คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : แบบทดสอบที่ 2 :: Complete !! [ + Bonus] เปลี่ยนวันส่ง
แบบทดสอบรับคนเข้าตระกูลฮิโทคิ ด่านที่ 2
ผู้รับผิดชอบและร่างแผนงานของด่าน ฮิโทคิ อาชูร่า, ฮิโทคิ ยู (ฮิโทคิ ซึกิมารุ)
ผู้ตรวจทานของด่าน ฮิโทคิ อาชูร่า, ฮิโทคิ ยู (ฮิโทคิ ซึกิมารุ)
รายละเอียดของด่าน
ในด่านนี้พวกเราจะกำหนดสถานการณ์หนึ่งขึ้นมาและจะทิ้งช่วงให้ผู้เข้าทดสอบทุกคนต่อสถานการณ์นี้ไปจนจบ เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับยำซึ่งตัวละครทุกตัวนั้นจะคือตัวคุณและชาวฮิโทคิรุ่นที่ 1 ขอให้คุณใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่ในการทำแบบทดสอบนี้ ขอให้ทุกท่านโชคดี
เงื่อนไขการผ่านด่านทดสอบ
1. แนะนำตัวละครอย่างละเอียด
2. บังคับให้มีตัวละครของชาวฮิโทคิรุ่นหนึ่งเด่นในเรื่องที่เขียนอย่างน้อยที่สุดสองคน
3. จำนวนหน้าควรมากกว่า 3 หน้ากระดาษ
4. ใช้ภาษาเต็มความสามารถ
5. เคาะแท็บเพื่อขึ้นย่อหน้าแทนที่จะใช้เคาะเว้นวรรค และหากจะเว้นระหว่างประโยค ให้เคาะเว้นวรรคแค่ครั้งเดียว
6. ใช้ตัวอักษรคลอเดีย นิว (Cordia New) ขนาด 14 เท่านั้น
7. ไม่ต้องเคาะเว้นบรรทัดสองครั้ง ในการทดสอบให้เคาะเว้นบรรทัดแค่ครั้งเดียวในการขึ้นย่อหน้าใหม่
8. ใช้ไหวพริบปฏิภาณของคุณให้เต็มที่
9. ก่อนการส่งงาน กรุณาตรวจทานงานที่คุณทำประมาณ 2-3 รอบ แก้ไขคำหรือบางช่วงที่ผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ (ไม่มีเลยจะเป็นการดีมาก)
10. ในขณะที่ฮิโทคิรุ่นแรกกำลังผจญภัย และสิ่งที่พวกเขาจะพบหนึ่งในอันตรายคือการปรากฏตัวของรุ่นสอง บังคับให้เลือกว่าเป็นรุ่นสองหลงทาง โดนศัตรูกวด หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ห้ามเด็ดขาดว่า "มาช่วย" มันเหมือนดูถูกรุ่นแรกและอาจทำให้บางคนไม่พอใจด้วย
วิธีส่งแบบทดสอบ
ให้นำแบบทดสอบที่ทำเสร็จแล้ววางลงไปในตอนใดตอนหนึ่งของบทความห้องเก็บของ(ในกรณีที่ไม่มีให้สร้างขึ้นมาใหม่เลย) ตั้งชื่อตอนว่า "ส่งแบบทดสอบด่านที่... (ระบุด่าน)... ของตระกูลฮิโทคิ" จากนั้นให้นำลิ้งค์ของตอนนั้น ๆ มาโพสในคอมเม้นต์ ส่งที่บทความนี้
เพิ่มเติมว่าด้วยเรื่อง ‘คะแนนพิเศษ’
หากผู้เข้าทดสอบคนใดสามารถบอกได้ว่าท่อนไหนอาชูร่าหรือยูเป็นผู้แต่งได้อย่างถูกต้องคุณจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ไม่บังคับให้ตอบนะครับจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ แต่ถ้าใครตอบถูกก็ได้คะแนนไปเลยฟรี ๆ
กำหนดวันส่ง
เลื่อนเป็นภายในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 (ก่อน 11 โมงได้จะดีมาก) เนื่องจากกรรมการคนหนึ่งติดธุระคร้าบ !
สายลมพลิ้วเอื่อยเสียจนหาทิศทางแทบมิได้ พุ่มไม้ไสวไปมาถูกสิ่งแปลกปลอมรบกวนจนต้องแยกออกจากกัน เสียงฝีเท้าหลายต่อหลายคู่เหยียบย่ำลงบนนั้นอย่างไร้ซึ่งความลังเล ทั้งหมดหวังเพียงเป้าหมายข้างหน้าเท่านั้น ร่างของใครหลายคนลอยละลิ่วเหนือผืนไม้ โดยที่เท้าของคนเหล่านั้นพร้อมใจกันดีดกับกิ่งไม้เป็นระยะ ๆ เพื่อคงสภาพของตนเอาไว้
“แน่ใจนะว่าพวกมันมาทางนี้” เสียงของหญิงสาวผมดำยาวถึงสะโพกเอ่ยขึ้น ดวงตาสีเดียวกันมองกวาดไปรอบ ๆ อย่างลังเล ในขณะเดียวกันที่เด็กหนุ่มอีกคนพยักหน้ารับ
“แน่นอนครับ ข้อมูลที่เราได้มาจากแห่งที่เชื่อถือได้ มันต้องเร่งความเร็วขึ้นอีกแน่” เด็กหนุ่มผมสีเพลิงพูดขึ้นขณะที่สองเท้าก็ยังไม่ว่างเว้นกับภารกิจ เสียงถอนหายใจเบา ๆ ของใครบางคนดังให้ได้ยินแว่วมาตามสายลม
“แล้วมันอยู่อีกไกลแค่ไหนล่ะ?” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ครานี้คนที่เธอถามเป็นเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือของเธอ เส้นผมสีดำยาวมัดรวบต่ำกระพือไปตามแรงส่ง สองเท้าของเขาไม่ยอมหยุดนิ่ง ดวงตาสีดำภายใต้กรอบแว่นเสมามองทางเจ้าของเสียง แต่ก็นั่นแหละ มันเลินเล่อเสียจนในบางครั้งเจ้าตัวเกือบชนต้นไม้ร่วงลงไปกองกับพื้น
“เก้านาฬิกา อีกสามร้อยเมตรครับ” เสียงทุ้มนุ่มตอบฝ่าแรงลมที่เข้ามาปะทะจากการดีดตัว ดวงตาที่ยังคงเรียบเฉยเพราะแว่นช่วยบังหรี่ลงเล็กน้อย เขาสังหรณ์แปลก ๆ และลางสังหรณ์ก็ไม่เคยโกหกเขาซะด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่เด็กหนุ่มเลือกที่จะเพิกเฉย แล้วตามคนข้างหน้าไปต้อย ๆ
ทางข้างหน้าปรากฏสู่สายตาในที่สุด มันคือปากทางเข้าของอะไรสักอย่างที่ทำจากต้นไม้ที่ขึ้นครึ้ม ใบดกหนาของมันบดบังแสงอาทิตย์จนสาดส่องลงมาถึงพื้นได้เป็นเพียงลำแสงเล็ก ๆ แค่ไม่กี่ลำ สายตาของทุกคนหยีแล้วหยีอีกเพื่อมองลอดผ่านเข้าไป... มันมีทางไปได้ถึงหกสายด้วยกัน
“กลลวงของศัตรูสินะ... ” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มผมดำพยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“บรีว่า ทุกคนน่าจะแยกกันไปนะ?” เด็กสาวผมสีน้ำตาลทองยาวระพื้นไฮไลท์สีรุ้งเอ่ยขึ้น เธอก้าวออกมาจากความมืดด้านหลังของคนอื่น ๆ สายตายี่สิบสองคู่หันมาจ้องมองเธอเป็นตาเดียว
“ภารกิจนี้มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย? พี่ชูร่า พังมันเข้าไปให้ราบเลยดีกว่าไหมคะ?” เด็กสาวผมสีเงินมัดรวบสูงหันไปถามหญิงสาวคนแรกสุดโดยมีเด็กสาวอีกคนพยักหน้าสมทบ หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นสองคู่กัด... วอร์มกับพูลดีกันได้ เธอทำเพียงส่ายหน้า แล้วปล่อยให้เด็กหนุ่มผมแดงเป็นคนตอบ
“เชิญเลยมาซ... ”
“หวา วอร์ม พูล... พังไปศัตรูก็รู้ตัวพอดีสิครับ”
สองเสียงของพี่ ๆ ทำเอาสองสาวผู้เลือดร้อนต้องพับโครงการพังเขาวงกตไปทันที แล้วหันไปขอความเห็นจากเด็กหนุ่มผมดำอีกคนแทน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหนุ่มผมแดงไปซะแล้ว
“จากนี้ เราคงต้องไปกันเป็นคู่... ” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นฉายแสงแห่งความไม่ชอบใจ มาทำภารกิจแค่นี้กลับต้องทำอะไรซะใหญ่โต น่าเบื่อจริง ๆ เด็กหนุ่มเริ่มกวาดตามองสมาชิกทุกคนที่มาด้วยกัน... สมาชิกที่ทางหมู่บ้านโคโนฮะไว้วางใจและเคารพยำเกรงมากที่สุด... สมาชิกตระกูลฮิโทคิแห่งโคโนฮะงาคุเระ
“เริ่มจากทางที่หนึ่ง ผมให้พูลไปกับวอร์ม” นิ้วเรียวชี้ไปหาสองคู่กัดที่พยักหน้ารับอย่างหงอย ๆ ในขณะที่คนอื่นพากันกลืนน้ำลาย ก็การที่ให้สองคนนี้ไปด้วยกัน นั่นน่ะหาเรื่องทำป่าแตกชัด ๆ
“ทางที่สอง ผมให้มัซคุงไปกับบรี” ครั้งนี้หนุ่มผมแดงถึงคราสะดุ้งเฮือกเมื่อสบเข้ากับสายตาสีชมพูใสของบรีตวัดมองมาที่เขา เด็กหนุ่มพยายามขอความช่วยเหลือให้คนคิดแผนเปลี่ยนแผนใหม่เสีย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงเข้าใจเมื่อสายตาพยาบาทถูกส่งไปให้ เด็กหนุ่มผมดำเลยเสไปทางคู่อื่นทันที
“ทางที่สาม รบกวนพี่พารากับพี่เรียวด้วยครับ” หันไปก้มหัวให้กับหญิงสาวอีกสองคนข้างหน้าเขาซึ่งในตอนนี้หันมองหน้ากัน รอยยิ้มบนหน้าบ่งบอกได้ว่า ‘ได้เลย’ คราวนี้สายตาของเขาหยุดลงที่ทางที่สี่ ที่ที่ลางสังหรณ์ของเขาพลุ่งพล่านรุนแรงที่สุด
“ทางที่สี่ ผมขออาสาไปกับท่านพี่” ครั้งนี้เขาชี้ที่ตัวเอง พี่น้องชาวฮิโทคิทั้งหลายสังเกตถึงรังสีหวงพี่ที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของพี่สี่ของตระกูลได้อย่างชัดเจน ฮิโทคิ ยู... มะโรงแห่งสิบสองนักษัตร ผู้ไม่เคยลดละเรื่องความหวงพี่ภายใต้สโลแกน ‘พี่ข้าใครอย่าแตะ’ ! เขาหันไปมองหญิงสาวคนแรกสุดที่พยักหน้าตอบกลับมา...
รอยยิ้มกริ่มปรากฏบนใบหน้า ก่อนที่จะทำการคัดสรรต่อไป
“ทางที่ห้าเป็นลูซกับอิโตะ ทางที่หกก็ซายูริกับคาชีลยะ จบข่าว” รีบร้อนแบ่งคู่กันไป ก่อนที่พี่ใหญ่ของบ้านจะให้สัญญาณ แล้วคนทั้งสิบสองก็หายไปพร้อม ๆ กัน...
“พวกมันมากันแล้ว” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นในเงามืดของผืนป่า ดวงตาสีนิลเสมองทางคู่หูของตนที่กำลังนั่งลับคมมีดอยู่ ประกายสีเงินแวววาวสะท้อนล้อเล่นกับแสงรำไรที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมา ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่มองเห็นมิได้แสดงอารมณ์หวั่นเกรงต่อศัตรูแต่อย่างใด ทุกการเคลื่อนไหวยังคงเป็นไปอย่างปกติ... มีดคุไนถูกเก็บเข้าที่ ลายเมฆาสีเลือดปรากฏเด่นชัดขณะที่ร่างกำยำยันตัวลุกขึ้นยืน
“กี่คน?” เสียงทุ้มเอ่ยถามห้วนสั้น ผู้ฟังย่อมรู้ดีว่าเขาถามถึงอะไร... ทำงานด้วยกันมานานขนาดนี้แล้วนี่
“ทั้งตระกูลครับ” ดวงตาสีชาดปรากฏแววความสนุกขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่ประกายตานั้นจะดับลงอย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะซ่อนเร้นความรู้สึกจากผู้ที่ได้พบเห็น ร่างที่ต่างความสูงเร้นกายหายวับไปในเงามืด รอคอยจังหวะ... ยามใดเมื่อเผลอไผลอันตรายจักถามหา จงระวังตัวให้ดีเถอะ!
ทางเดินที่แสนคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมาเหมือนงูดูราวกับเขาวงกต ทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยเส้นทางอยู่ในอาการมึนงงมิใช่น้อยเลย สองศรีพี่น้องเดินเคียงคู่กันมาคนหนึ่งทำหน้าเมื่อยสุดฤทธิ์อีกคนนั้นไม่ต่างกันเพียงแต่อารมณ์ดูจะกรุ่นกว่าปกติอยู่เล็กน้อย
“เราอยู่ส่วนไหนของป่า?” เด็กสาวผมสีเงินถามขึ้นพลางหย่อนตัวนั่งพักตรงโคนต้นไม้ใหญ่มือเล็กนวดเฟ้นบริเวณน่องขาที่ดูท่าจะเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก คนถูกถามทำใบหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงข้าง ๆ กัน
“ไม่รู้!!” วอร์มเริ่มที่จะชักสีหน้าขึ้นมา... ก็รู้อยู่ว่าพี่สาวกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่มาพาลใส่กันแบบนี้ก็ไม่ชอบใจเหมือนกันนะ
แซ่ก แซ่ก
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวทำให้การระมัดระวังตัวของสองสาวรัดกุมขึ้น แผ่นหลังหันชิดติดกันมองหาต้นเสียงด้วยความว่องไว วอร์มมองเห็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ ทางด้านขวาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเหมือนมีใครไปเขย่ามัน มีดคุไนถูกกระชับในมือแน่น... สองศรีพี่น้องที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้กลับสมานฉันท์สามัคคีอย่างไร้ซึ่งความขุ่นข้องหมองใจที่มีให้กัน พุ่มไม้นั่นยิ่งสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นและแล้วมันก็หยุดลงพร้อมกับเงาดำที่พุ่งพรวดออกมาจากตรงนั้น!!
สิ่งนั้นคือ... ?
“มาซ... ” เสียงแหลมสูงของน้องสาวเรียกความสนใจจากผู้ฟังที่เดินเหม่อลอยอยู่ มาซารุเงยหน้าขึ้นมองบรีย่าส์อย่างสงสัย
“เรียกทำไมเหรอครับ?” สาวเจ้ามองหน้าพี่ชายด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่ายสุดขีด
“จะชนต้นไม้อยู่แล้ว” ดวงตาสีนิลหันกลับไปมองทางเบื้องหน้าของตน ปรากฏว่าห่างกับต้นไม้ใหญ่ไม่ถึงคืบอีกเพียงก้าวเดียวได้จูบกับต้นไม้แทนนางฟ้าในดวงใจอย่างแน่นอน
“ใจลอยคิดถึงใครอยู่?” มาซารุหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับเกาศีรษะแก้เก้อ ยิ่งเห็นผู้เป็นน้องก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา ถ้าไม่เผลอคว้าขอนไม้ขึ้นมาตีหัวก็แล้วไป... แต่ถ้าหัวแตกขึ้นมาคงแยกไม่ออกว่าอันไหนคือเลือดอันไหนคือผม เพราะผมพี่ท่านแดงยิ่งกว่าเลือดเสียอีก
“บรีนั่นแหละ... ” เด็กหนุ่มหลิ่วตาให้น้องสาว แต่เจ้าของดวงตาสีชมพูใสกลับขมวดคิ้วมุ่น
“อะไร... ?” ถามอย่างไม่ไว้วางใจพลางก้าวถอยหลังหนีห่างอย่างไม่รู้ตัวเอง มาซารุหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้กับใบหูของผู้ฟัง
“ห่างจากคาคาชิซังมาแบบนี้... ไม่คิดถึงกันบ้างเลยเหรอ?” กระซิบเสียงแผ่วพร้อมกับรอยยิ้มสนุก แน่นอนว่าบรีย่าส์นิ่งไปแล้ว พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
“มาซ... ” เสียงอันเย็นเยียบเอื้อนเอ่ยพร้อมกับที่ใบหน้าสวยหวานซึ่งซ่อนอยู่ใต้เงาผมสีรุ้งเงยขึ้น รอยยิ้มสวยบาดใจประดับอยู่บนมุมปาก “ไม่เคยตายล่ะสิ... เดี๋ยวจะช่วยสงเคราะห์ให้”
และแล้วมหกรรมการไล่ฟาดฟันหัวแดง ๆ ของมาซารุก็เริ่มขึ้น ดูท่าทั้งสองคนจะลืมทำภารกิจไปเสียสนิทซะแล้วล่ะ!
“แพนด้า แพนด้า แพนด้า น้องเคยเห็นแพนด้าหรือเปล่า แพนด้าตัวอ้วน ๆ กลม ๆ ลายสีขาวดำสลับ กลิ้งไปกลิ้งมา~~~” เสียงเครือหวานของแม่ศรีเรือนประจำตระกูลร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะเสาะหาต้นไผ่เพื่อจะนำไปฝากแพนด้าสุดที่รัก เรียวคุรินยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก
ดวงตาคู่สวยคอยสอดส่องตรวจตราระแวดระวังภัย ตอนนี้สองสาวอยู่ในดงป่าไผ่ มองไปทางไหนก็เหมือนจะเห็นแต่ต้นไผ่สีเขียวขจีขึ้นเต็มไปหมด ลมเย็นพัดพลิ้วผ่านกระทบจนกิ่งก้านใบไผ่ลอยลู่ตามแรงลมเกิดเสียงดังกระทบกัน ภายใต้เสียงแห่งธรรมชาติกลับซ่อนเร้นเงาของผู้ไม่ประสงค์ดีเอาไว้
เฟี้ยว
เสียงบางอย่างตัดผ่านอากาศมาทางพาราอย่างรวดเร็วขณะที่เด็กสาวไม่ได้ให้ความสนใจต่อสิ่งรอบข้าง ดาวกระจายพุ่งผ่านใบหน้าพี่คนรองแห่งตระกูลฮิโทคิไปอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือร่างบอบบางนั้น!!
เคร้ง
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนปัดดาวกระจายนั้นออกไปได้ ดวงตาราวกับเหยี่ยวตวัดมองไปทางที่ดาวกระจายนั้นพุ่งมาพร้อมกับร่างที่พุ่งตัวออกไปเพื่อคว้าตัวเป้าหมายนั้น เงาร่างสีดำเคลื่อนตัวหนีห่างจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เรียวคุรินเคลื่อนตัวตามน้องสาวไปทันทีพร้อมกับอ้อมไปดักหน้าเจ้าคนที่มันดักเล่นงานพวกเธอ
ดูซิว่ามันคือใคร... ?
อากาศเย็นสบายชวนให้ความเคลิบเคลิ้มเข้าครอบงำสติจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา หากไม่ติดว่ากำลังทำภารกิจอยู่... ยูคงจะคว้าหมอนขึ้นมานอนหลับอย่างสบายอกสบายใจเป็นแน่ ใบหน้าของ ‘มะโรง’ แห่งตระกูลผู้พิทักษ์นั้นหาวออกมาเป็นระยะจนผู้เป็นพี่ต้องเอื้อนเอ่ยขึ้น “จะนอนพักสักครู่ก่อนไหมจ๊ะ?”
“ไม่เป็นไรครับ... ที่สำคัญผมรู้สึกว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามพวกเราอยู่” เด็กหนุ่มบอกปัดอย่างมีมารยาทขณะเหลือบหางตามองเงาร่างหนึ่งที่หลบเร้นกายอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ อาชูร่าหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“ก็ถ้าเขาไม่มีจุดประสงค์ร้ายก็ปล่อยไปเถอะ” หญิงสาวเดินนำไปอย่างไร้ซึ่งความหวาดระแวง ระวังภัยไปก็เท่านั้น... ถ้าอันตรายจะมาหาเดี๋ยวมันก็มาเอง น้องคนที่สี่เดินตามไปอย่างรวดเร็วชนิดไม่ให้คลาดสายตา... ที่เป็นห่วงน่ะไม่ใช่อะไร กลัวว่าจะมีคนมาเกาะแกะพี่สาวต่างหากล่ะ!
ผู้สะกดรอยยังคงทิ้งระยะห่างไว้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เข้าใกล้จนเกินไปและไม่ปล่อยให้คนทั้งคู่หายไปจากธารสายตา เขาย่างก้าวตามไปอย่างเงียบกริบไร้ซึ่งสรรพเสียงใดอันบ่งบอกถึงการมีอยู่ ตราบเท่าที่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญไม่เข้าจู่โจมพวกเขาก่อนจะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ท่านพี่ครับ... ” เสียงนุ่มเรียกพี่สาวของตน ทำให้ ‘ขาล’ ต้องชะงักฝีเท้า ดวงตาสีนิลเสมองน้องชายอย่างสงสัย
“หือ?”
ตูม!!
เสียงระเบิดดังสนั่นดึงความสนใจของทั้งคู่ไปจนสิ้น ไม่รอช้าอาชูร่าพุ่งตัวไปทางที่เสียงระเบิดนั้นดังขึ้นพร้อมด้วยร่างของพ่อน้องชายคนเก่งไม่เว้นแม้กระทั่งใครอีกคนที่สะกดรอยตามพวกเขา!
วูบ...
พรึ่บ!
ดวงตาสีโลหิตเบิกขึ้นหลังจากที่นั่งสมาธิติดต่อกับเหล่าข้ารับใช้ไร้ตัวตน ดวงหน้าหวานราวอิสตรีแหงนมองท้องฟ้าที่ถูกบดบังจนมืดทึบ เงาสีขาวคล้ายหมอกลอยละล่องอยู่รอบตัวของลูเซียส ขณะที่เขายันกายลึกขึ้นยืน เมื่อสดับฟังกลับไร้ซึ่งเสียงแห่งธรรมชาติ สัญญาณของการมีชีวิตขาดหายไร้ร่องรอยของการมีอยู่... หรือจะถูกปกปิดจิต?
“ได้เรื่องอะไรไหม?” อิโตะถามขึ้นหลังจากที่นั่งรอมาร่วมสิบนาทีกว่า เด็กหนุ่มหันกลับมาสบตากับเด็กสาวร่างสูงโปร่ง
“รู้สึกว่าป่านี้จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลนะครับ ผมจับจิตของสิ่งมีชีวิตไม่ได้เลย แม้กระทั่งพวกพี่ ๆ เองก็... ” ผู้ฟังพยักหน้าอย่างเข้าใจ ภารกิจนี้หนักหนาสาหัสนักถึงแม้ตอนแรกจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องออกมาปฏิบัติภารกิจกันทั้งตระกูลก็ตาม
“พวกพี่ชูร่าจะเป็นยังไงบ้างนะ?” เสียงหวานเปรยขึ้นไม่สามารถรับรู้ชะตากรรมของพี่น้องร่วมตระกูลได้ พวกเขาอาจจะเจอสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่ใครกันล่ะที่จะพบเจอเป้าหมายที่แท้จริงของภารกิจนี้!
“พวกพี่ ๆ ไม่เป็นอะไรกันหรอกครับ” เด็กหนุ่มยิ้มให้เชื่อมั่นในตัวพี่น้องของตน ฮิโทคิ... ตระกูลแห่งผู้พิทักษ์ จักรดาราทั้ง 12 ที่ไร้พ่าย ไม่มีทางสยบแทบเท้าใครได้ง่าย ๆ หรอก!!
“นี่ ชีล... ดูเหม่อ ๆ ไปนะ?” เสียงหวานของเด็กสาวผมบลอนด์เรียกให้เด็กสาวอีกคนที่มีเส้นผมสีแดงราวเปลวเพลิงให้หันกลับมามองตน ดวงตาสีแดงสดของ ‘เถาะ’ แห่งฮิโทคิฉายรอยงุนงงกับสิ่งที่พี่สาวของตนพูด
“ชีลเหม่อเหรอคะ?” เอ่ยทวนอย่างสงสัย ซายูริพยักหน้าตอบรับ
“คิดถึงใครอยู่หรือเปล่า?”
ประโยคนี้ทำเอาผู้ถูกถามหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกไม่แพ้สีผมหรือสีตา ดวงเนตรสีอำพันของคนถามหรี่ลงอย่างพินิจ
“เอ... หน้าแดงแบบนี้มีพิรุธนี่นา เอ... หรือว่าคน ๆ นั้นจะเป็นเดอิดาระซังกันน้า?”
คราวนี้คาชีลยะหน้าแดงไปถึงใบหู มือบางตีแขนพี่สาวของเธอเบา ๆ ด้วยความเขินอาย ก่อนที่น้องเล็กของตระกูลจะกลับมามีสีหน้าปกติ แล้วเริ่มเอาคืนพี่สาวของเธอบ้าง
“ใครว่าล่ะ คิดถึงแจจินกับซังมินต่างหาก !!” คราวนี้เป็นใบหน้าของซายูริบ้างแล้วที่แดงเรื่อขึ้นมา เด็กสาวน้องเล็กหัวเราะให้กับท่าทางที่เหมือนกับตนเมื่อครั้งโดนแกล้งไม่มีผิดเพี้ยนของ “ชวด” แห่งฮิโทคิ ก่อนที่จะต้องรีบเก็บสีหน้านั้นไว้แล้ววิ่งหนีสุดแรงเกิด เมื่อพี่สาวของเธอเริ่มต้นวิ่งไล่กวดมาอย่างเอาเป็นเอาตายซะนี่ !
“หยุดนะชีล มาให้หยิกแก้มซะดี ๆ !”
“หยุดให้โง่สิคะพี่ !!” ตอกกลับไปทันทีอย่างคนรักษาชีวิต ความเร็วของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ...
...และ...
ฟิ้ว...
“!!!”
มีดคุไนสามเล่มซึ่งหนึ่งในนั้นทำให้ดวงตาของสองเด็กสาวแห่งฮิโทคิต้องเบิกตากว้าง... หนึ่งในนั้นติดยันต์ระเบิด พุ่งเข้ามาทางพวกเธอ ด้วยความรวดเร็วเยี่ยงชวด ซายูริรีบขว้างดาวกระจายไปสกัดการเคลื่อนไหว เปลี่ยนทิศทางของมันทันที ยันต์ระเบิดส่งเสียงตูมกัมปนาทไปทั่วแต่แค่นั้นไม่มีทางระคายมือคนจากตระกูลผู้พิทักษ์เป็นแน่
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าพลันตามมา เมื่อ...
“ชีล ! ต้นไม้ !!”
“กรี๊ดดดดด”
โครม !!!!
เด็กสาวผมแดงชนต้นไม้เข้าจัง ๆ แล้วเสียหลักหน้าไถครูดต้นไม้ลงมากองกับพื้น โดยที่พี่สาวของเธอได้แต่ทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่ ณ เบื้องหลัง ก่อนที่จะรีบวิ่งไปดึงแขนน้องสาวให้ลุกขึ้นมา
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เอ่ยถามน้องสาว แต่ไม่ได้ลืมเรื่องผู้บุกรุกแต่อย่างใด ดวงตาทั้งสองคู่ฉายประกายวาว มันผู้ใดกล้าต่อกรกับฮิโทคิ เราก็อยากจะเห็นหน้าเช่นกัน...
“ช่างชีลก่อนเถอะพี่ ตอนนี้เราควรสนใจผู้มามากกว่านะคะ” ผู้บาดเจ็บลืมความเจ็บบนใบหน้าไปเสีย ก่อนที่จะเริ่มพูดแบบเอาจริงเอาจัง เด็กสาวผมสีบลอนด์ยิ้มบาง
“นั่นสินะ... มาเปิดเผยโฉมหน้าผู้หาญกล้าต่อกรกันดีกว่า !”
ต่อกันให้สนุกนะครับ ขออวยพรให้ผู้เข้าร่วมทดสอบที่เหลือรอดทุกคนจงโชคดี
ความคิดเห็น