ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์
ณ ห้องรับแขก พรรคอักษรกระบี่
เฉินชวน และ หยุนเซียวเซียว เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ท้ายห้อง อสูรตาเดียว ตู้เทียนต้า และ ผู้ดูแลหมู่ตึกเทพกระเรียน ลิ้วกิวเฮียบ นั่งเป็นประธานอยู่
"คำนับ อาจารย์ อาวุโสลิ้ว" ศิษย์ทั้งสองคารวะพร้อมกัน
ประมุขพรรคอักษรกระบี่ ตู้เทียนต้า วัยเกือบหกสิบแล้ว รูปร่างสันทัด อ้วนท้วม ใบหน้าดำแดง แววตาดุขรึม หนวดเครารกครึ้ม ลักษณะเหมือนคนเจ้าอารมณ์
"อืม... งานจับมังกรปีนี้ ข้าคิดว่าจะพักผ่อนอยู่ในพรรค ไม่เข้าร่วมการประลองนะ"
"ฮ้า อาจารย์...!?" จู่ๆ ผู้นำพรรคประกาศเช่นนี้ เฉินชวนถึงกับร้องตกใจ หยุนเซียวเซียวก็อึ้ง เพราะไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน
"ข้าสุขภาพไม่ดี และเริ่มเบื่อหน่ายการแข่งขันเต็มที ยุทธภพเป็นของหนุ่มสาว พวกเจ้าไปงานจับมังกรแทนข้าก็แล้วกัน ชวนเอ๋อ..."
"ครับ อาจารย์"
"ห้าวันหลังจากนี้ เก็บตัวฝึกฝนวิชา เพื่อลงชิงตำแหน่งประมุขน้อย!"
"ศิษย์รับทราบ" เฉินชวนดีใจแทบกระโดด รีบรับคำเสียงก้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฝ่ายบุรุษอีกคนที่ยืนข้างๆ หัวใจแตกสลาย จุกกับความผิดหวัง จนหน้าสลดไปชั่วขณะ
ลิ้วกิวเฮียบลูบเครางาม มองพิจารณาหนุ่มน้อยทั้งสอง ขณะประมุขตู้ประกาศ สีหน้ามิเปลี่ยนแปลง ดวงตามิหันไป อันความพิศวงสงสัยนั้น เขารู้จักเก็บซ่อนไว้อย่างดี
"เซียวเอ๋อ..." ตู้เทียนต้าปรายตาคมกริบมายังศิษย์อีกคน
"ครับ อาจารย์" หยุนเซียวเซียวเก็บอาการ คำนับอย่างซึมๆ
"เป็นตัวแทนของข้า กราบคารวะต่อจ้าวยุทธ์ เจ้าถิงฟง ประมุขหมู่ตึกเทพกระเรียน บอกเหตุผลให้เขาเข้าใจ สาเหตุที่ข้าไม่มาด้วย"
หยุนเซียวเซียวเงยหน้า ตาสว่างในบันดล แทบไม่เชื่อหูตัวเอง จู่ๆ ความเจ็บปวดก็มลายไป ความตื่นเต้นดีใจปรากฏแทน แต่ศิษย์คนรอง การควบคุมอารมณ์เป็นยอด แม้นดีใจมากก็ไม่ลิงโลดเปิดเผยเหมือนศิษย์คนโต มีเพียงรอยยิ้ม และเสียงตอบรับที่กังวาน
"ทราบแล้วครับ"
"อาจารย์ แต่ว่า หยุนเซียวเซียว..." เฉินชวนแสดงอาการไม่พอใจ
"ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าออกไปได้" ตู้เทียนต้าสั่งเฉียบขาด
"คุณชายหยุน แล้วพบกันที่งานจับมังกร"
ศิษย์คนรองเดินมาส่งผู้เชิญเทียบ กับ ผู้ติดตามทั้งสองนาย ที่หน้าประตูพรรค ลิ้วกิวเฮียบคำนับอำลา หยุนเซียวเซียวคำนับตอบ ระบายรอยยิ้มอ่อนโยน
"ปีนี้ ข้ามีโอกาสกราบคารวะท่านเจ้ายุทธ์ เป็นหนแรกในชีวิต และยลชมเพลงกระบี่อันดับหนึ่งของศิษย์เอกหมู่ตึกเทพกระเรียน นับเป็นเกียรติที่ใฝ่ฝันมาเนิ่นนาน"
"ฮะ ฮะ ท่านจ้าวยุทธ์ชื่นชมคนเก่ง ส่วนนายน้อยน้ำใจกว้างขวาง ท่านต้องมีโอกาสได้คบหาเป็นมิตรสหายแน่"
"มิกล้า หยุนเซียวเป็นแค่นกน้อยเพิ่งผาดโผน แค่ได้พบพาน ถือเป็นวาสนาแล้ว"
ลิ้วกิวเฮียบไม่ปฏิเสธว่า ยิ่งนาน เขายิ่งประทับใจ บุรุษหนุ่มผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ...
แววตาสุขุม เปี่ยมพลัง... บุคลิกสุภาพ อ่อนน้อม... วาจาไพเราะ อ่อนโยน... อารมณ์บริสุทธิ์ แจ่มใส... จิตใจองอาจ เปิดเผย... โดยรวมแล้ว มีสง่าราศีเหลือเกิน เป็นคุณสมบัติเพียบพร้อม ซึ่งหาได้ยากนักในตัวชาวยุทธ์สมัยใหม่
ประหลาดนัก ที่ยังไม่มีชื่อเสียงในยุทธภพจนถึงบัดนี้!?
"ผู้เป็นสหายของกระบี่เทพบุตรได้ ย่อมไม่ธรรมดา..." เสียงพึมพำดังมาจากด้านบน ทั้งสองเงยมอง พบร่างหญิงสาวชุดม่วง นั่งเหม่อลอย ห้อยขาอยู่บนต้นไม้
"ฟ่งอิง..." เขาเรียกเตือน สหายสาวจึงกระโดดลงมา ค้อมตัวคารวะ
"คำนับ อาวุโสลิ้ว"
"อ้าว แม่นางเหยา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่"
"ท่านอาลิ้วคงมิทราบ หยุนเซียวเซียวเป็นสหายสนิทของข้า เราสองคบหากันแต่เด็ก ข้าแวะเวียนมาเที่ยวพรรคอักษรกระบี่บ่อยๆ"
นางเล่าฉาดฉาน จริงใจ สรรพนาม "ท่านอา" เป็นการถือวิสาสะของตนเอง เพราะในงานจับมังกร เหล่าชาวยุทธ์ล้วนได้รับการต้อนรับดูแลอย่างดีจากลิ้วกิวเฮียบ เหยาฟ่งอิงชื่นชอบอัธยาศัยพ่อบ้านหมู่ตึกเทพกระเรียน จึงพาตัวสนิทสนมคุ้นเคย
"อ๋อ งั้นก็ถือว่าคลี่คลาย สาเหตุที่คุณชายหยุนใช้วิชาตัวเบาของหมู่บ้านดาวตก"
หยุนเซียวเซียวยิ้มเขินนิดหนึ่ง มิรู้ตัวว่ายามพบหน้ากันครั้งแรก ลิ้วกิวเฮียบจะสังเกตตนถึงลักษณะปลายเท้า! หรือคนของพรรคอันดับหนึ่ง จะสายตาแหลมคม ช่างสังเกตทุกคน?
"เรื่องนั้น ข้าเป็นคนสอนเขาเองค่ะ" เหยาฟ่งอิงเสนอหน้า
"น้อยๆ หน่อย ข้าเห็นแล้วประยุกต์นำมาใช้ ก่อนเจ้าเอ่ยปากสอนเสียอีก" หยุนเซียวเซียวดักทันควัน พร้อมค้อนเบาๆ หญิงสาวทำลอยหน้าลอยตา ไม่รู้ไม่ชี้
"ฮะ ฮะ ดี ดี ดี... วันนี้โอกาสเหมาะ ได้รู้จักคบหาสหายน้อยทั้งสอง ถ้าไม่รังเกียจ เชิญร่วมโต๊ะน้ำชา พูดคุยแลกเปลี่ยนกันสักครั้งเป็นไร"
หนุ่มสาวมองหน้ากัน ปรากฏรอยยิ้มทึ่ง ยกมือคำนับพร้อมเพรียง "เป็นเกียรติแล้ว"
ณ โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์...
ลิ้วกิวเฮียบ หยุนเซียวเซียว และเหยาฟ่งอิง เดินขึ้นบันไดสองชั้น สู่ดาดฟ้าของแหล่งสุราชั้นเลิศเมืองอันหลิว ผู้ติดตามสองนาย ล่วงหน้ากลับหมู่ตึก ตามคำสั่งของลิ้วกิวเฮียบ
โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ นับเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ ทานอาหาร ร่ำสุรา ที่นิยมมากสุดในหมู่สหายชาวยุทธ์ มีสาขาทั่วทุกเมืองในยุทธภพ เช่น เมืองอันหลิวนี้ เป็นที่ตั้งของ 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคอักษรกระบี่ และ หมู่บ้านดาวตก แยกอยู่ทางฝั่งตะวันตก และตะวันออก นอกจากนี้ ยังมีพรรคเล็กๆ อีกสองสามพรรค และพวกที่ไร้สังกัด พเนจร
โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ เป็นสถานที่อิสระ มีหน้าที่บริการรับใช้ด้านปากท้อง ไม่ข้องเกี่ยวกับกลไกยุทธภพ แต่ที่นี่ก็มีกฏ ที่ลูกค้าทุกคนต้องรักษา หากอยากนั่งกินอย่างเป็นสุข
1. ต้อนรับลูกค้า ทั้งฝ่ายธรรมะ และ อธรรม
2. พกอาวุธเข้ามาได้ แต่ห้ามใช้อาวุธ (ห้ามต่อสู้)
3. หากฝ่าฝืน (ต่อสู้) จนมีข้าวของเสียหาย จะต้องชดใช้สิบเท่า และหมดสิทธิ์มาเหยียบอีก แต่ไม่ถือสา กรณีแสดงวิชาเพียงเบาๆ
ยามนี้ สองชั้นล่างเต็มหมดแล้ว แต่ดาดฟ้ากลับไร้เงาสักคน ทั้งสามเลือกโต๊ะติดระเบียง เพียงเพิ่งหย่อนก้น เมนูอาหารสามเล่มก็ปลิวมาวางแปะตรงหน้า มุมเป๊ะแบบไม่เฉเอียงสักน้อย ก่อนร่างเสี่ยวเอ้อจะวิ่งมา
"ต้อนรับนายท่าน เชิญสั่งอาหาร"
"ไม่เลว แม้แต่เสี่ยวเอ้อ ก็มีวรยุทธ์น่าชม" หยุนเซียวเซียวสัพยอกยิ้มๆ ตัวเขาท่องยุทธจักรในอีกชื่อ แต่ไม่เคยใช้บริการโรงเตี๊ยมนี้
"นายท่านล้อเล่นแล้ว ข้าก็มีอยู่ท่าเดียวนี้แหละ"
เสี่ยวเอ้อตอบหน้าตาย ทั้งสามหัวเราะ
"สั่งตามสบาย มื้อนี้ ข้าเลี้ยงเอง" ลิ้วกิวเฮียบว่า
"นี่ ช่วงนี้ พบจอมยุทธ์มีชื่อเสียงบ้างไหม" สองชายสั่งอาหาร ส่วนเหยาฟ่งอิงถามไถ่เสี่ยวเอ้อ
"หากงานจับมังกรจัดที่อันหลิว โรงเตี๊ยมข้าคงคึกคัก เดินสวนจอมยุทธ์ชื่อดังเป็นว่าเล่น"
เสี่ยวเอ้อหนุ่มตอบคมคาย ก่อนรับรายการอาหารแล้วเดินจากไป
"ถึงจอมยุทธ์จะน้อย แต่เมืองอันหลิวเรา เทียบกับเมืองชาวยุทธ์ที่อื่น นับว่าน่าอยู่ที่สุด"
เหยาฟ่งอิงเปรยอย่างภูมิใจ พลิกจอกสุราสามใบแล้วรินชา หยุนเซียวเซียวยิ้ม เห็นด้วย
"ถูกต้อง อันหลิวเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ความขัดแย้งบาดหมางของเหล่าชาวยุทธ์มีน้อยมาก บรรยากาศ ทิวทัศน์ ก็สวยงาม แจ่มใส"
"อันหลิวมีชัยภูมิดี ไม่ตั้งอยู่ในวงแหวน 4 มาร จึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือน กับเรื่องใหญ่ในยุทธภพมากนัก" ลิ้วกิวเฮียบเปรยเรียบๆ
"วงแหวน 4 มาร" หมายถึง อาณาบริเวณที่ตั้งของพรรคมาร 4 แห่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ลักษณะเหมือนวงกลม ใน 6 พรรค 7 สำนัก มีถึง 4 แห่ง ที่ถูกโอบล้อมอยู่ในวงแหวนนี้
"จริงสิ อาวุโส ตอนนี้ 4 มาร มีความเคลื่อนไหวไหมครับ" หยุนเซียวเซียวถามอย่างสนใจ
"เงียบสงบเหมือนตกขุมนรกไปแล้ว แต่ทุกคนทราบดีว่า มันเป็นสัญญาณเตือน ก่อนพายุลูกใหญ่จะเข้าซัดสาด" ลิ้วกิวเฮียบลูบเครา บอกเสียงขรึม
"แปลว่า ประมุขเหลียน กับ ไต้ซือซิหมิง ยังไร้ข่าวคราว?" เหยาฟ่งอิงถามบ้าง
"ผิดคาด! ครึ่งเดือนนับจากทั้งสองหายตัวไป หมู่ตึกเทพกระเรียนในฐานะผู้นำการค้นหา ได้รับข่าวสารมากมาย จากเพื่อนสหายชาวยุทธ์ ส่วนใหญ่มาจากพรรคกระยาจก ซึ่งมีหูตากว้างสุดในบู๊ลิ้ม เพียงแต่สารพวกนี้ยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง จึงไม่ค่อยน่าเชื่อถือ อีกทั้ง งานจับมังกรกำลังจะเริ่ม จึงต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน"
ลิ้วกิวเฮียบไม่ได้พูดปด แต่ก็ไม่ได้พูดทั้งหมด เขาพูดในสิ่งที่สหายน้อยทั้งสองสามารถทราบได้ ด้วย "แผนการ" เบื้องลึกกว่านั้น เป็นความลับสุดยอด มิอาจแพร่งพราย!!
"ประมุขป้อมพยัคฆ์คำราม กับ เจ้าสำนักเส้าหลินไม่อยู่ การประลองคงกร่อยนัก"
"ฮะ ฮะ ทั้งสองพรรคต่างมีผู้นำชั่วคราวแล้ว แม่นางเหยาไม่ต้องกลัวจะผิดหวัง"
การสนทนาหยุดลง เมื่อเสี่ยวเอ้อทยอยส่งสำรับ ขณะนั้นเอง 1 ผู้เฒ่า 1 บุรุษ 1 ดรุณี ก็เดินขึ้นบันไดมา...
"ท่านลุงเหมา...!" เหยาฟ่งอิงลุกขึ้น ร้องเรียกชื่อ สีหน้าทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ
ลิ้วกิวเฮียบได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่ แต่ผู้ขึ้นบันไดมากลับมีสามคน พอหันไปมอง จึงยิ้มออกอย่างเดาถูก ผู้ที่สามารถเดินธรรมดา แต่กลับไร้เสียงฝีเท้า ทอดตาทั่วยุทธภพมีเพียง ผู้เฒ่าสายลม เหมาสือซัน อดีตประมุขหมู่บ้านดาวตก เพียงคนเดียว
"ฮะ ฮะ เรียกว่ามีวาสนาจึงพานพบ ท่านลิ้วกิวเฮียบส่งเทียบเชิญพรรคอักษรกระบี่ คนแก่เหมายังอุตส่าห์มาพบที่โรงเตี๊ยมจนได้"
ชายชราวัยเจ็บสิบ รูปร่างผอมเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น แววตากลับสุกใส เปล่งประกายทรงพลัง เดินเหินคล่องแคล่ว ปราดเปรียวยิ่งกว่าหนุ่มสาว มายังโต๊ะของพวกเขา ทั้งวาจาดังกังวาน สีหน้าเบิกบานแจ่มใส แสดงถึงเป็นผู้มีอารมณ์สุนทรีย์
"ผู้เฒ่าเหมา ไม่พบกันเสียนาน ข้าเกือบจะลืมท่านไปแล้ว"
ลิ้วกิวเฮียบลุกขึ้นต้อนรับ พร้อมกับหยุนเซียวเซียวซึ่งยกมือคำนับทันที
"ฮะ ฮะ ขายหน้า ขายหน้า เฒ่าสายลมสิ้นชื่อไปแล้ว พำนักหมกตัวอยู่แต่ป่าเขา แปดปีไม่เคยออกไปไหน วันนี้ ก้าวเท้าออกจากบ้าน ผาดโผนในเมือง ไร้คนรู้จักทักทายสักคนเดียว ยุทธจักรลืมชื่อข้าไปหมดสิ้น คนแก่สมควรเจียมสังขาร"
ผู้เฒ่าเหมาโบกมือ พูดพลางหัวร่อร่าอย่างอารมณ์ดี ในอดีต ท่านนับเป็นจอมยุทธ์ชื่อดังระดับแนวหน้า เป็นผู้สร้างตำนานอาวุธลับ และวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศสุดในปฐพี เป็นผู้บุกเบิก สร้างหมู่บ้านดาวตกจนยิ่งใหญ่ เกรียงไกร แต่ยี่สิบปีให้หลัง ความชราเริ่มคืบคลาน บวกกับอิ่มตัว เบื่อหน่ายยุทธภพแล้ว จึงไม่โลดแล่นผาดโผนอีก แม้นไม่ถึงกับถอนตัว แต่ก็เก็บตัว พำนักอยู่แต่หมู่บ้านดาวตก ไม่ค่อยได้ออกมา
"เกาฮวยเอี้ยน คำนับ อาวุโสลิ้ว ศิษย์พี่เหยา..."
ดรุณีชุดเขียว วัยสิบเจ็ด - สิบแปด ศิษย์หลานของเหมาสือซัน กล่าวทักทาย นางใบหน้าหมดจด เกลี้ยงเกลา แต่นับว่าโฉมงามน้อยกว่าเหยาฟ่งอิง พอสบตาหยุนเซียวเซียว พลันสะเทิ้นไปวูบหนึ่ง รีบหลบสายตา
"ไฉจิ้งฟง คำนับ อาวุโสลิ้ว ศิษย์พี่เหยา..."
ชายหนุ่มชุดเทา วัยสิบเจ็ด - สิบแปด รูปร่างผอมแห้งเก้งก้าง แววตาซุกซน บุคลิกหลุกหลิก พอมาถึงก็เอาแต่จ้องมองหยุนเซียวเซียวขึ้นๆ ลงๆ นัยน์ตาผสมผสานทั้งความทึ่ง ประหลาดใจ แกมหมั่นไส้ ริษยานิดๆ
"แก่อะไรกันคะ ท่านลุงเหมา ท่านยังสุขภาพแข็งแรง ปัญญาเฉียบแหลม แถมวิชาตัวเบายอดเยี่ยม หนึ่งในแผ่นดินไม่มีใครเทียบ"
เหยาฟ่งอิงยกยอเลื่อมใส แม้นตัวนางเป็นศิษย์ของประมุขหมู่บ้านดาวตก แต่ให้ความเคารพนับถือผู้เฒ่าเหมาสูงสุด เพราะได้รับการอบรมสั่งสอน ดูแลมาแต่เด็กเช่นกัน
"ดี ดี ดี คงมีแต่ผีเสื้อสราญรมย์เท่านั้น ที่จะอวยคนแก่อย่างข้าไปจนถึงเข้าโลง... เอ๊ะ แล้วจอมยุทธ์หนุ่มรูปงามท่านนี้ คือ..."
หยุนเซียวเซียวยืนรอนานแล้ว รีบโค้งตัวคำนับ ใบหน้าฉายแววตื่นเต้นยินดีเปิดเผย
"ผู้เยาว์ หยุนเซียวเซียว ศิษย์พรรคอักษรกระบี่ คำนับอาวุโส ยินเสียงผู้เฒ่าสายลมมานาน เพิ่งมีโอกาสพานพบ แต่ตำแหน่งจอมยุทธ์ มิบังอาจรับได้"
"อ้อ... คือ คนที่ฟ่งอิงพูดถึงบ่อยๆ... อืม... วิเศษ! ไม่ถือว่าเกินจริง มีบุคลิกล้ำเลิศ"
ผู้เฒ่าสายลมชื่นชมตรงไปตรงมา แถมมองสำรวจด้วยแววตาสนใจ ทำเอาชายหนุ่มเก้อเขิน หันมองสหายสาวที่เคยพรรณาเรื่องเขาต่อหน้าผู้เฒ่า เหยาฟ่งอิงขยิบตาล้อๆ
"ผู้อื่นเรียกท่านจอมยุทธ์ถือว่าให้เกียรติ คุณชายหยุนมิควรปฏิเสธนะ"
เกาฮวยเอี้ยนโพล่งมา ด้วยความรู้สึกไม่เห็นด้วย กับการถ่อมตัวของเขา หยุนเซียวเซียวชะงัก หันสบตา แล้วยิ้มอ่อนโยน
"น้ำใจชาวยุทธ์ สำคัญที่เปิดเผย ซื่อสัตย์ต่อกัน ข้าเพิ่งออกท่องยุทธภพ ไม่กล้าอวดอ้างตัวส่งเดช"
"อาจารย์ลุง มีผู้ที่คร่ำครึโบราณกว่าท่านแล้ว" ไฉจิ้งฟงกระซิบหน้าตายข้างหูผู้เฒ่า
"ข้าก็เพิ่งออกท่องยุทธภพ คนอื่นเรียกข้าจอมยุทธ์ ข้ายังกล้ารับไว้ ไม่เห็นเป็นการอวดอ้างตรงไหน เป็นเขาเรียกข้าเอง ปฏิเสธถือว่าเสียมารยาท"
นางเถียงฉาดฉาน แสดงถึงความแก่นกล้า ไม่ยอมคน แต่เหตุผลกลับเลอะเทอะ ข้างๆ คูๆ หยุนเซียวเซียวอึกอัก มิทราบควรตอบเช่นไร เพราะเพิ่งรู้จักพบหน้า จะโต้กลับเฉียบขาดก็ไม่ค่อยเหมาะ
"เขาไม่เรียกเสียมารยาท เขาเรียก หน้าด้าน ต่างหาก!" ผู้เฒ่าเหมาซัดหลายศิษย์แทน
"อาจารย์ลุงอ่า..." เกาฮวยเอี้ยนร้อง รู้สึกหน้าแตกกลางงาน เหยาฟ่งอิงหลุดขำ
ศิษย์น้องทั้งสองคนละอาจารย์กับนาง เพิ่งเข้าสังกัดไม่นาน ผู้เฒ่าเหมาไปพบเร่ร่อนอยู่ในที่กันดาร ตอนอายุสิบสองขวบ เห็นว่ากำพร้าจึงรับมาเลี้ยงดู สอนวิชาให้ แต่หน่วยก้าน และสติปัญญาอยู่ระดับกลางๆ ค่อนไปทางด้อย อ่อนกว่าเหยาฟ่งอิง ประมุขหมู่บ้านดาวตกคนปัจจุบันจึงไม่รับเป็นศิษย์ ผู้เฒ่าเหมาสงสาร ไม่คิดทอดทิ้ง จึงอาสาดูแล อนึ่ง ผู้เฒ่าเหมาไม่ชอบรับลูกศิษย์ เด็กในพรรคทั้งหมด ล้วนเป็นศิษย์ประมุขหลาน มีเพียงสองคนนี้เท่านั้น ที่แยกออกมา ติดตามปรนนิบัติ รับใช้ผู้เฒ่าเหมาโดยตรง
"ศิษย์ข้าสองคนนี้ เพิ่งออกมาดูโลก อ่อนหัดไร้เดียงสา แต่ชอบทำตัวอวดดี ฝากคุณชายหยุนอบรมสั่งสอนด้วย" ผู้เฒ่าเหมาไหว้วานฝากฝังเสียเลย ศิษย์หลานทั้งสองสบตากันปริบๆ ทำหน้าหงอย หยุนเซียวเซียวยิ้มรับอย่างเกรงใจ
"ท่านลุงเหมา นึกยังไงมาทานข้าวที่นี่คะ หรือว่า เบื่อบรรยากาศป่าเขาซะแล้ว"
"มีคนส่งจดหมายนัด!" เหมาสือซันตอบทันควัน
"จดหมายนัด!?" เหยาฟ่งอิงทวนคำงุนงง
"เอาล่ะ ไม่คุยแล้ว เชิญพวกท่านตามสบาย" ผู้เฒ่าเหมาจบบทสนทนากลางคัน แล้วเดินนำศิษย์ทั้งสอง ไปนั่งลงยังโต๊ะห่างออกไป
ทั้งสามจึงนั่งลงตามเดิม รับประทานอาหารไปพร้อมกับความสงสัยในเรื่องนัดหมายของผู้เฒ่า ฝ่ายโต๊ะผู้เฒ่ากำลังสั่งอาหาร ลิ้วกิวเฮียบคีบกับข้าวเข้าปาก เคี้ยวพลางพึมพำว่า
"จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้ามาอีกคน!"
เหยาฟ่งอิง เกาฮวยเอี้ยน และไฉจิ้งฟง หันมอง... ส่วนหยุนเซียวเซียว เพียงเอียงหน้าไปเล็กน้อย แล้วรับประทานต่อตามปกติ
บุรุษหนุ่มวัยเยาว์รูปงาม ใบหน้าเกลี้ยงเกลา หล่อเหลาราวสลักจากหยก แต่งตัวภูมิฐานคล้ายบัณฑิต ถือพัดหยกโบกเบาๆ เดินขึ้นบันไดมาช้าๆ แล้วหยุดยืนอยู่กลางห้องอย่างสง่าผ่าเผย มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือโบกพัดเบาๆ หันมองโต๊ะของผู้เฒ่าสายลม แล้วเหยียดยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมาเห็นลิ้วกิวเฮียบ ชะงักไป แววตาคล้ายคาดไม่ถึง
"ข้าสาบานว่า ไม่เคยพบเห็นคนผู้นี้" เหยาฟ่งอิงหันหน้ากลับมากระซิบ
"เชิญนั่งเลย นายท่าน รับอะไรดี" เสี่ยวเอ้อวิ่งมา
"ไม่ต้อง ข้านัดสหายคุยธุระ" เสียงห้าวดังกังวาน เสี่ยวเอ้อจึงล่าถอยไป
"คุยธุระแต่ไม่สั่งอาหาร สงสัยบทสนทนาจะเป็น "อาวุธ" เหยาฟ่งอิงกระซิบขำๆ
"โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์มีกฎห้ามต่อสู้น๊า" หยุนเซียวเซียวหยอกกลับเบาๆ
"คุณชายหยุน เพิ่งออกท่องยุทธภพครั้งแรกจริงหรือ" ลิ้วกิวเฮียบถามเรียบๆ
"เห? มีอะไรครับ" หันมาถามอย่างแปลกใจ
"จากคำสนทนา และการวางตัวของท่าน เหมือนคุ้นเคยกับยุทธภพดี เชี่ยวชาญมารยาท การปฏิบัติตัวในสถานการณ์ต่างๆ ทำได้อย่างถูกต้อง ราวกับจัดเจนต่อสังคมชาวยุทธ์!"
"เอ่อ..." หยุนเซียวเซียวสะดุ้งวาบในใจ กะทันหันถึงกับแก้ไขไม่ถูก แม้ลิ้วกิวเฮียบจะไม่ได้พูดด้วยแววตาขึงขัง น้ำเสียงคาดคั้นอะไร เหยาฟ่งอิงรีบช่วยเหลือ
"อ๋อ ข้า...ข้าเป็นคนเล่าเรื่องยุทธภพให้เขาฟังเองค่ะ หยุนเซียวเป็นคนฉลาด รู้จักวางตัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หรือไม่... ก็อาจจะซื่อบื้อ ไม่รู้ว่าด้านหลังเป็นจอมยุทธ์ก็ได้"
...นึกไม่ถึง...อาวุโสลิ้ว ภายนอกทำตัวตามสบาย แต่ภายใน กลับลอบสังเกตเรา คนหมู่ตึกเทพกระเรียน สายตาเฉียบแหลม ชำนาญการอ่านคนจริงๆ!!
หยุนเซียวเซียวรู้สึกผิดที่เปิดเผยลักษณะของ "จอมยุทธ์หน้ากากทอง" มากไป ในที่นี้ ทั้งลิ้วกิวเฮียบ และ เหมาสือซัน ล้วนเป็นระดับปรมาจารย์ ผ่านโลกมามาก ย่อมมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ "จอมยุทธ์หน้ากากทอง" ก็เป็นตัวตนของเขาจริงๆ หยุนเซียวเซียวรู้สึกขัดแย้ง วางตัวลำบาก เพราะไม่ว่าจะเป็น "จอมยุทธ์" หรือ "เด็กน้อยเพิ่งท่องโลก" ล้วนเป็นฐานะแท้จริงของเขาทั้งสองอย่าง
บุรุษรูปงาม ยืนกวาดสายตาคมกริบ มองคนบนดาดฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้ามายังโต๊ะลิ้วกิวเฮียบ ยิ้มเล็กน้อย ยกมือคำนับ
"เป็นเกียรติที่ได้พบอาวุโสลิ้ว แห่งหมู่ตึกเทพกระเรียน ตัวข้าน้อยคงตกข่าว ที่ไม่ทราบว่า ท่านมาแจกเทียบเชิญที่นี่"
เหยาฟ่งอิงเงยหน้ามอง หยุนเซียวเซียวนั่งหันหลังให้ ปลายตามองอาวุโส ลิ้วกิวเฮียบไม่ได้ลุกขึ้น ทั้งเขา และสหายสาวจึงนั่งสงบ
"ฮะ ฮะ การแจกเทียบเป็นเรื่องเล็ก ไม่ใหญ่โตกระไร ข้าคงประหลาดใจ หากเป็นข่าวใหญ่ในบู๊ลิ้ม"
"ถ่อมตัวไปแล้ว คนของพรรคอันดับหนึ่ง ไม่ว่าทำสิ่งใด ล้วนเป็นที่สนใจของยุทธภพ การเคลื่อนไหวของพวกท่าน ชี้ชะตาอนาคตบู๊ลิ้มเสมอ ท่านลิ้วกิวเฮียบว่าจริงหรือไม่"
คำพูดองอาจห้าวหาญ เสียงดังกังวาน เรียกความสนใจคนอีกโต๊ะให้หันมอง ลิ้วกิวเฮียบแม้สะดุดหูในบางประโยค ก็ยังยิ้มพลางยกมือคำนับตอบ
"...ถือเป็นคำชม"
"จินหลง คำนับ ผู้อาวุโส" บุรุษหนุ่มแนะนำตัว โค้งกายนอบน้อม
"แม่นางจิน!! ไม่ต้องเกรงใจ ที่นี่หาใช่หมู่ตึกเทพกระเรียนไม่ ทำตัวตามสบายเถอะ"
ลิ้วกิวเฮียบตอบเรียบๆ แล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม
"...!?" หยุนเซียวเซียว กับ เหยาฟ่งอิงชะงัก สบตากันอย่างคาดไม่ถึง เกาฮวยเอี้ยน กับ ไฉจิ้งฟง ได้ยินทุกประโยค ถึงกับอ้าปากค้าง ผู้เฒ่าเหมาส่ายหน้า ยิ้มขำๆ
บุรุษหนุ่มนาม จินหลง ผู้ถูกเรียกด้วยสรรพนามสตรี เพียงชะงักวูบเดียว มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้ม หัวเราะต่ำๆ ในลำคอ ยืดตัวตรง สะบัดโบกพัดในมือหนักแน่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดัดแปลงอีกต่อไป
"หึ...! สมเป็น กระเรียนเหยียบเมฆ ลิ้วกิวเฮียบ สายตาเฉียบแหลมจริงๆ วิชาแปลงโฉมเลิศล้ำก็ตบตาท่านไม่ได้ เอาล่ะ แล้วพบกันใหม่"
คำนับอีกครั้ง แล้วหันหลังกลับ ก้าวเดินลงบันไดไป ท่ามกลางความงุนงงของผู้คนในที่นั้น
"นัดสหายไว้ พบเรากลับจากไป? คนผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่" เหยาฟ่งอิงขมวดคิ้ว พึมพำ
"อาจารย์ลุง ไหนท่านว่า วิชาแปลงโฉมตำหนักเขียวขจีสุดยอดที่สุด เมื่อครู่ ข้ายังสังเกตไม่ออกเลยว่าเป็นผู้หญิง" เกาฮวยเอี้ยนกระซิบถามผู้เฒ่าเหมาด้วยเสียงตื่นเต้น
"หึ หึ หึ... นอกจากตำหนักเขียวขจี เจ้าทายออกไหมล่ะว่ายังมีพรรคใดอีก" ผู้เฒ่าเหมากระซิบถามอย่างทดสอบ สาวน้อยเพิ่งออกมาท่องโลก ความรู้จำกัด นิ่งคิด แล้วเกาหัว
บุรุษปลอมเพิ่งลงไปไม่นาน บุรุษจริงสามนายก็ปรากฏตัวขึ้น ล้วนแต่พกกระบี่งามจากพรรคใหญ่ คนเดินนำหน้าราวกับเป็นผู้นำ ชะงักเมื่อเห็นโต๊ะลิ้วกิวเฮียบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นหยิ่งทระนง สะบัดหน้าเชิดใส่ เดินไปนั่งลงบนโต๊ะห่างออกไป
"ศิษย์พี่ใหญ่?!" หยุนเซียวเซียวครางแปลกใจ ไฉนกลายเป็นศิษย์ร่วมพรรคไปได้?
"อ้าว เฉินชวนก็มาด้วย" เหยาฟ่งอิงพึมพำ
โต๊ะของผู้เฒ่าเหมาไม่มีใครสนใจเขา ด้วยสง่าราศีของเฉินชวน ไม่ชวนให้ตื่นเต้น อยากรู้จัก แถมหลานศิษย์ทั้งสองเคยถูกถลึงตาใส่ ตอนจ้องมองครั้งแรก จึงพาลไม่ถูกชะตา
หยุนเซียวเซียวนิ่งคิด ก่อนขอตัวกับผู้อาวุโส เดินไปหา ทักทายอย่างสุภาพ
"ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องทั้งสอง นัดสหายไว้หรือ"
ศิษย์น้องร่วมสังกัดหันมองแล้วอึกอัก เฉินชวนเชิดหน้า ตวาดเสียงดัง
"ข้ามาในฐานะตัวแทนพรรคอักษรกระบี่ เจ้าไม่เกี่ยว ถอยไปห่างๆ"
"ตัวแทนพรรค?! นี่มันเรื่องใดกัน"
"เสี่ยวเอ้อ สั่งอาหาร" เฉินชวนไม่แยแส ร้องเรียกหาคนรับใช้
"มีอะไรผิดปกติเหรอ" หยุนเซียวเซียวกลับมานั่งโต๊ะ สีหน้าเขาไม่ดี เหยาฟ่งอิงจึงถาม
"ดูเหมือนว่า คนจาก 2 พรรคใหญ่เมืองอันหลิว จะถูกเชิญมาอยู่ที่นี่ ในเวลาเดียวกัน"
ลิ้วกิวเฮียบพึมพำมาอย่างรู้ใจ ชายหนุ่มพยักหน้า บอกเบาๆ
"แต่ไม่รู้ว่า เบื้องหลัง... จะเป็นคนเดียวกันหรือไม่"
"จินหลง กลับมาแล้ว!?" ลิ้วกิวเฮียบอ่านเสียงฝีเท้าออก โพล่งให้ทุกคนรู้ตัว
หยุนเซียวเซียว กับ เหยาฟ่งอิง ยืดกาย นั่งตัวตรงทันที เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ดีที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ฝ่ายโต๊ะผู้เฒ่าเหมา กำลังนั่งรับประทานกัน ส่วนเฉินชวนเพิ่งสั่งอาหารเสร็จ เสี่ยวเอ้อเดินจากไป พร้อมๆ กับ...
กลิ่นหอมอ่อนโยน หวานเย็นละมุน คล้ายกลิ่นดอกโบตั๋นเบ่งบาน ลอยตามลมมากระทบนาสิก เสียงกระดิ่งจากสายรัดข้อมือ และข้อเท้า ดังกรุ๊งกริ๊งไพเราะราวกับระฆังแก้ว...
เฉินชวนกำลังยกจอกน้ำชา พลันถือค้างในบันดล เบิกตากว้าง... ศิษย์น้องทั้งสองหันหลังมามอง แล้วหยุดนิ่งราวกับถูกสะกด... เกาฮวยเอี้ยน ไฉจิ้งฟง ตาโตเป็นไข่ห่าน อ้าปากค้าง... แม้แต่เหยาฟ่งอิง ผู้สติดีที่สุด ก็ยังต้องมนต์จนตะลึงลาน
ยุทธภพฝ่ายธรรมะ มีคำกลอนกล่าวขวัญเยินยอความงาม ของหญิงงาม 5 อันดับแห่งบู๊ลิ้ม จนแม้แต่ดอกไม้ นางฟ้า ยังต้องชิดซ้าย น่าเสียดาย บันทึกยอดหญิงงาม มิได้จัดหญิงสาวเบื้องหน้า เข้าไปอยู่ในทำเนียบด้วย!
ดรุณีสะคราญโฉมวัยสิบแปด - สิบเก้าปี ดวงหน้ารูปไข่ ดวงตาดำขลับเปล่งประกายสุกใส คิ้วเรียวดุจคันศร จมูกโด่ง แก้มนวล ริมฝีปากแดงชาดเป็นกระจับ ใบหน้าผุดผาด เกลี้ยงเกลาเปล่งราศี ลำคองามระหง ผมยาวสลวยเป็นมันวาว กึ่งกลางเกล้าเป็นมวยสูง ปักด้วยปิ่นไข่มุกสีทองระย้า แล้วปล่อยส่วนที่เหลือสยายไปกับแผ่นหลัง อาภรณ์สตรีคลุมยาวจรดพื้น สีชมพูอ่อนหวาน ปักลายหงส์แดงสองตัว ชายผ้าประดับลูกไม้ แซมด้วยดิ้นเงิน ดิ้นทอง บางจุด งดงามสูงค่า ห่อหุ้มเรือนร่างอ้อนแอ้น อรชร ไม่ผอม ไม่อ้วน มีความพอดีเหมาะเจาะ สมส่วนไปทุกจุดราวกับเทพแกะสลัก
ยามแย้มยิ้ม...เหมือนบุปผาเบ่งบาน แต่นัยน์ตาหวาน ซ่อนประกายอำมหิต...!
"แม่นางท่านนี้ จะรับอาหารหรือไม่" เสี่ยวเอ้อจำลูกค้าคนเดิมมิได้
"ไม่ต้อง คุยธุระเสร็จก็จะไป อ้อ..." เสียงนางใสดุจระฆังแก้ว ล้วงทองคำออกมา
"ช่วยปิดดาดฟ้าแห่งนี้ชั่วคราว อย่าได้ต้อนรับคนอีก นี่เป็นค่าชดเชยแก่เจ้า"
"แม่นาง เพิ่งออกท่องยุทธภพล่ะซี จึงไม่ทราบกฎของโรงเตี๊ยมเรา" เสี่ยวเอ้อเล่นท่า
"หากวันนี้ กฎของโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ไม่ยอมขาด หัวเจ้า กับ ลูกค้าทุกคนจะขาดแทน! เสี่ยวเอ้อน้อยคนฉลาด คงไม่เลือกทางลำบากกระมัง"
นางแย้มยิ้ม พูดจาอ่อนหวาน แต่วาจาเชือดเฉือนอย่างนิ่มๆ เสี่ยวเอ้อหนุ่มเงียบกริบ กลอกตาไปมา มันสมองทำงานรวดเร็ว ก่อนจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
"ข้าลงไปรับแขกชั้นล่างดีกว่า รู้สึกว่ามีลูกค้าเยอะ"
เสี่ยวเอ้อน้อยวิ่งลงไป โดยไม่รับแม้แต่ทองคำ สาวงามล่มเมืองยิ้มมุมปาก เดาะทองคำเล่น เดินมาหยุดยืนกลางห้อง ก่อนสองมือไพล่ไปด้านหลัง กวาดตาคมกริบมองทีละคน
ผู้เฒ่าสายลม ยังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย ไม่สนสิ่งใด ส่วนกระเรียนเหยีบบเมฆ ถอนหายใจยาว นั่งหลับตาราวทำสมาธิ มีเพียงหนุ่มสาวที่โดนความงามสะกด จนไม่ยอมตื่น
"แม่นางจิน สะคราญโฉมปานนี้ ปลอมตัวเป็นบุรุษ นับว่าน่าเสียดายจริง" เหยาฟ่งอิงตื่นแล้ว ประโยคแรก ทักทายชื่นชมแกมหมั่นไส้
ดรุณีสาว ที่ใช้ชื่อบุรุษ "จินหลง" ฉีกยิ้มมุมปากหมิ่นๆ ไม่กล่าวตอบ สายตาของชายหนุ่มสี่คนในห้อง ล้วนสยบให้แก่นาง มองอย่างเคลิบเคลิ้ม งมงาย โดยเฉพาะเฉินชวน แต่นางกลับสะดุดใจ บุรุษที่นั่งหันหลังให้ตรงหน้า...
นางไม่เคยเห็นใบหน้าของเขา และไม่ทันสังเกต ว่าเขาหันหน้ามามองนางหรือไม่? การที่นางปรากฏกาย ดึงดูดความสนใจจากทุกคน เขากลับนั่งรินสุราดื่มเงียบเฉย ราวกับไม่แยแส นับว่าสร้างความลบหลู่ ดูถูกแก่นางมิน้อย
ที่จริง หยุนเซียวเซียวหันมองแล้ว ถูกความงามสะกดแล้ว แต่พอนางล้วงทองคำออกมา เขาก็ถอนสายตาได้ หญิงสาวที่ไม่เคารพกฏยุทธภพ แถมพูดจาข่มขู่ผู้คนด้วยถ้อยคำอำมหิต ไม่ใช่สตรี ที่เขาอยากเสวนา รู้จักด้วย!
"เอาล่ะ ทุกๆ ท่าน ที่มาตามการนัดหมายในวันนี้ ทั้ง ผู้เฒ่าสายลม แห่งหมู่บ้านดาวตก และ ท่านเฉินชวน ศิษย์เอกแห่งพรรคอักษรกระบี่ ที่ข้าต้องส่งจดหมายเชิญพวกท่านออกมา เพราะว่าการจะแจกเทียบ ถึงภายในพรรคของพวกท่านนั้น เป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย ข้าไม่สะดวก จึงใช้โรงเตี๊ยมจอมยุทธ์เป็นสื่อกลาง ยินดีจะประกาศข่าวใหญ่ในบู๊ลิ้มให้ทราบ มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญมาก ไม่แพ้งานจับมังกรของฝ่ายธรรมะ"
สาวงามเริ่มกล่าวฉาดฉาน วางบุคลิกทรงอำนาจเปี่ยมราศี แต่ด้วยน้ำเสียงไพเราะ บวกกับใบหน้าปานเทพธิดา ความน่าเกรงขามจึงลดลงไป เฉินชวนเคลิบเคลิ้มนางอยู่แล้ว พอได้ฟังคำว่า "ท่านเฉินชวน" ถึงกับตัวเบาหวิว ชื่อของตนออกจากปากหญิงงาม ใครเล่าจะมิหวั่นไหว ปลาบปลื้ม ผิดกับหยุนเซียวเซียว รู้สึกว่านางลึกลับน่ากลัวแท้ เฉินชวนที่ชื่อชั้นปลายแถวสุดในบู๊ลิ้มยังรู้จัก เบื้องหลังของนางต้องไม่ธรรมดา
"ตามกฎของยุทธภพ ผู้ที่เป็นเจ้าภาพ ควรแนะนำตัวก่อนถึงจะถูก" เหยาฟ่งอิงแทรก
"หึ..." นางทำเสียงหมิ่น ตั้งท่าจะเอ่ย แต่เห็นแผ่นหลังของหยุนเซียวแล้วเปลี่ยนใจ
"โต๊ะท่านไม่ได้มีนัด แค่บังเอิญเจอกัน ข้าเห็นแก่หน้าท่านลิ้วจึงไม่ไล่ไป สหายที่นั่งร่วมโต๊ะกับลิ้วกิวเฮียบได้ ย่อมไม่ธรรมดา แต่ตัวข้า...กลับไม่รู้จัก"
"หึ..." เหยาฟ่งอิงรู้ทันเล่ห์วาจา ลุกขึ้นยืน ประกาศ "เหยาฟ่งอิง แห่งหมู่บ้านดาวตก"
"ที่แท้เป็น ผีเสื้อสราญรมย์ ผู้ใช้ "ผีเสื้อเหล็ก" เป็นอาวุธลับสร้างชื่อ นับถือ นับถือ"
สาวงามตอบได้ทันที ราวกับท่องจำมาขึ้นใจ ก่อนปรายตาไปยังหยุนเซียวเซียว...
"เลิกโยกโย้ เฉไฉ สักทีเถอะ งานอะไรของเจ้า ที่ต้องเรียกพวกเราสองพรรคออกมา แถมว่ายิ่งใหญ่กว่างานจับมังกร เชอะ แค่ประโยคนี้ก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว"
เกาฮวยเอี้ยนโพล่งอย่างรำคาญ ขัดความปรารถนาของสาวงามที่อยากให้บุรุษเย่อหยิ่งตรงหน้า แนะนำตัวเป็นรายถัดไป แต่หยุนเซียวเซียวไม่ขยับ ไม่มีทีท่าว่าจะหันมา นั่งทื่อเป็นท่อนไม้ นางเลยหงุดหงิดใจเล็กน้อย ...คนไร้มารยาท!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น