ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์...บุษบาพาฝัน

    ลำดับตอนที่ #3 : ดอกทานตะวัน 100%

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 56


    ดอกทานตะวัน

                          ดอกไม้ที่แทนสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว และมีนัยถึงศิลปะที่งดงาม ถ้าได้รับดอกทานตะวันเหมือนได้รับสารว่า แม้เธอจะเย่อหยิ่งเพียงไร แต่สักวันฉันจะชนะใจเธอ” และยังหมายถึง รักของฉันมั่นคงและภักดีต่อเธอเสมอ ดุจดั่งทานตะวันที่ไม่เคยหันมองผู้ใดนอกจากดวงอาทิตย์

                            ก็อกๆๆ

                            “ปะป๊าตื่นได้แล้ว...สายแล้วนะ”เสียงแหลมแสบแก้วหูตะโกนเข้าในห้องที่หญิงสาวคิดว่าสามีสุดที่รักจะต้องนอนอุตุอยู่แน่ๆ ปกติเธอจะได้ยินเสียงรถของเขาขับออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าและมันก็คือเสียงปลุกให้เธอตื่นลุกจากที่นอน แต่ทำไมวันนี้เขาถึงยังไม่ตื่น ทั้งแปลกใจทั้งเป็นห่วง

                            “ปะป๊าขาตื่นหรือยังค่ะ มะม๊าเป็นห่วงนะ”ก็ยังเงียบอยู่ดี ทำไมพ่อสามีตัวดีชอบทำให้เธอเป็นห่วงอยู่เรื่อย รู้ทั้งรู้ว่าเธอเป็นโรคชอบ คิดมาก’ กับ คิดเยอะ’ ก็ยังจะขยันทำตัวให้น่าเป็นห่วงอยู่เรื่อย หนักใจกับพ่อสามีคนนี้เสียจริงๆเลย ให้ตายสิ

                            ตกลงว่าเธอเป็นห่วงเขามากเกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า แต่มันก็อดห่วงไม่ได้นี่นา โรศิชาสลัดความคิดทุกอย่างทิ้งไปก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจสำลองมาไขประตูห้องนอนของสามี ภาพเบื้องหน้านั้นทำให้หญิงสาวอดอมยิ้มเสียมิได้ เมื่อเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียง แต่ร่างของเขากลับนอนอยู่ที่พื้นห้องแทน ผ้าห่มสะบัดกระจายกองระเนระนาด อาจจะดูรกหูรกตาไปบ้างแต่มันก็ชินซะแล้วสำหรับเธอเพราะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก

                            ขาเรียวก้าวเข้าไปหาร่างใหญ่ของสามีหนุ่มที่นอนราบไปกับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบของห้องปากก็ร้องเรียกให้เขาตื่นทว่ากรุ่นอายร้อนจากร่างกายของชายหนุ่ม ทำให้เธอต้องชะงักมือกลับแทบไม่ทัน

                            “ตัวร้อนจี๋เลยนี่นา ปะป๊าค่ะขึ้นมานอนบนเตียงนะ เดี๋ยวมะม๊าช่วย”โรศิชาใช้แขนข้างหนึ่งเอื้อมไปจับไหล่ของชายหนุ่มไว้ แล้วใช้แขนของเขามาพาดไว้ที่คอ กว่าจะพยุงร่างยักษ์ของสามีขาขึ้นมาได้ก็แทบเอาเธอหมดแรง ตัวก็หนักแถมยังสูงชะรูดอีกต่างหาก เหอะ...ถ้าไม่ถือว่าหล่อและน่ารักจับใจล่ะก็ แม่จะปล่อยให้นอนบนพื้นห้องซะนี่

                            “อื้อ...”สุดที่รักส่งเสียงครางฮึมฮำในลำคอบ่งบอกอารมณ์ว่าไม่พอใจที่ถูกรบกวนเวลานอน แถมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่เลย

                            พลัก!เสียงร่างของคนตัวใหญ่ถูกโยนลงไปกระบทบนเตียงนอนหนาหนุ่มขนาดคิงไซต์ที่หากนอนอัดๆกันคงจะได้ราวๆสักสี่ห้าคน ก็แหมคุณเธอเล่นตัวโตซะขนาดนี้

                            ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินมาหยิบกะละมังสีขาวเข้าไปในห้องน้ำครู่ใหญ่แล้วออกมาพร้อมด้วยผ้าเย็นกับน้ำสะอาด จุดประสงค์ก็คงจะไม่พ้นการนำมาเช็ดตัวให้คุณสามีของเธอนั่นแล เธอเดินมานั่งบนเตียงนอนแล้วบรรจงปลดกระดุมชุดนอนลายหมีพูที่ดูยังไงๆก็ไม่ใช่ผู้ชายเขาใส่กัน  แต่ก็เอาเถอะคิดซะว่ามันเป็นการเพิ่มความน่ารักให้กับสามีเธอก็แล้วกัน แต่วันหลังเธอคงจะต้องหาโอกาสมาเก็บชุดพวกนี้ทิ้งไปเสียบ้างแล้ว ดูแล้วขัดตาพิกล

                            คงไม่ต้องหาสาเหตุการป่วยในครั้งนี้ของสามีเธอเลย ก็เขาเล่นทำงานหามรุ่งหามค่ำเอาเป็นเอาตายถ้าไม่ป่วยเธอก็อาจจะตั้งฉายาใหม่ให้เขาว่า ‘พ่อสามีผู้ถึกและบึกบึน’ แล้วเธอก็ยังได้ข่าวมาอีกว่าเดือนหน้านี้เขาจะต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศถึงหนึ่งเดือน คิดแล้วก็น่าใจหาย ไม่เจอกันแค่หนึ่งวันก็เหมือนไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปี หากเป็นเดือนเธอจะต้องขาดใจตายเพราะความคิดถึงแน่

                            แค่ร่างภาพความห่างไกลหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหวด้วยความหวาดกลัวเสียแล้ว หากวันนั้นมาถึงเธอจะทำยังไงกันเล่า จะติดตามเขาไปก็เกรงว่าจะไปเป็นตัวถ่วง ทำให้เขาทำงานไม่สะดวกอีก

                            เฮ้อ...

                            ครืดๆ เสียงเครื่องมือสื่อสารล้ำสมัยราคาแพงสั่นเพื่อเตือนว่ากำลังมีบุคคลกำลังต้องการสนทนาด้วย มือบางหยิบมันขึ้นมาดู หน้าจอปรากฏเป็นชื่อของใครคนหนึ่งที่ทำให้เธอดีใจสุดขีด ศิวะ’ เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเธอน่ะเอง โรศิชารีบกดรับสายทันที

                            “ฮัลโล ศิวะเป็นไงบ้าง กลับมาเมืองไทยแล้วแล้วหรือค่ะ”หญิงสาวถามรัวด้วยน้ำเสียงตื้นเต้นแกมดีใจ(มาก) เมื่อตลอดหนึ่งปีตั้งแต่เธอแต่งงานมากับสุดที่รัก เธอกลับศิวะก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แต่วันนี้ไหงโทรมาได้ ถึงจะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไรนัก

                            (อ่อ...ผมกลับมาเมืองไทยได้เดือนแล้ว อีกอย่างผมสบายดี หวังว่าโรสก็คงจะสบายดีเหมือนกันนะครับ ที่ผมโทรมาวันนี้ผมแค่อยากจะโทรมาถามไถ่ทุกข์สุขของเพื่อนถ้าไม่รังเกลียดกรุณาให้ผมไปรับคุณมาทานข้าวด้วยกันสักมื้อนะครับ) หญิงสาวอึกอักเมื่อจู่ๆเขาก็โทรมาแถมยังจะนัดเจอชวนเธอให้ไปทานข้าวด้วยกันอีก ใจหนึ่งก็อยากไปแต่อีกใจก็เป็นห่วงสามีเขายิ่งไม่สบายอยู่ด้วย จะให้เธอทิ้งไปไม่ดูดำดูดีก็คงจะไม่ใช่ที่และไม่ใช่วิสัยของภรรยาที่ดี

                            “เอ่อ...ศิวะคือโรส ยัง”

                            (ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับโรส ผมเข้าใจ คงกลัวว่าสามีของคุณจะว่าสินะครับ) ศิวะเอ่ยหยั่งเชิงพาให้เธอจุกจนพูดไม่ออก กลัวงั้นหรือ เปล่าเลยเธอไม่กลัว แต่ไม่รู้จะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างไรว่าเธอแค่เกรงใจสามีขาเท่านั้นเอง ถึงจะมีความสัมพันธ์ที่พิลึกว่าสามีภรรยาคู่อื่นก็ใช่ว่าเธอจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองได้ซะทุกอย่าง เธอเคารพในเกียรติของสามี และเธอก็รู้ดีว่าสุดที่รักก็เคารพให้เกียรติเธอไม่แพ้กัน นี่คือเหตุผลสำคัญ

                            “ไม่ใช่อย่างนั้นนะค่ะศิวะ คือว่าโรสแค่เอ่อ...ตกลงค่ะ”เธอจนหนทางที่จะปฏิเสธเลยต้องตอบตกลง ไปกินข้าวด้วยกันแค่แปปเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง อีกอย่างคนบนเตียงคงจะไม่ว่าอะไรด้วยในเมื่อเธอไม่ได้ทำอะไรผิด

                            (งั้นอีกครึ่งชั่วโมงผมจะไปรับนะครับโรส)

                            “ค่ะศิวะ แล้วโรสจะรอนะ”เธอกดวางสาย แต่ก็ต้องมานั่งทบทวนคำพูดของตัวเองเมื่อตะกี้นิ่งนาน อาการน้ำท่วมปากมักจะมาเสียดื้อๆ ใครไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเธอคงไม่รู้หรอกว่ามันปฏิเสธยาก ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ขอแต่งตัวให้สวยๆเสียหน่อยก็แล้วกัน

                            “ปะป๊านอนหลับให้สบายนะ เดี๋ยวมะม๊าก็กลับมาแล้ว จะซื้อของอร่อยๆมาฝาก”หญิงสาวพูดกับสามีหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ทว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นกับบึ้งตึงราวกับว่ารู้ทุกสิ่งที่เธอพูดเมื่อกี้ แต่คงไม่มีอะไรหรอกคนป่วยก็ต้องทำหน้าบึ้งสิคงไม่มีใครอยากยิ้มเวลาที่ป่วย เธอคิดในแง่ดี พรางเดินออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ

                            ใช้เวลาเพียงชั่วครู่โรศิชาก็อยู่ในชุดเดรสสีขาวลายลูกไม้แสนสวยขับให้สีผิวของเธอยิ่งดูขาวเนียนมากยิ่งขึ้น ดวงหน้าที่แต่งแต้มเพียงเล็กน้อยกลับดูสวยเด่นคล้ายเด็กสาววัยแรกรุ่น ทั้งที่ความจริงหล่อนอายุอย่างเข้ายี่สิบหกแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งอายุมากขึ้นความคิดที่อยากจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองจริงๆมันก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อผู้เป็นสามีกลับไม่เคยเอื้อนเอ่ยจะขอให้เธอมาเป็นภรรยาของเขาจริงๆเสียที ทั้งที่เธอก็รอคำนี้จากเขาอยู่ แค่เขาพูดเท่านั้นเธอก็พร้อมจะทำหน้าที่เป็นภรรยาและเป็นแม่ที่ดีของลูกให้กับเขาได้ ‘ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่อีตานั่นกลับไม่เคยรู้เล้ย เหอะ...

                            บางครั้งเธอยังสังเกตได้เลยว่าเขาพยายามไม่อยู่ใกล้ชิดเธอเกินสองเมตร บางทีก็นั่งห่างไกลเธอเป็นโยด เหมือนเห็นภรรยาตัวเองเป็นตัวประหลาด ทั้งที่ความจริงการกระทำแบบนี้น่าจะเป็นเธอ แต่ผู้ที่ทำกับเป็นสามีขา คิดแล้วช่างน่าเศร้า แต่ในความน่าเศร้ากลับเร้นไปด้วยความสุขมากล้น มันจะคุ้มกันไหมถ้าเธอจะแลกต่อไป...

                            ดวงตาหวานซึ้งมองเห็นรถคันหรูมุ่งหน้าเข้ามายังบ้านของเธอก็รู้ทันทีว่าคงจะไม่ใช่ใครนอกเสียจากศิวะถึงไม่อยากไปแต่ก็ปฏิเสธเสียมิได้ สักพักบุรุษหนุ่มหล่อตาตี๋ ผิวขาวสเปกของผู้หญิงแทบจะทุกคนก็ก้าวลงมาจากรถคันนั้น

                            “สวัสดีครับคุณผู้หญิงคนสวย”น้ำเสียงอ่อนนุ่มมีเสน่ห์เอ่ยทักทาย เธอยิ้มเป็นการทักทายกลับอย่างเป็นมิตร

                            “สวัสดีเช่นกันค่ะคุณบุรุษหนุ่มรูปหล่อ”

                            “แหม โรสเล่นชมผมแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับ”เขาพูดแก้เก้อ

                            “โรสพูดความจริงนี่ค่ะ ศิวะเป็นหนุ่มในสเปกของสาวๆทุกคนเลยนะ”

                            “คุณก็เป็นสาวในสเปกของผู้ชายทุกคนเหมือนกันโดยเฉพาะผม”ศิวะพูดนัยน์ตาเขาเป็นประกายเจิดจ้าจนเธอเริ่มรู้สึกหวั่นเกรงในตัวเพื่อนหนุ่ม ถึงจะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนแต่จะให้ไว้ใจเต็มร้อยมันก็คงไม่ใช่นิสัยของเธออย่างแน่นอน เธอระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าสังคมแห่งนี้มีแต่ความ ‘หลอกลวง’ แต่คำนี้มันใช้กับสามีเธอไม่ได้แน่ ตลอดหนึ่งปีเธอได้เรียนรู้อะไรจากเขามากมาย และรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร

                            “ขึ้นรถเถอะครับ”โรศิชาเดินอ้อมมาขึ้นรถคันหรูของเพื่อนหนุ่มอย่างช้าๆ

                            ตลอดการเดินทางจนมาถึงร้านอาหารในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านมากพอดูเนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ หากคนที่พาเธอมาเป็นสามีเธอคงจะไม่รู้สึกว่ามันเคว้างคว้าง อ้างว้าง โดดเดี่ยวแบบนี้แน่ แต่ทำไมตอนนี้เธอรู้สึกเหงาเสียเหลือเกินแม้จะมีผู้คนล้อมรอบกายไว้มากมาย

                            “เข้าไปข้างในกันเถอะครับ”ศิวะเอ่ยชวนพรางจับมือหญิงสาวดึงเข้าไปในร้าน

                            “อ่อ..คะ ค่ะ”โรศิชาเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในนั่งในร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสที่ถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหรา ปกติเธอจะชอบทานอาหารไทยซะมากกว่าเพราะรสจัดจ้านถึงใจเหมาะสำหรับสาวไทยเช่นเธอมากกว่าแต่สำหรับอาหารต่างประเทศแบบนี้เธอไม่ค่อยสันทัดเท่าใดนักอาจเป็นเพราะมันไม่ถูกปาก

                            “ผมคิดว่าโรสน่าจะชอบอาหารฝรั่งเศสนะครับ ผมทายถูกใช่ไหมเอ่ย”เขาถามยิ้มๆ เอาล่ะสิโรศิชาแทบจะหาคำตอบให้กับเพื่อนหนุ่มไม่ได้ จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าเธอไม่ได้ชอบอาหารฝรั่งเศสเลยสักนิด ทว่าเธอก็รู้ดีว่าการตอบขัดใจตัวเองไปสักนิดก็ยังดีกว่าการตอบขัดใจคนอื่น

                            ถึงจะเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแต่เธอและศิวะก็ไม่ค่อยสนิทกันมากนัก ซึ่งเธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะอะไร แต่ถ้าจะให้เดาก็น่าจะมาจากการที่เขาพยายามตีตัวออกห่างจากเธอเองนั่นแหละ เขาทำเหมือนไม่อยากจะหยุดแค่การเป็นเพื่อนกับเธอ แต่ทุกการกระทำของชายหนุ่มกับสื่อได้อย่างโจ่งแจ้งว่าเขาคิดเช่นไรกับเธอ แม้จะรู้อย่างนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอก็วางตัวให้มันมีขอบเขตว่าคิดกับเขาแค่เพียงเพื่อนจนวันหนึ่งเธอตัดสินใจแต่งงานเขาก็บอกแค่เพียงว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ จนมาวันนี้อยู่ดีๆก็โทรมาหาและมารับเธอมาทานข้าวอีก ที่เธอยอมมาก็เพราะเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นจริงๆ ส่วนอีกฝ่ายจะคิดเห็นประการใดก็ไม่อาจจะรู้ได้เลย

                            “คะ...ค่ะ ชอบค่ะ”เธอตอบยิ้มแหยๆ เนื่องจากต้องตอบรักษาน้ำใจ

                            “โรสเป็นอะไรหรือเปล่า ผมเห็นโรสนั่งใจลอยตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว”ศิวะถามขึ้นอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่าสาวเจ้าไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาเหมือนแต่ก่อน อีกอย่างเขาก็สังเกตได้ว่าเธอนั่งใจลอยตาลอยมาตลอดทางที่เขาขับรถมา จนเข้ามาในร้านอาหารหญิงสาวก็ยิ่งใจลอยมากกว่าเก่า สติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

                            “อ๋อ...เปล่าค่ะโรสไม่เป็นอะไร ว่าแต่ศิวะไปเรียนต่อที่อเมริกาเป็นยังไงบ้างค่ะ เล่าให้โรสฟังบ้างสิ”หญิงสาวบอกปัดพรางเสพูดเรื่องอื่นแทน

                            “ก็ดีครับ ได้พบเพื่อนใหม่ มีประสบการณ์ชีวิตในต่างแดน แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรผมถึงยังไม่ลืมผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ทั้งที่มีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิตของผมตั้งมากมาย มันก็น่าแปลกนะครับ”ชายหนุ่มเอ่ยทั้งที่ยังจ้องหน้าของหญิงสาวไม่วางตา หากเป็นไอศกรีมเลิศรสก็คงจะละลายไปแล้วก็ได้

                            การถูกบุรุษหนุ่มที่ไม่ถือว่าแปลกหน้าจ้องมองนานๆแบบนี้ทำให้เธอต้องคิดถึงสายตาของคนคนนึงทุกทีคนที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอซึ่งคงจะไม่มีวันเลือนหาย คิดแล้วก็น่าแปลก หากเป็นแววตาของคนคนนั้นก็คงจะดีไม่ใช่น้อย

                            “ผู้หญิงที่นี่ เอ๋...แสดงว่าศิวะมีคนในหัวใจแล้วหรือค่ะ อยากรู้จังว่าเธอคนนั้นเป็นใคร”

                            “ผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นคนน่ารัก สดใส สวย และที่สำคัญเธอมองโลกในแง่ดีมากๆเลยละโรส น่าแปลกที่เธอคนนั้นคล้ายกับโรสมากเลยนะ”คำพูดกำกวมของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวอึดอัดนั่นไม่ใช่เพราะเพียงแค่คำพูดหากแต่ยังเป็นการกระทำของเขาเอง เมื่อชายหนุ่มส่งมือหนายื่นมากุมมือของเธอเอาไว้ราวกับเธอเป็นคนรักของเขา และอาจทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิดก็ได้ว่าเธอและเขาเป็นแฟนกันอีกอย่างถ้าสามีเธอรู้เรื่องนี้เข้าเขาก็อาจจะไม่พอใจมาก พาลจะทำให้ทะเลาะกันเสียเปล่า เธอจำได้ดีครั้งที่ทะเลาะกันล่าสุดนานเป็นเดือนแน่ะที่ไม่ได้พูดคุยกัน ซึ่งเธอไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยสักนิด

                            “เธอคนนั้นคงเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากเลยนะค่ะ”โรศิชาว่าแล้วรีบดึงออกจากการเกาะกุมโดยทันที

                            “ใช่ครับ แต่น่าเสียดายที่เธอแต่งงานไปแล้ว”ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้กล่าวสิ่งใดออกไปมากกว่านี้ อาหารที่สั่งไปเมื่อสักครู่ก็ถูกพนักงานยกมาเสิร์ฟ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล และเป็นการขัดจังหวะที่ขัดใจศิวะได้มากที่สุด

                            “ทานอาหารกันเถอะค่ะโรสว่าศิวะคงหิวมากแล้ว”หญิงสาวตัดบทก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหารที่เขาเป็นคนสั่งมาให้ถึงจะไม่ได้อยากกินก็ตาม แต่เพื่อเป็นการรักษามารยาทและน้ำใจอย่างน้อยเธอก็น่าจะทานสักนิด

                            หลังจากที่การทานอาหารในภาวะจำยอมได้ผ่านไปเขาก็พาเธอมาส่งที่บ้าน ความจริงเธออยากจะกลับมาเองเสียมากกว่าแต่ถูกเขาขัดขวางซะนี่ ถ้าคนที่นอนไม่สบายอยู่ในบ้านรู้เข้าว่าขนาดเขาไม่สบายยังกล้าออกไปเที่ยวนอกบ้านแบบนี้เขาคงจะรู้ไม่ดีแน่ๆ อีกอย่างอาจเป็นต้นเหตุให้เขาไม่สบายใจได้ เขายิ่งไม่สบายกายอยู่ด้วย 

                            “ขอบคุณนะค่ะที่มาส่ง”โรศิชากล่าวคำขอบคุณแฝงรอยยิ้มด้วยมิตรไมตรีส่งให้เพื่อนหนุ่มที่คิดกับเธอเกินคำว่าเพื่อน

                            “ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นคนมารับก็ต้องเป็นคนมาส่งสิครับ จริงไหม”

                            “จริงครับ แต่ว่าทำแบบนี้มันไม่หยามหน้า สามี ของเธอไปหน่อยหรือครับ”เสียงทุ้มที่ตอบคำถามได้ชัดแจ้งดังมาแต่ไกลทำให้สองสายตาต้องหยุดชะงักงันหันไปมองตามเสียงเรียกนั้น ตามมาด้วยบุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่ง

                            “ปะป๊า”หญิงสาวอุทาน

                            “คุณสุดที่รักนะเอง สวัสดีครับ”ศิวะยกมือขึ้นพนมไหว้ชายหนุ่มผู้ที่เป็นรุ่นพี่ของตนเอง พรางส่งสายเยาะเย้ยไปในที ซึ่งสุดที่รักก็ดูออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรกับภรรยาสุดแสบของเขา ในเมื่อกล้าที่จะมาล้วงคองูเห่าถึงถิ่นอย่างน้อยก็ควรจะได้รับบาดแผลกลับไปซะบ้าง จะได้รู้ว่าถิ่นใครเป็นถิ่นใคร ยังมีหน้ามาทำลุ่มล่ามกับภรรยายอดดวงใจหน้าบ้านของเขาอีก แบบนี้มันน่านัก แล้วแม่ภรรยาก็ช่างยอมได้อีกแบบนี้คงจะต้องลงโทษและกำราบเป็นการใหญ่

                            “สวัสดีเช่นกันครับคุณศิวะ ผมก็พึ่งรู้นะว่าการที่จะพาภรรยาของคนอื่นออกไปนอกบ้านมันง่ายแบบนี้นี่เอง ไม่คิดจะขออนุญาตสามีหน่อยหรือครับ”คำพูดค่อนแขวะของสามีเธอแทบทำให้โรศิชาอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะแสดงท่าทีว่าหึงเธอออกนอกหน้า แต่จะว่าไปมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เขาดันมาหึงเธอกับเพื่อน ถ้าเป็นคนอื่นเธอจะไม่ว่าเล้ย

                จะหึงก็น่าจะหึงให้ดูคนบ้างสิพ่อคุณเอ้ย...หึงสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกันนะค่ะ

                “ถ้าขออนุญาตตอนนี้ยังจะทันไหมล่ะครับ ถ้าทันผมจะได้ขอ”สิวะพูดกวนๆ ยั่วโทสะของสุดที่รักให้ครุกรุ่นขึ้นมาเสียดื้อๆ โรศิชาเริ่มรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่แทรกซึมมากับชั้นบรรยากาศที่ส่งกลิ่นไม่ค่อยดีนัก

                “เอ่อ...โรสว่าเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าไหมค่ะ”หญิงสาวตัดบทขึ้นทว่าสองฝ่ายกลับจ้องหน้ากันราวเป็นศัตรูกันมาเมื่อปางก่อน

                หารู้ไม่ว่าการกระทำของเธอทำให้ชายหนุ่มนึกโมโหอยู่ไม่น้อยแทนที่จะเข้าข้างสามีกลับยืนนิ่งเฉยแถมยังไม่สำนึกตัวด้วยว่าทำผิด ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะปิดกั้นขอบเขตของเธอจนเกินไปนัก แต่เขาก็อดที่จะเป็นห่วงตามประสาสามีห่วงภรรยาไม่ได้ อีกอย่างเลยก็คือเขาก็อายุจวนจะสามสิบห้าแล้วผ่านโลกมามากกว่าเธอ ส่วนเธอก็แค่ยี่สิบหก แค่อายุก็ห่างกันลิบลับแล้ว เพราะฉะนั้นความคิดความอ่านของเธอกับเขามันจึงแตกต่างกันไปด้วย

                ที่ผ่านมาเขามักจะให้เหตุผลร้อยแปดอยู่เหนืออารมณ์ของตนเองเสมอ แต่ครั้งนี้เห็นทีจะไม่ได้ เมื่อภรรยาจอมแสบทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนหยามเกียรติของลูกผู้ชาย และเขาก็ยึดคติที่ว่า ลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ซะด้วยสิ ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องเคลียร์กันยาว

                ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยจะมีอาการหึงหวงจนออกนอกหน้าขนาดนี้ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาต้องทำแบบนี้ทั้งที่คิดว่ามันไม่ใช่ตัวตน

                “ผมว่าจะกลับอยู่พอดีเลยครับโรส คุณสุดที่รัก”

                “ถ้าอย่างงั้นก็กลับบ้านดีๆนะค่ะศิวะ แล้ววันหลังเจอกันนะค่ะ”หญิงสาวโบกมืออำลาพร้อมรอยยิ้มสดใส ทว่าหันกับมามองหน้าสามีขา เขากลับทำหน้าบึ่งตึงตังเหมือนสิงโตอดอาหารมานานหลายวัน แห็นแล้วก็นึกขำขึ้นมาแปลกๆ

                “เชิญ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไม่ต้องมาหรอกนะ”

                “ปะป๊าทำไมพูดแบบนั้นเล่า ไม่ดีเลยนะรู้ไหม”เธอตีแขนเขาเบาๆเพื่อตักเตือน อีกฝ่ายกลับเดินปึงปังเข้าไปในบ้านเฉยเลย แถมยังไม่พูดไม่จากับเธออีก แถมสายตาตู่คมยังบ่งบอกอีกว่าไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่ แล้วไม่บอกเธอจะรู้ไหมว่าเขาเป็นอะไร ผู้ชายอะไรเข้าใจยากเสียจริง

                เฮ้อ...เป็นอะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย ฮึ่ม...

                “ปะป๊าคุยกับมะม๊าหน่อยนะ คุยกันหน่อยสิ อย่าเดินหนีมะม๊าเลยนะ นะๆ”เสียงหวานออดอ้อนออเซาะ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจและยังคงเดินหนีต่อไปเรื่อยๆ เขาจะรู้อะไรบ้างไหมเนี่ยว่าคนที่เดินตามมันเหนื่อย ปากก็ต้องพร่ำตะโกนคุยกับเขาแต่เหมือนคุยคนเดียวเสียมากกว่า ทั้งขี้งอนทั้งขี้น้อยใจนี่มันนิสัยของผู้หญิงชัดๆ แต่เรื่องนี้ค่อยจัดการคาดคั้นทีหลังจะดีกว่า ส่วนตอนนี้คงต้องยอมทำให้เขาพูดกับเธอให้ได้ซะก่อนไม่อย่างนั้นวันนี้เธอคงอยู่อย่างไม่มีความสุข

                                                                                                               

    “...”เงียบ ขาแกร่งยังคงก้าวต่อไปจนถึงห้องนอน ขาเรียวก็ไม่แพ้กันก้าวตามไปติดๆ แต่คนตัวโตที่เดินนำหน้าไปเร็วยิ่งกว่าพายุทอนาโดทำให้เธอต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเป็นเท่าตัว

    พลั่กโอ๊ย!

    หน้าอกหน้าใจที่มีอยู่น้อยนิดที่เธอพึงจะรักษาเอาไว้ชนเข้าเต็มๆกับแผ่นหลังแกร่งของสามีขาเมื่อจู่ๆเขาก็หยุดเดินขึ้นมาเสียกะทันหัน จะหยุดก็ไม่รู้จักบอก คุณพระช่วย

                                                                                                               

    “ปะป๊าจะหยุดก็ไม่รู้จักบอกมะม๊า”เธอยิ้มแหยๆเมื่ออีกฝ่ายนิ่ง นิ่งยิ่งกว่าพระอิฐพระปูน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองหรือพูดกับเธอ ชัดเลยอาการแบบนี้เขาต้องโกรธเธออยู่แน่ๆ ว่าแต่เรื่องอะไรล่ะ วันนี้เป็นไงก็เป็นกัน ถ้าโกรธเรื่องที่เธออกไปข้างนอกกับศิวะล่ะก็มันก็ดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อย แต่อย่างไรเธอก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่ไม่ขออนุญาตเขาเสียก่อน จนหลงลืมไปว่าตัวเองแต่งงานแล้ว

                                                                                                               

    “นี่ตกลงปะป๊าจะไม่พูดกับมะม๊าจริงๆหรอ”หญิงสาวทำหน้าเศร้า แต่คนใจร้ายก็ยังเฉยก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งให้เธอทำหน้าเหวออยู่คนเดียว เป็นไงเป็นกันต่อให้เขาหนีไปขึ้นรถลงเรือ หรือจะขึ้นเหนือล่องใต้เธอก็เคลียร์ให้รู้เรื่อง เป็นไงก็เป็นกันล่ะงานนี้

                                                                                                               

    โรศิชาเดินตามเข้าไปในห้องนอนของสามีอย่างหวั่นๆ ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาเป็นผู้ชายเต็มตัวแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจเมื่อได้ใกล้เขา ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรเธอหรอกนะแต่เธอกลัวตัวเองจะกระโดดเข้าปลุกปล้ำผู้เป็นสามีเสียเองมากกว่า ก็ผู้ชายอะไรน่าฟัดเป็นบ้า แต่ก็ไม่กล้าพอจะฟัดอีกนั่นล่ะ

                                                                                                               

    “ปะป๊าคืนดีกันนะ มะม๊าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”โรศิชาเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆกับสุดที่รักที่ปลายเตียง พรางเขย่าแขนสามีแรงๆ หวังว่าเขาะจะหายโกรธ

                                                                                                               

    “คงสนุกมากสิท่าถึงได้หายไปสองสามชั่วโมง”เขายังคงปั้นหน้าบึ้งเช่นเดิม ผู้ชายอะไรง้อยากง้อเย็น หึ

                                                                                                               

    “ถ้ามะม๊าทำผิด มะม๊าขอโทษนะ ปะป๊ายกโทษให้มะม๊านะค่ะ”ดวงหน้างามเลื่อนเข้ามาใกล้ไหล่หนาที่ตั้งตรงก่อนจะซบพิงบนไหล่ของสามีอย่างอ้อนๆ

                                                                                                               

    “จะขอโทษทำไม ในเมื่อคุณไม่ได้ทำผิดอะไรซะหน่อย”

                                                                                                               

    “โธ่ ปะป๊าอย่างอนมะม๊าเลยนะ สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ปะป๊าคุยกับมะม๊าเหมือนเดิมนะ”

                                                                                                               

    “ไม่”คำปฏิเสธของสามีทำให้เธอเริ่มจะถอดใจ ใจแข็งเป็นบ้าเลยคุณสามีขา

                                                                                                               

    “แล้วจะให้มะม๊าทำยังไงล่ะปะป๊าถึงจะหายโกรธ”

                                                                                                               

    “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ผมจะนอนล่ะ ปวดหัว”เขาว่า แล้วจับศรีษะของหญิงสาวออกจากไหล่หนา ก่อนจะล้มตัวลงไปบนเตียงนอนอย่างอ่อนแรง ก็แน่ล่ะตัวเองไม่สบายอยู่แท้ๆแต่ก็ยังหาเรื่องหึงไม่เข้าท่า รู้แบบนี้ไม่ง้อซะก็ดี แต่หัวใจเป็นอะไรไปทำไมรู้สึกปวดหนึบปลาบแปลบแบบนี้

                                                                                                               

    “ก็ได้ถ้าปะป๊าไม่ยอมคืนดีกับมะม๊า งั้นมะม๊าก็จะไม่ง้อ”ชายหนุ่มถึงกับอึ้งเล็กน้อยแต่ถ้าเธอจะไม่ง้อมันก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าตัวเขาอยู่แล้ว ใครก็คงจะไปบังคับไม่ได้หรอก ชายหนุ่มคิดอย่างน้อยอกน้อยใจ เป็นใครใครก็ต้องน้อยใจเป็นธรรมดา

                                                                                                               

    “ก็ตามใจ”สุดที่รักหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ความจริงเขาก็ไม่อยากจะโกรธเคืองเธออะไรมากมายก็แค่อยากจะดัดนิสัยเด็กดื้อก็เท่านั้นเอง แต่เด็กดื้อคนนี้ต้องใช้เวลาดัดนาน เนื่องจากเป็นไม้แก่ คำโบราณท่านว่าไว้ไม่มีผิดในเรื่องที่ว่าไม้อ่อนย่อมดัดง่าย ส่วนไม้แก่ก็ย่อมดัดยาก แต่สำหรับภรรยาสุดที่รักแล้วเธอเป็นยิ่งกว่า ไม้แก่’ เพราะดัดยากยิ่ง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

                                                                                                               

    คุณสามีขาถ้าจะงอนขนาดนี้ภรรยาแสนดีอย่างฉันก็ไม่รู้จะง้อยังไงเหมือนกันนะค่ะ หึ

                                                                                                               

    กว่าที่ขาเรียวจะก้าวออกนอกห้อง หัวใจมันก็ร่ำร้องตลอดเวลาว่าอย่าออกไป เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า และแล้วก็ต้องแพ้ใจของตัวเองอยู่วันยังค่ำ ทำไมไม่เข้มแข็งเอาซะเลยนะโรศิชาเอ้ย

                                                                                                               

    หญิงสาวเดินวนไปมารอบเตียงของสามี ยิ่งเห็นเขานอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงก็ยิ่งอยากจะกระโดดเข้าไปกอดเสียให้ได้ ลองดูสักตั้งก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่นะโรศิชา กล้าๆเข้าไว้ แล้วจะรุ่งหรือจะริ่งคงต้องอาศัยโชคชะตาชักนำ

                                                                                                               

    “มะม๊าทำอะไรเนี่ย”สุดที่รักร้องอุทานอย่างตกใจสุดขีด เมื่ออยู่ดีๆภรรยาคนสวยก็เกิดบ้าระห่ำกระโดดขึ้นเตียงมานอนกอดเขา โอ๊ย...เขาอยากจะบ้าตายกับภรรยาครับเสียจริงๆ ผู้หญิงอะไรรุกได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่เกี่ยงว่าบนเตียงหรือนอกบ้าน อดทนมาได้ตั้งหนึ่งปีที่จะไม่ทำอะไรเธอ แล้ววันนี้เขาเป็นอะไรไปนะธรรมชาติกำลังเล่นตลกกับเขาอยู่ใช่ไหม? เมื่อเขารู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายแปลกๆ

                                                                                                               

    “มะม๊าก็แค่อยากกอดปะป๊ารู้ไหมเวลาที่ปะป๊าเมินเฉยกับมะม๊ามันเจ็บมากขนาดไหน”โรศิชาหน้าเศร้าพร้อมกระชับอ้อมแขนให้แน่นมากขึ้นชายหนุ่มนิ่งฟังความในใจที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยและดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนจะเสียใจมากเหมือนกันอีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำเสียหน่อยจะได้ทนดูเจ้าหล่อนเสียใจได้นานๆ

                                                                                                               

    “ปะป๊าขอโทษนะมะม๊า”มือหนาเลื่อนมาลูบศรีษะของหญิงสาวด้วยความรักแกมปลอบโยน

                                                                                                               

    สายใยความผูกพันมันกำลังจะพันธนาการเขาให้อยู่กับเธอตลอดไป

                                                                                                               

    อาจมีหลายคู่ที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

                                                                                                               

    อาจมีหลายคู่ที่ใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์

                                                                                                               

    แต่สำหรับเขาและเธอใช้แค่เพียง ความเข้าใจ

                                                                                                               

    “มะม๊าก็ต้องขอโทษปะป๊าเหมือนกันนะ มะม๊าสัญญาว่าต่อไปนี้จะเชื่อฟังปะป๊าทุกอย่างเลย”อยู่ดีๆน้ำตาก็เอ่อคลอหน่วยขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่

                                                                                                               

    “ไม่เอาไม่ร้องไห้นะมะม๊า ให้ถือซะว่านี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำหรับชีวิตคู่ ปัญหาแค่นี้มันเรื่องเล็กมาก ในอนาคตเราอาจจะต้องเจอกับปัญหาทีมันหนักกว่านี้เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมะม๊าห้ามอ่อนแอเด็ดขาดมะม๊าจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้แล้วเราจะสามารถผ่านมันไปได้ สัญญากับปะป๊าได้ไหมครับ”เขาส่งนิ้วก้อยให้กับเธอพร้อมรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น

                                                                                                               

     ต้องแบบนี้สิคุณสามีขา แบบนี้คุณภรรยาครับรักตายเลย

                                                                                                               

    “มะม๊าสัญญา”เขาปาดน้ำตาที่ดวงตากลมโตอย่างเบามือก่อนจะเกี่ยวก้อยสัญญากันด้วยความสุข

                                                                                                               

    “ปะป๊ารู้ไหมว่าชีวิตคู่ของเราในตอนนี้คล้ายดอกไม้อะไร”สุดที่รักส่ายหน้าไปมา เมื่อคำถามของเธอดูเหมือนจะยากเกินไปสำหรับเขา

    “ดอกทานตะวันไงค่ะ”

    “ทำไมถึงเหมือนดอกทานตะวันละครับ”

                                                                                                               

    “ก็เพราะดอกทานตะวันเป็นดอกไม้ที่แทนสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว และมีนัยถึงศิลปะที่งดงาม”หญิงสาวตอบด้วยความเคอะเขิน แก้มแดงปลั่ง ยิ่งเพิ่มความมีเสน่ห์ในตัวของเธอให้มากขึ้นไปอีก เท่าที่เป็นอยู่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะถอนตัวถอนใจขึ้นหรือเปล่า

                                                                                                               

    “ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว ผมพึ่งรู้นะว่าดอกทานตะวันจะมีความหมายแบบนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนนี้ผมไม่คิดว่ามันจะมีความหมาย”

                                                                                                               

    “ก็แน่ล่ะสิค่ะ เท่าที่เห็นวันๆคุณก็ทำแต่งานนี่นา ไม่พักผ่อนให้เพียงพอสุดท้ายก็เลยป่วยแบบนี้ไง”หญิงสาวตำหนิไปในที

                                                                                                               

    “ก็งานที่บริษัทมันยุ่งจริงๆนี่ครับ พูดถึงเรื่องงาน ตอนนี้ร้านดอกไม้ของเราเป็นยังไงบ้างครับ”

                                                                                                               

    “ตอนนี้ก็เรื่อยๆนะปะป๊า พรุ่งนี้มะม๊าว่าจะเข้าไปดูเสียหน่อยอยู่บ้านเบื่อๆ”

                                                                                                               

    “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ปะป๊าไปส่งนะครับ แต่ตอนนี้ปะป๊าง่วงมากเลย นอนกันเถอะนะ”

                                                                                                               

    “นอนกอดกันได้ใช่ไหม”

                                                                                                               

    “อือ..หึ”เขาพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเขาเอ่ยเป็นเชิงอนุญาต เธอจึงเขยิบเข้ามาชิดอกแกร่งพร้อมโอบกอดรอบลำตัวของอีกฝ่ายอย่างแนบชิดจนแทบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน วินาทีต่อให้เอาสิ่งใดมาแลกก็ไม่ยอม การได้อยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น ได้รับรอยยิ้ม ได้นอนหนุนแขนแกร่งของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมันมีความสุขเสียยิ่งกว่าการมีเงินเป็นร้อยๆล้านซะอีก ความสุขที่ต่อให้รวยล้นฟ้าหรือมีอำนาจมากสักแค่ไหนก็ไม่มีวันจะหาได้

                                                                                                               

    ความรู้สึกแบบนี้มันวิเศษณ์ และที่สำคัญมันทำให้เธอรู้ว่าแม้จะมีปัญหาเข้ามามากมายแต่ถ้าเราเข้มแข็งมากพอเราก็จะผ่านมันไปได้ ซึ่งเขาเข้มแข็งและมีเหตุผล มันจึงทำให้เธอรู้ว่าเขานี่แหละคือคนที่เธอควรจะฝากชีวิตเอาไว้ด้วยอย่างยิ่ง ต่อให้ทะเลาะกัน ไม่พูดกัน งอนกันแต่เท่าที่เธอนั้นจดจำได้ไม่มีครั้งไหนที่เคยคิดจะเลิกกัน

                                                                                                               

    มันก็เหมือนกับดอกทานตะวันดอกไม้ที่แทนสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว และมีนัยถึงศิลปะที่งดงาม ถ้าได้รับดอกทานตะวันเหมือนได้รับสารว่า แม้เธอจะเย่อหยิ่งเพียงไร แต่สักวันฉันจะชนะใจเธอ” และยังหมายถึง รักของฉันมั่นคงและภักดีต่อเธอเสมอ ดุจดั่งทานตะวันที่ไม่เคยหันมองผู้ใดนอกจากดวงอาทิตย์

                                                                                                               

    ดอกทานตะวันรอรับแสงจากดวงอาทิตย์ฉันใด ความรักที่เธอมีให้แก่เขามันก็ยังจะคงอยู่ตลอดไปเช่นนั้น วันที่จะเปิดเผยความในใจก็คงจะใกล้เข้ามาเต็มที เธออยากบอกเขา อยากจะตะโกน ให้บุคคลที่นอนอยู่ข้างๆเธอยามนี้รู้เหลือเกินว่าเขาคือผู้ชายที่เธอ ‘รัก’ และจะ ภักดี’ ด้วยตลอดไป

               

                เป็นดังเช่น...ดอกทานตะวัน

                เฝ้ารอแสง สุริยัน อันเจิดจ้า

                คอยเพียงแสงสีทอง ส่องลงมา

                ไล่ความมืด จากนภา ให้หมดไป

               

               

              

    ครบ100 %แล้วค่ะ ส่วนตอนหน้าจะเป็นดอกไอวี่ (การแต่งงาน) 

    อุ๊บ รอลุ้นกันต่อน้า....

             

    ShiraTHEME :) Shirakuma kuma
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×