คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : +++++คาลิกูล่า+++++
คาลิกูลา จักรพรรดิโรมองค์ที่ 3 (ครองราชย์ ค.ศ. 37-41) ทรงเป็นบุตรชายของวีรบุรุษสงครามเจอมันนิคัส กับ อกริพพีน่า ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของปฐมจักพรรดิออกัสตัสนั่นเอง เกิดเดือนสิงหาคม ค.ศ.31 ณ ยอดเขาอันตินัม หนึ่งในเจ็ดยอดเขาแห่งโรม ชื่อคาลิกูลาของเขามีความหมายว่า รองเท้าแตะสานของทหารโรมัน ทั้งนี้เพราะเขาได้ติดตามพ่อไปปราบกบฏประหนึ่งทหารเด็ก ทำให้เขามีฝีมือในการรบตั้งแต่ยังเยาว์เลยทีเดียว
เมื่อพ่อตายไป แม่ก็อภิเษกสมรสกับจักรพรรดิไทเบอรีอัส (องค์ที่ 2 ครองราชย์ 14-37) เขาจึงได้กลายเป็นพระโอรสบุญธรรม แต่เขาเกือบถูกไทเบอรีอัสประหารเหมือนกับพี่น้องผู้ชายของเขา ที่ไทเบอรีอัสต้องการกำจัดไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามของพระโอรสที่แท้จริงของพระองค์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอนุชาบุญธรรมของคาลิกูลา โชคดีที่แม่ของเขาขอร้องไว้ชีวิตเขากับพี่น้องผู้หญิงเอาไว้ได้ เช่น พี่สาวที่มีชื่อเหมือนกับแม่ อกริพพีน่า ที่ต่อมาได้เป็นพระราชมารดาของจักรพรรดิเนโรนั่นเอง
ชีวิตในราชสำนักน่าจะเป็นที่อิจฉาของสามัญชน แต่สำหรับคาลิกูลาแล้ว แม้เขาจะอยู่ในฐานะพระโอรสบุญธรรม แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงกลัวที่จะอาจจะถูกลอบสังหารอยู่เสมอ จักพรรดิเฒ่าไทเบอรีอัสมักจะกล่าวดูถูกเหยียดหยามเขาต่อหน้าสภาขุนนาง หนำซ้ำพระองค์ยังกล่าวใส่ร้ายคาลิกูลาว่าเขาเป็นปิศาจร้ายที่หวังจะปลงพระชนม์ทั้งพระองค์และพระโอรส เพื่อจะขึ้นครองบัลลังก์แทน
ระทั่งคืนวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 37 จักรพรรดิเฒ่าวัย 77 ชันษา จึงได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยเงื้อมมือของคาลิกูลาตามที่พระองค์คาดหมายไว้ จากการแอบลอบปลงพระชนม์ด้วยการบีบพระศอสิ้นพระชนม์คาแท่นบรรทม...อาจเพราะแรงกดดัน เพราะการเห็นพี่น้องเคยถูกไทเบอรีอัสประหาร หรือเพราะเลือดความร้อนเร่าแบบทหาร ทำให้คาลิกูลาตัดสินใจชิงฆ่าพระบิดาเลี้ยงเพื่อเอาชีวิตตนให้อยู่รอด เขาได้ยึดแหวนซึ่งเป็นแหวนอันชอบธรรมสำหรับจักรพรรดิมาจากพระศพ และประกาศต่อสภาขุนนางว่า ไทเบอรีอัสแก่ชราตายและสั่งเสียมอบหมายให้เขาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
คาลิกูลารู้ดีว่า การขึ้นเป็นจักรพรรดิของพระองค์นั่นไม่ได้ขึ้นมาจากความชอบธรรม ดังนั้นพระองค์จึงต้องสร้างผลงานที่ต้องทำให้ดีกว่าสมัยพระบิดาเลี้ยง และต้องวางองค์กระทำทุกอย่างให้ตรงข้ามกับไทเบอรีอัส เพื่อที่พระองค์จะได้มีภาพลักษณ์เป็นมหาราชที่ดีเพื่อลบข้อครหาที่แปดเปื้อนพระองค์ออกไปได้ ดังนั้นเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ก็มีรับสั่งให้ลดการเก็บภาษีลงเพื่อซื้อใจประชาชน นอกจากนั้นยังทรงยึดแบบอย่างของออกัสตัสมหาราชมาใช้ เช่น การอนุญาตให้ขุนนางเสนอความคิดเห็นและตักเตือนพระองค์ได้ รวมถึงการทำนุบำรุงศาสนกิจ ส่งเสริมการพาณิชย์และกองทัพเป็นอย่างดี คาลิกูลาตั้งใจว่าพระองค์จะต้องเป็นมหาราชที่ดีเหมือนออกัสตัสให้ได้
ไม่นานคาลิกูลาเริ่มปล่อยปละตัวเอง ปล่อยขุนนางบริหารบ้านเมืองไปแทน วันๆ เอาแต่จมอยู่กับงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสุราและนารี และงานเลี้ยงนั้นก็เป็นงานร่วมประเวณีหมู่ เลยเถิดไปกว่านั้นก็คือ คาลิกูลาถึงขนาดให้มเหสีต้อนรับพระสหายของพระองค์ในงานเลี้ยง ด้วยการให้นางร่วมประเวณีหมู่กับพวกเขาต่อหน้าต่อตาพระองค์และแขกเหรื่ออย่างไม่อายฟ้าดิน ซึ่งคาสโซเนียก็สนองอย่างเต็มใจตามนิสัยร่านราคะของนาง
การจัดงานเลี้ยงกามวิตถารมีขึ้นทุกคืนวันไม่รู้จักจบสิ้น โชคยังดีสำหรับบ้านเมืองที่ล้วนมีขุนนางตงฉินค่อยประคับประคองบริหาร แต่หากปล่อยให้จักรพรรดิเริงสำราญไปนาน จะทำให้บ้านเมืองสั่นคลอนได้ ดังนั้นจึงมีขุนนางจำนวนหนึ่งได้เข้าเฝ้าทูลขอให้คาลิกูลาเพลางานเลี้ยงลง และกลับมาบริหารบ้านเมืองอย่างเดิม...คาลิกูลาได้ตอบรับกลับมาโดยให้ ขุนนางถึง 1 ใน 3 ถูกจับประหารชีวิตโทษฐานที่บังอาจมาสอนสั่งพระองค์ หนำซ้ำยังให้ริบทรัพย์สินของขุนนางที่ถูกประหารไปหมด ตั้งแต่นั้นมาหากใครที่ไม่ประจบสอพลอคาลิกูลา ก็จำต้องปิดปากเงียบเพื่อรักษาชีวิต
ความฟั่นเฟือนของคาลิกูลายังไม่หมดแค่นั้น พระองค์ถึงขนาดเข้าใจว่าทรงเป็นมหาเทพลงมาจุติ ทรงมีบัญชาให้ช่างปะติมากรรมตัดเศียรของเทพเจ้าและเทพีทุกองค์ตามวิหารทั่วกรุงโรมออกให้หมด จากนั้นให้นำพระฉายาลักษณ์ของพระองค์และมเหสีสวมลงแทน ประหนึ่งประกาศทั้งสองเป็นมหาเทพจูปิเตอร์กับมหาเทพีจูโน่แห่งโอลิมปัส
นอกจากการจัดงานเลี้ยงอันเน่าเฟะในราชสำนักแล้ว คาลิกูลายังโปรดให้มีการจัดแข่งขันการประลองต่อสู้แบบแกลดิเอเตอร์ในลานประลองโคลีเซี่ยมแทบทุกวันตามคำแนะนำของคาสโซเนีย นักสู้ต้องต่อสู้และเสียชีวิตไปจำนวนมากจนไม่พอจัดรายการ ต่อมาก็ใช้การโชว์โยนนักโทษให้สัตว์ป่าฉีกกินเป็นอาหาร...เท่านั้นยังไม่พอ คาลิกูลายังใช้ลานประลองให้เป็นประโยชน์ โดยการบังคับให้พระอนุชาบุญธรรม (พระโอรสแท้ๆ ของไทเบอรีอัส) เข้าร่วมการต่อสู้กับสิงโตเพื่อพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชาย เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยจับดาบต่อสู้จึงจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ถูกสิงโตรุมฉีกเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางสายตาอันรู้สึกหวาดสะพรึงกลัวของประชาชน ผิดกับคาลิกูลาและคาสโซเนียที่สำราญเริงร่าที่ใช้โอกาสนี่กำจัดทายาทชอบธรรมองค์สุดท้ายของไทเบอรีอัสไปได้อย่างไม่ต้องลงมือเอง
การมัวเมาอยู่กับงานเลี้ยงทั้งวันทั้งคืนทำให้เงินในท้องพระคลังหร่อยหรอลงไปจนน่าใจหาย แทนที่คาลิกูลาจะรู้จักหยุด พระองค์กลับหาวิธีหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นค่าเข้าชมการประลองต่อสู้และภาษีให้สูงขึ้น ซึ่งนอกจากจะเบียดเบียนคนเป็นแล้ว ยังเบียดเบียนคนตายด้วยการขึ้นภาษีมรดกโดยเก็บเงินถึง 2 ใน 3 ของมรดกผู้ตายอีกต่างหาก
เท่านั้นยังไม่พอ คาลิกูลายังขึ้นภาษีโสเภณีมากขึ้น จนเหล่านางกลางเมืองแทบไม่มีจะกิน
แต่ไม่ว่าจะขึ้นภาษีเก็บเงินเข้ากระเป๋ามากแค่ไหน เงินก็ยังไม่พอสำหรับการจัดงานเลี้ยงสำหรับคาลิกูลาอยู่ดี...และแล้วพระองค์ก็ทรงคิดไอเดียบรรเจิดขึ้นมาได้! นั้นคือ ทรงมีพระบัญชาให้สร้างเรือสำราญขนาดใหญ่ขึ้นมาไว้ในพระราชวัง ซึ่งทรงได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรือสำราญของพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์ที่ใช้รับรองขุนพลมาร์ก แอนโทนีแห่งโรมัน ภายในเรือแบ่งท้องเรือออกมาเป็น 4 ชั้น ไม่มีห้องหับส่วนตัว คล้ายฮาเร็มของสุลต่าน มีการประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา ทรงตั้งชื่อว่า ‘เรือมนุษย์’
และมีพระบัญชาให้ไปจับภรรยาหม้ายของขุนนางที่ยังสาวยังสวยมาไว้บนเรือลำนี้ เพื่อเปิดเป็นสำนักซ่องขนาดใหญ่ที่สุดในโรม! คาลิกูลาเปิดซ่องเรือลำนี้ให้ผู้ชายกลัดมันทั่วทั้งกรุงโรมมาใช้บริการ โดยการโฆษณาเชิญชวนว่าหญิงบริการเหล่านี้เป็นสตรีชั้นสูงที่ยังสวย สาว และสะอาด ไม่ขี้โรคเหมือนนางกลางเมืองชั้นต่ำในราคาที่ถูกกว่า...วิบากกรรมจึงตกกับเหล่าสตรีหม้ายที่ล้วนมีชาติกำเนิดเป็นชนชั้นสูงหรือธิดาขุนนาง เป็นกุลสตรีที่หวังว่าแต่งงานไปแล้วชีวิตจะมั่นคง กลับมีปั้นปลายชีวิตต้องถูกบังคับกลายมาเป็นนางกลางเมืองที่ต้องรองรับความหื่นกระหายของบุรุษมากหน้าหลายตาอย่างไม่อาจเหน็ดเหนื่อยและไม่ได้ค่าตัวแม้แต่สักแดง เพราะคาลิกูลาเก็บเข้ากระเป๋าหมด
จักพรรดิคาลิกูลาจึงกลายเป็นจึงทรราชเต็มขั้นโดยสมบูรณ์! เป็นจักรพรรดิที่มัวเมาฉาวโฉ่ยิ่งกว่าอดีตจักรพรรดิไทเบอรีอัส พระราชบิดาเลี้ยงเสียอีก! หมดสิ้นภาพลักษณ์ของมหาราชผู้เป็นบุตรของวีรบุรุษสงครามที่เหล่าประชาเคยยกย่อง
คาลิกูลาทระนงตนว่าไม่มีใครสามารถห้ามเขาได้แล้ว มีผลให้เหล่าขุนนางที่ปิดปากเงียบทนเห็นการกระทำของจักพรรดิมานาน เริ่มเกิดความรู้สึกอยู่เฉยไม่ไหว หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป อาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ต้องถึงคราวดับสิ้นแน่!
ในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 41 จักรพรรดิคาลิกูลาเสด็จประพาสเพื่อไปชมละครพร้อมด้วยพระมเหสีคาสโซเนียและเจ้าหญิงเดียซิร่า พร้อมด้วยขุนนางบางส่วนติดตามไปเป็นขบวน ใครได้เห็นเชื้อพระวงศ์ทั้งสามพระองค์ในตอนนั้น คงอดชื่นใจไม่ได้กับภาพพ่อแม่ลูกพร้อมหน้าครอบครัวอันอบอุ่น ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า นั้นจะเป็นภาพลักษณ์อันอบอุ่นภาพสุดท้ายสำหรับครอบครัวนี้..
เพียงคาลิกูลาย่างก้าวพระบาทขึ้นบันไดโรงละคร พระองค์ก็ถูกแม่ทัพทหารคนหนึ่งที่ดักรออยู่ใช้ดาบฟันสะพายแล่งเข้าจนพระวรกายนอนจมกองเลือดกับพื้นแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ จึงทรงได้ทอดพระเนตรเห็นมเหสีคาสโซเนียโดนฟันเข้าที่ท้องจนดับสิ้นชีวิตอย่างน่าอนาถ ทรงร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่เหล่าทหารรักษาพระองค์ได้เพียงแต่ยืนมองอย่างเฉยเมย...และที่น่าสะเทือนพระทัยที่สุดก็คือ การได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงเดียซิร่าน้อยวัยเพียง 2 ชันษา ถูกทหารจับร่างฟาดเข้ากับกำแพงจนศีรษะแตกมันสมองแหลกกระจายเสียชีวิตอย่างน่าสงสาร แม่ทัพมือสังหารรวมทั้งเหล่าขุนนางที่เอือมระอาในคาลิกูลาต่างเข้ามารุมซ้ำด้วยดาบแทงไปตามพระวรกายจนชุ่มพระโลหิตจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในที่สุด...ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมมรณะของจูเลียต ซีซาร์ ไม่ผิดเพี้ยน
จบสิ้นชีวิตของจักรพรรดิหนุ่มผู้น่าจะมีอนาคตที่ยาวไกลกว่านี้ด้วยวัยเพียง 28 ชันษา
ความคิดเห็น