความหมายอย่างนั้น ทำไมไม่ตั้งให้โดดเด่น น่ากลัวไปเลยล่ะ เช่น ป่าอสูร ป่ามรณะ ป่าวิญญาณ ชื่อเท่กว่ากันเยอะ"

    "ดูหนังแฟนตาซีมากไปแล้ว ไม่ได้จะสร้างละคร หรือเปิดสวนสัตว์นะ ที่นั่นป่าดงดิบ ถึงมีปรากฏบนแผนที่ แต่อยู่ในสภาพตกสำรวจ ไม่มีผู้เปิดร่องบุกเบิก อาจมีบางส่วนหาญกล้าเข้าไป แต่ไม่มีใครกลับออกมาได้สักคนเดียว ป่าพราก นี่คือ พรากเราจากโลกภายนอกเลย" วิชชุนีย์บอกฉาดฉาน

    เผ่าไทยกวาดมองหนุ่มสาวทั้งห้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เขารู้สึกว่า คนกลุ่มนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แค่อยากลองดี หรือท้าทายธรรมชาติ เหมือนนักผจญภัยธรรมดา แม้จุดหมายในการเข้าป่าพรากไม่ชัดเจน แต่จากลักษณะการพูดจา และการโต้ตอบ นับว่าเป็นปัญญาชนคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

    "ผมไม่ได้เกิดที่นี่ เพิ่งเข้ามาตั้งรกรากได้เพียงสิบปีเท่านั้น เรื่องความลึกลับของป่าพราก มีแต่เคยฟังจากปากชาวบ้าน ซึ่งเล่าขานกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ผิดถูกไม่อาจรู้ได้ แม้ตัวผมจะเคยเลียบๆ เคียงๆ อยากพิสูจน์ แต่ด้วยหน้าที่การงานพัวพัน ทำให้ไม่มีเวลายุ่งกับมัน และจากใจจริง แค่เข้าไปครั้งเดียว ผมก็ไม่รู้สึกอยากกลับไปอีก เอาแค่ว่า ป่าผาทรายดำที่ว่าเหี้ยม ยังไม่เท่าครึ่งของป่าพราก ผมไม่ใช่พรานป่าที่เก่งกระไรนัก แต่ก็พอจะหยั่งทราบ "ความร้ายกาจของป่า" จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเคยเตือนนักท่องเที่ยวหลายคนไม่ให้เข้าไป หรือใครมาขอนำทาง จ่ายค่าจ้างนับแสน ผมก็ไม่เอาด้วย ยอมเสียเกียรติ ถูกตราหน้าว่าขี้ขลาด ยังดีกว่าพาใครไปตาย "ป่า" ไหนที่ผมรู้สึกว่าควบคุมไม่ได้ ผมจะไม่เสี่ยง นี่เป็นหลักการทำงานของผม"

    "ฉันว่าคุณบอกรายละเอียดไม่หมด..." หญิงสาวคนเดียวที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้น

    "เผ่าไทย รักษ์พนา พรานใหญ่แห่งลุ่มน้ำสีเขียว ผู้ใหญ่บ้านที่อายุน้อยที่สุด แห่งผาทรายดำ ชื่อเสียง และเกียรติประวัติ เลื่องลือไปทั่วแดนใต้ ว่าเป็นนักล่า ผ่านป่ามาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ทุกห้วยหนองคลองบึง ป่าเขาลำเนาไพร เอ่ยชื่อขึ้นมาไม่มีใครไม่รู้จัก คุณเป็นพรานป่าที่ทุกคนการันตีในฝีมือว่าเป็นที่สุดยอด ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะกลัวป่าที่มีดีแค่ตำนานหลอกเด็ก หรือ ยอมแพ้แก่ความหฤโหดแค่เศษเสี้ยว นั่น... ไม่ใช่นิสัยของคุณเลย"

    เผ่าไทยหันมาสบตา ประกายแสงแวววาวในดวงตาคู่สวยนั้น สะท้อนความกล้าหาญ และท้าทาย ริมฝีปากสีชมพูมันวาวที่เชิดนิดๆ บ่งบอกความดื้อรั้น เอาแต่ใจ และเด็ดเดี่ยว รัญชนา หญิงสาววัยยี่สิบหก ตัวเล็ก ผิวขาวละเอียดเกลี้ยงเกลา รูปร่างบอบบาง อ้อนแอ้นอรชรกว่าวิชชุนีย์ ผมตรงยาวดำสลวยผูกเป็นหางม้า ดวงหน้าสวยหวานดุจแกะสลักจากพระจันทร์ เสื้อสปอร์ต กางเกงยีนส์ และคอมแบทนั้น กลับเปลี่ยนลุคส์หวานให้มีสีสันไม่จืดชืด

    "ขอบคุณที่ยกย่อง..." เขาระบายยิ้มบนริมฝีปาก ก้มหัวคำนับ "...แต่คำสรรเสริญนั้นเกินความจริงไปมาก ผมเป็นแค่พรานป่าธรรมดา ที่รู้จักเจ็บ รู้จักป่วย และรู้จักกลัวตาย เช่นเดียวกับพวกคุณทุกคน"

    รัญชนาประสานสายตานิ่งโดยไม่หลบ ต่างฝ่ายต่างมองตากันอย่างหยั่งเชิง...

    "เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ ค่อยคุยกันต่อ  เชิญพวกคุณค้างที่บ้านผมได้เลย ห้องนอนอยู่ชั้นบน ลุงล้วนจะนำไป ขออภัยหากดูแลไม่ทั่วถึง ที่นี่ เราไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากนัก"

    พรานใหญ่แห่งลุ่มน้ำเขียวบอกไปเป็นไป แต่ยังคงแสดงความมีมารยาท ด้วยการก้มหัว และยิ้มนิดหนึ่ง แทนการราตรีสวัสดิ์ ก่อนจะก้าวยาวๆ หายเข้าห้องไปท่ามกลางสายตาคนมอง หนึ่งในนั้น คือ รัญชนา... 

      
    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×