คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เงื่อนไข
Chapter1 เงื่อนไข!
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองที่ผ่านไป
สภาพไม่ต่างจากสามเดือนก่อนที่เจ้าฟาร์มธัญกาลพึ่งจะเดินทางกลับจากต่างประเทศ
แต่มีสิ่งที่ต่างไป ในครั้งนี้มีกองถ่ายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของปีร่วมนอนกองระเนระนาดด้วยฤทธิ์ความเมา
อยู่ในทุ่งหญ้าหลวงด้วยเท่านั้นเอง
สมาชิกคนสำคัญอย่างผู้กำกับมีฤทธิ์ยังเมาหลับอยู่หลังเวที กอดไมโครโฟนเกือบสิบอันกรนเสียงดัง
หากไม่มีระบบเต็นท์ใสของลุงคำสีและยาขับไล่ยุงและแมลงอื่นๆ คงมีคนตัวลายแน่นอนเมื่อตื่นเช้ามา
ยามเช้าเมื่อปศุสัตว์ใหญ่ได้เวลาแสงทองจับฟ้าก็เริ่มออกหากินอย่างปรกติสุข แต่พวกมันก็ต้องกู่ร้องกันอย่างตื่นตกใจ
เพราะมีเจ้าพวกมนุษย์มานอนทับพื้นที่หากินของมันพร้อมปล่อยเสียงแปลกๆ ออกจากปากเสียงดังลั่น
บางคนร่างกายยังส่งกลิ่นหึ่ง จนวัวแพะและแกะหลายร้อยตัวแทบจะเป็นลม
พอเห็นถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเจ้าพวกทับที่หากินของพวกมันคงไม่ย้ายหนีแน่ๆ เหล่าปศุสัตว์จึงจงใจร้องคำรามแล้ววิ่ง
เข้าเตะ บ้างกระทืบ บ้างเอาหัวดันหรือไม่งั้นก็เอาลิ้นสากๆ และจมูกเป็นอาวุธจัดการจนคนเมาที่หลับใหลอย่างเปี่ยมสุข
ร้องจ๊ากตาลีตาเหลือกวิ่งหนีการไล่ที่ของปศุสัตว์ที่กระทืบกีบเท้าและร้องคำราม
ฝูงม้ากว่าห้าสิบตัวที่เป็นสัตว์ชนิดใหม่ของทุ่งหญ้าหลวงร้องฮี่ๆ แล้ววิ่งไล่คนเมาที่วิ่งเซซ้ายทีขวาทีหนีกันอุตลุด
กว่าเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างสัตว์และคนจะจบลงได้ก็ทำเอาคนเมาที่วิ่งกลูกันหนีขึ้นดอยหมอกรุ้ง
และดอยหมอกฟ้าพ้นอาณาเขตของเจ้าถิ่นขาใหญ่แล้ว พวกมันจึงจะยอมถอยอย่างสันติ
แต่ฝ่ายมนุษย์ที่เละเทะไปทั่วทุกคนต่างพาร่างกายสะบักสะบอมหนีกลับบ้านใครบ้านมันอย่างทุลักทุเล
พอดอมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็เอาแต่หัวเราะเสียงดัง จนนินเกียวที่ทำอาหารอยู่ไม่ไกลต้องหันมาส่ายหน้า
“ดอมนี่นะคะ เขาเละกันขนาดนั้นยังหัวเราะอีก”
ชายหนุ่มเอาแต่หัวเราะและกระโดดลงจากโต๊ะกลางครัวไปสวมกอดร่างบางของนินเกียวจากด้านหลังแล้วเกยคางลงกับไหล่เล็กก่อนจะหอมแก้มภรรยาอย่างนุ่มนวล
“เกรงใจออมแอมบ้างสิคะ!” นินเกียวยกมีดที่กำลังซอยผักขึ้นขู่จนสามีตัวแสบกดจมูกฝังลงกับแก้มนุ่มอีกครั้ง
แล้วรีบวิ่งหนีมากินขนมปังปิ้งกับออมแอมที่หัวเราะขำ
“จริงสิออมแอม แล้วเมื่อคืนไอ้บ้านักดนตรีที่ฉลองกันต่อถึงตีสามได้กลับบ้านมั้ย?” ดอมถามพาดพิงไปถึงทีมนักดนตรีอย่างบีกิน บารันและมังกรดำที่คงจะเมาหัวราน้ำแน่ๆ
“มันไม่ควรจะถามนะดอม เช้านี้น้องเฟิร์สยังใจดีชวนสมหวังไปแบกพวกนั้นขึ้นไปนอนที่บ้านพักอยู่เลย” ดอมหัวเราะอีกรอบแล้วชะเง้อมองออกไปหน้าบ้านซึ่งมีแขกมาเยือนแต่เช้า
“รีบมาทำไมแต่เช้า ลุงกำนัน?” ชายหนุ่มร้องถามคนแก่ที่มายืนจังก้าอยู่หน้าประตูบ้าน
“เอ็งนี่ ข้ามาถึงหน้าบ้านแทนที่จะเชิญเข้าไปกินข้าว นี่อะไรจะไล่ข้าอย่างเดียว” ผู้กำกับมีฤทธิ์ส่ายหน้าอย่างแสนเซ็ง
แล้วก้าวเข้าสู่ตัวบ้านอย่างคุ้นเคย
ตากำนันยกมือรับไหว้ออมแอมแล้วยกมะเหงกขึ้นจะเขกกระบานไอ้บ้าที่รีบหดหัวกลับเข้าไปในห้องครัว
“ลุงมีฤทธิ์กินข้าวเช้ารึยังคะ?” ออมแอมที่เดินออกมาในส่วนของห้องรับแขกของบ้านเอ่ยถามแล้วส่งแก้วชาร้อนให้
ผู้กำกับละครใหญ่ซึ่งรีบรับไปดื่มอย่างยินดี
“ยังเลย ขอบใจหนูออม ถ้าพวกผู้ชายบ้าๆ บอๆ ของฟาร์มนี้มันได้ครึ่งของความดีของพวกยัยหนูบ้าง
คนแก่อย่างลุงคงไม่ปวดใจขนาดนี้!”
‘ผู้ชาย’ ในฟาร์มที่เดินถือจานอาหารเช้าและโถข้าวสวยร้อนๆ ออกมาเบ้ปากใส่คนแก่
“กำนัน ถ้าอยากได้ดีขนาดนั้นไปกินข้าวที่บ้านอื่นก็ได้นะ” ดอมบอกชายชราด้วยรอยยิ้มจนคนแก่ยกมือขึ้นทำท่าแยกเขี้ยว
“ก็ได้ ข้าไปกินข้าวที่โรงอาหารก็ได้!” ตากำนันลุกขึ้นแล้วจะเดินออกจากบ้านไป แต่เสียงร้องเรียกของดอมก็ทำให้ตากำนันชะงักเท้าก่อน
“เดี๋ยวกำนัน แก้วชาในมือนะ มันเป็นของบ้านผมนะ!” ทำเอาผู้กำกับละครใหญ่อย่างตากำนันมีฤทธิ์ต้องหันมาแยกเขี้ยว
ใส่อีกรอบ
พอดีกับนินเกียวที่เดินตามออกมาจากห้องครัวและรีบไหว้ชายชราที่พยักหน้ารับไหว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องไปกินที่โรงอาหารหรอกคะลุงมีฤทธิ์ กินข้าวที่นี่แหละ” ออมแอมหัวเราะขำที่เห็นท่าทางทำปากยืดปากยาวใส่ตากำนันของชายหนุ่ม
“ได้ยินเปล่า หนูนินเกียวบอกให้ข้ากินข้าวเช้าที่นี่” ตากำนันเยาะเย้ย จนดอมมองคนแก่กว่าอย่างเคืองๆ
“กำนัน นินเกียวชวนกินข้าว ก็กินแต่ข้าวนะ!” ออมแอมที่ช่วยนินเกียวเตรียมจานอาหารและนำไปวางประจำที่
ของแต่ละคนหัวเราะขำ
ในขณะที่ลุงกำนันขมุบขมิบปากสาปแช่งไอ้บ้าที่ยิ้มเย้ยกลับมาบ้าง
“เออๆ ข้ายอมแพ้แกแล้ววันนี้ ข้าจะมาบอกแกนี่แหละ เดี๋ยวสิบโมงพวกข้าก็จะเลิกกองกลับกรุงเทพฯเลยนะโว้ย
หลายคนคิดถึงลูกเมียจะแย่อยู่แล้ว” หลังจากดอมตักข้าวสวยร้อนๆ ให้ตากำนันแล้วนินเกียวก็ชวนออมแอมและตากำนันร่วมกันกินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อยด้วยอาหารง่ายๆ อย่างผัดผักรวม ต้มจืดไข่และปลาราดพริกในจานหอมๆ
“เดินทางโดยสวัสดิภาพครับลุง ว่าแต่กำนันก็คิดถึงลูกเมียด้วยเหรอ ได้ข่าวว่ากำนันโสด หรือว่ากำนันแอบซ่อนเมียน้อยไว้?”
ผู้กำกับวัยชราถึงกับกุมขมับไม่อยากจะคุยกับเจ้าฟาร์มหนุ่มขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน
“ดอมก็!” นินเกียวตีแขนชายหนุ่มจนดอมหัวเราะแห้งๆ
“สมน้ำน่าเอ็ง แล้วนี่ยัยหนูส้มป่อยยังไม่ตื่นอีกเรอะ?” ตากำนันเยาะเย้ยชายหนุ่มอย่างออกหน้าออกตาจนดอม
มองผู้กำกับละครอย่างเคืองๆ
“ฮ้าวววว....มอนิ่งคะแดด มี๊นินเกียวอาออมแอม คุณลุงกำนัน”
ทุกคนหันไปมองเด็กหญิงส้มป่อยที่เดินลงจากบันไดมาพร้อมปิดปากหาวตาปรือมองทุกคนด้วยแววตาที่ยังตื่นไม่เต็มที่เด็กผู้หญิงในเสื้อคอกลมสีขาวและกระโปรงยาวเพียงคลุมเข่าสีส้มอ่อนเนื้อบางจนชายหนุ่มเพียงคนเดียวขมวดคิ้วฉับ
“ส้มป่อย แดดว่า หนูไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยมากินข้าวเช้า สระผมด้วยนะ”
ดอมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังบ้านแล้วพยักหน้าที่เห็นเวลานอนพอเพียง
“แต่หนูหิวแล้วนะค้า”
“อาบน้ำแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวจะทำไข่ดาวให้นะคะ” นินเกียวบอกด้วยรอยยิ้ม ทำให้ส้มป่อยกระโดดชูมือขึ้นด้วยแววตาสดใส
“รีบไปอาบน้ำ อย่ากระโดดแบบนั้นเดี๋ยวจะตกบันไดครับส้มป่อย” ดอมรีบดุเด็กหญิงที่ทำเขาใจหายแว่บ
“ค่า แดดดี๊”
ส้มป่อยวิ่งหายขึ้นไปชั้นบนก่อนทุกคนจะกลับมากินอาหารเช้ากันต่อ
ดอมปรายตามองหน้าประตูเป็นรอบที่สองของวัน
“สวัสดีคะ สเตฟาน ฟาโรห์ ฮิปโปตื่นเช้านะคะ?” นินเกียวถามยิ้มๆ กับแขกผู้มาเยือนชุดที่สองของบ้านหลังเล็ก
“นี่แกจะมาบ้านฉันทำไมแต่เช้า?” สเตฟานเพียงอมยิ้มในขณะที่ตากำนันหันมาถลึงตาใส่เจ้าของบ้านขี้โมโห
“แดดค้า...หนูแต่งตัวเสร็จแล้ว” ร่างเล็กที่รีบวิ่งลงจากชั้นสองของบ้านร้องบอก ตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวทำให้อารมณ์บนใบหน้าของดอมเปลี่ยนไปกะทันหัน
พอหันไปหาลูกสาวคนโปรดก็มีเพียงรอยยิ้มที่โปรยให้ราวกับสุภาพบุรุษที่สุดในโลก
สเตฟานและแขกชุดที่สองที่เหลือกะพริบตาอย่างเหนื่อยใจ
พวกเขาอยู่นี่มาก็หลายเดือนแล้วอะไรที่ว่าควรรู้และไม่สมควรจะรู้ของฟาร์มก็เข้าหูซ้ายฝังในสมองไม่ทะลุออกหูขวาไป
อย่างที่มันควรเป็น
“ไปโรงเรียนวันนี้เป็นเด็กดีนะส้มป่อย” นินเกียวเดินเข้าไปทำไข่ดาวให้เด็กหญิงในครัว
เจ้าฟาร์มน้อยที่อยู่ในชุดเอี๊ยมกระโปรงสีฟ้าอ่อนกับถุงเท้าสีขาวลวดลายลูกเป็ดขี้เหร่ก็ยิ้มกว้างให้ออมแอม
“ค่า อาออม” ส้มป่อยตอบรับออมแอมด้วยน้ำเสียงหวานและแววตาใสปิ๊ง
แต่เธอไม่ได้พูดประโยคที่อยู่ในใจต่อ
เหมือนเสียงของผู้บริหารฝ่ายการตรวจสอบมันลอยกลับมาในหัวราวกับระบบอัตโนมัติ
‘จำไว้นะส้มป่อย เป็นเด็กดีมันก็ดีอยู่ แต่เด็กดีต้องห้ามให้ใครมารังแกนะ’ และในวันนั้นส้มป่อยก็ตอบรับสมหวังไปด้วย
คำพูดเดียวกันนี่แหละ
‘ค่าอาสมหวัง’
ส้มป่อยส่งยิ้มทักทายให้สเตฟานและกลุ่มสาวๆ ของกองถ่ายที่กำลังจัดการบัญชีและการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ดอมปรายตามองเด็กหญิงแล้วก็คิดอะไรอยู่ในใจ
จนไม่ได้สนใจว่าส้มป่อยปีนลงจากโต๊ะกินข้าวและเดินตรงเข้าไปหาสเตฟานที่กำลังคุยกับออมแอมเรื่องของค่าใช้จ่าย
“สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทางสถานที่ต่างๆ ที่ทางกองละครได้ใช้ไปในระยะเวลาสามเดือน
คิดเป็นห้าหมื่นหกพันสามร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วนนะคะ แต่เนื่องด้วยค่าไฟฟ้า น้ำประปาและที่พักพวกเราไม่ได้คิดด้วยทำให้ค่าใช้จ่ายที่ทางกองถ่ายต้องจ่ายมีเพียงค่าอาหารรวมยอดเป็นสองหมื่นบาทถ้วนคะ”
ออมแอมส่งสลิปให้ตากำนันที่ทำหน้างงๆ
“มันจ่ายน้อยขนาดนี้เลยเรอะยัยหนูออม?” ออมแอมพยักหน้ารับยิ้มๆ
“กำนันถ้าอยากจ่ายเพิ่มเอามาบริจาคที่ผมนี่!” เสียงกวนประสาทของคนที่ลดสมาร์ทโฟนลงจากใบหน้าลอยเข้ามาจากอีกฟากห้องใหญ่
“แกเงียบๆ ไปก็ไม่มีใครว่านะโว้ย!” ผู้กำกับละครรุ่นใหญ่หันไปร้องด่าจนดอมที่คว้าไอแพดข้างตัวมาไล่นิ้วตรวจงานของฟาร์มหัวเราะขำ
“เรียบร้อยกันรึยังคะอาออม?” ส้มป่อยที่ยืนรอจนเมื่อยถามออมแอมที่แอบหัวเราะเพราะเห็นเป้าหมายสายตาของเด็กหญิงคือดาราหนุ่มที่ส่งยิ้มให้คนรอใจเย็นๆ
“เรียบร้อยแล้วจ้า ส้มป่อยอยากจะชำระหนี้ต่อก็ตามสบายนะคะ” ผู้บริหารฝ่ายงานเอกสารตอบรับด้วยรอยยิ้มทำให้ส้มป่อยหันไปหาดาราหนุ่มแล้วถามอย่างจริงจัง
“เมื่อไหร่จะขายคะ คุณดารา ร้านไอศกรีมนะ?” สเตฟานอึ้งจนพูดไม่ออกไป
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบตาปริบ
“ตายละลูกฉัน แทนที่จะมีประโยคบอกลากันสวยๆ ให้สมเป็นเจ้าฟาร์มน้อย นี่อะไร เอาแต่จะเทคโอเวอร์ร้านเขาอย่างเดียว”
นินเกียวที่มานั่งลงข้างๆ คนรำพึงรำพันหัวเราะขำกับสีหน้าอิดโรยของเจ้าฟาร์มที่นวดขมับ
“ขอเวลาคิดก่อนครับ” สเตฟานมองเด็กหญิงแล้วจะปฏิเสธก็ทำไม่ลง ดวงเนตรสีนิลใสสว่างนั่น
มันมีอำนาจทำให้คนมองปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
“เท่าไหร่คะ?”
คำถามนี้ทำเอาแต่ละคนใบ้กินไปเลย ตากำนันนั่งมองการเจรจาธุรกิจตรงหน้าด้วยแววตาละเหี่ยใจ
“ขอคิดดูก่อนครับ!” ดาราหนุ่มยิ้มแห้งแล้วตอบคำเดิม
จะให้เขาตัดสินใจทิ้งธุรกิจที่อุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูจนเติบโตได้ขนาดนี้ด้วยระยะเวลาเกือบจะสองทศวรรษเนี่ยนะ.....
“เจ็ดสิบสามสิบพอใจมั้ยคะ?” ส้มป่อยยังคงตั้งหน้าตั้งตาต่อรอง สเตฟานปรายตามองดอมที่คว้างานเอกสารบนโต๊ะและ
ไอแพดแล้วรีบเผ่นออกจากบ้านไป
“ผมคิดว่า....” สเตฟานพยายามหาทางออกอย่างสันติ
แต่ส้มป่อยไม่ยอมแพ้ ดาราหนุ่มที่จนปัญญาจึงได้แต่ลุกขึ้นแล้วคว้ามือเจ้าฟาร์มน้อยที่ยังดื่มนมยามเช้าไม่เรียบร้อยให้เดินออกมาหน้าบ้าน
สายลมหนาวๆ พลิ้วเส้นผมยาวสลวยของส้มป่อยให้ปลิวสะบัดเบาๆ
เด็กหญิงรีบดื่มนมแล้วจ้องตาใสมองชายหนุ่มที่นั่งลงบนพรมหญ้าต้องแสงตะวันสีเขียวสดสบายตา
“หกสิบสี่สิบดีมั้ยคะ?” สเตฟานปวดหัวจี๊ดขึ้นมากับความดื้อดึงของผู้หญิงตรงหน้า โตมาเธอไม่ขยันขันแข็งหาเงิน
ก็แปลกไปแล้ว
เมื่อนมหมดแก้วเด็กหญิงนั่งลงอยู่ข้างๆ ร่วมมองแสงตะวันโผล่พ้นเรือนสายหมอกจางๆ หางตาคมเหลือบมองด้วยรอยยิ้ม
แสงอ่อนสีทองอำพันจับลงบนดวงหน้าเล็กของร่างเล็กๆ ที่พยายามเบี่ยงหลบแสงจ้าของดวงตะวันยามสาย
“ผมสามารถยกร้านให้คุณหนูส้มป่อยได้เลยนะครับ โดยที่ไม่ต้องเทคโอเวอร์ด้วย” ได้ยินข้อเสนอแสนเย้ายวนใจ
จากคนตัวโตกว่าที่ขยับมาจ้องประสานสายตา
ทำให้ส้มป่อยแววตาเป็นประกาย
“ลองว่ามาก่อนสิคะ” ความยินดียังไม่บังสติของเด็กหญิงทำให้สเตฟานหัวเราะอย่างชอบใจ
ถึงส้มป่อยจะอยากได้สุดจิตสุดใจก็ยังขี้ระแวงไม่ต่างจากดอม
“เราก็แค่…..แต่งงานกัน แค่นี้เอง ง่ายไหมละครับ?”
คำถามง่ายๆ จากน้ำเสียงอ่อนแสนนุ่มหูครองใจแม่บ้านละครหลังข่าวได้อยู่หมัดถึงกับทำให้ส้มป่อยทำหน้างงๆ
ก่อนจะพูดประโยคเดียวกับสเตฟานก่อนหน้านี้เป๊ะ
“แต่งงาน! ขอคิดดูก่อนนะคะ?” ดาราหนุ่มหัวเราะเสียงดังจนเด็กหญิงต้องเอียงหน้ามองงงๆ
“เข้าใจรึเปล่าครับคำว่าแต่งงาน?” สเตฟานถามอย่างขบขัน ไม่แน่ว่าเจ้าฟาร์มน้อยอาจเรียนรู้คำว่าแต่งงานแล้วก็ได้
“แน่นอนสิคะ แต่งงานก็คือการที่คนสองคนจะทำงานร่วมกันโดยที่ไม่หักหลังกัน
มีปัญหาต้องคุยกัน ทะเลาะกันได้แต่สุดท้ายต้องดีกันแล้วก็ต้องไม่เลิกงานด้วยไง!”
สเตฟานอยากจะรู้จริงๆ ใครเป็นคนสอนวิชาแต่งงานให้เด็กหญิงส้มป่อยที่ยิ้มแฉ่งให้เขาอยู่ตรงหน้านี่
“ใครเป็นคนสอนคำว่าแต่งงานเนี่ย?” เด็กหญิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ก็มี๊ลินไงคะ มี๊เหมียวมี๊ข้าวมี๊แมรี่มี๊มิลินก็บอกแบบนี้
มีแต่มี๊เพลงที่บอกว่าอย่าใช้ความคิดประหลาดๆ ของคุณหมอสติเพี้ยนๆ”
สเตฟานหัวเราะกับการสอนลูกสาวฉบับคุณหมอลินลี่
ส้มป่อยชะโงกหน้ามามองนาฬิกาแล้วบอกลา
“ไปก่อนนะคะคุณดารา ไว้ว่างๆ เดี๋ยวจะแวะไปตรวจร้านนะคะ ถ้าทำงานดาราเสร็จแล้วส่งแผนการดำเนินงานของร้าน
มาให้ตรวจด้วยนะคะ” ส้มป่อยชูมือแล้วกำหมัดอย่างเอาจริงเอาจัง
“ครับๆ แล้วนี่ต้องไปโรงเรียนแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” ส้มป่อยพยักหน้ารับหงึกๆ ก่อนจะโบกมือลาเพราะเธอสะพายกระเป๋านักเรียนรูปหมีควายสีดำทะมึนติดแผ่นหลังและวิ่งไปหาจักรยานไฟฟ้าคันเล็กแล้ว
ดอมและนินเกียวก็ช่างกล้า ที่ให้ส้มป่อยเดินทางไปโรงเรียนเอง แม้ว่าเด็กหญิงจะเรียนอนุบาลปีสุดท้ายแล้วก็ตาม
สเตฟานลุกขึ้นมองร่างเล็กๆ ของส้มป่อยที่รีบปล่อยจักรยานซิ่งข้ามสะพานหน้าบ้านออกสู่ธัญกาลวิลเลตไปด้วยความเร็วสูง
ทำเอาฝูงไก่ที่หากินตามถนนสายหลักบินแตกกระเจิงไปตลอดทาง
แล้วดาราหนุ่มก็หัวเราะออกมา
แม้ชีวิตเขาในเมืองกรุงมันจะเคร่งเครียด แต่ถ้ามีสีสันแสนสวยงามแบบนี้เพิ่มเข้ามาในชีวิต
เขาก็รับไว้ด้วยความยินดีอยู่แล้ว.
…………………….***
ความคิดเห็น