ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เทียบเชิญ 6 พรรค 7 สำนัก
ยามสาม ณ ศาลเจ้าร้าง นอกเมืองอันหยาง
ขบวนเกี้ยวสี่คนหาบ แปดคนอารักขา วิ่งห้อมาด้วยฝีเท้าอันเบากริบ ผ่านรัตติกาลอันมืดมิดไร้แสงไฟ แสดงถึงวิชาตัวเบาไม่อ่อนด้อย แม้นไม่ใช่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ทว่า ก็นับเป็นลิ่วล้อขั้นสูงของสังกัดใหญ่ในบู๊ลิ้ม
เกี้ยวที่ถูกตกแต่งด้วยแพรพรรณชั้นดีสีชมพูราวกับเกี้ยวเจ้าสาว ถูกวางลงอย่างนุ่มนวล ผ้าม่านตลบขึ้น ชายฉกรรจ์สองนายหิ้วปีกคนละข้าง ประคองร่างหนึ่งลงจากเกี้ยว
นางเป็นดรุณีวัยสะพรั่ง แต่งตัวสวยงาม เรือนร่างอ้อนแอ้น อรชร แต่บอบบางอย่างประหลาด ต้องอาศัยการประคองของคนหาบ พาก้าวเดินเข้าไปด้านใน ดุจนางไร้เรี่ยวแรงจะเดินด้วยตนเอง ทั้งที่มีสติดี
กำลังจะเหยียบข้ามประตูศาล เสียงคมกระบี่แหวกฝ่าอากาศมาจากหลังคาตึกตรงข้าม สองนายผู้ประคองหญิงสาว ปฏิกิริยาว่องไว พากันหมุนตัวหลบไปคนละด้าน ทิ้งดรุณีสาวไว้ตรงกลาง ผู้ซึ่งร่างโอนเอนจะทรุดลงกับพื้นทันทีที่ถูกปล่อยตัว กระบี่เรียวยาวนั้นสะบัดกวาดรอบทิศเพื่อเปิดทาง ไล่คนหาบ และลิ่วล้อทั้งหลาย พ้นไปจากรัศมี อีกมือโอบเอวดรุณีสาวไม่ให้ล้ม ร่างนางซีกหนึ่งจึงเอนมาพิงตัวเขา
"ปลอดภัยแล้ว แม่นาง..." ผู้โผล่มาขวางนางเข้าศาลเจ้าพูดเสียงต่ำ เสียงที่เหมือนดัดแปลง แต่ภายใต้หน้ากากสีทองนั้น นางมั่นใจว่า เขาเป็นบุรุษ... มิใช่สตรีแปลงกาย
"ขอบคุณท่าน..." นางเผยอปากตอบแผ่วๆ เอนศีรษะพิงอกอย่างอบอุ่นปลอดภัย เรือนร่างนางอ่อนยวบเพราะถูกวางยา มือซ้ายกลับปรากฏเรี่ยวแรงเงียบๆ ค่อยๆ ชักมีดสั้นออกจากกลางหลัง
คำว่า "ขอบคุณท่าน" สะดุดหูบุรุษสวมหน้ากาก ด้วยแม้เจนจัดยุทธภพเพียงสามปี ประสาทหูกลับแยกแยะเสียงจริงเท็จได้อย่างน่าอัศจรรย์
จู่ๆ ประกายตาเซื่องซึมพลันเจิดจ้า นางผละจากร่างเขากะทันหัน พร้อมกวาดมีดสั้นในมือเร็ววูบปาดท้องน้อย ทว่า พลาดเป้า ผู้ช่วยเหลือพลิกตัวหลบทัน ถอยห่าง และหันเผชิญหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตานางฉายแววอำมหิต รุกเข้าประชิด ตวัดใบมีดสั้นคมกริบทั้งบนและล่าง ฉวัดเฉวียนไปมาอย่างชำนาญ และโหดเหี้ยม ทุกจุดล้วนมุ่งอวัยวะสำคัญของคน จอมยุทธ์ผู้สวมหน้ากากไม่มีโอกาสปัดป้อง ต้านรับด้วยกระบี่ ได้แต่หลีกหลบไปมา ด้วยมีดสั้นมีความไวเป็นเลิศ พัวพันแบบไม่ให้ตั้งตัว แถมพละกำลังแข็งแกร่ง ทิ่มแทงแต่ละที แสดงถึงพลังลมปราณอันสูงเยี่ยม
ลิ่วล้อทั้งสิบสองคน ถอยห่างไปยืนเรียงหน้ากระดาน สองมือไพล่หลัง นิ่งดูเหตุการณ์อย่างสงบ ราวกับรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จอมยุทธ์หน้ากากทองเพิ่งรู้ว่าเสียท่า ถูกพวกมันจัดฉากแสดงละครตั้งแต่ต้น เขาออกท่องยุทธภพด้วยฉายา "จอมยุทธ์หน้ากากทอง" ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก และคนถูกรังแก ปฏิบัติมาสามปีแล้ว ก่อวีรกรรมช่วยเหลือพวกชาวบ้าน และจอมยุทธ์ปลายแถวมากมาย ทำให้ชื่อเสียงขจรขจาย นับเป็น "จอมยุทธ์รุ่นใหม่" ที่ผู้คนกล่าวขานมากที่สุดเวลานี้ สองวันก่อนได้ช่วยสตรีจากหอนางโลม และได้พบเหตุการณ์ลักพาตัวหญิงสาวพรหมจรรย์ เซ่นสังเวยทวยเทพ ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ เขาจึงมาดักรอ เพื่อช่วยชีวิตหญิงสาว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกับดัก
"รับดาบ!" ดาบหนึ่งพุ่งออกมาจากศาลเจ้า สตรีนางนั้นปามีดสั้นปักบนผนังกำแพง แล้วคว้าดาบจันทร์เสี้ยวมากวัดแกว่งแทนอย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ดาบนั้นใหญ่เทอะทะ นางกลับควงได้ลื่นไหลยิ่งกว่ามีดสั้น จอมยุทธ์หน้ากากทองถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นสัญลักษณ์บนด้ามดาบนั้นชัดเจน หันมองการยืนของเหล่าลิ่วล้อ ราวกับให้ความเคารพต่อคู่ต่อสู้ของเขาอย่างสูงสุด ซึ่งผิดวิสัยสตรีจะได้รับเกียรติเยี่ยงนี้
แควก...! ปริศนาเฉลยในบันดล เมื่อดรุณีสาวฉีกหน้ากากหนังมนุษย์อันปราณีตที่สุดในโลกออก
"จอมยุทธ์หน้ากากทอง... คืนนี้ จะให้เจ้าเผยธาตุแท้ออกมา"
ดรุณีสาวแสนสวย กลายเป็นบุรุษหนุ่มน้อย ใบหน้างาม หล่อเหลาดั่งหยก ประมุขน้อยแห่งยุทธภพ พยัคฆ์หน้าหยก เหลียนเฉิงปี!!
ดาบจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายสกุลเหลียน จู่โจมออกด้วยกระบวนท่า "พยัคฆ์ท่องป่า" ขั้นที่หนึ่งจากสี่วิชา "จิตพยัคฆ์" อันโด่งดังของป้อมพยัคฆ์คำราม รังสีดาบมีกลิ่นอายฆ่าฟัน บ่งบอกถึงการผ่านศึก อาบโลหิตมานับไม่ถ้วน ไม่ทราบจอมยุทธ์มากน้อยเท่าไร เคยสังเวยชีพแก่คมดาบนี้ จอมยุทธ์หน้ากากทอง แม้นเพิ่งผาดโผน แต่ได้ยินกิตติศัพท์นี้ดี จึงไม่คิดประมาท ใช้กระบี่ธรรมดา ที่ไม่พิเศษของตน ต้านรับกระบวนท่าอย่างองอาจ อาศัยประสบการณ์ด้านการประยุกต์วิชาที่ร่ำเรียนมา บวกกับพรสวรรค์ทางร่างกาย ปะทะสิบกระบวนท่าจึงยังไม่เพลี่ยงพล้ำ
เหลียนเฉิงปีทั้งหงุดหงิด และขัดใจ ทักษะการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามเป็นรอง สมควรยอมสยบในสิบกระบวน มิคาด ยิ่งนานกลับยิ่งกล้าแข็ง ตึงมือ กระบี่ยาวของมันเริ่มบิ่นเพราะอาวุธวิเศษ ตัวมันกลับไม่ปั่นป่วน เสียขวัญ แสดงถึงจิตใจที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ
ประมุขน้อยจึงใช้กระบวนท่าที่สอง "พยัคฆ์กางเล็บ" ขั้นนี้ใช้ปราบจอมยุทธ์ระดับกลาง จอมยุทธ์หน้ากากทอง สร้างชื่อด้วยการผดุงคุณธรรม ไม่ใช่พลังอันล้ำเลิศ หรือ อาวุธวิเศษ ทรชนที่ถูกจัดการ ก็หาได้เป็นจอมยุทธ์ระดับชั้นแนวหน้า ไม่แปลกที่เหลียนเฉิงปีจะประเมินเขาต่ำต้อย และก็จริงดังนั้น
แควก...! ดาบคมกริบปาดชายเสื้อต้นแขนขวาขาด เป็นแผลทางยาวโลหิตซึม จอมยุทธ์หน้ากากทองสำนึกตนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ จึงผละหนีไป เหลียนเฉิงปีไล่ตามอย่างไม่ลดละ
"ช้าก่อน ประมุขน้อย ช้าก่อน..." เสียงห้ามทำให้ชะงัก หันกลับมา บุรุษหนุ่มอายุไล่เลี่ยกัน รูปร่างอ้วนท้วม แต่งกายบัณฑิต โบกพัดเหล็ก ผู้ส่งดาบออกมาจากศาลเจ้า เดินมา
"ห้ามข้าทำไม?" ถามอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงยโสโอหังเป็นเอกลักษณ์ของประมุขน้อยบู๊ลิ้ม หากแต่คนตรงหน้าไม่ถือสา เนื่องจากมักคุ้นกันมาแต่เด็ก
"ปล่อยเขาไปเถอะ" บัณฑิตพัดเหล็ก โอวหยางชิง นายน้อยแห่งตำหนักเขียวขจี บอกเสียงอ่อน
"ได้ยังไง เราอุตส่าห์วางแผนเพื่อกระชากหน้ากากมัน ต้องจับตัวมันมาดูหน้า"
"ฮะ ฮะ นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว จอมยุทธ์หน้ากากทองผู้เกรียงไกร แม้แต่วิชาขั้นที่สองของท่านยังสู้ไม่ได้ วิ่งหนีหางจุกตูด แค่นี้ ท่านก็นับได้ว่าฉีกหน้ามันย่อยยับแล้ว แม้เดิมที แผนเราคือเปิดเผยตัวตนของมัน แต่มาคิดอีกที ข้าว่าทำตอนนี้ไม่สมควร"
"เพราะอะไร?" เหลียนเฉิงปีผู้เอาใจตนเป็นใหญ่ แต่คำพูดของโอวหยางชิง เขามักหยุดฟังเสมอ รวมถึงแผนคืนนี้ เขาก็ได้รับการช่วยเหลือด้านแปลงโฉมจากโอวหยางชิง
"จะดีจะชั่ว จอมยุทธ์หน้ากากทองก็เป็นผู้มีบุญคุณต่อสหายชาวยุทธ์ สามปีที่ผ่านมา เขาสร้างวีรกรรมผดุงคุณธรรม จึงมีจอมยุทธ์จำนวนหนึ่งยกย่องเขา หากท่านบีบคั้นเขามากเกินไป เท่ากับเป็นการรังแกกัน ชื่อเสียงของท่านก็จะด่างพร้อย ยามนี้ ภายใต้แสงจันทร์รัตติกาล ท่านใช้วิชาจิตพยัคฆ์กำราบจอมยุทธ์หน้ากากทอง ข้าโอวหยางชิง และคนตำหนักเขียวขจีเป็นพยาน ตอนนี้ ท่านเหนือกว่ามันแล้ว ไม่จำเป็นต้องเหยียบย่ำซ้ำเติม"
คนอย่างโอวหยางชิง คำพูดแม้นตรงไปตรงมา คมคายแฝงปรัชญา แต่ก็สอดแทรกการประจบประมุขน้อยอยู่ไม่น้อย อันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องปรับตัวไปตามกระแสยุทธภพ ตอนนี้ จอมยุทธ์หนุ่มรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของบู๊ลิ้ม คือ เหลียนเฉิงปี ยกเว้น ศิษย์เอก และคุณหนูแห่งหมู่ตึกเทพกระเรียน จอมยุทธ์รุ่นเยาว์คนอื่น จำเป็นต้องนอบน้อม เกรงใจ และให้เกียรติเขา ในฐานะผู้สั่งการยุทธภพรุ่นหนุ่มสาว
"แต่ข้าอยากเห็นหน้าของมัน... จอมยุทธ์หน้ากากทองเหรอ ชะ! วิชากระบี่ธรรมดา พลังลมปราณก็ธรรมดา เพียงแค่อาศัยฝีมือสองสามท่าช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ชาวยุทธ์กลับแต่งตั้งมันให้อยู่ "ทำเนียบชั้นจอมยุทธ์" เหลวไหลสิ้นดี"
โอวหยางชิงยิ้มกริ่ม โบกพัดอย่างใจเย็น เข้าใจอารมณ์ของนายน้อยป้อมพยัคฆ์คำราม ชาวยุทธ์รุ่นเยาว์ในปัจจุบัน ล้วนออกท่องยุทธภพ สร้างชื่อเสียงจนเกิดฉายามากมาย แต่ทำเนียบชั้นจอมยุทธ์นั้น ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ นอกจากพลังฝีมือต้องอยู่ระดับแนวหน้าแล้ว ต้องมีผลงาน และได้รับการยอมรับวงกว้าง ซึ่งในสายตาเขา จอมยุทธ์หน้ากากทอง ฝีมืออ่อนกว่าประมุขน้อยบู๊ลิ้ม แต่อยู่ทำเนียบ "จอมยุทธ์" ได้ เพราะมีผลงาน และได้รับการยอมรับวงกว้างแล้ว หากแต่บุคคลที่เหลียนเฉิงปียอมรับนั้น มีไม่ถึง 5 คน!
"เจ้าสังเกตออกไหม ว่ามันเป็นคนสำนักไหน"
เมื่อล้มเลิกการตามล่าจอมยุทธ์หน้ากากทอง ทั้งสองจึงเดินคุยกันไป โอวหยางชิงโบกพัดไล่พวกลิ่วล้อตำหนักเขียวขจีให้สลายตัว ก่อนจะเดินเคียงข้างประมุขน้อยไป
"ถึงเขาจะสู้ท่านไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้อ่อนหัดแบบไร้จุดเด่นเอาซะเลย เท่าที่ข้าสังเกตคร่าวๆ คนผู้นี้แม้วิชาจะปานกลาง แต่ว่ามีส่วนสัดดีเยี่ยม เอ่อ... วิชาที่ใช้ออก เหมือนจะเป็นวิชาของตนเองจริงๆ แต่ข้ารู้สึกโง่เขลา เพราะไม่เคยพบเห็นเพลงกระบี่นี้มาก่อน คำนวนจากบุคลิก และฝีมือ จอมยุทธ์อิสระตัดทิ้งไปได้เลย ถ้าทายไม่ผิด เขาน่าจะเป็นคนใน 6 พรรค 7 สำนัก"
"หากเป็นคนใน 6 พรรค 7 สำนัก มีหรือเจ้าจะดูไม่ออก"
"เอ่อ... ฮะ อะ ข้าอาจจะศึกษามาน้อยเกินไปก็ได้ แต่ว่า...ถ้าเขาเป็นคนใน 6 พรรค 7 สำนักจริง งานจับมังกรอีก 7 วันข้างหน้า ต้องสนุกแน่ๆ ท่านลองคิดดูนะ การประลองคัดเลือกตำแหน่งประมุขน้อย ชื่อของจอมยุทธ์หน้ากากทองจะต้องดังขึ้นมา การที่คนผู้นี้สวมหน้ากาก แปลว่าไม่ต้องการให้คนเห็นตัวจริง แต่ในงานจับมังกร ทุกคนต้องมีเทียบเชิญ ชาวยุทธ์ต้องปรากฏตัวเปิดเผย และในงานประลอง หรืองานเลี้ยง ท่านอาจจะได้พบเห็น ผู้ที่มีบาดแผลคมดาบบนต้นแขนขวาโดยบังเอิญ ท่านประกาศชื่อมัน ส่วนข้าก็เป็นพยาน ถึงตอนนั้น จอมยุทธ์หน้ากากทองก็ต้องยอมศิโรราบแก่ท่าน ปราบความผยองของมัน แล้วยังได้วีรกรรมเพิ่ม เรียกว่า ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว"
"พอเถอะ แค่ชนชั้นระดับกลาง น่าภูมิใจสักเท่าไหร่เชียว นับจากนี้ ชื่อของมันจะไม่อยู่ในหัวข้าอีกต่อไป การลงมาประมือด้วยครานี้ นับว่าลดตัวจริงๆ"
เหลียนเฉิงปีพูดเย่อหยิ่ง แล้วเดินเร็วๆ แยกไปอีกทาง รู้สึกว่าการอดนอนมาดักจับจอมยุทธ์ปลายแถวครั้งนี้ ช่างเป็นการเสียสละที่ไม่คุ้มค่าเลย โอวหยางชิงหยุดมองตาม แล้วยิ้มหึๆ ประมุขน้อยของเขายโสลำพอง ประเมินผู้อื่นจากเปลือกนอกเสมอ มิได้มีสายตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวอย่างเขา...
การต่อสู้ในค่ำคืนนี้...
หากเหลียนเฉิงปีไร้ดาบจันทร์เสี้ยว...
หากจอมยุทธ์หน้ากากทอง มิได้เก็บซ่อน ซุกงำพลังไว้บางส่วน...
หากจอมยุทธ์หน้ากากทอง มิได้พะวงบาดแผลเก่าบนเอวด้านซ้าย...
หากกระบี่ของจอมยุทธ์หน้ากากทอง จะมิโหลยโท่ยจนเกินไป...
และหากเหลียนเฉิงปีจะสำเหนียกถึงกระบวนท่าประยุกติแบบแปลกๆ นั้น...
บางที ในทำเนียบชั้นจอมยุทธ์ของประมุขน้อย คงมีชื่อ "จอมยุทธ์หน้ากากทอง" ติดอยู่ด้วย โอวหยางชิงส่ายหน้าขำๆ ก้าวเท้าออกเดิน เพียงหนึ่งก้าวก็ชะงัก ฉุกใจคิด
ประยุกติวิชา...? เอ๊ะ หรือว่า... จะเป็นคนจากพรรคอักษรกระบี่!
พรรคอักษรกระบี่ ก่อตั้งมายี่สิบสองปี ตั้งอยู่บนเขาเหมยซาน เริ่มเข้าสังกัดบู๊ลิ้มโดยการอยู่ชั้นปลายแถว ก่อนจะไต่ลำดับขึ้นมาเรื่อยๆ จน ณ ปัจจุบัน ถือว่าเป็นสมาคมแห่งเดียวที่ใช้ชื่อสังกัดว่า "พรรค" อยู่ในระดับแนวหน้าของยุทธภพ ไม่นับรวมพรรคกระยาจก ซึ่งมีชื่อเสียงมาก่อนนับร้อยปี เป็นระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของพรรค อับดับที่สิบแห่งบู๊ลิ้ม
เป็นธรรมดาที่สำนักชาวยุทธ์ จะมีจุดเด่นซ้ำๆ กัน ไม่ศาสตราวุธสุดยอด วิชาเลิศล้ำปฐพี มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ ยอดคนเกรียงไกร ก็มีคุณธรรม ผลงานอันสูงส่ง แต่พรรคอักษรกระบี่ มีแก่นหลักที่แปลกแยก แตกต่างไปจากสำนักฝ่ายธรรมะทั้งหลาย ศาสตราวุธไร้ชื่อ วิชาไม่โดดเด่น ปราศจากตำนานผู้กล้า ยอดคนไม่ปรากฏ ผลงานก็ไม่ถือว่ายิ่งใหญ่ หากมองเพียงภาพรวม ไม่สมควรยืนเป็น 1 ใน 10 ของยุทธภพด้วยซ้ำ
หกปีก่อน ในงานจับมังกร พรรคอักษรกระบี่อันดับที่ยี่สิบ อสูรตาเดียว ตู้เทียนต้า ประมุขพรรค นำพาเหล่าศิษย์เข้าร่วมงานประลอง ทั้งชิงตำแหน่งจ้าวยุทธ์ และประมุขน้อย เฉินชวน ศิษย์เอก วัยสิบเจ็ดปี ลงแข่งขันตำแหน่งประมุขน้อย แต่พ่ายแพ้แก่ กระบี่เทพบุตร หยางฝาน ศิษย์เอกหมู่ตึกเทพกระเรียน อดีตประมุขน้อยสองสมัย
ตู้เทียนต้าลงชิงตำแหน่งจ้าวยุทธ์ นำเคล็ดวิชาที่ตนคิดค้นขึ้นเอง จากอักขระโบราณบนแผ่นศิลาเขาเหมยซาน ประยุกติกับเคล็ดวิชาของสำนักต่างๆ รวมเข้าด้วยกัน ผสมผสานจนเป็นวิชาของตนเอง ทั้งมีเอกลักษณ์ ทรงอานุภาพ สวยงามและน่าทึ่ง แม้นจะแพ้ให้กับ กระบี่เทวะ เจ้าถิงฟง ประมุขหมู่ตึกเทพกระเรียน และจ้าวยุทธ์คนปัจจุบัน แต่การโค่น 4 ผู้นำ ของ 6 พรรค 7 สำนักลงได้ นับเป็นหนึ่งในวีรกรรมสุดยอดแห่งยุคที่ถูกกล่าวขาน เพราะขณะนั้น ตู้เทียนต้ายังเป็นแค่จอมยุทธ์ปลายแถว ไม่มีใครเหลียวแล หลังจบงาน พรรคอักษรกระบี่ จากอันดับยี่สิบ พุ่งทะยานสู่อันดับสิบสี่ กลายเป็นพรรคน้องใหม่ที่ได้รับการจับตามองนับแต่บัดนั้น
สามปีต่อมา ตู้เทียนต้ากลับมาอีกครั้ง เฉินชวน ศิษย์เอกในวัยยี่สิบ ประลองกับพยัคฆ์หน้าหยก เหลียนเฉิงปี ถูกซัดตกเวทีอย่างน่าอับอาย ปีนั้น นับเป็นปีหนึ่งที่มีประเด็นให้กล่าวขานหลายเรื่อง ทั้งอาการบาดเจ็บอย่างลึกลับก่อนหน้าการประลองของหยางฝาน จนเป็นเหตุให้พ่ายแพ้ เสียตำแหน่งประมุขน้อยแก่เหลียนเฉิงปี ทั้งการพัฒนาฝีมือของเหล่าสุดยอดสำนักทั้งหลาย จนห้ำหั่นกันได้อย่างดุเดือด เร้าใจ พรรคอักษรกระบี่ ที่เคยสร้างความฮือฮา ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นำความแปลกใหม่น่าทึ่งมาสู่ยุทธภพได้เสมอ วิชาจากอักขระโบราณ ดัดแปลงเป็นกระบวนท่าซับซ้อนสุดหยั่ง เพลงกระบี่ของพรรคนี้ นับว่าแหวกแนว และแหกคอกจากสำนักอื่นมาก จนคล้ายมหัศจรรย์ แถมการนำจุดเด่นวิชาจากสำนักอื่นมาประยุกติใช้ ทำให้เพิ่มพูนอานุภาพ จนเกิดความไม่พอใจในบรรดาหมู่ผู้นำ ถึงกับมีการประท้วงวิชาของตู้เทียนต้า ว่าเป็นวิชาขโมย! ไม่มีแบบแผนของตัวเอง งานจับมังกรปีนั้น จึงนับว่าสร้างความฉาวแก่พรรคอักษรกระบี่ และจุดประเด็นบาดหมาง ระหว่างอสูรตาเดียว กับ 6 พรรค 7 สำนัก ถึงกระนั้น การโค่นผู้นำ 1 พรรค 4 สำนัก ถือเป็นวีรกรรมลือลั่น พรรคอักษรกระบี่ขึ้นสู่แนวหน้ายุทธภพในที่สุด กลายเป็น 1 ใน 6 พรรค 7 สำนักใหญ่ อยู่ลำดับที่ 10 ในบู๊ลิ้ม แทนที่พรรคอินทรีที่ถูกเขี่ยตกลงไป
ณ พรรคอักษรกระบี่ (นับถอยหลังเจ็ดวันสู่งานจับมังกร)
ยามเช้าตรู่ อากาศบนเนินเขาบริสุทธิ์ แจ่มใส หมอกลงเบาบาง พอมองเห็นกำแพงสูง และตึกอิฐแบบโบราณ อยู่กลางวงล้อมต้นไม้ใหญ่ รายล้อมด้วยภูเขาสองด้าน
ที่ตั้งของพรรคอักษรกระบี่ เมื่อเดินผ่านบันไดห้าสิบขั้น ผ่านประตูเข้าไป จะพบกับเนินดินกว้างขวาง มีชื่อว่า "ลานศิลา" ความหมายตามคำเรียก คือเต็มไปด้วยแท่นศิลา และก้อนหินรูปร่างประหลาดมากมาย ตั้งระเกะระกะไร้แบบแผน โบราณวัตถุพวกนี้ไม่คล้ายเกิดจากธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่มา อักขระภาษาจีนเก่าและเลือนลาง เหมือนเป็นภาษาของราชวงศ์ ถูกสลักไว้บนหินผาหลายลูก ทั้งในลักษณะตัวอักษร รูปวาด และสัญลักษณ์
พรรคอักษรกระบี่ก็เหมือนกับ 6 พรรค 7 สำนักใหญ่ คือ มีกฏในการต้อนรับแขก ไม่ต้องปลดอาวุธเหมือนสำนักบู๊ตึ๊ง แต่ต้องผูกผ้าปิดตา ขณะเดินผ่านลานศิลา หากผู้ใดฝ่าฝืน จะถูกลงโทษตามกฏพรรค หากผู้ใดลักลอบเข้ามาศึกษาแผ่นศิลา ตู้เทียนต้าจะถึงขั้นทำลายดวงตาคนผู้นั้น แล้วปล่อยตัวกลับไป นับเป็นกฏโหดที่ชาวยุทธจักรทราบดี
ยามนี้ เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องจากขอบภูเขา ปรากฏร่างบุรุษสามนาย ในอาภรณ์แพรงามสีขาว กำลังก้าวขึ้นบันไดมา ผู้นำหน้าวัยห้าสิบปี แต่งกายปราณีต มีสง่าราศี ลักษณะทรงภูมิ บุรุษหนุ่มน้อยสองนายด้านหลัง คล้ายเป็นผู้ติดตาม ทั้งสามสะพายกระบี่พาดหลัง ฝีเท้ายามเดินเหินรวดเร็ว และเบากริบ มองเผินๆ คล้ายลอยมา เมื่อถึงหน้าประตู ไร้การหอบเหนื่อย หรือ เหงื่อตกสักเม็ด บ่งบอกถึงระดับฝีมือมิต่ำทราม ศิษย์ผู้ติดตามนายหนึ่ง ถือถาดทอง มีกล่องไม้ยาวสีแดงวางอยู่
"หยุดก่อน... ผู้มาโปรดแจ้งชื่อ"
ศิษย์พรรคผู้เฝ้าประตูสองนาย เอียงกระบี่ขวางกั้น ร้องถาม
"ลิ้วกิวเฮียบ ผู้ดูแลหมู่ตึกเทพกระเรียน นำเทียบเชิญงานจับมังกรมามอบแด่ประมุขตู้"
อาวุโสวัยห้าสิบ คำนับอย่างเปี่ยมมารยาท สองนายรีบคำนับกลับแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินชื่อ "หมู่ตึกเทพกระเรียน" ก็แสนจะตื่นเต้นลนลานนัก เนื่องด้วยในชีวิตของมัน ไม่เคยได้พบปะกับคนของพรรคอันดับหนึ่ง เพราะเป็นศิษย์ระดับล่างสุด หน้าที่เฝ้าประตู
"อ๋อ เชิญ เชิญท่าน... ข้าจะไปเรียนท่านอาจารย์"
"ช้าก่อน..." เสียงห้าวดังมา ร่างหนึ่งลอยทะยานข้ามหัว พริ้วลงเบื้องหน้า
"แขกทุกคนที่จะผ่านเข้าออกประตู ต้องผูกผ้าปิดตา พวกเจ้าทำอะไร"
เฉินชวน ประกาศด้วยใบหน้าถมึงทึง พร้อมส่งสายตาเกรี้ยวกราดใส่ศิษย์น้อง
"เอ่อ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านนี้...เป็นคนของหมู่ตึกเทพกระเรียน"
"คนหมู่ตึกเทพกระเรียนแล้วยังไง คนของพรรคอันดับหนึ่ง ไม่ต้องเห็นกฏพรรคอักษรกระบี่อยู่ในสายตาเหรอ"
เฉินชวนพูดเสียงดัง แววตาที่มองแขก เต็มไปด้วยความดุร้าย และถือตัว
"ท่าน คือ..."
"เฉินชวน ศิษย์เอกพรรคอักษรกระบี่"
"อ๋อ คุณชายเฉิน กล่าวหนักไปแล้ว ข้าได้รับคำสั่งมาส่งเทียบ ย่อมทำตัวเป็นอาคันตุกะที่ดี สหายน้อยสองนายตื่นเต้นจนลืมตัวชั่วครู่ มิได้มีเจตนาฝ่าฝืนกฏ"
ศิษย์ต่ำชั้นสุดของพรรค ถึงกับซาบซึ้ง หัวใจพองโต คาดไม่ถึงว่า คนของพรรคอันดับหนึ่ง ไม่เพียงไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว ยังน้ำใจกว้างขวาง ให้เกียรติปกป้องกระทั่งลิ่วล้อเล็กๆ
เฉินชวนกลับรู้สึกเสียหน้าจนหนวดกระดิก งานจับมังกรสองครั้งที่ผ่านมา เขาเข้าร่วมประลอง การพ่ายแพ้รวดเร็ว บวกกับไร้เอกลักษณ์จุดเด่น ทำให้ชื่อเสียงไม่กระเตื้อง หกปีที่ผ่าน แม้ออกท่องยุทธภพ มีผู้รู้จักไม่ถึงสิบคน แถมเป็นพวกปลายแถวที่ไม่สูงส่งกระไร ผู้ที่ไม่ถูกเลื่อนชั้นเข้าทำเนียบจอมยุทธ์ ย่อมไม่มีสิทธิ์ใช้คำนำหน้าว่าจอมยุทธ์ ไม่มีฉายา จะถูกเรียกขานอย่างสุภาพที่สุดว่า "คุณชาย" เท่านั้น
"เฮอะ หมู่ตึกเทพกระเรียน เห็นพรรคเราเป็นตัวอะไร ส่ง "พ่อบ้าน" มาแจกเทียบเชิญ ไม่ให้เกียรติกันเลย"
ความขุ่นใจกลายเป็นความพาล ลิ้วกิวเฮียบคล้ายอ่านนิสัยบุรุษเบื้องหน้าออก ยิ้มนิ่ม
"คุณชายเฉิน การส่งเทียบเชิญ เป็นหลักสากลยุทธภพ เนื้อสาสน์นั้นสำคัญ สูงต่ำอยู่ที่ใจ วีรบุรุษไม่ถือสาเรื่องหยิบย่อย ผ้าผูกตาอยู่ที่ใด โปรดนำมาเถิด"
"วีรบุรุษไม่ถือเรื่องหยิบย่อย คำนี้ดีมาก!"
เสียงก้องกังวาน ร่างหนึ่งเตะฝ่าอากาศลอยมา หาได้ข้ามหัวอาคันตุกะเหมือนคนแรก พลิ้วตัวลงเบื้องหน้า เบากริบ และสง่างาม ลิ้วกิวเฮียบสะดุ้งในใจ คนผู้นี้มิเพียงวิชาตัวเบาเหนือกว่าเฉินชวนหลายเท่า ลักษณะการวางปลายเท้ายังนุ่มนวล หมดจด ขณะหมุนตัวกลับมา ใช้เพียงปลายนิ้ว ละม้ายคล้ายคลึงกับกระบวนท่าหนึ่งใน "นกยูงเริงระบำ" อันเป็นสุดยอดวิชาตัวเบาอันดับหนึ่งของหมู่บ้านดาวตก
...ลักษณะการวางเท้า ช่างคล้ายกับ กระบี่เทพบุตร หยางฝาน เสียนี่กระไร!
บุรุษหนุ่มชุดขาว ระบายรอยยิ้มเปี่ยมไมตรี ลมพัดชายเสื้อยาวพริ้วไหว ลิ้วกิวเฮียบพลันตาสว่างในบันดล ชายหนุ่มตรงหน้า อายุราวยี่สิบ ใบหน้าหล่อเหลา บริสุทธิ์อ่อนเยาว์ ดวงตาดำขลับเปล่งประกายงดงาม ทั้งคมกริบและอ่อนโยนในเวลาเดียว รูปร่างสูงยาว แม้นไม่บึกบึน ใหญ่โต แต่ก็สง่างาม สมส่วนสัดชายชาตรี
...หาก หยางฝาน คือ ชายงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า บุรุษหนุ่มน้อยตรงหน้านี้ เห็นควรได้ตำแหน่งอันดับสอง!
ลิ้วกิวเฮียบสาบานว่าไม่เคยพบเห็นคนผู้นี้ หากเคยพบเพียงครั้งเดียว ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ จะไม่มีทางลืมเด็ดขาด
ผู้เฝ้าประตูมอบผ้าแก่เฉินชวน ผู้มาใหม่ยกมือห้าม บอกเรียบๆ
"กับผู้อาวุโสลิ้ว ไม่ต้องใช้ผ้าปิดตา"
"เหลวไหล เจ้าคิดจะทำอะไร" เฉินชวนตวาด
"ผู้เยาว์ หยุนเซียวเซียว ศิษย์อันดับสองพรรคอักษรกระบี่ คำนับผู้อาวุโสลิ้ว"
ผู้มาใหม่ยกมือคำนับ และก้มหัวนอบน้อม กล่าวเสียงกังวาน ฉาดฉาน
ลิ้วกิวเฮียบยิ้มทึ่ง คำนับตอบ
"คุณชายหยุน มิต้องเกรงใจ ข้ามาส่งเทียบ มิได้มาสร้างความลำบาก"
"หามิได้ หากเป็นยามปกติ เรารักษากฏเข้มงวดมาก แต่นี่ คือ ช่วงเทศกาลจับมังกร เราละเว้นให้แก่ผู้ส่งเทียบเป็นพิเศษ" ศิษย์อันดับสอง พูดจาไพเราะ น่าฟัง
"หยุนเซียวเซียว เจ้าจะละเมิดกฏพรรคเหรอ" เฉินชวนแสดงความไม่พอใจ
"ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือ อาจารย์ออกกฏใหม่ตั้งแต่สามปีก่อน ผู้ส่งเทียบเชิญจาก 6 พรรค 7 สำนัก ไม่ต้องผ่านเข้าลานศิลาอีกแล้ว ให้เปลี่ยนไปใช้ทางลัดแทน"
เฉินชวนพูดไม่ออก กฏนี้เขาย่อมจำได้ แต่ที่ไม่ทำตาม ด้วยต้องการข่มรัศมีผู้คน!
"ขออภัยที่เสียเวลา เชิญท่านอาวุโส..."
หยุนเซียวเซียวกล่าวสุภาพ ผายมือ แล้วเดินนำแขก ไปทางด้านข้างของประตู ทิ้งให้เฉินชวนยืนกัดฟันอย่างเจ็บใจที่พลาดโอกาส
หยุนเซียวเซียวส่งอาคันตุกะถึงห้องรับแขกแล้ว จึงปลีกตัวมายัง "สวนเหมยบาน" อันเป็นสถานที่ส่วนตัว ไว้ฝึกปรือวิชา เท้าเขาเหยียบย่าง ทว่าใจกลับล่องลอย คิดถึงแต่งานจับมังกรอย่างตื่นเต้น กังวล
ตื่นเต้น...กับงานประลองยิ่งใหญ่สุดในบู๊ลิ้ม กังวล...กับโอกาสที่จะได้เข้าร่วมสัมผัส
วี๊ด... เสียงเหมือนสัตว์เล็กกระพือปีก แหวกฝ่าอากาศมาจากด้านหลัง หยุนเซียวเซียวแม้เหม่อลอย ประสาทหูยังเฉียบคม ยิ้มมุมปาก พลิกตัว ซัดฝ่ามือ แผ่พลังลมปราณสองส่วน ปัดฝูงผีเสื้อเหล็กขนาดเล็กซึ่งปักเข็มแหลมคมไว้ตรงกลาง ผีเสื้อเหล็กนี้ หากโดนผิวเนื้อ ภายนอกจะสร้างบาดแผลเล็กๆ เพียงเลือดซึม แต่เข็มที่หลุดทะลุเนื้อหนังเข้าไป เป็นอันตรายต่อชีวิตในระยะยาว รวมถึง หากโดนจุดสำคัญ ก็ถึงขั้นตายได้
ตึง...ตึง...ตึง... ผีเสื้อเหล็กทั้งเจ็ดตัว ถูกเขาซัดไปปักบนต้นเสาของศาลา หยุนเซียวเซียวส่ายหน้า ยิ้มขำ
"ผีเสื้อคะนองฤทธิ์ กลายเป็นผีเสื้อปีกหักซะแล้ว"
ผู้ซัดอาวุธลับ "ผีเสื้อเหล็ก" ด้วยกระบวนท่าหนึ่งในวิชา "ผีเสื้อคะนองฤทธิ์" โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ ยิ้มหึๆ วาดมือตั้งท่า พูดเสียงห้าว
"ไม่เป็นไร ข้ายังมีอีกเยอะ"
"เดี๋ยว...!" หยุนเซียวเซียวยกมือ กระโดดขึ้นบันไดศาลากลางสวน
"วันนี้แจกเทียบ ทำไมเจ้าไม่อยู่หมู่บ้านดาวตก"
หญิงสาววัยเยาว์ แต่อายุมากกว่าเขาสองปี ใบหน้าแม้นไม่ถึงกับโฉมสะคราญ แต่ก็ถือว่า คมคาย มีเสน่ห์ นางลดมือลง เดินเข้ามาพร้อมส่งสายตาค้อน
"คนหมู่บ้านดาวตกมีเป็นร้อย ต้องให้ข้า เหยาฟ่งอิง ไปรับด้วยเหรอ บอกให้นะ ข้าไม่สนเทียบเชิญพรรคข้าสักนิด พรรคอักษรกระบี่ต่างหากเล่า น่าสนใจกว่าเยอะ"
ประโยคท้าย นางยักคิ้วหรี่ตาอย่างมีความหมาย ชายหนุ่มยิ้ม ยกมือกอดอก
"อ๋อ อย่างนั้น... ถ้าประมุขหลาน ไม่ใส่ชื่อเจ้าลงไป ก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม"
"จริงด้วย ถ้าข้าไม่อยู่ อาจารย์ต้องลืมนึกถึงข้าแน่ๆ ถุย! ปกติ อาจารย์ก็ไม่ใส่ชื่อข้าอยู่แล้ว นี่... เจ้าจะพูดเหยียบย่ำซ้ำเติมทำไมเนี่ย"
"ฮะ ฮะ ซ้ำเติม ผีเสื้อสราญรมย์ เหรอ ถึงหยุนเซียวเซียวมีสิบหัว ก็มิหาญกล้าหรอก"
เขาสัพยอก ยกมือคำนับ หยอกเย้า ผีเสื้อสราญรมย์ เหยาฟ่งอิง ศิษย์หญิงแห่งหมู่บ้านดาวตก ก่อนจะหันไปนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อน
"เทียบเชิญมาแล้ว?" นางโดดขึ้นมาว่องไว ยื่นหน้ามาใกล้ ถามแววตาสุกใส
"อาวุโสลิ้วกิวเฮียบนำมา ตอนนี้ กำลังคุยกับอาจารย์" เขายกกาเทน้ำชาลงจอก
"ท่านอาลิ้วมาเอง เสียดายข้าไม่ได้ออกไปคารวะ นี่... แล้วทำไมเจ้าไม่อยู่ฟังด้วย"
"ผู้ใหญ่คุยกัน เรื่องงานสำคัญของยุทธภพ ข้าเสนอหน้าทำอะไร"
หยุนเซียวเซียวยกจอกดื่ม สหายสาวตบโต๊ะดังปังจนเขาแทบสะดุ้ง ร้องเสียงดัง
"ไฮ้ นี่มันเวลาอะไร เจ้ายังใจเย็นอยู่ได้ เทียบมาถึง...ก็เข้าสู่โค้งสุดท้ายงานประลองยุทธ์แล้ว ช่วงนี้ ที่ศิษย์ทุกสำนักขยันทำที่สุด คือ การประจบอาจารย์ หมั่นเสนอหน้า ปรนนิบัติ เอาอกเอาใจ จะได้มีชื่อของตนบนเทียบเชิญ หากเจ้าไม่ทำ ประมุขตู้เทียนต้ามีหวังหน้ามืด เขียนชื่อเฉินชวนลงไปอีก เท่ากับเจ้าพลาดงานประลองเป็นหนที่สาม"
หยุนเซียวเซียวสะอึก วางจอกลงช้าๆ มองหน้าสหายรักต่างพรรค ซึ่งเติบโตมาพร้อมกัน ด้วยโชคชะตาพาให้รู้จักตั้งแต่เด็ก เหยาฟ่งอิง นับเป็นสหายในยุทธภพหนึ่งเดียวของเขา นางอยู่หมู่บ้านดาวตก แต่มักเข้ามาฝึกวิทยายุทธิ์กับเขาในสวนเหมยบานเสมอ จนคุ้นเคยกับทุกคนในพรรคอักษรกระบี่ ตู้เทียนต้าก็ไม่ได้ห้ามทั้งสองคบหากัน
สิ่งที่แตกต่าง คือ นางเป็นชาวยุทธจักรเต็มตัว เพราะออกท่องโลกกว้างตั้งแต่สิบแปด ขึ้นระดับชั้นจอมยุทธ์แล้ว แม้ไม่ถึงกับอยู่แนวหน้า แต่ชื่อเสียงก็กว้างขวางพอสมควร
"อาจารย์ข้ามีสติ และวิจารณญาณดี ท่านต้องเขียนชื่อคนที่เหมาะสม"
แม้จะสนิทสนม นับถือเหมือนพี่น้อง แต่คำพูดที่เหมือนลบหลู่อาจารย์ ทำให้เขาเสียงเข้ม
"ชื่อที่เหมาะสมของอาจารย์เจ้า มีแต่ "เฉินชวน" เท่านั้น อักษรสองตัวนี้ ประมุขตู้เขียนมาสองครั้งแล้ว แล้วก็นับว่าได้ขายขี้หน้าทั้งสองหน หากว่า เขาเขียนอีกเป็นครั้งที่สาม ข้ารับประกันว่า เหยาฟ่งอิงไม่หัวเราะเยาะ คนทั้งยุทธภพก็ต้องขบขันกันสนุกปากแน่"
นางพูดจริงใจ ตรงไปตรงมา ความเปิดเผย ห้าวหาญ คือ จุดเด่นของนาง หยุนเซียวเซียวถอนหายใจ ลุกขึ้น เดินไปยืนหันหลังให้
"คนที่ศิษย์พี่ใหญ่แพ้ ล้วนเป็นอันดับ 1 และ 2 ของยุทธภพ หากเป็นข้าก็พ่ายแพ้เหมือนกัน แพ้ให้กับผู้สูงส่ง ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย"
"เฮ้อ..." นางกลับถอนหายใจดังกว่า อธิบายฉาดฉาน "ที่เฉินชวนอยู่ปลายแถว ใช่ว่าเขาพ่ายแพ้การประลอง แต่เพราะไร้ความสามารถ ไร้จุดเด่นใดๆ เลย เจ้ารู้ไหม งานจับมังกรไม่ได้มีแค่การประลองนะ บนเวทีมีคู่แข่งชิงตำแหน่ง นอกเวทีก็มีสนามรบถูกกฏ เป็นทางลัดของยุทธภพ ให้พวกที่ไม่ถูกเสนอชื่อได้ผุดได้เกิดบ้าง อย่างข้า ก็ไม่เคยขึ้นเวที ที่ได้รับสมญา "จอมยุทธ์หญิง" เพราะอาศัยทางลัดนี้ล่ะ"
เขาเหลือบมองนางอย่างชื่นชม เหยาฟ่งอิงฝีมืออาจไม่สูงส่งถึงขั้นศิษย์เอกของหมู่บ้านดาวตก แต่นางกร้าวแกร่ง และเจนจัดในยุทธภพ ยิ่งกว่าจอมยุทธ์บางคนเสียอีก
"นี่ ถ้าครั้งนี้ ประมุขตู้มองข้ามเจ้าอีก จงปลอมตัว ออกท่องยุทธภพซะ"
"ปลอมตัว?"
"จอมยุทธ์หน้ากากทอง ชื่อดังพอจะร่วมงานจับมังกรแล้ว!"
นางขยิบตา กระซิบ ยิ้มอย่างมีเลศนัย
"เหลวไหล เพ้อเจ้อ" เขาร้องเสียงดัง กลับมานั่งลงตามเดิม
"เอ๊า นี่ข้าคิดหาทางให้เจ้านะ หรืออยากจมปลักอยู่บนเขาทั้งชาติ"
"ถึงเป็นความปรารถนา แต่ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ สองครั้งที่ผ่านมา อาจารย์สั่งให้ข้าอยู่เฝ้าพรรค ข้าเป็นศิษย์คนรอง ไม่ทำตามกฏ ไม่เคารพคำสั่งไม่ได้"
"งานจับมังกรยิ่งใหญ่ ครึกครื้นมาก รวมชาวยุทธ์จากทุกสารทิศไว้มากที่สุด นอกจากได้เปิดหูเปิดตาวิชาสำนักต่างๆ แล้ว ยังได้คบหามิตรสหายรู้ใจ ข้าท่องยุทธภพมาห้าปี ได้รับประสบการณ์ล้ำค่ามากมาย เจ้าอายุยี่สิบแล้ว กลับไม่เคยได้ไปสัมผัสสักครั้ง ไม่นับว่าน่าเสียดายหรือ"
"เหตุนี้ ยุทธภพถึงได้มี "จอมยุทธ์หน้ากากทอง" รำพึงเบาๆ
"ไม่เหมือนกัน เจ้าจะหลบซ่อนอยู่หลังหน้ากากตลอดไปไม่ได้ คนอย่างหยุนเซียวเซียว มีดีพอเป็นจอมยุทธ์ และเก่งพอจะเข้าชิงตำแหน่งประมุขน้อยด้วย!"
นางทุบโต๊ะอีกครั้ง อย่างองอาจมั่นใจในสิ่งที่พูดออกมา หยุนเซียวเซียวถึงกับอึ้ง หวนนึกถึง "เรื่องเมื่อคืน" แล้ว รู้สึกฮึกเหิม มีพลังขึ้นมา...
"จอมยุทธ์หน้ากากทอง" คือ ฉายาที่เหล่าชาวยุทธ์ตั้งให้ ภายใต้หน้ากากนั้น เขาหาได้ยโส ลำพองใจ กับตำแหน่ง "จอมยุทธ์" ที่ได้มาไม่ ด้วยรู้ดีว่า ยังไม่ได้พิสูจน์ฝีมือตามกฏยุทธภพอย่างถูกต้อง และแสดงตัวจริงประจักษ์แก่ผู้คน การที่เขาสร้างตัวแทนนี้ขึ้นมา เจตนาเพียงอยากปลดปล่อยความปรารถนาของตนเอง คือ การท่องไปในยุทธภพ คบหาผู้กล้า ผดุงคุณธรรม ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ สั่งสอนคนชั่ว สามปีนี้เขาปฏิบัติเป็นกิจวัตร ไม่มีผู้ใดสงสัยเลย แน่นอน ในยุทธภพไม่มีใครรู้จักเขา เพราะตั้งแต่เข้าพรรคมา มิเคยได้ลงไปท่องโลกกว้างอย่างจริงจัง!? ลงเขาแต่ละครั้งด้วยงานมอบหมายจากอาจารย์ แถมคำสั่งกำชับเด็ดขาด ห้ามอวดโอ่โลดโผนในโลกชาวยุทธ์ นับได้ว่า ถูกเก็บตัวอย่างถึงที่สุด!!
หยุนเซียวเซียวไม่กล้าตั้งคำถาม เพราะเมื่อทำท่าจะเอ่ยปาก ตู้เทียนต้าต้องตวาดด้วยเสียงเข้ม เขารู้ตัวว่าไม่ใช่ศิษย์รัก แต่ด้วยบุญคุณชุบเลี้ยง และสอนวิชา เขามิกล้าโกรธเคืองอาจารย์ แม้นมีความน้อยใจ ก็เก็บซ่อนไว้มิดชิด
ความลับนี้ จึงมีเพียงหยุนเซียวเซียว และเหยาฟ่งอิง สองคนที่รู้!
เรื่องเมื่อคืน เขาไม่ได้เล่าให้นางฟัง การเจอพยัคฆ์หน้าหยกเป็นเรื่องไม่คาดฝัน เขามิได้ต่อสู้เต็มกำลัง ยอมเก็บงำฝีมือ เมื่อรู้ว่าคนเบื้องหน้าเป็นใคร ใช่ขลาดกลัว แค่ไม่ต้องการสร้างศัตรู เขาสงสัยเจตนาของเหลียนเฉิงปี อาจขุ่นเคืองชื่อเสียงของจอมยุทธ์หน้ากากทอง จึงมาพิสูจน์ เขาแสร้งแพ้รวดเร็วเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ บาดแผลบนต้นแขน ถือเป็นการยกชัยชนะให้ เขามิได้เป็นจอมยุทธ์ฯ เพื่อแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกับใคร เพียงต้องการทำความดีอย่างสงบ และหวังว่าประมุขน้อยจะยอมปล่อยเขา
วิชาที่เขาใช้ยามสวมหน้ากาก ไม่ใช่วิชาของพรรค เป็นกระบวนท่าที่เขาคิดค้นขึ้นเองจากศิลาโบราณ การประยุกติวิชา และแกะรหัสอักษร นับเป็นพรสวรรค์ชั้นเลิศที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และเขาฝึกปรือ ใช้ต่อสู้อย่างจริงจังกับเหยาฟ่งอิงเพียงคนเดียว สามปีนี้จึงไม่มีใครจับได้ว่า "จอมยุทธ์หน้ากากทองเป็นคนพรรคอักษรกระบี่"
ถามว่า หากเขาทุ่มเทเต็มกำลังเมื่อคืนนี้ ใครเป็นฝ่ายชนะ? หยุนเซียวเซียวตอบแบบไม่ต้องคิด ต่อให้ทุ่มทั้งชีวิตก็ยังเป็นรองเหลียนเฉิงปี!
แม้เขามีพรสวรรค์ แต่ขาดการส่งเสริม ผลักดัน อาจารย์สอนเคล็ดวิชาขั้นสูงแก่เฉินชวน ศิษย์เอกของพรรคกลับไร้ปัญญาไปถึง ส่วนเขา ได้รับแค่วิชาระดับกลางๆ แม้เรียนจบทุกอย่างแล้ว ยังไม่ได้โอกาสให้ก้าวหน้าเหมือนศิษย์รัก หยุนเซียวเซียวเข้าใจ ฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ควรเป็นผู้มีฝีมือสูงสุด แต่อาจารย์เองก็ทราบว่า เขาฝึกทีหลัง แต่รุดหน้ามากกว่า ทั้งเพลงกระบี่ และการประยุกติวิชา ล้วนเหนือล้ำกว่าเฉินชวนแบบทิ้งไม่เห็นฝุ่น!
แต่ถึงเขาจะเก่งแค่ไหน จะดีสักเพียงใด... ก็ไม่อาจเป็นคนในสายตาของอาจารย์อยู่ดี ความอาภัพเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขา...ก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม?
"หยุนเซียวเซียว! เจ้าฉีกหน้าข้าต่อหน้าคนของพรรคอันดับหนึ่ง เชิญแขกเป็นหน้าที่ของข้า ใครใช้ให้เจ้าเสนอหน้า"
คนที่เขากำลังนึกถึงปรากฏกาย พร้อมเสียงเกรี้ยวกราด
"ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้ทั้งรู้เรื่องทางลัด ดึงดันจะปิดตาอาวุโสลิ้วให้ได้ ไม่คิดว่าทำเกินเหตุไปหรือ"
หันมาตอบเรียบๆ แม้เป็นฝ่ายถูกกดให้อยู่ที่สอง เขาก็ไม่เคยมีจิตอิจฉาริษยา
"อ้อ ศิษย์พี่เฉินตั้งใจกลั่นแกล้งคนหรือนี่" เหยาฟ่งอิงตะโกนมา
"เรื่องภายในพรรค คนนอกอย่ายุ่ง" เฉินชวนถลึงตาใส่
"เฉินชวน หากเจ้าหน้าบางขนาดนี้ ทางที่ดี อย่าได้พาตัวเองขึ้นไปขายขี้หน้าบนเวทีอีกเลย จะอับอาย เสียเกียรติ มาถึงพรรคเปล่าๆ"
ผู้หญิงอย่างเหยาฟ่งอิง ไม่มีทางสงบให้คนตะคอกใส่ นางสนิทกับหยุนเซียวเซียว แต่แสนเกลียดนิสัยเฉินชวน จึงเดินอาดๆ มาหยามหยันต่อหน้า
"เหยาฟ่งอิง!"
หยุนเซียวเซียวมิทันห้าม กระบี่ในมือศิษย์พี่ก็กวาดใส่ร่างของสหายสาวแล้ว ด้วยความวู่วาม ใจร้อน เจ้าโทสะดั่งไฟ เหยาฟ่งอิงลอยถอยหลัง วูบเดียวถึงศาลา วิชาตัวเบาของหมู่บ้านดาวตกเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ การลอยตัวของนางจึงสวยงาม หมดจด แม้แต่ดอกเหมยบนต้นยังไม่กระดิก เฉินชวนกระโดด พุ่งเข้าใส่ จี้กระบี่ตามติด ไล่แทงไม่ยั้ง ด้วยกระบวนท่าดุร้าย เหี้ยมโหด หญิงสาวมีเพียงอาวุธลับติดกาย แต่ไม่นำออก หลบหลีกคมกระบี่ของเฉินชวนได้อย่างสบาย ใบหน้ายิ้มเยาะ เหยียดหยัน ทั้งที่อยู่ในศาลาคับแคบ แต่ความปราดเปียวยิ่งกว่ากระต่ายป่า หากต่อสู้กันด้วยอาวุธ นางอาจเป็นรองเพราะไม่สันทัด แต่วิชาหลีกหลบเอาตัวรอด นางรับประกันไม่เป็นที่หนึ่ง ก็ติดหนึ่งในห้า! ด้วยสุดยอดวิชาตัวเบา "นกยูงเริงระบำ" ของหมู่บ้านเลิศล้ำปฐพี
"หยุดนะ พอได้แล้ว"
หยุนเซียวเซียวกระโดดแทรกกลาง ขวางทั้งสองไว้ ส่งสายตาปรามสหายที่เริ่มเดือดเพราะฝีมือชั่วร้ายของเฉินชวน จนล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ
เขากลัวว่า หากต่อสู้นานไป ศิษย์พี่ใหญ่จะได้รับบาดเจ็บด้วยอาวุธ "ผีเสื้อเหล็ก"!!
"ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง อาจารย์เชิญที่ห้องรับแขก" ศิษย์น้องมาได้จังหวะพอดี
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น