คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : นิรันดร์
เปลือกตาหนาเปิดขึ้นในตอนเช้า ด้วยแสงแดดที่ส่องมากระทบ จากหน้าต่างบานใหญ่ ตาฝ้าฟางกวาดมองไปรอบห้องโล่งสี่เหลี่ยม สิ่งที่ดึงดูดคือภาพวาดทะเลสาบกว้าง ม้านั่งที่มีชายหญิงสองคนที่มองจากด้านหลังนั่งอยู่เคียงกัน หงส์สีขาวสง่างามกางปีกบินเหนือน้ำที่ส่องประกายระยับยามเช้าตรู่ ติดอยู่บนผนังสีขาวสะอาดตา ตัดกับใบไอวี่สีเขียวสดที่เลื้อยเข้ามาตามหน้าต่าง
“คุณรู้มั้ยคะ ทำไมฉันถึงปลูกต้นไอวี่ให้คุณ”เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่รู้หรอก คุณมักทำอะไรมีความหมายเสมอ”คนฟังยิ้มตอบด้วยความเอ็นดู
“ไอวี่ เป็นสัญลักษณ์ของความอมตะ ความรักนิรันดร์ เราจะได้รักกันตลอดไปไง”แม้จะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สดใส แต่ในตากลับมีน้ำใส รื้นขึ้นมา
“ผมรักคุณ ผมจะไม่ลืมคุณ”มือหยาบเอื้อมไปกุมสองมือเล็กเอาไว้ นิ้วโป้งบรรจงปาดน้ำใสๆที่หางตาให้ด้วยความอ่อนโยน คำสัญญาที่มอบให้ ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงๆ หรือเปล่าด้วยกาลเวลาที่ค่อยๆเดินหน้าต่อไป
ร่างกายอ่อนล้าลุกขึ้นมาจากเตียง เดินตรงไปที่ภาพวาดบนผนัง ความทรงจำจางๆไหลเข้ามาในความคิด รอยยิ้มที่สวยงาม ของผู้หญิงคนหนึ่งที่อ่อนหวาน เสียงอันไพเราะพูดเจื้อยแจ้ว ใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ยื่นเข้ามาใกล้ พร้อมเรื่องราวมากมายที่เล่าออกมาจากปากเล็กๆ ที่คอยพูดคุยและชี้ให้เขาเฝ้ามองฝูงหงส์ที่ลอยอยู่ในน้ำ อากาศยามเช้า สายลมพัดเบา แต่ก็ทำให้รู้สึกเย็นสบาย เส้นผมที่ดูช่างอ่อนละมุน ปลิวตามสายลม เขาถ่ายทอดความอบอุ่นด้วยการกุมมือของเธอไว้ บางคราวไม่ต้องมีการพูดคุยกัน แค่มีเธอนั่งอยู่ข้างกาย เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้สึกเหงาหรือเดียวดายแล้ว กลับกันเขาช่างมีความสุข และไม่คิดว่าจะลบเลือนความรู้สึกเหล่านี้ออกไปจากความทรงจำได้ แม้จะเพียงมองภาพที่แขวนอยู่บนผนัง แต่ภาพทั้งหลายกลับดำเนินเรื่องราวอย่างโดดเด่นราวกับมีชีวิต เขารู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านช่วงเวลานั้นมาไม่นานมานี้เอง จนทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา
“ฉันอยากให้คุณนึกถึงเวลาแห่งความสุขยาวที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันตั้งใจวาดมันมาให้คุณจริงๆนะ”
ขณะนั้นเสียงของเธอก็ก้องอยู่ในหัว ราวกับเธอกระซิบอยู่ใกล้ๆ
“ฉันจะติดมันไว้ตรงนี้นะคะ คุณจะได้รู้สึกว่าฉันอยู่กับคุณตลอดเวลา”
ภาพของเธอที่ตั้งใจที่จะติดภาพลงบนฝาผนัง ช่างเป็นภาพที่น่ารักและน่าจดจำยิ่ง เธอหันมายิ้มด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสุขและความภูมิใจกับผลงาน
“อรุณสวัสดิ์คะชาลี เป็นอย่างไรบ้างคะวันนี้ สีหน้าสดใสเป็นพิเศษเลยนะคะ”ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ เขาได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันกลับไปอย่างช้าๆ และถามผู้มาเยือนกลับโดยไม่สนใจกับคำถาม
“ภรรยาผมไปไหน แล้วลูกๆหละ อยู่หรือเปล่า นี่มันเป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว”คำกล่าวของเขาทำให้ ทำให้สาวผู้มาเยือนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และรีบวิ่งกลับออกไป โดยไม่ได้ตอบคำถามใดๆทั้งสิ้น เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอรีบจากไปโดยที่ไม่ได้ให้คำตอบเขา
..................................................
พยาบาลหลังจากได้ยินคำพูดของผู้ป่วย ก็ตกใจมาก รีบร้อนไปหาแพทย์เจ้าของไข้ยังแผนกสมองและระบบประสาท
“คุณหมอคะ คุณหมอ คุณชาลีจำได้ค่ะ!!!!!”พยาบาลกล่าวรัวจนนายแพทย์แทบฟังไม่ทัน
“คุณพูดว่าอะไรนะครับ คุณชาลีเป็นอะไร”
“เมื่อเช้าดิฉันเข้าไปหาคุณชาลี แกถามหาภรรยากับลูกค่ะ” นายแพทย์เมื่อฟังได้ศัพท์แล้ว ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่คือปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย มันเป็นโอกาสยากยิ่งนัก ที่ผู้ป่วยระยะสามจะจำเรื่องราวในชีวิตได้ นายแพทย์นิ่งอึ้งไปสักพัก พอได้สติก็รีบหยิบแฟ้มคนไข้จากลิ้นชักใกล้มือแล้วรีบเดินตรงไปยังห้องผู้ป่วย
..................................................
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาลี ตอนนี้คุณรู้สึกหรือจำอะไรได้บ้างครับ”นายแพทย์กล่าวถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“ผมจำได้.. ภรรยากับลูกผมหละคุณหมอ ทำไมวันนี้พวกเขายังไม่มากันอีก”ได้ยินดังนั้น คุณหมอก็ซักถามชาลีอีกเล็กน้อย จนมั่นใจว่าชาลี จำได้จริงๆ คุณหมอจึงรีบขอตัวออกมาเพื่อติดต่อญาติผู้ป่วย ให้มาโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด คุณหมอเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานลูกทั้งสองของชาลีก็มาถึงโรงพยาบาลและเข้ามาพบคุณหมอก่อน ตามคำแนะนำ
ลูกทั้งสองของชาลีนั่งฟังคำบอกเล่าของคุณหมอเรื่องเหตุการณ์เมื่อเช้าด้วยความรู้สึกที่ดีใจ
“แต่... ชาลีจำได้เพียงบางช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งหมอคิดว่าชาลีน่าจะจดจำเรื่องที่เขามีความสุข และหมอก็ไม่แน่ใจว่า ชาลีจะจำได้อีกนานแค่ไหน เพราะว่าหมอก็เพิ่งเคยเจอกรณีเช่นนี้ครั้งแรก คุณทั้งสองก็ต้องทำใจนะครับ และใช้เวลาช่วงที่ชาลีได้ความทรงจำกลับคืนมาอย่างมีคุณค่าที่สุด หมอคิดว่านั่นคือสิ่งที่ชาลีต้องการ”น้ำเสียงของคุณหมอมีความกังวลแฝงอยู่
“ไม่เป็นไรครับคุณหมอ ผมขอแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็พอแล้ว ที่พ่อจะจำพวกเราได้ และผมกับน้องก็เข้าใจว่าคุณหมอได้ทำดีที่สุดแล้ว คุณหมอไม่ต้องกังวลนะครับ”
..................................................
ม้านั่งริมทะเลสาบที่ชาลีคุ้นเคย ตอนนี้เขากลับมานั่งมันอีกครั้ง พร้อมกับลูกทั้งสองที่อยู่ข้างๆ เขารู้สึกว่าลูกโตขึ้นมาก ต่างจากความทรงจำ ที่มีอยู่ มือของเขาไม่ได้กุมมือของใครอยู่ แต่กลับเป็นฝ่ายถูกกุมจากลูก
“ทำไมแม่ไม่มาด้วย”มันเป็นคำถามที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีก้อนมาจุกอยู่ที่ลำคอ จนเหมือนหายใจไม่ออก
“ถึงแม่ไม่มา แต่แม่ก็ฝากนี่มาให้พ่อนะคะ”ลูกสาวคนเล็กยื่นสมุดสีน้ำตาลเล่มหนึ่งใส่มือชาลี เขาถือมันไว้ด้วยมือที่สั่น ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เขาไม่กล้าเปิดมันเลยด้วยซ้ำ จนลูกสาวพูดขึ้นว่า
“แม่อยากให้พ่ออ่านมันค่ะ”ชาลีมองหน้าลูกสาวและลูกชายสลับกัน โดยมีคำถามมากมายในตาของเขา ลูกชายเอื้อมมือมาเปิดสมุดของเขา เหมือนเป็นคำตอบว่าอยากให้เขาอ่านสมุดเล่มนี้มากกว่า
“ไม่มีสักวันที่แม่ไม่อยากมาหาพ่อ… แม่แต่วันนี้”ลูกสาวกล่าว
26 มกราคม 1986
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ยาวนานที่สุด ที่คุณต้องมาอยู่ในโรงพยาบาล ฉันรู้สึกได้ว่าคุณกำลังกังวลใจมาก แต่อย่าห่วงเลยที่รัก ฉันจะอยู่ข้างๆคุณ
16 ตุลาคม 1987
วันนี้คุณลืมที่จะหอมแก้มฉันเป็นวันแรก ฉันแอบน้อยใจนะ แต่ฉัน ก็เข้าใจ ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ ฉันจึงเตือนคุณว่าคุณลืมอะไรไปหรือเปล่า หน้าคุณตอนที่คิดออกมันตลกมากเลยนะ
14 กุมภาพันธ์ 1988
วันวาเลนไทน์มาถึงแล้ว ฉันไม่หวังดอกไม้จากคุณ เพราะคิดว่ายังไงคุณก็จำไม่ได้ พอฉันเดินเข้าไปในห้องก็พบแค่เตียง สักพักคุณก็กอดฉันจากข้างหลัง ยื่นดอกกุหลาบสีแดงให้ฉัน ตอนนั้นฉันดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขอบคุณนะคะที่ไม่ลืม
4 มิถุนายน 1989
กลางวันฉันเล่าเรื่องลูกที่โรงเรียนให้คุณฟัง แต่คุณกลับถามฉันว่า ฉันเล่าเรื่องใครให้ฟัง ตอนนั้นเหมือนทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมด
15 ธันวาคม 1990
อาการคุณไม่ค่อยดีขึ้นเลย ฉันพยายามพูดคุยกับคุณ เล่าเรื่องในอดีตให้คุณฟัง นำอัลบั้มรูปจากที่บ้านมาให้คุณดู คุณบอกว่าคุณคิดถึงลูก เสาร์นี้พาลูกมาหาคุณด้วยนะ ...ลูกๆเองก็คิดถึงคุณมาก แต่พวกแกติดเรียน เสาร์นี้ฉันสัญญาจะพาพวกแกไปให้ได้
18 กุมภาพันธ์ 1991
คุณหมอแนะนำฉันว่าฉันต้องดูแลคุณทุกอย่าง ต้องเข้าใจคุณ อย่างไรซะ ถึงคุณหมอไม่บอก ฉันก็พร้อมที่จะดูแลคุณเสมอ ปล.เพราะฉันรักคุณนี่
6 กุมภาพันธ์ 1992
วันนี้วันเกิดของคุณ ฉันกับลูกทำเค้กไปเซอร์ไพรส์คุณ คุณทำหน้าสงสัย ฉันบอกวันที่กับคุณ แล้วให้คุณนึกให้ออกว่าวันนี้วันอะไร แต่คุณก็จำไม่ได้อยู่ดี ลูกทนไม่ไหว จนต้องบอก ถ้าปีหน้าจำไม่ได้ ฉันจะไม่ให้ของขวัญคุณแล้วนะ!!!!!
26 มิถุนายน 1993
วันนี้ ฉันตกใจมาก ตอนเราคุยกัน อยู่ดีๆคุณก็ถามว่าฉันชื่ออะไร ถึงฉันจะแทบร้องอยู่แล้ว แต่ก็อดทนไว้ ฉันต้องเข้าใจคุณ ฉันตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ฉันชื่อแอนนาเบล” …ห้ามลืมอีกนะที่รัก ได้โปรด พระเจ้า ช่วยเขาด้วยเถิด
12 สิงหาคม 1994
อาการของคุณแย่ลงมาก วันครบรอบแต่งงานของเราจึงไร้ความหมาย คุณจำไม่ได้ แม้ฉันจะเตือนความจำคุณเท่าไหร่ก็ตามคุณเริ่มลืมเรื่องของเรา จนฉันรู้สึกใจไม่ดี
24 ธันวาคม 1995
ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายบ่อยเลยช่วงนี้ จนบางวันก็ไม่มีแรงไปหาคุณ เดี๋ยวนี้ฉันทำใจได้แล้วนะ แม้ว่าคุณจำฉันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ให้ฉันจำคุณได้ ก็พอ
10 พฤษภาคม 1996
ฉันคงไม่ได้เขียนบันทึกแล้ว คงรู้สึกแปลกๆนะ ก็เขียนมาตลอด 11 ปีนี่ ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากเขียน แต่เพราะฉันเหนื่อยมาก ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะจับปากกา จนถึงวันนี้แม้อาการของคุณจะไม่ดีขึ้น แต่ฉันก็ดีใจที่คุณยังพูดคุยกับฉัน แม้ฉันจะต้องบอกคุณไปว่า ฉันเป็นพยาบาลคนหนึ่ง ถ้าไม่บอกอย่างนั้นคุณก็จะไม่คุยด้วย เพราะเห็นฉันเป็นคนแปลกหน้า คุณยังดูสดใสเหมือนเดิม ถึงจะซูบลงไปบ้าง คุณนี่นะ ทำไมไม่ยอมกินข้าว ยาก็ชอบลืมกิน แล้วอย่างนี้จะดีขึ้นได้อย่างไร ตาแก่ขี้ลืม!!!! ถ้าฉันไปหาคุณไม่ได้แล้ว จะมีใครดูแลคุณดีเท่าฉันไหม... พระเจ้าคะ ขอให้ลูกได้อยู่ดูแลคนที่ลูกรักไปอีกนานๆเถิด ลูกยังไม่อยากไป... ฉันไม่ไหวเขียนแล้วหละที่รัก ปวดหัวเหลือเกิน ฉันรักคุณนะ ฉันสวดภาวนาให้คุณทุกวัน ถึงฉันจะไม่ได้เขียน แต่ฉันก็คิดถึงคุณอยู่เสมอ ฉันรู้ว่าคุณก็รักฉัน อย่าได้เสียใจเลย แม้คุณจะจำไม่ได้ แต่ฉันก็รู้ว่าคุณรักฉันขนาดไหน ....ปล.รักคุณสุดหัวใจ
ชาลีอ่านมาจนถึงหน้าสุดท้าย น้ำตาหยดลงบนกระดาษสีเหลืองซีด ลูกจับมือเขาแน่นขึ้นแทนการพูดปลอบ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ เขาตั้งสติแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“แม่เป็นอะไร บอกพ่อมาเถอะ”
“แม่.... แม่จากไปได้ 5 ปีแล้วครับ แม่มาดูแลพ่อทุกวัน แม้กระทั่งตอนที่แม่สุขภาพไม่ดี แม่ก็ยังมา จนวันสุดท้ายของแม่...”
แอนนาเบลสูดลมหายใจอย่างเชื่องช้าบนเตียงสีขาวในโรงพยาบาล พร้อมกับลูกๆที่นั่งอยู่ข้างเตียง คงจะห้ามไม่ให้ลูกร้องไห้คงไม่ได้ เธอเองก็ฝืนมันอยู่เช่นกัน เธอรู้ตัวดีว่าเธอเหลือเวลาอีกไม่นาน เธอคิดถึงชาลี เธอยังไม่ได้บอกลาเขาเลย
“ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว ลูกต้องดูแลน้อง ดูแลพ่อด้วยนะ สัญญากับแม่สิ”แอนนาเบลพูดเสียงแผ่วเบา
“ผมสัญญาครับแม่ เรารักแม่นะครับ”
“แม่ก็รักลูกทั้งสองมาก ลูกรู้ใช่ไหม... ฝากบอกพ่อเขาด้วยนะว่าแม่ดีใจที่แม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อ ขอบคุณที่ร่วมสร้างครอบครัวของเราขึ้นมา แม่...แม่รักพ่อ”เมื่อสิ้นคำ ก็สิ้นลมหายใจของแอนนาเบลไปเช่นกัน เธอจากไปด้วยภาพสุดท้าย ภาพที่ลูกๆยิ้มให้เธอด้วยความสุขและความภูมิใจ
“พาพ่อไปหาแม่”...
..................................................
ชาลีมองไปยังหลุมศพเบื้องหน้า ที่เต็มไปด้วยดอกไอวี่ ท่ามกลางทุ่งหญ้าโล่งกว้าง มีเงาของต้นไม้ใหญ่ทอพาดลงมา ให้ความสงบ เขานั่งลงข้างหลุมศพ เขาไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันเกินคำว่าเสียใจ และเกินความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น สายตาของเขาได้แต่มองไปยังชื่อที่อยู่บนหลุมศพ ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา มีเพียงน้ำตาที่ไหลเป็นสาย เจ็บจนแทบขาดใจ เขาได้แต่นึกโทษตัวเองที่เขาเป็นแบบนี้ เขาทำให้แอนนาเบลหญิงที่เค้ารักต้องเสียใจ เสียน้ำตาไปมากเท่าใด
‘พระเจ้า... หรือนี่คือการลงโทษของท่าน’
ชาลีเอื้อมมือไปลูบแท่นหลุมศพ ใบหน้าที่สดใสของแอนนาเบล ใบหน้าที่เขาลืมไปนานแสนนาน เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หากเป็นเขาที่จำได้ แต่เธอกลับเป็นฝ่ายที่ลืม เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร จะทนได้ไหม ถ้าแววตาที่เธอมองมา มันไม่ได้สะท้อนภาพของเขาอยู่เลย ไม่มีความรัก ความอ่อนโยนเหมือนผู้หญิงคนเดิมของเขา ถ้ายามที่เธอเศร้า เขาเป็นเพียง คนแปลกหน้า ไม่สามารถเข้าไปปลอบโยนเธอได้ เธอไม่ต้องการอ้อมกอดจากคนคนนี้อีกแล้ว
แอนนาเบลเข้มแข็งเหลือเกิน เขาภูมิใจที่ได้รักเธอ และเลือกเธอ เป็นคู่ชีวิต
‘ผมมาหาคุณแล้วแอนนาเบล ได้โปรดพาผมไปด้วย ผมเจ็บปวดเหลือเกิน ผมคิดถึงคุณ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ...ผมรักคุณยอดรักของผม ดั่งไอวี่ที่เขียวสดตลอดปี ผมจะรักคุณตลอดไป’…
“พ่อคะ ทำใจดีไว้นะคะ อย่าร้องไห้สิคะ แม่ไม่อยากเห็นพ่อเศร้านะ”ลูกสาวพยายามปลอบใจผู้เป็นพ่อ เธอทนไม่ไหวที่จะเห็นพ่อทรมานขนาดนี้
“พวกคุณเป็นใคร ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยัง!!!!”ชาลีตอบกลับอย่างโกรธเกรี้ยว สะบัดมือลูกสาวที่เกาะกุมเขาออก
“คุณพ่อ.....”ลูกสาวทรุดลงกับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า พี่ชายเข้าไปกอดน้องสาวแน่น
...พ่อจำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...
“แอนนาเบล คุณไม่กลัวเหรอว่าวันนึง ผมจะจำคุณไม่ได้”ชาลีถามแอนนาเบล แต่กลับเป็นเขาเองที่กลัว
“กลัวสิคะ แต่ฉันจะไม่เสียใจ”แอนนาเบลจับมือชาลีแน่น สายตาของเธอมองตรงไปยังหงส์ที่กำลังบินร่อนลงในทะเลสาบกว้าง เธอยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่กลัวอนาคต เธอกลัวเหลือเกิน แต่เธอ ก็จะทุกข์กับมันไม่ได้ เพราะเวลาแห่งความทรงจำของชาลีที่มีเธออยู่มันเหลืออีกไม่มากแล้ว เธอขอเก็บความสุขในขณะนี้ดีกว่า ในเวลาที่น้ำเสียงอันคุ้นเคยเอื้อยเอ่ยบอกคำว่ารัก คำที่มอบให้เธอแต่เพียงผู้เดียว
“ผมขอโทษที่ผมสั่งสมองตัวเองไม่ให้ลืมคุณไม่ได้”ชาลีหันมองใบหน้าหญิงที่เขารัก ราวกับพยายามจะจำรายละเอียดทุกอย่างของเธอเอาไว้
“เราหลีกหนีโชคชะตาของเราไม่ได้หรอกนะที่รัก เราต้อง ยอมรับมัน คุณเป็นความสุขของฉัน ฉันเป็นความสุขของคุณ เราอยู่เป็นความสุขของกันและกัน ส่วนชีวิตที่เหลือจะเป็นอย่างไรก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าแล้วหละ”แอนนาเบลเอนศีรษะลงบนบ่ากว้าง ชาลีสวมกอดให้ไออุ่นกับเธอ แม้ตอนนี้บางคราเขาก็เผลอลืมบางเรื่องราว แต่เขารู้สึกถึงมันได้ ความตื่นเต้นเมื่อได้พบกันครั้งแรก ความประหม่าตอนจับมือเธอครั้งแรก ความดีใจในวันที่บอกรักกัน ความสุขใจในวันที่กล่าวคำขอแต่งงานเขารู้สึกได้ทุกอณูความรู้สึก มันยังคงตราตรึงอยู่
“แม้สมองผมจะลืม แต่ในใจผมจะจำคุณตลอดไป ผมรักคุณเหลือเกินแอนนาเบล รักของเรา... จะเป็นนิรันดร์”
...............................................................................................................................................................................................................................
ผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เคยลงไปแล้วนะคะ แต่เขียนเพิ่มตอนจบอีกนิดหน่อย รู้สึกว่าครั้งแรกจบไม่ค่อยได้อย่างใจ ^-^
ความคิดเห็น