คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : เทพนักปราชญ์ ++รีไรต์เรียบร้อย
บทที่ 22 เทพนักปราชญ์
ในยามที่ world haunt ทำการเขี้ยวเข็ญเหล่าผู้บริหารในห้องประชุมหลัก
อีกสถานที่หนึ่งซึ่งสำคัญต่อประเทศชาติก็กำลังมีบุคคลระดับสูงหลายสิบคนเข้าร่วมการประชุม
ร่วมกับผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของรัฐบาลอย่างพร้อมเพียง
ผู้นำฝ่ายบริหารเรียกผู้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทุกภาคส่วนเข้าร่วมประชุมอย่างเร่งด่วนทำให้ทหาร ตำรวจ
และผู้พิทักความมั่นคงของรัฐเข้าห้องประชุมด้วยใบหน้าเรียบตึงขึงขัง
ข้าราชการทหารยศนายพลหลายคนสบตากันด้วยรอยยิ้มบาง
ผู้นั่งตำแหน่งสูงสุดฝ่ายบริหารเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงกับเก้าอี้ที่เพิ่งได้ครองเพียงครึ่งสมัย
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นชายหนุ่มผิวขาววัยต้นห้าสิบ ร่างผอมบางในสูทกวาดสายตาคมกริบทะลุทุกความคิด
ทำให้องค์ประชุมอดก้มหน้าหลบตาไม่ได้
“สวัสดีครับ หลายท่านคงพอทราบประเด็นที่ผมต้องการปรึกษาหารือคร่าวๆ แล้ว
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่เรียกทุกท่านมาในเวลาพักผ่อนเช่นนี้?” ผู้นั่งตำแหน่งเก้าอี้บริหารสูงสุดเปิดประเด็นขึ้น
“หลายท่านคงทราบถึงการแถลงข่าวเมื่อวาน และเห็นผลที่เกิดขึ้นแล้ว
ว่ามีผลกระทบทั้งข้อดีข้อเสียต่อบ้านเมืองอย่างไรบ้าง” ท่านนายกเปิดประเด็นและมุ่งเข้าเป้าหมายของตนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“มันก็เพียงปืนฉีดน้ำ ท่านนายกกังวลมากไปหรือเปล่าครับ?”
ผู้เข้าร่วมประชุมด่วนในคืนนี้ต่างเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาเสียส่วนใหญ่ จึงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันมากนัก
คำพูดตรงไปตรงมาจึงเป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกคนมักใช้กัน
ข้าราชการทหารยศนายพลกองทัพฟ้าเอ่ยเสียงขรึม
“ผมยังไม่ได้พูดขนาดนั้นท่านนายพล” นายกรัฐมนตรีจับจ้องด้วยสายตาเยือกเย็น
“ขอโทษครับ แต่ผมยังยืนยันว่าธุรกิจของท่านเจริญส่งผลเสียต่อสภาวะธุรกิจเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ด้านความมั่นคงกลับได้รับประโยชน์สูงมาก
โดยเฉพาะระบบปราบอาชญากรรมของปืนฉีดน้ำพวกนั้น ซึ่งหากใครทำผิดก็ถูกล็อกตัวทันที
จนเจ้าหน้าที่เดินทางไปจับกุมมาดำเนินคดีได้เสียทุกราย
และตอนนี้ยอดอาชญากรลดลงเป็นประวัติการณ์แม้แต่คนระดับพระกาลยังกบดานนิ่งไม่กล้าผลีผลามลงมือครับ”
นายทหารระดับสูงฝ่ายข่าวกรองเอ่ยรายงานขึ้นโดยไม่ปิดอาการชื่นชม
นายกรัฐมนตรีกัดฟันกรอด
ไอ้ดวงเฮ็ง......แกมันจะได้ดีกว่าฉันไปถึงไหน!
ความคิดของผู้นำบริหารทำชายชราในต่างโลกจามติดต่อกันเสียหลายรอบ
“ถึงแบบนั้น...ผมก็ยังอยากจำกัดไม่ให้เด็กและเยาวชนซื้อไว้ในครอบครอง พวกท่านควรคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย” นายกหนุ่มเอ่ยเสียงเครียดฟังเฉียบขาด
“เรื่องนี้ท่านเจริญมีพูดในช่วงท้ายของแถลงการณ์อยู่ครับ ท่านก็ห่วงใยในเรื่องนี้เหมือนกัน” โถ่โว้ย!
ผู้นั่งเก้าอี้หัวโต๊ะลอบกำหมัดแน่น นักธุรกิจหมายเลขหนึ่งของประเทศแล้วอย่างไร
เขาจะไม่เป็นไอ้ขี้แพ้ไปตลอดแน่
ภาพนัยน์ตาเย็นชาที่จับจ้องอย่างแสนสมเพชและเรือนร่างย่างเยื้องประหนึ่งราชันย์ราชสีห์ของเจริญ ชำนาญสรรพกิจ
ยังติดตรึงอยู่ในใจไม่เคยลืมเลือน
เขาทำหน้าที่ได้ดีจนผู้ใหญ่ทั้งในและต่างประเทศชื่นชมอยู่เป็นประจำ....เขาดีเลิศทั้งปัญญาและคุณธรรม..
ของผู้นำ เขาเก่งกาดทั้งครองใจประชาชนและทหาร.....แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำไม่ได้ เขาผู้ใกล้เป็นมนุษย์สมบูรณ์พร้อมคนนี้ไม่เคยทำได้
คือการควบคุมภาคธุรกิจ.....และภาคความมั่นคงของตนเอง
หนึ่งก็ตระกูลชำนาญสรรพกิจผู้ครอบครองตำแหน่งมหาเศรษฐีแห่งวงการอาวุธสงครามยักษ์ใหญ่
อีกหนึ่งก็ตระกูลรุ่งรัตติพาคินผู้ครอบครองธุรกิจภาคสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งทรงอิทธิพลเครือข่ายมากมายในประเทศและต่างแดน
ดลภัทร เลิศฤทธิ์ไพรีสูดหายใจเข้าลึก สงบหัวใจเต้นกระหน่ำด้วยเพลิงโกรธลุกเร่าในโพรงอก ชายหนุ่มจับจ้องนายทหารหมายเลขหนึ่งแห่งแผ่นดิน ร่างบึกบึนในชุดลำลองสงบนิ่งท่ามกลางเพื่อนทหารรอบข้าง
เปรียบความองอาจทระนงนัยน์เนตรคมกล้าสีสนิม พล.เอกดวงปัง เทพช้างเผือกนิรมิตสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกผู้เปี่ยมบารมี
หากเจริญ ชำนาญสรรพกิจคือสีดำที่มืดมิดดั่งฟากฟ้าราตรีไร้แสงดาว
ดวงปัง เทพช้างเผือกนิรมิตก็คือคนสีเทาที่คาดเดาไม่ได้ ความขมุกขมัวของอุปนิสัยประหนึ่งเมฆินทร์ใหญ่กลางฟ้ากว้าง
ไม่มีผู้ใดเคยคเนย์ห้วงคำนึงของเขาออก แต่สิ่งหนึ่งที่วงการความมั่นคงรับรู้ไปทั่วหล้า
ดวงปัง เทพช้างเผือกนิรมิตและเจริญ ชำนาญสรรพกิจแนบแน่นในความสัมพันธ์กันแต่วัยเยาว์จวบปัจจุบัน
ดลภัทรขบฟันแน่น ชำนาญสรรพกิจ รุ่งรัตติพาคิน เลิศฤทธิ์ไพรี และเทพช้างเผือกนิรมิตล้วนเป็นนามสกุลที่มีประวัติ
เคียงคู่เมืองไทยนับร้อยปี นอกจากเลิศฤทธิ์ไพรี อีกสามสกุลไม่เคยตกต่ำลงแม้แต่น้อย
การประชุมในค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปด้วยความมึนตึงของนายทหารระดับสูงที่แม้จะรำคาญ
แต่ยังต้องให้เกียรติบุคคลผู้นั่งเก้าอี้ประธาน กว่าจะเลิกประชุมไร้สาระก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง
“ท่านดลภัทร” น้ำเสียงสงบเรียบของคนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้คนสุดท้ายทำดลภัทรไหวกายเยือก
“แค่ปืนฉีดน้ำ อย่าทำให้มันใหญ่โตเลยนะ” อุ้งมือหยาบกร้านของนายพลหมายเลขหนึ่งตบลงบนหัวไหล่ผอมบางเบาๆ ก่อนเรือนร่างผึ่งผายจะก้าวยาวๆ ออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว
ดลภัทร เลิศฤทธิ์ไพรีใจสั่นสะท้าน นั่น คือคำเตือนจากคนสีเทาแห่งกองทัพไทย คือคำตักเตือนที่อ่อนโยนที่สุดของพล.เอกดวงปัง เทพช้างเผือกนิรมิต
“นายท่าน” ดลภัทรยืนนิ่งเหนือระเบียงกว้างนานหลายนาที นัยน์ตาคมกล้าของนักบริหารแผ่นดินกวาดมองมหานคร
ยามราตรี ไม่ทราบแต่เมื่อใดที่ร่างชายชราผมขาวโพลนปรากฏขึ้นเบื้องหลัง
“เฟส ลองส่งคนไป ทุกครั้งที่ผ่านมานายพลดวงปังไม่เคยตักเตือนเรามาก่อน” ผู้ปรากฏกายจางหายไปในทันที
ดลภัทรเงยหน้ามองแสงดาวเหนือฟ้ากว้างก่อนเหยียดยิ้มเยือกเย็น
…
ยามท่านประธานซันลากสังขารกลับมาทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องทำงาน
กลุ่มเทพๆ จากองค์กรโลกนี้ต้องสวยซึ่งร่ำเรียนวิชายุทธ์เรียบร้อยต่างมานั่งคุยกับน้ำค้างใสหลินหลิน และคาริ
หมาป่าเสิร์ฟน้ำชาและขนมคอยรับรองแขกตอนตีสาม
“หมา...นายกลับบ้านเถอะ แต่วันมะรืนเช้าซื้อของตามนี้มาให้ครบน้ะ...อ้อ ฝากไปขอโทษแม่นายด้วย
ที่ฉันให้นายกลับบ้านดึก” หมาป่าอยากจะค้านว่าดึกที่ไหน นี่มันจะเช้าแล้วต่างหาก
“ฮะ ต้องซื้อของแบบนี้เหรอครับ” หมาป่าอึ้งเมื่อเห็นของบางอย่างจนเขาต้องขยี้ตาหลายครั้ง
ท่านประธานวัยหนุ่มตบไหล่แล้วก้มลงไปกระซิบความลับบางอย่างจนหมาป่าเบิกตาโพลง
“ฮ้า! คืนสู่วัยเยาว์!” หมาป่ารีบพิมพ์ความลับที่ท่านประธานซันลืมเฉลยเกี่ยวกับผลพลอยได้ขั้นปราณเทวดา
ให้เหล่าผู้บริหารจนเสียงลั่นกริ๊งๆ ของสมาสโฟนดังต่อเนื่อง
“แล้วเรื่องลมปราณ รู้ใช่มั้ยว่าห้ามมีคนนอกรู้” หมาป่าพยักหน้ารับ
“ย้ำไปด้วยนะ เวลาใช้ลมปราณหรือวิชายุทธ์ห้ามมีแสงสีอลังการเด็ดขาด พลังอันยิ่งใหญ่มันจะทำให้พวกเรา
ต้องรับผิดชอบอะไรน่ารำคาญ”
แต่หมาป่าตีความไปอีกแบบ อ้อ...ที่แท้ก็ขี้เกียจวุ่นวาย
เลขานุการหนุ่มจึงตบปากรับคำจนท่านประธานยิ้มพอใจ
เขาบรรยายหลายเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคระดับปราณเทวดา
หมาป่าก็พิมพ์ลงช่องแช็ตบริษัทไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อไม่มีเรื่องใดท่านประธานจึงไล่ลูกน้องคนสนิทกลับบ้าน
ที่สุดเหล่าเทพทั้งเจ็ดที่มัวสั่งสอนสามสาวก็หันมาคุยกับเขาเสียที
“ไอ้หนูซัน พวกข้าไม่ต้องเกรงใจเอ็งแล้ว เอ็งยังอายุยี่สิบต้นๆ เหมือนฝันว่ะ ได้เห็นคนประสบความสำเร็จเชิงยุทธ์ขนาดนี้” เทพหอกเอ่ยและส่งสายตาเย็นเยือกให้เขาจนชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“อืม แสดงว่าร่างนี้คือร่างก่อนสลับวิญญาณมาสินะ ยอดเยี่ยมจริงๆ เสียดาย ถ้าพวกข้าจะคืนสู่วัยเยาว์
อย่างสมบูรณ์ก็ต้องเข้าขั้นธรรมชาติเสียก่อน” เทพกระบี่ลูบเครายาวชมเชย
“นายนี่รุ่นราวคราวเดียวกับฉันเลยว่ะ” เทพธนูโห่ร้องอย่างยินดี เดิมทีเขานึกว่าจะเป็นหนุ่มในวงชายแก่
เพียงคนเดียวเสียแล้ว
“หนอย ข้ารู้นะเอ็งคิดอะไรไอ้มีอา!” เทพประมงวอนตีนกูร้องคำรามและส่งสายตาอาฆาตกราดมาถึงคนทิ้งตัวลงนั่งเบียดเทพกระบี่และเทพดาบจนกระเด็นไปอีกโซฟา
“เฮ้ยๆ ทำอะไรเกรงใจญาติผู้ใหญ่บ้าง ถ้ากลับมาจากทัศนศึกษาและไปเตะเมฆดำกระเด็นเรียบร้อย
ต้องไปบ้านข้ายกน้ำชาตระกูลอวิ๋นนะโว้ย!” ชายชราเงื้อมือขึ้นจะแพ่นกระบานเหลนเขยตัวดี
“ไอ้เด็กเปรด ลูกสาวข้าทั้งรักทั้งหวง ถ้าไม่เคารพพ่อตาเอ็งเตรียมแห้วตายไปทั้งชาติ!” เทพดาบสะบัดสายตาเหี้ยมโหดเตรียมตวัดตัดเยื่อใยของท่านประธานซันจนคนถูกพาดพิงสะดุ้งโหยง
“แหม ไม่ประจบเลยนะเอ็ง!” เทพเกษตรกรหันมาค้อนตาคว่ำ
ชายหนุ่มยิ้มและตอบหน้าตาย
“โธ่ ปู่ทั้งหลาย เมียผมนะครับ” แม้สองสาวจะเป็นภรรยาทางพฤตินัยแล้ว แต่ยังไม่ชินกับรอยยิ้มทะเล้นและความตรงไปตรงมาของสามีหนุ่มที่ทำท่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ฮ่าๆ ยอดมากว่ะ ข้าสะใจมาก” เทพจักรกลฮามาเก๊า ไม่เคยเห็นเพื่อนๆ สูงอายุออกอาการหวงสุดฤทธิ์สุดเดชถึงเพียงนี้มาก่อน ครั้นรับรู้เป็นบุญตาจึงหัวเราะลั่นและยกนิ้วให้ชายหนุ่มที่ยิ้มแป้น
“ผมสงสัยปู่ทั้งหลาย?” มีอาส่งสายตาว่าไม่นับเขารวมกับคุณเทพชราเหล่านี้
“อะไรของเอ็ง?” เทพหอกเอ่ยถามแทนคนที่เหลือ
“เทพนักปราชญ์เนี่ย เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครยังไงเหรอปู่?” ชายชราแต่ละคนเงียบไปละม้ายใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียด
“ตัวเล็ก ขาว สวย หมวย อึ๋ม จัดว่าเซ็กซี่” เทพธนูตอบอย่างภาคภูมิใจ
โป๊ก!
เทพประมงแพ่นกระบานเจ้าหน้าหื่นทันทีทันใด
คำกล่าวของเทพธนูทำให้สามสาวให้ความสนใจกับคนที่ได้ฉายานามว่าเทพนักปราชญ์
“ที่ว่าตัวเล็กถ้าเอ็งหมายถึงความสูงไม่เกินร้อยห้าสิบเซนน่ะใช่!” เทพจักรกลยกนิ้วประกอบพลางว่า
“ผมยาว สวมแว่นสายตา ดวงตาสีฟ้าๆ แช่แข็งได้ไม่ต้องใช้ตู้เย็น” เทพเกษตรกรบรรยายต่อ
“ชอบสวนชุดวันพีชสีดำ” เทพกระบี่ต่อให้
“ชอบอ่านหนังสือนิยายตลอดเวลา” เทพดาบบอกเบื่อๆ
“เกลียดเสียงร้องเพลงของพวกเราฮ่าๆ” เทพหอกบอกยิ้มๆ
“ไม่มีพลังปราณสูงอะไร แต่พวกข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอก” เทพจักรกลเอ่ยซึ่งหกเทพที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ชอบทำตัวแก่แดด” เทพประมงสรุปยิ้มๆ
ท่านประธานซันกะพริบตาปริบๆ
เขาพยายามประมวลทุกคำบอกเล่าให้เชื่อว่ามีคนเช่นนี้อยู่จริงๆ
“แล้วอายุล่ะ?” ชายชราทั้งหมดหันมาจ้องแล้วเลิกคิ้ว
เหมือนอยากไถ่ถามว่าอยากรู้จริงๆ ใช่หรือไม่
“แน่ใจนะว่าอยากรู้....ไม่สุภาพนะ ถามอายุสุภาพสตรีเนี่ย” เทพดาบเอ่ยเหมือนอยากให้ท่านประธานซันลองคิดดีๆ
“ยังเรียกสุภาพสตรีได้อีกเรอะเทพนักปราชญ์เนี่ย”
หกเทพที่เหลือบ่นพึมพำในเชิงเห็นด้วย
“ไม่มากไม่น้อย เป็นตัวเลขน่ารักดีนะข้าว่า” ท่านประธานซันออกอาการลุ้นไม่ต่างจากสามสาวที่มีแววตาสนใจใคร่รู้
“หกสิบเก้า อีกไม่กี่เดือนก็เจ็ดสิบแล้ว!”
เสริมบท
ท่านประธานซัน: อ่าฮ้ะ เลขสวยจริงๆ
เจ็ดเทพ: มันสุ่มเสี่ยงไปทางโน้นนา!
โปรดติดตามตอนต่อไป บทที่ 23 ลากขึ้นเตียง
………….***
ความคิดเห็น