คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ไฮเดรนเยีย 100%
ดอกไฮเดรนเยีย
“ดอกไม้แห่งหัวใจด้านชา” เค้าว่ากันว่าไม่ควรมอบดอกไม้นี้ให้แก่ผู้ใด นอกจากอยากจะตัดพ้อผู้รับว่า เขาหรือเธอ ช่างเป็นคนใจด้านชาเสียเหลือเกิน แต่ในอีกความหมายหนึ่ง เค้าก็ว่า ดอกไฮเดรนเยีย หมายถึง “คำขอบคุณ” …Thank you for understanding...ขอบคุณที่เข้าใจกัน
ร่างบางเพรียวระหงยืนจัดแจงดอกไม้สีหวานสวยงามบริสุทธิ์ลงแจกันที่ก่อนหน้านี้มีดอกไม้ค่อนข้างเหี่ยวเฉาออกมือเรียวจัดดอกไม้ด้วยความบรรจงประณีตแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะตัวยาวที่ใช้รับประทานอาหารที่ในตอนนี้มีทั้งอาหารคาวหวานเรียงรายเต็มโต๊ะไปหมด โดยมีแจกันดอกไม้ที่หญิงสาวจัดเมื่อครู่นี้วางอยู่ตรงกลาง ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โซฟาตัวยาวสีดำเข้มด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
‘วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับเรา’ใช่สิ มันคือวันพิเศษเมื่อมันคือวันเกิดของคุณสามีสุดหล่อของเธอเอง แต่ความพิเศษมันไม่ใช่แค่นั้นเมื่อมันเป็นวันครบรอบการแต่งงานหนึ่งปีของเธอและเขาด้วย ในใจของเธอก็นึกหวั่นๆกลัวว่าเขาจะจำไม่ได้ เพราะเมื่อวานนี้เขาก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน แค่โทรมาบอกว่าทำงานค้างต้องเร่งทำให้เสร็จ หญิงสาวก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือเรื่องจริงหรือข้ออ้างที่เขานั้นพยายามจะหาเอามาใช้กับเธอกันแน่
แต่ก็ช่างเถอะ...อย่างไรเสียการจะประคับประคองชีวิตคู่ร่วมกันต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน อีกอย่างเธอก็เข้าใจดีว่าตำแหน่งผู้บริหารคงจะหาเวลาว่างไม่ได้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยก็ช่วยอย่าทำให้ภรรยาคนนี้เป็นห่วงไปมากกว่านี้เลยจะได้ไหมค่ะคุณสามี โรศิชาอดที่จะค่อนขอดสุดที่รักผู้เป็นสามีไม่ได้
ก็ถึงแม้ว่าเธอและเขาจะไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่แต่งเพราะ ‘อยากลองใช้ชีวิตคู่’ ร่วมกันเท่านั้น คิดๆแล้วมันก็แปลกดีเหมือนกัน ที่หนึ่งชายผู้มีหัวใจด้านชาไม่เคยอยากจะมีความรักแต่อยากแต่งงานอยากลองใช้ชีวิตคู่ ส่วนหนึ่งหญิงผู้ที่อยากช่วยให้เกย์กลับใจและอยากลองใช้ชีวิตแต่งงาน ทางเดียวที่จะได้สัมผัสบรรยากาศแบบนั้นและไม่ต้องเสี่ยงเสียตัวก็คือการแต่งงานกับเกย์ และมันก็ช่างน่าแปลกอีกว่าเธอและเขาไม่มีท่าทีอยากจะหย่ากันเลยสักนิด ยิ่งนับวันความห่วงใยก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณให้อีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น
มือเรียวบางหยิบกรอบรูปบานเล็กขนาดกะทัดรัดขึ้นมาดู เป็นรูปที่เธอและเขาถ่ายคู่กันในวันแต่งงาน ทว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวในรูปกับทำหน้าบึ้งใส่กันเหมือนว่าเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน บรรยากาศการแต่งงานเก่าๆในวันวานหวนพัดพาเข้ามาสู่ความรู้สึกของเธออีกครั้ง โรศิชาจำได้ดีเลยว่าวันแต่งงานคือวันที่วุ่นวายที่สุดในชีวิต แต่ก็มีความสุขที่สุดในชีวิตเช่นกัน เมื่อได้ย้อนมาดูอีกครั้งในวันนี้ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่านี่สินะ...ชีวิตคู่ อาจมีบางครั้งที่เขาและเธอทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่ห่วงใยกัน
หนึ่งปีสำหรับการลอง ‘ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน’ มันช่างมีคุณค่าและคุ้มค่าที่จะเสี่ยง เพราะฉะนั้นวันข้างหน้าชีวิตคู่ที่เธอและเขาร่วมกันประคับประคองจะเป็นไปในทิศทางใดเธอก็จะไม่เสียใจ เพราะครั้งหนึ่งเธอได้เรียนรู้แล้วว่าเขาคือผู้ชายที่เธออยากรัก และ เธอก็คือผู้หญิงที่เขาอยากแต่งงานด้วย เท่านี้ก็เกินพอแล้ว ไม่ต้องมีใครเข้าใจ ไม่ต้องบอกใครว่าเธอและเขาอยู่ด้วยกันในสถานะแบบไหน และที่สำคัญเธอและเขาย่อมรู้แก่ใจว่ารู้สึกเช่นไรต่อกัน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้รู้แต่ว่าเธอกำลังรอคอยผู้เป็นสามีให้กลับบ้าน เธอรอเขาเป็นประจำทุกวันแม้บางครั้งเขาจะโทรมาบอกว่าไม่ให้รอก็ตาม อาจเป็นเพราะความเคยชินหรือเพราะความห่วงใยทำให้เธอต้องยอมอดตาหลับขับตานอนมานั่งรอสามีกลับบ้าน บางวันก็ตีหนึ่ง บางคืนก็ตีสอง หรืออาจฟ้าสางเธอก็ยังนั่งรอ จะให้ทำอย่างไรได้เล่า...ก็คนมันห่วงนี่นา จะหลับก็หลับไม่ลง กลัวว่าผู้ชายหื่นๆจะมาชุดคร่าพรหมจรรย์ของสามีเธอนะสิ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด
“เมื่อไหร่จะกลับบ้านนะปะป๊า ฉันอยากให้คุณกลับมาให้ทันคืนนี้ มาฉลองวันเกิดและวันแต่งงานของเราด้วยกันจัง”โรศิชาวาดฝันวันเอาไว้อย่างสวยหรู พรางหยิบเครื่องมือสื่อสารราคาแพงของตนเองขึ้นมาจดๆจ้องๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วปล่อยออกมาเสียเฮือกใหญ่ เฮือก!
“โทรก็โทร เขาคงไม่ว่าอะไรเราหรอกน่าโรส อย่าคิดมากสิ”คำพูดปลอบใจตัวเองถูกหยิบยกขึ้นมาทำให้ตัวเองรู้สึกใจชื้น แล้วรวบรวมความกล้าโทรหาสามีสุดที่รักของเธอโดยด่วน
“ฮัลโล ปะป๊าคือว่าวันนี้”ยังไม่ทันที่โรศิชาจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไปมากกว่านี้ปลายสายก็ชิงตัดบทพูดมาซะก่อนและแน่นอนเสียงนั้นไม่ใช่ ‘เสียงผู้หญิง’ แต่เป็น ‘เสียงผู้ชาย’ ว้าย...อกอีแป้นจะแตก ไหนบอกกับเธอว่าจะเลิกยุ่งกับผู้ชายทุกคนแล้วไง อีกอย่างตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันมาเสน่ห์ปลายจวักของเธอไม่สามารถทำให้เลิกยุ่งกับผู้ชายได้เลยหรือไงกันนะ คิดแล้วหญิงสาวอย่างน้อยใจ
(เอ่อ คือตอนนี้เขากำลังอยู่ในห้องน้ำครับ ไม่ว่างมาพูดสายด้วย)
“งะ...งั้นหรือค่ะ ถ้าเขาออกมาแล้วช่วยบอกด้วยนะค่ะว่า ภรรยา โทรมาให้โทรกลับหาด่วน!”เธอเน้นคำว่า ‘ภรรยา’ให้กับผู้ชายปลายสายคู่แข่งตัวฉกาจนั้นได้ยิน ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร และสามีใครเป็นสามีใคร ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับสามีสุดที่รักของเธอ
แต่ก่อนจะกดวางสายเสียงคุ้นหูกลับแว่วเข้ามาในโทรศัพท์ ทำให้เธอกดวางสายไม่ลง ก่อนจะพยายามตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์สุดเสียงหวังจะให้ปลายสายนั้นได้ยิน
“ปะป๊ามารับโทรศัพท์ของมะม๊าเดี๋ยวนี้นะ มารับเดี๋ยวนี้”โรศิชาแหวใส่ปลายสายและเสียงของเธอมันก็อาจจะทำให้สามีสุดที่รักเป็นโรคหูหนวกเลยก็ได้ เพราะมันแหลมยิ่งกว่าเสียงลำโพงตามตลาดนัดซะอีก
(ครับๆ ว่าไงมะม๊า มีอะไรเหรอ) เสียงนุ่มอ่อนโยนที่ตอบกลับมาทำให้คำด่าทอที่คิดค้นเมื่อตะกี้หายวับสลายไปในพริบตา แบบนี้สินะ...เธอและเขาจึงเข้ากันได้ดีว่า ‘ใครๆ’แต่จะไม่ให้โกรธเลยก็เห็นทีจะไม่ได้ ยังไงซะพ่อสามีตัวแสบก็จะต้องได้รับการลงโทษ และจะต้องลงโทษเดี๋ยวนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นเธอก็จะลืมความโกรธไปหมด นี่ล่ะคือข้อเสีย
“บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าปะป๊าอยู่ที่ไหน”หญิงสาวคาดคั้นคบถ้วนกระบวนความเสียยิ่งกว่าหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ
(ปะป๊าก็อยู่โรงแรมไงครับ มะม๊ามีอะไรหรือเปล่า หืม...)
“อยู่โรงแรมใช่ม่ะ เดี๋ยวมะม๊าจะไปหาเดี๋ยวนี้ล่ะ รออยู่นั่นล่ะ อย่าคิดหนีด้วยนะ”โรศิชากล่าวเชิงขู่ พรางรีบวิ่งไปหยิบกุญแจรถของตัวเองจากด้านบน แล้วตรงไปที่รถราคาเหยียบหลักล้านของตัวเองอย่างเร่งรีบ
ถึงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจเรื่องสามีกับผู้ชายที่เธอคิดว่าเป็นกิ๊กกัน แต่ความเป็นห่วง ความคิดถึงที่มันเอ่อล้นใจก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยกลับยิ่งเพิ่มขึ้นกลัวว่าเขาจะหนีจากเธอไปเสียมากกว่า หากเป็นเช่นนั้นเธอคงจะไม่สามารถทำใจยอมรับได้อย่างแน่นอน แค่จินตนาการถึงสามีสุดที่รักอยู่กับผู้ชายสองต่อสองหัวใจดวงน้อยก็ไหววูบเจ็บปวดแล้ว หากเขากลับไปชอบผู้ชายด้วยกันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเธอคงจะต้องอกแตกตายเป็นแน่
“ทำไมวันนี้รถมันช้าแปลกๆนะ ไม่ทันใจเอาซะเลย”หญิงสาวบ่น ทั้งที่ปกติเธอออกจะเป็นคนใจเย็น แต่ทำไมวันนี้ถึงได้ใจร้อนนัก ต้นเหตุก็น่าจะมาจากพ่อสามีตัวแสบนั่นแล
จุดมุ่งหมายอยู่ข้างหน้า ในที่สุดก็มาถึงซะทีนะโรศิชา หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างรับเมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะได้เห็นหน้าของสามีที่เธอรอมาเกือบทั้งวันแล้ว นี่ขนาดห่างกันแค่วันเดียวนะเธอยังร้อนทุรนทุรายราวกับไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือนหลายปี หากเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆเธอคงจะต้องตายเพราะความคิดถึงแน่ๆ
ไม่เอาน่าโรศิชา...วันนี้วันครบรอบแต่งงานต้องใจเย็น
เธอก้าวขาสะเปะสะปะเดินเข้ามาในโรงแรมหรูหราระดับห้าดาวที่สามีของเธอเป็นเจ้าของ ตรงเข้าไปที่เคาว์เตอร์ประชาสัมพันธ์โดยทันที
“มิทราบว่าตอนนี้คุณสุดที่รัก พักอยู่ห้องไหนค่ะ”
“อ่อ ชั้นบนสุดห้องสวีทค่ะคุณผู้หญิง”เสียงประชาสัมพันธ์สาวตอบกลับมา หญิงสาวยิ้มให้ด้วยความเป็นมิตร
“เอ่อ คือว่าจะเป็นอะไรไหมค่ะ ถ้าดิฉันจะขอกุญแจสำลองห้องสวีทที่คุณสุดที่รักพักอยู่”พนักงานสาวครุ่นคิดพักใหญ่ก่อนจะพยักหน้าแล้วยื่นกุญแจสำลองให้กับหญิงสาวตามคำขอ
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้วสาวเจ้าถึงกับแสยะยิ้มร้าย คราวนี้ล่ะ พ่อสามีตัวแสบจะหนีไม่พ้นข้อกล่าวหาของเธอแน่ ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนอย่างโรศิชาฤทธิ์เยอะขนาดไหน อีกอย่างหล่อนก็ไม่เคยคิดจะกล่าวหาลอยๆด้วยแบบนี้มันจึงต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา เอาให้ดิ้นไม่หลุดไปเลย
ขาเรียวก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย เบื้องหน้าของหล่อนก็คือห้องของสามีเธอนั่นเอง หญิงสาวไม่รอช้ารีบตรงไปยังห้องสวีทที่เธอก็พอจะรู้มาบ้างว่าเป็นห้องสำหรับเอาไว้ให้คู่รักนั้นมาสวีทหวานกัน แต่ทำไมคนนั้นกลับไม่ใช่เธอกันเล่า ถือว่าบังอาจมากที่มาล้วงคองูจงอางหวงสามีอย่างหล่อน คอยดูนะถ้าเข้าไปเจอเขากำลังพลอดรักกับผู้ชายคนไหนอยู่ล่ะก็แม่จะอาระวาดให้โรงแรมแตกเป็นเสี่ยงๆเลย คอยดู!
กุญแจสำลองที่พึ่งได้มาสดๆร้อนๆถูกใช้งานให้เป็นประโยชน์ ประตูบานกว้างค่อยๆเปิดออก ทว่าภายในห้องกลับมืดสนิทเสมือนกับว่าไร้ซึ่งคนอยู่อาศัยมานานแรมปี ความรู้สึกกลัวแวบเข้ามาในความรู้สึกของหล่อนทันที เมื่อยิ่งก้าวเข้าไปในห้องมันก็ยิ่งเงียบ คำถามมากมายผุดเข้ามาอยู่ในสมองโดยฉับพลัน ไม่รู้จะประมวลผลโดยตอบคำถามไหนให้ตัวเองก่อนดี สิ่งที่ทำได้ที่สุดตอนนี้ก็คือ มองหาเขา เขาอยู่ที่ไหน?
“ปะป๊า คุณอยู่ที่ไหนอย่าแกล้งมะม๊าแบบนี้นะ มะม๊ากลัว”
“....”เงียบไร้เสียงตอบรับ ยิ่งเพิ่มความกลัวในหัวใจของหญิงสาวให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อความรู้สึกสับสนปนเปผสมผสานกับความกลัวเข้าไปด้วยทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกนอกจากทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นห้องที่เย็นเฉียบ ก่อนจะฟุบใบหน้างามลงไปกับพื้นห้องร้องไห้ราวกับเด็กอายุสิบขวบ เสียงสะอื้นร่ำไห้ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็ต้องรู้สึกแปลกๆเมื่อจู่ๆเสียงดนตรีคลาสสิกที่เธอชอบดังแว่วมาจากทางด้านนอกระเบียง
“เสียงดนตรี!”ว่าแล้วโรศิชาก็ไม่รอช้า รีบพยุงกายบอบบางของตนเองไปยังด้านนอกระเบียง ในทันทีที่ประตูระเบียงถูกเปิดออก หัวใจของเธอก็รู้สึกชุ่มชื่นขึ้นมาโดยกะทันหันและไม่ทันได้ตั้งตัว ความดีใจเข้ามาแทนที่ความกลัวต่างๆจนหมดสิ้น เมื่อร่างของบุรุษหนุ่มรูปหล่อยืนท้าลมอยู่นอกระเบียงนั้นยิ้มรับเธอด้วยรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นที่เธอคุ้นเคยเมื่อได้รับมันอยู่ในทุกเช้า
ณ วินาทีนี้เธอไม่สนใจความเป็นไปของสิ่งใดในโลกอีกแล้ว นอกจากการวิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดอันอบอุ่นจากอกอกแกร่งของสามี หญิงสาวต้องการเพียงเท่านี้จริงๆในตอนนี้
“ปะป๊าอยู่ที่นี่เอง ฮื่อๆ”น้ำเสียงดีใจสุดชีวิตเจือสะอื้นไห้นั้นทำให้สุดที่รักอดที่จะหลุดขำออกมาเสียมิได้ มือหนาบรรจงซับน้ำตาให้กับเจ้าหญิงของเขาด้วยความทะนุถนอมสุดดวงใจ
“โอ๋ๆ ไม่มีอะไรแล้วนะมะม๊า อย่าร้องไห้นะรู้ไหม มันจะทำให้มะม๊าแก่เร็ว ดูสิเริ่มเห็นตีนกาแล้ว”ชายหนุ่มปลอบโยนโดยการลูบศรีษะของภรรยาเบาๆอย่างแสนรัก
ใครก็ต่างบอกว่าเขาและเธอแตกต่างกันสุดขั้วจะอยู่ด้วยกันได้หรือ มันไม่ใช่คำถามแต่มันคือบทพิสูจน์สำหรับเธอและเขาตะหาก ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมามันก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้แล้วว่าเธอเท่านั้นคนที่เขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมด้วยตลอดไป แม้เขาจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมันแปลกประหลาดกว่าสามีภรรยาคู่อื่นไปสักหน่อยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด กลับมีความสุขเสียอีกด้วยซ้ำ
“ปะป๊าอย่าทำแบบนี้อีกนะ มะม๊าเป็นห่วง ”น้ำเสียงเศร้าทำให้สุดที่รักต้องฉีกยิ้มออกมากว้างๆให้กับความน่ารักของหญิงสาว “อ้อ แล้วมะม๊าก็ยังไม่แก่ด้วยนะ”เธอย่นจมูกใส่ชายหนุ่มอย่างอนๆ
“ครับ ปะป๊าสัญญาว่าจะไม่ทำอีก แต่ที่ปะป๊าทำก็เพื่อมะม๊านะ ดูนั่นสิ”ชายหนุ่มชี้มือไปที่ซุ้มดอกไม้ด้านหน้าระเบียงที่มีป้ายเขียนข้อความบางอย่างเข้าไว้ ตากลมกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว โดยพอจะจับใจความได้ว่า ‘สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานของเรา’ หล่อนรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกหัวใจเต้นถี่ขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ มันเต้นแรง และแรงขึ้นเรื่อยๆ
เขาโรแมนติกได้ขนาดนี้เชียวเหรอ มันเหมือนความฝัน
แต่มันไม่ใช่ เมื่อมันคือความจริง เขาแสนดีเหลือเกิน พ่อสามีสุดที่รักของฉัน
“ปะป๊า มะม๊าขอบคุณนะ”หญิงสาวว่าพรางกระโจนเข้าอกแกร่งหาความอบอุ่นอีกครั้งหนึ่งปากก็พร่ำบอกขอบคุณ น้ำตาแห่งความซาบซึ้งหลั่งไหลเพื่อมาแสดงความยินดีไม่ขาดสาย จะไม่ร้องไห้มันก็อดไม่ได้ซะนี่ ก็มันมันดีใจซาบซึ้งจะให้หัวเราะเหมือนนางมารก็คงไม่ใช่ที่หรอกนะ
“มันอาจดูไม่มีค่าไม่มีราคาอะไร แต่มะม๊ารู้เอาไว้นะว่าปะป๊าตั้งใจทำให้มะม๊าด้วยหัวใจ”ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ปลายคางมนเชยอยู่บนอกแกร่งอย่างอ้อนๆ สองสายตาสบประสานกันอย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน
“แค่นี้มันก็มีค่ามากมายมหาศาลแล้วล่ะปะป๊า มะม๊าไม่อยากได้อะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว”โรศิชาเงยหน้าขึ้นมองสามีหนุ่ม ก่อนจะยกนิ้วเรียวขึ้นมาวาดตามเค้าโครงหน้าของสามีสุดที่รัก โดยเริ่มจากคิ้วไล่ระดับลงมาที่จมูกโด่งคมสันน่าหลงใหลและสุดท้ายคือริมฝีปากที่น่าจุมพิต
“มะม๊าเขียนคำว่าอะไรลงไปหรือครับ”เขาถามหาคำตอบด้วยความอยากรู้
“ไม่บอก แต่ปะป๊าจะต้องสัมผัสมันด้วยใจแล้วจะรู้ว่ามะม๊าเขียนคำว่าอะไร”เธอก้มหน้างุดซุกใบหน้าเข้ากับอกกว้างของเขาอีกครั้งเพื่อหลบซ่อนความนัยน์บางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาจนอยากจะบอกออกไป แต่ยังไม่กล้ามากพอที่จะเป็นฝ่ายบอกเขาก่อน
“หรอ”เขาพูดกลั้วขำขันไปในที เธอพยักหน้าหงึกหงักเนื่องจากไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ พาลจะทำให้เขาจับได้เสียเปล่าๆว่าเธอกำลังสั่น ‘รัก’อยู่
บรรยากาศแสนโรแมนติกคลอเคล้ามากับเสียงดนตรีเบาๆสร้างความสุขอย่างท่วมท้นมากมายให้แก่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันมาถึงหนึ่งปีเต็ม มันอาจจะเป็นเวลาจบของอีกหลายๆคู่ แต่สำหรับเขาและเธอมันคือเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ นับจากวันนี้ไปชายหนุ่มมั่นใจแล้วว่าเธอเท่านั้นคือทั้งหัวใจ
“เต้นรำกันนะ”สุดที่รักเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำหวานซึ้ง จนคนฟังแทบจะละลาย
“ไม่”คำตอบนี้ทำเอาชายหนุ่มสะอึกจนพูดไม่ออกเมื่ออยู่ๆภรรยาสาวคนสวยเกิดอยากจะเล่นตัวตอนเขามีอารมณ์หวานซึ้งขึ้นมาอย่างนั้น
“ทำไมล่ะมะม๊า”ใบหน้าหล่อเหลาเศร้าลงเมื่อโดนภรรยาปฏิเสธ
“ไม่ปฏิเสธตะหากล่ะค่ะ”เธอว่าพรางโฉบมือขึ้นรวบรัดคอของชายหนุ่ม พร้อมส่งรอยยิ้มหวานตรึงใจให้กับผู้เป็นสามีเสียจนเขาก็อยากจะละลายไปกับยิ้มนั้นเช่นกัน
ค่ำคืนอันแสนหวานอบอวนไปด้วยกลิ่นอายของความรักซ่อนเร้นที่ยังไม่มีใครกล้าเปิดเผยอย่างน้อยก็ทำให้หัวชุ่มช่ำไปได้อีกนานแสนนาน เสียงดนตรีเพลงเต้นรำคลอเคลียไปกับสองหนุ่มสาวที่ขยับโยกย้ายเต้นรำกันท่ามกลางแสงจันทร์ที่ทอประกาย ดวงดาวนับล้านดวงทอแสงระยิบระยับทั่วท้องฟ้าสีดำที่มืดสนิท คล้ายกับว่ามาเป็นสักขีพยานในความรักครั้งนี้ แม้จะยังซ่อนเร้นแต่ก็ค่อยๆเผยออกมาทีละนิด คงจะมีวันนั้นวันที่พวกเขาสองคนเปิดเผยความในใจที่มีต่อกันสักวัน
“เจ้าหญิงของผม”เขาเอ่ยยิ้มๆ เอื้อมมือไปหยิบมงกุฎดอกไม้แสนสวยขึ้นมาสวมให้กับเธอ
โอ้ พระเจ้า ขอบคุณที่ประทานสามีคนนี้มาให้แก่ลูกนะเจ้าค่ะ
“ดอกไฮเดรนเยีย”
“ครับ ไฮเดรนเยียคุณอยากรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร”สุดที่รักเอ่ยให้อีกฝ่ายนึกอยากจะรู้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
ถ้าเป็นคนอื่นให้เธอคงจะไม่อยากรู้หรอก แต่นี่เขาเป็นคนให้เธอก็จะต้องอยากรู้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เธอไม่ค่อยจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความหมายของดอกไม้สักเท่าใดนัก ต้นเหตุนะหรือไม่ต้องถามถึงเลย ก็เพราะตั้งแต่โตมาจนอายุยี่สิบห้านับครั้งได้เลยล่ะมั้งที่เธอเคยได้รับดอกไม้จากเพศตรงข้าม คิดแล้วก็ช่างน่าเศร้า แต่จะโทษใครได้เล่านอกจากตัวเองที่มีความคิดแปลกๆที่อยากจะเปลี่ยนแปลงเกย์ให้จงได้ จนมาพบกับสุดที่รักผู้ชายที่เธอตราหน้าว่าเขาเป็นเกย์ร้อยเปอร์เซ็นถึงจะยังมีความเชื่อแบบนั้นอยู่แต่มันก็เริ่มจะลดน้อยถอยลงไปกว่าเมื่อก่อนเยอะ
ถึงจะยังเชื่อว่าเขาเป็นเกย์แต่ทำไม๊ ทำไมกันเธอถึงได้รู้สึกว่าเขาน่าค้นหายิ่งกว่าผู้ชายมาดแมนทั่วไปเสียอีก คงไม่ใช่ว่าเธอจะมีสเปกเป็นพวกชอบของแปลกหรอกนะ
หรือไม่ก็อาจเป็นเธอนั่นแหละที่แปลกคนอยากจะเปลี่ยนเกย์ให้เป็นแมนเต็มตัว เปลี่ยนมาหนึ่งปีเต็มแล้วกำไม่รู้ว่าไอ้นิสัยอยากจะกินผู้ชายของสามีหนุ่มจะหมดไปเมื่อไหร่ คิดๆแล้วภรรยาอย่างเธอก็กลุ่มใจไม่น้อย
เฮ้อ...จะมีใครนิสัยแปลกเท่าเธอคงจะไม่มีในโลกอีกแล้วแน่ๆ คิดแล้วน่าจะเปลี่ยนชื่อให้ตัวเองใหม่เป็นยัยแปลกประหลาด
“มันก็หมายถึง หัวใจที่ด้านชายังไงล่ะ”
“คุณกำลังจะสื่อความหมายว่าหัวใจของฉันด้านชาหรือค่ะ”เธอถามอยากแปลกใจกับความหมายของดอกไม้ที่เขาพึ่งจะบอกกับเธอเมื่อตะกี้นี้ ฟังแล้วขัดหูพิกลจะหาดอกไม้ความหมายดีๆกว่านี้มาให้เธอหน่อยก็ไม่ได้ ความจริงน่าจะเป็นเขาซะมากกว่าที่หัวใจด้านชา แถมยังชากับผู้หญิงเสียด้วย คงจะใจละลายเฉพาะกับผู้ชายด้วยกันล่ะสิ หืม...
“เปล่าเลยมะม๊า เพราะมันมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง”เขาเว้นวรรคคำพูดให้เธอยิ่งฉงนเข้าไปใหญ่ แต่ก็เอาเถอะนะอย่างน้อยก็ขอให้อีกหนึ่งความหมายของเจ้าดอกไม้แสนสวยนี่มันดีอย่างที่เขาบอกก็ล่ะกัน
““คำขอบคุณ” …Thank you for understanding...ขอบคุณที่เข้าใจกัน”มือหนาเชยปลายคางมนของหญิงสาวขึ้นอย่างมีความหมาย นัยน์สีดำขลับของชายหนุ่มนั้นเป็นประกาย จนสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่เขานั้นได้พยายามถ่ายทอดผ่านทางดวงตามาให้เธอ ก่อนจะหันหน้าออกไปทางระเบียงเช่นเดิม หากมองจากด้านบนไปยังเบื้องล่างมันก็สูงราวๆตึกสามชั้นเห็นจะได้ อีกอย่างเธอก็เป็นโรคกลัวความสูงมากเสียด้วยจึงไม่กล้าไปยืนข้างๆกับเขาตรงนั้น
“ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณที่เข้าใจกันได้ยินไหม”เขาตะโกนเสียงดังจนเธอนึกอาย แหม นานๆทีจะมีฉากสามีหวานใส่ ที่ผ่านคงจะมีแต่เธอเท่านั้นที่จ้องจะรุกใส่เขาข้างเดียว
เธอยังจำได้เลยว่าวันเข้าหอ เขาเองที่เป็นฝ่ายขอแยกห้องกับเธอก่อน ความจริงน่าจะเป็นเธอเสียมากกว่าที่จะต้องขอแยกห้องนอนกับเขา เหอะ...นี่ล่ะความวิปริตระหว่างชีวิตสมรสที่เธอไม่อาจจะเล่าให้ใครฟังได้แม้แต่เพื่อนสนิท เกรงว่าจะทำให้ตัวเองน่าอับอายเสียเปล่าๆ ดีไม่ดีจะมาพาลว่าเธอไม่มีเสน่ห์ดึงดูดสามีให้มาร่วมเรียงเคียงหมอน แต่จะมีใครรู้บ้างเล่าว่าเธอแต่งงานกับเขาเพราะต้องการเปลี่ยนเกย์ให้เป็นแมนก็เท่านั้นเอง
ซึ่งความจริงไม่รู้ว่าฟลุคหรือถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเมื่อเกย์กลับกลายมาเป็นสามีที่แสนดีเอาอกเอาใจเธอสารพัด จากความคิดที่ว่าผู้ชายคนไหนก็ไม่ดีเท่าบิดาอีกแล้วก็พลันหายวับสบายเข้าไปในกลีบเมฆจนหาไม่เจอ
การที่คนสองคนจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันทุกคืนถ้าไม่รักกันมากก็ต้องเกลียดกันมากถึงจะไปกันยืด คู่ของเธอและเขาคือข้อยกเว้น เมื่อต่างคนต่างเฉยชาใส่กันมากแต่กลับอยู่ร่วมกันด้วยความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ วันแต่งงานที่ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมายกลับส่งผลให้มีความสุขมาจนถึงปัจจุบัน
ดูตัวอย่างจากบางคู่ที่มีการจัดงานแต่งงานอย่างเลิศหรู มีสินสอดเป็นพันๆล้าน จัดงานแต่งงานในโรงแรมหรูหราระดับโลก บางคู่ก็อยู่ด้วยกันไม่ยืดแต่งงานกันไม่ถึงเดือนยังเลิกกันเลยก็มี แต่สำหรับเธอและเขามันคือกรณียกเว้นทั้งหมดเมื่ออยู่กันมาได้ถึงหนึ่งปี และมันก็อาจจะยาวนานไปสองปี สามปี สี่ปี หรือไม่ก็ตลอดชีวิต ถ้าเช่นนั้นแล้วเธอคงจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก
“ฉันได้ยินแล้วค่ะปะป๊า”เธอตอบพร้อมเดินเข้าไปยืนข้างกับเขา ต่อให้เบื้องล่างที่มองลงไปลึกสักเพียงไหนขอแค่มีเขาคนนี้อยู่ข้างก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว อบอุ่นหัวใจเหลือเกินคุณสามีขา
ต่อ
เขาชอบรอยยิ้มของเธอ ชอบยามที่เธออารมณ์ดี และชอบทุกอย่างหลอมรวมกันเป็นเธอแม่ดอกกุหลาบประดับใจ แม้เธอจะมีความเข้าใจที่ผิดๆเกี่ยวกับตัวเขาก็ตามเถอะ และไอ้เรื่องที่เข้าใจผิดดันเป็นเรื่องที่เธอคิดว่าเขาเป็นเกย์ จะแก้ตัวก็เหนื่อยเปล่า เลยปล่อยให้หล่อนเข้าใจไปแบบผิดๆแบบนั้นล่ะดีแล้ว
เขาไม่ใช่เกย์อย่างที่เข้าใจแต่เขาแค่เป็นโรคเบื่อความรัก เฉยชากับผู้หญิงมันก็เท่านั้นเอง ในเมื่อผู้หญิงบางคนยังเป็นโรคกลัวผู้ชายได้เลยแล้วทำไมเขาจะเป็นโรคเมินเฉยผู้หญิงบ้างไม่ได้ แต่มันก็พิลึกอีกนั่นล่ะ เมื่อเขาอยากแต่งงาน แต่ดันไม่ชอบผู้หญิง จนได้มาเจอกับแม่สาวจอมเฟี้ยวที่อยากจะเปลี่ยนเกย์ให้เป็นผู้ชาย งานแต่งงานพิลึกพิลั่นจึงบังเกิดขึ้น แค่นั้นยังไม่พอเมื่อเธอและเขายังสามารถครองชีวิตคู่แบบแปลกๆไม่เหมือนชาวบ้านมาได้กว่าหนึ่งปี ดังปาฏิหาริย์ หรือโลกมันวิปริตไปแล้วกันแน่ แต่มันก็เป็นเรื่องน่าดีใจไม่ใช่หรือที่เขายังมีเธออยู่ข้างๆเสมอ
ยามทุกข์เธอก็เป็นเพื่อนคอยปลอบใจให้คำปรึกษา ยามสุขก็มีเธอคอยยิ้มคอยหัวเราะเป็นเพื่อนใจ แบบนี้สินะ...มนต์เสน่ห์แห่งชีวิตคู่ ความจริงเขาน่าจะแต่งงานอยู่กินกับเธอแบบสามีภรรยาคู่อื่นๆ แต่เขาก็กลัว กลัวว่ามันจะไม่เป็นแบบนี้ ไม่เป็นเหมือนดังเช่นหนึ่งปีที่ผ่านมา
หลายคนเคยปลูกฝังความเชื่อที่ผิดๆเกี่ยวกับการแต่งงานให้แก่ชายหนุ่ม ปลูกฝังไว้ว่ามันคือโซ่เส้นใหญ่ที่รัดกายเอาไว้แน่นไม่ว่าจะขยับหนีไปในทิศทางใดก็หนีไม่พ้น บ้างก็ว่าการแต่งงานหมายถึงการเอาความโสดอิสระไปโยนทิ้งอย่างไร้ค่า แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้ชีวิตคู่กับเธอแล้ว เขามั่นใจเลยว่าการแต่งงานมันไม่ได้โหดร้ายมากขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่กล้าจะเปิดใจเรื่องนี้กับเธอสักที
แต่ตอนนี้การแต่งงานสำหรับเขา คือ การแชร์ ทุกอย่างมีส่วนร่วมกันในทุกสิ่งที่เกิดทั้งสุขและทุกข์ อันอยู่บนความต้องการทั้งสองคนโดยอาศัยหลักความเข้าใจ ของคนทั้งคู่ พยายามเข้าไปถึงใจของคนที่เราต้องการร่วมหัวจมท้ายด้วยเปรียบเสมือน คนทั้งสองคนอยู่ในเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล ไม่รู้ว่าเวลาไหน ท้องทะเล จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทั้งสองคนต้องพยายาม ช่วยกัน ทำให้เรือลำนั้น อยู่รอดได้
“โรส”ไม่บ่อยเท่าใดนักที่จะได้ยินเขาเรียกชื่อเล่นของเธอ ถึงจะฟังแปลกหูแต่ก็รู้สึกดีพิกล แต่ถ้าเรียกมะม๊าแบบเดิมคงจะตื้นตันเป็นพิเศษ
“ค่ะ”เธอขานรับเสียงต่ำ
“การแต่งงานสำหรับมะม๊ามันหมายถึงอะไรครับ”คำถามที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากสามีรูปหล่อเปรยขึ้นมาอย่างลอยๆหากดวงตานั้นกำลังเสาะแสวงหาคำตอบจากดวงหน้าของเธอ
“สำหรับมะม๊ามันหมายถึง การที่คนสองคนจะต้องมาร่วมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันด้วยความรักและความเข้าใจ ที่สำคัญต้องสามารถร่วมกันประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้ด้วยความสุข”
“เหมือนที่เราสองคนร่วมกันทำมาตลอดหนึ่งปีใช่ไหมครับ”
“อือ...หึ”เธอทำเสียงในลำคอแทนคำตอบ แต่ใช้หัวใจตอบไปแล้วทนคำพูดทุกอย่าง
หนึ่งปีแห่งความทรงจำที่ดีมันคุ้มค่ามากเหลือเกิน เธอพึ่งจะได้รู้จักคำว่าความสุขแห่งชีวิตคู่ก็วันนี้นี่เองวันที่เขาและเธอร่วมฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกันจนวันนี้ ทั้งที่มีแต่คนบอกว่าเธอและเขาไม่สามารถเดินร่วมทางกับเขามาได้ตลอดรอดฝั่งหรอก ซึ่งมันก็เกือบทำให้เธอถอดใจเช่นกัน ถึงบางครั้งการใช้ชีวิตคู่จะกระท่อนกระแท่นไปบ้าง แต่รสชาติชีวิตคู่มันก็หวานหอมดีเหมือนกัน
“ถ้าสักวันหนึ่งเราสองคนเป็นอิสระต่อกัน คุณจะแต่งงานใหม่กับใครไหม”ชายหนุ่มถามขึ้น น้ำเสียงของเขาหมดหวังอย่างชัดเจน
“ขอคิดดูก่อนได้ไหมค่ะ”โรศิชาว่าทั้งที่แก้มดังปลั่งด้วยความเขินอาย ตัวก็บิดม้วนเป็นเกลียว นานๆทีจะมีคำถามแบบนี้มาจากปากของคุณสามีขานี่นาจะไม่ให้เขินอายเลยก็ผิดปกติไปเสียหน่อย ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอเขินให้เขาได้ชื่นใจสักนิดนึงก็ได้ ความจริงก็เพื่อสนองความต้องการของตัวเองด้วยนั่นล่ะ
“ปะป๊าจะรอฟังคำตอบนั้นจากมะม๊า...ไปตลอดชีวิต”
“แล้วถ้าปะป๊าไม่ได้ฟังคำตอบนี้จากมะม๊าตลอดชีวิตล่ะ”เธอถามหยั่งเชิง ฉายแววความอยากรู้เป็นนัยๆให้อีกฝ่าย
“นั่นก็หมายความว่ามะม๊า...จะอยู่กับปะป๊าตลอดไปนะสิครับ”สุดที่รักยิ้มยั่วเสน่ห์เผยให้เห็นลักยิ้มที่ซ่อนความน่ารักออกมา
“ขี้ตรู่ที่สุดเลยปะป๊าขา”เธอว่าพรางตีแขนสามีเบาๆ
“เปล่าขี้ตรู่ซะหน่อย มะม๊าไม่ลืมใช่ไหมว่านอกจากวันนี้จะเป็นวันครบรอบแต่งงานของเราแล้วยังเป็นวันอะไรอีก”โทนเสียงน้อยใจเอ่ยขึ้น พลอยทำให้โรศิชาหน้าซีดเผือด เธอไม่ได้ลืมแต่เขาต่างหากที่ทำให้เธอต้องบึ่งรถมาถึงที่นี่ งานเลี้ยงเล็กๆที่เธอตั้งใจจัดให้เขาเป็นสักขีพยานได้ดีทีเดียวว่าเธอจำทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาได้ทุกอย่าง
“ไม่รู้สิมะม๊าก็จำไม่ได้เหมือนกัน”หญิงสาวแสร้งตีหน้าซื่อทั้งที่ในใจหัวเราะคิกคักที่เห็นว่าสามีรูปหล่อกำลังทำหน้าน้อยใจเหมือนเด็กดื้อที่โดนผู้ใหญ่ขัดใจไม่มีผิด แต่ในสายตาเธอเวลาเขาทำหน้าแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง ก็แน่ล่ะไม่ว่าเขาจะทำอะไรเธอก็มองว่ามันน่ารักและดีไปเสียทุกอย่าง
“ก็ใช่ซี้ คนไม่สำคัญก็มักจะไม่มีคุณค่าให้ใส่ใจ”เธออยากจะหัวเราะให้สลบ คำพูดเสียดสีของเขาฟังยังไงก็เหมือนเด็ก แถมยังเป็นเด็กขี้งอนซะด้วย แบบนี้คงต้องหาทางกำราบเด็กขี้งอนซะหน่อยแล้ว
“น่าน้อยใจแทนเนาะ”แทนที่จะปลอบใจที่ไหนได้เธอกลับเดินหนีเข้าไปในห้องซะอย่างนั้น เธอคงจะไม่เห็นเขาสำคัญเลยสินะ แต่มันจะแปลกอะไรก็ในเมื่อเขาและเธอไม่ได้มีความคิดอยากจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันตลอดไปอยู่แล้ว
เป็นได้แค่คนไม่สำคัญจะไปทำอะไรได้ สุดที่รักคิดอย่างน้อยอกน้อยใจก่อนจะเดินตามหญิงสาวเข้าไปในห้อง
“มะม๊าจำไม่ได้จริงๆเหรอว่าวันนี้วันอะไร”เขาคาดคั้นหวังจะให้เธอตอบ
“ก็วันครบรอบแต่งงานของเราไงค่ะ”หญิงสาวตอบกวนๆทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“ก็ใช่...แต่มันยังไม่ถูกทั้งหมด ถ้ามะม๊าจำไม่ได้ งั้นปะป๊าบอกเองก็ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของปะป๊าไง จำได้หรือยัง” โรศิชาไม่ตอบ เพียงแต่ขยับกายเข้ามาแนบชิดสามีหนุ่ม สองมือเรียวโอบลำคอของเขาไว้หลอมๆ ก่อนจะจรดปลายจมูกลงไปที่แก้มสามีเบาๆถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เขารับรู้ ทว่าสองหัวใจกลับเต้นตึกตักดังเสียยิ่งกว่ากองเพล
..................
มาตอนแรกก็หวานซะ รักโรแมนติกเอาใจคนมีความรักค่ะ
....................................
ความคิดเห็น