ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
ยามค่ำ ณ ป่าลึกในหมู่บ้านหินขาว ยังคงสภาพความน่ากลัวตามธรรมชาติของมัน เสียงหริ่งเรไรดังระงม ผสมเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ที่มองไม่เห็น บางครั้งยังแว่วเสียงขู่คำราม เสียงข่วน และเสียงสวบสาบ ตามอิริยาบถต่างๆ ของพวกสัตว์บก ด้วยอยู่ใต้ลม และรับประกันความปลอดภัยจากพรานท้องที่ เหล่านักเดินทางมือสมัครเล่นทั้งห้า จึงมีเพียงอาการสะดุ้ง และระแวงเบาๆ ยามเมื่อเหล่าสิงสาราสัตว์ออกหากินยามวิกาล
พรานล้วน นักล่าประจำหมู่บ้าน อาสานำทางกลุ่มปัญญาชนมายัง "ผาทรายดำ" ด้วยความประสงค์ที่จะเดินทางต่อไปยัง "ป่าพราก"
การท่องไพรยามมืดเป็นข้อห้ามของนักเดินป่า แต่สำหรับชาวบ้านหินขาวแล้ว ระยะทางเพียงห้าร้อยเมตรจากหมู่บ้านหินขาวสู่ผาทรายดำ ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว ด้วยหลายคนเคยชินกับการข้ามไปข้ามมาในเวลากลางคืน โดยไม่เคยถูกสัตว์ทำร้าย อาจมีปะทะกันบ้าง ก็เพียงนานๆ ครั้ง ด้วยเหตุสุดวิสัย
รองเท้าคอมแบทห้าคู่ เดินเรียงแถวแบบเว้นระยะ ตามรอยรองเท้าคีบของพรานล้วนไปโดยไม่แตกแยก มีเพียงสายตาที่วอกแวกออกนอกเส้นทาง ตามประสานักผจญภัยมือใหม่
"ชู่ว์..." จู่ๆ พรานล้วนผู้ถือคบไฟนำหน้าก็หยุดกึก ทำเสียงพร้อมกางแขนออก บัณฑิตใหม่จากเมืองกรุงทั้งห้าชะงัก "ลมเปลี่ยนทิศ! นั่งลง" พรานแก่วัยหกสิบกระซิบ กดมือต่ำ หนุ่มสาวทรุดนั่งยองทันที เกาะต้นไม้คนละต้น ตาลอกแลกกวาดมองรอบด้านด้วยใจเต้นระทึก หัวหน้าทีมที่อยู่ใกล้พรานล้วนที่สุด แตะหมับรีวอลเวอร์ .357 ที่ข้างเอว ตามสัญชาตญาณ
"มีซากสัตว์เน่าแถวนี้ พวกเสือที่รุมทึ้งอยู่อาจได้กลิ่นพวกเรา ผมจะไปดูก่อน พวกคุณทำตัวให้เงียบที่สุด" พรานล้วนออกย่องโดยไม่รอคำตอบรับ ด้วยฝีเท้าอันเบากริบ และชำนาญทาง วูบเดียวก็ลับหายไปจากสายตา
ในความเงียบ ใต้แสงอับของพระจันทร์ โสตประสาทแว่วเสียงย่ำใบไม้ดัง ...กรอบ... ทั้งห้าคนหันขวับไปทางด้านหลังของตัวเองอย่างใจหาย หัวหน้าทีมผู้อยู่หน้าสุดกลับกดไฟฉาย ส่องควับมาที่หน้าเพื่อนคนที่สี่ในแถว
"พี่กฤต ดับไฟ!" วิชชุนีย์ สาวที่ถูกส่องหน้า ยกมือบังแสง ร้องมาเบาๆ เพื่อนชายคนที่สามในแถว ขึ้นหน้ามา กดข้อมือ กฤตธา ลง ถามเสียงต่ำ "มีอะไร?"
กฤตธาสะบัดหน้าสองที กะพริบตาตื่นๆ ก่อนดับไฟ พึมพำ "ขอโทษ" ในความเสียมารยาท บุรุษนาม ชัชวาล ผู้ยังจับข้อมือค้าง จ้องหน้านิ่ง
"ไม่สบายรึเปล่าคะ พี่กฤต หรืออาการปวดหัวกำเริบ รันเห็นพี่หน้าซีด ตอนฉายไฟ" รัญชนา สาวคนที่สองจากแถว ถามอย่างเป็นห่วง
กฤตธายกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ คล้ายปลุกสติ ก่อนทรุดนั่งชันเข่าบนพื้น หลังพิงต้นไม้ สงบนิ่ง และเหม่อลอย รัญชนาขมวดคิ้ว ขยับเข้ามา เอื้อมมือแตะบนข้อมือของเขา
"ชีพจรเต้นเร็วมาก มีอาการคล้ายความดันขึ้นสูง เลือดสูบฉีดแรงอย่างนี้ แปลว่า เขากำลังตื่นเต้น หรือ ตกใจ กับอะไรสักอย่าง"
พอประโยคนั้นหลุดจากปากหญิงสาวผู้มีความรู้ทางการแพทย์ เพื่อนๆ ที่เหลือจึงรีบขยับตัวเข้ามารุมล้อมตัวกฤตธาไว้ ไถ่ถามอาการอย่างห่วงใย เทอดศักดิ์ เพื่อนที่รั้งท้ายขบวน มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที แล้วเอ่ยห้าวๆ
"แบบนี้ไม่ค่อยดีนัก รึยังไง ฉันว่าการมาครั้งนี้ เราไม่ควรมีคนป่วยมาด้วยเด็ดขาด ถ้าเกิดว่า มีใครคนใดคนหนึ่งไม่ไหว การเดินทางก็ควรเป็นอันยกเลิก สุขภาพของเพื่อนสำคัญกว่าสิ่งอื่น ฉันจะไม่ยอมให้ใครพาเขาไป โดยไม่มีใครรับประกันได้ว่า สุขภาพของเขาจะเป็นอย่างไรระหว่างทาง"
หลายคนมองตาเทิดไทย เห็นความหนักแน่น จริงจัง ในแววตาคู่นั้น ก็พากันอึ้ง
ชัชวาลตบบ่าคนพูด "ฉันเข้าใจ และนายควรรู้ว่า ในพวกเราจะไม่มีใครทำอย่างนั้น แต่ก่อนอื่น เราควรฟังจากปากเจ้าตัวก่อน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่าเพิ่งด่วนตีความไปเอง รันก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเขาแค่เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย จะเป็นเรื่องใดนั้นเรายังไม่รู้ แต่น่าจะรับรองได้ว่า ตอนนี้ เขาไม่มีไข้ หรือ อาการปวดหัวอย่างเก่ากลับมาอีกแน่นอน ใช่ไหม รัน"
รัญชนาเม้มปากแน่น แต่พยักหน้า ระหว่างเพื่อนๆ คุยกัน หล่อนไม่ได้ละสายตาจากหน้ากฤตธาเลย
"ฉันแน่ใจว่าอาการแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเขา เหตุผลคือ ฉันบังคับให้เขาทานยากันไว้ก่อนแล้ว และต่อให้โรคเก่าเขาดื้อจะกำเริบ ก็ยังมีทางเอาอยู่ แต่ที่ฉันหนักใจ คือ ทำไมเขาถึงมีท่าทางประหลาดอย่างนี้ พวกนายดูสิ เขานั่งเหม่อลอย ตัวแข็งเหมือนหินแถมเย็นชืด อาการหนักถึงขั้นที่ฉันพูดอยู่ใกล้ๆ เขายังไม่รู้สึกตัว!"
สามคนสังเกตมอง และเห็นพ้องต้องกัน กฤตธายามนี้ ตัวแข็งทื่อ และดวงตาเบิกโพลง จ้องมองความมืดข้างหน้าตาไม่กะพริบ เทิดไทยอ้าปากค้าง เอื้อมมือมาหมายจะเขย่าตัว แต่ชัชวาลเหนี่ยวไหล่ไว้ และโดยไม่มีคำพูดใด เขาควักไฟฉายจิ๋วจากกระเป๋าเสื้อ กดสวิตช์ สาดแสงไฟเข้าตากฤตธาเต็มๆ
ผู้นั่งทื่อเหมือนผีเข้าสะดุ้งเฮือก ยกมือขึ้นป้องหน้า ร้อง "ปิดไฟซะ"
ชัชวาลกดดับ เสียงถามดังเซ็งแซ่ คนที่มีท่าทางประหลาดพิกลเมื่อครู่ รีบโบกไม้โบกมือ ลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงดัง
"ทุกคนฟังฉัน... อย่าตกใจ ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ฉันสบายดี เมื่อครู่นี้ แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย จนลืมว่าพวกนายอยู่ข้างๆ คงทำให้คิดว่าฉันเป็นบ้าอะไรไปแล้วกระมัง ขอยืนยันว่าฉันปกติดีทุกอย่าง และมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนด้วย ไม่เชื่อ รัน ตรวจฉันได้เลย"
พูดจบ ก็ยื่นแขนมาทางรัญชนา เพื่อนสาวมองอย่างระแวง แต่ก็ถอนหายใจโล่งอก เมื่อสัมผัสกับผิวเนื้อที่กลับมาอุ่นดังเดิม หันมายิ้มเบาๆ กับเพื่อน
"ฉันมีข่าวดีจะบอก เมื่อสักครู่นี้ พี่กฤตธาถูกผีเข้า แต่เมื่อโชติชวาลใช้ไฟฉายส่อง ก็ไล่ผีกระเจิงไปได้ กลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมแล้ว"
ทุกคนหัวเราะครืนในคำหยอกนั้น ยกเว้น ชัชวาล ที่ยิ้มบางๆ...
พรานล้วนกลับมาสมทบ พร้อมส่งสัญญาณให้เดินต่อ ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว คณะปัญญาชนจึงคลายความระวังตัว มาเดินเกาะกลุ่ม หยอกเย้าพูดคุยกัน
ส่วน กฤตธา กับ ชัชวาล เปลี่ยนมาเดินรั้งท้าย สนทนากันเบาๆ
"ฉันอ่อนแอมากใช่ไหม เมื่อครู่นี้ ไม่น่าลืมตัวขนาดนั้นเลย" กฤตธาพึมพำ
"ไม่มีใครควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์หรอก และฉันก็คิดว่านายทำถูกแล้ว ที่เบี่ยงเบนกลบเกลื่อนไม่ให้เพื่อนๆ รู้ จะเกิดอะไรขึ้น ในรูปแบบไหน หากเราต่างควบคุมสติไม่ได้ทั้งห้าคน นายนับว่าจิตแข็งกว่าฉันมาก"
ชัชวาลบอก กอดคอเพื่อนปลอบโยน
"นายรู้ไหม ฉันเป็นคนที่มีลางสังหรณ์ไม่เคยผิดพลาด ครั้งนี้ ยิ่งมั่นใจ นายไม่เคยรู้อะไรที่น้อยไปกว่าฉัน ฉันเห็นอะไรในวินาทีแรก นายจะเห็นต่อจากฉันในวินาทีที่สองเสมอ หรือบางที อาจจะเห็นพร้อมกันก็ไม่แน่"
กฤตธามองชายข้างๆ ด้วยแววตาทึ่งปนนิยม สหายรักคนสนิทกลับยักไหล่ ส่ายหน้า
"ฉันไม่เคยเห็นอะไรได้ก่อนนาย หรือถ้าพูดให้ถูก คือ ฉันไม่อยากเห็นอะไรก็ตามที่ฉันไม่อยากเห็น มันเป็นความขี้ขลาดประการหนึ่ง แต่สวรรค์ก็มักกลั่นแกล้ง ทดสอบฉันเสมอ และถ้าฉันไม่ได้เดินตามหลังผู้ชายที่ชื่อ กฤตธา ฉันอาจจะไม่ต้องมาพบเจออะไรแบบนี้"
หัวหน้าทีมเหล่มอง ยิ้มขำที่มุมปาก "สายไปแล้ว พวก... มันคือ คำสาป จากสวรรค์ กำหนดมาแล้ว ว่าเราต้องเผชิญชะตากรรมร่วมกัน"
ชัชวาลเหลียวมองข้ามไหล่เพื่อนแวบหนึ่ง กระซิบเบาๆ
"สิ่งนั้น... คงตามเราไปถึงผาทรายดำ ดีไม่ดี จะร่วมขบวนท่องป่าพรากด้วย"
"เข้าป่าพรากให้ได้ก่อน ค่อยว่ากัน" กฤตธาตอบเสียงขรึม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น