คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : วิชาพลศึกษา
Chapter6 วิชาพลศึกษา
กว่าสองชั่วโมงที่พระอาจารย์ต้องรอคอยลูกศิษย์ตัวน้อยที่มัวเอ้อระเหยลอยละล่องคุยกันเฮฮาและสนุกสนานกับการกินขนมโดยไม่เกรงฤทธิ์เดชของไม้เรียว
ที่พระอาจารย์ไม่ต้องใช้ญาณหยั่งรู้ล่วงหน้าก็ทราบได้ว่าเด็กอนุบาลสุดแสบซ่าเหล่านั้น
คงเอาไปซ่อนกันไว้หมดแล้ว
พระเทพอาจารย์ญาณิลทะโล รับหน้าที่สอนวิชาคณิตศาสตร์และพลศึกษาให้กับเด็กน้อย
ของโรงเรียนวัดป่าแห่งนี้
พระอาจารย์นั่งขัดสมาธิเฝ้ารอลูกศิษย์อย่างอดทน
“บ่ายสองแล้วนะคะทุกคน” เปียโนบอกเมื่อมีคนถามถึงเวลามาจากใครสักคน
“ใครยังเขียนไม่เสร็จบ้าง?” ย่างกุ้งร้องถามเพื่อนๆ ซึ่งขะมักเขม่นกันเขียนเลขหนึ่งถึงพัน
สลับกับนั่งพักและพับโต๊ะญี่ปุ่นของตัวเองเก็บเข้าที่
หลังจากนั้นก็บ้างนั่งบ้างนอนบนพื้นไม้แล้วเขียนตัวเลข
“เรายังไม่เสร็จเลย เหมือนฝันด้วย” โตเกียวร้องตอบคำถามของย่างกุ้งที่พยักหน้ารับแล้วเสนอความช่วยเหลือ
“อีกเยอะมั้ยหละ เรามาช่วยกันทำมั้ย?” เด็กหญิงชาวญี่ปุ่นส่ายหน้าแล้วชี้ไปทางเหมือนฝัน
ที่แอบหลับไปแล้ว
“ถ้าอยากช่วยก็นู่นเลย ฝันคงทำไม่เสร็จแน่ๆ!”
ย่างไก่ หมาหล้าและย่างกุ้งช่วยเหมือนฝันเขียนตัวเลขพร้อมแกล้งเด็กหญิงจนเหมือนฝันตื่นขึ้นมาโวยวายและไล่ตีกลุ่มคนขี้แกล้ง
จนเพื่อนๆ ต้องร้องประท้วงและอพยพหนีมาอยู่ใต้ต้นลำไยใหญ่เช่นเดียวกับส้มป่อย
และคารามายที่นั่งเล่นกับพวกชาที่นอนกลิ้งกันอยู่ไม่ไกลบนพรมหญ้านุ่มๆ
“แล้วเธอว่าพระอาจารย์จะลงโทษเราไงอะ?” คารามายนอนคว่ำบนพื้นหญ้าแล้วอาศัยตักเล็กๆของส้มป่อยเป็นหมอน
“จะให้ฉันไปถามใครต่อดีอะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” คารามายค้อนใส่แววตาดำใสของส้มป่อย
ที่เปล่งประกายระริกด้วยความขบขัน
“มายทำไมเธอโหดจัง ตอนนั้นอะ?” ส้มป่อยยังจำภาพเพื่อนรักที่พุ่งตลุยเข้าไปทุบตีคนที่โตกว่าได้ติดตา
“ก็พวกนั้นมันหาเรื่องนี่นา แล้วเธอไปหาเชือกมาจากไหนตอนนั้น?” ส้มป่อยเอียงคอคิด
“ก็แถวๆ แปลงเกษตรนั่นแหละ ฉันว่าจะไปหาอาวุธถ้าพวกเราสู้ไม่ได้ไง!”
ส้มป่อยกับคารามายคุยและหัวเราะกันเป็นพัก
โดยปล่อยให้ซีม่าไปวิ่งไล่กลุ่มของเหมือนฝันและพนมเปญที่กระโดดแยกย้ายวิ่งเล่นกันไปทั่วห้องเรียนขนาดเล็ก
“บ่ายสามแล้วทุกคน พวกเราต้องไปออกกำลังกายก่อนกลับบ้านน้า!” ซาลาเปาร้องเรียกเพื่อนๆ ที่ยังวิ่งเล่นและนอนหลับให้ตื่น
เพียงไม่นาน ทุกคนก็มารวมตัวกันแล้วเดินแถวไปที่สนามฟุตบอล
ซึ่งทิ้งให้พระอาจารย์รอแล้วรอเล่าจนจำวัดใต้ต้นมะม่วงไปอีกรูป
“พระอาจารย์ค้า พวกเราจะกลับบ้านแล้ว!” เหมือนฝันร้องตะโกนแต่ไกลบอกพระอาจารย์
จนภิกษุชรารีบกระเด้งตัวลุกขึ้นมาในท่านั่งสมาธิแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“มาๆ เด็กๆ เข้าแถวเร็ว”
เจ้าอาวาสร้องบอกให้เด็กๆ อนุบาลวิ่งกลูกันไปจัดแถวซึ่งตรงบ้างเบี้ยวบ้างตามประสา
พระอาจารย์เริ่มนำเด็กๆ ออกกำลังกายด้วยท่ากายบริหาร และการยืดหดกล้ามเนื้อต่างๆ
ที่ทำให้เกิดเสียงร้องโอดโอยไปทั่วทั้งเด็กชายหญิง
มีหลายคนที่ชินกับการออกกำลังกายอาธิเช่นชากาแฟไวโอลีนหมาหล้าเหมือนฝันส้มป่อย
แต่ถ้าเจอท่าที่ต้องอาศัยการเกร็ง ยืด หรือหดร่างกายแต่ละคนที่บอกมาก็ร้องโหยหวนเหมือนกัน
“มาเจ้าพวกตัวแสบวันนี้เราจะเริ่มจากการเรียนมวยไทย มวยจีน เทควันโดแล้วจบด้วย
กระบี่กระบองนะ เอ้าๆ ขยันขันแข็งหน่อย!”
เพราะเหตุนี้ ภาพของผู้ทรงศีลในอาภรณ์สมณะจึงนำเด็กตัวน้อยๆ ออกหมัดเท้าเข่าศอก
อย่างฮึกเหิม
“หมัดซ้ายตรง!” หมัดถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว
จนนักเรียนเหงื่อชุ่ม
พระอาจารย์พานักเรียนออกหมัดทั้งตรง แย็บและอัปเปอร์คัดอย่างไม่สนว่านี่คือเขตอภัยทาน
ก่อนจะจบลงด้วยท่าตั้งการ์ด
เมื่อมวยไทยแสนเฉียบคมและดุดันผ่านพ้นไป นักเรียนทั่วทั้งสนามก็ทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
“พระอาจารย์คร้าบ...ขอเวลาสิบนาที” ประโยคร้องขออย่างอ้อนวอนของหัวหน้าห้อง
ได้รับเสียงสนับสนุนจากเพื่อนทั้งหมดที่พร้อมใจร้องขอความกรุณากันอย่างขันแข็ง
“ได้ แต่พระอาจารย์ให้พักห้านาทีเท่านั้นนะ เดี๋ยวจะได้เริ่มไท่เก๊กกันต่อ”
พระอาจารย์ปาดเหงื่อเม็ดโป้งๆ จากศีรษะที่มีเส้นผมอยู่น้อยของท่าน
ก่อนจะบอกให้นักเรียนห้ามพักนาน เพราะความตื่นตัวของร่างกายจะหายไป
ห้านาทีผ่านไปวัยยิ่งกว่าโกหก
เด็กน้อยผู้น่าสงสารต้องแบกสังขารลุกขึ้นมาพร้อมปรับระดับลมหายใจให้เข้าทีแล้วเริ่มร่ายรำมวยอ่อนแบบไท่เก๊ก
ที่เน้นความสงบสยบความแข็งกร้าว เด็กน้อยทุกคนได้รับการปลูกฝังและท่องจำ
รวมถึงการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว จนไม่ต้องกางหนังสือออกดูท่วงท่าก็ทำได้เหมือนกันหมด
อาจจะอาศัยการแอบมองเพื่อนๆ บ้างก็ไม่เห็นเป็นไรไป
มวยจีนที่เน้นใช้อ่อนสยบแข็งนั้นทำให้ร่างกายผู้ใช้ออกแรงน้อย ทว่ากลับได้ผลลัพธ์
ที่ไม่ธรรมดาเพียงร่ายรำไท่เก๊กจบลมหายใจของทุกคนก็กลับมาสม่ำเสมอ
พร้อมตั้งท่าการเรียนเทควันโด ซึ่งเป็นศิลปะป้องกันตัวที่อาศัยเท้าเป็นแกนกลางของการต่อสู้และเป็นอาวุธที่ใช้ออกในแง่มุมต่างๆ อย่างเฉียบคม
“เตะซ้าย ขวา!” พระอาจารย์ไม่สามารถสอนเด็กๆ ได้เต็มที่เพราะเกรงจีวรบิน
จึงทำได้เพียงชี้แนะให้นักเรียนขยับเท้าเคลื่อนตัวให้สอดประสานกับสมดุลของร่างกายที่ถ่ายเทไปอยู่ที่เท้าแต่ละข้าง
ทำให้เกิดการล้มฟาดพื้นไม่บ่อยเหมือนช่วงแรกๆ ที่นักเรียนอนุบาลทั้งหมดยืนกระต่ายขาเดียวได้ไม่ถึงสองนาทีก็ล้มกระแทกหญ้าจนร้องไห้งอแงกันไป
แต่ในระยะเวลานี้เมื่อผ่านมาถึงสามปีการฝึกอบรมนั้นไม่สูญเปล่าด้วยท่วงท่า การขยับเท้า
และการวาดเท้าทำให้เด็กๆ สามารถออกอาวุธในส่วนช่วงล่างของตัวเอง
ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ
เมื่อการฝึกซ้อมและทบทวนบทเรียนจบลง ทุกคนก็เดินไปหยิบกระบี่กระบองที่พระอาจารย์
เพิ่งไปหอบตระกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่มาวางให้เด็กๆ หยิบอาวุธที่ตนถนัด
ถึงแม้วิชานี้จะถูกเรียกว่าเรียนกระบี่กระบองแต่ความหลากหลายทางอาวุธมันมีมากมายกว่านั้น
อาธิเช่น หอกไม้ไผ่ ทวนไม้ไผ่
ไม้พลอง ดาบคมเดียว ดาบสองคม
ดาบสองมือ ดาบสั้นดาบยาว รวมไปถึงมีดไม้ไผ่ แม้แต่ดาวกระจายไม้ไผ่ก็ยังมี
อาวุธระยะไกลเช่นธนู หน้าไม้ กงจักร มีดบินหรืออาวุธแปลกๆ อย่างแซ่ โซ่ ลูกตุ้ม
หรือแม้แต่สนับมือและกรงเล็บมือก็ยังมี
ด้วยความเป็นอนุบาลทำให้เด็กๆ เล่นกันสนุกสนานตั้งแต่วันแรกที่ได้เรียนจนมาถึงเวลานี้
มันก็จะมีทั้งคนที่ชอบแกล้ง ชอบรังแกกันจนร้องไห้งอแงประจำ
แต่มันก็เป็นการกระชับมิตรภาพให้นักเรียนของโรงเรียนวัดแห่งนี้ให้รักกัน
ไม่ต้องไปดูจากเหตุการณ์ไหนไกล เพียงการมีเรื่องระหว่างสถาบันช่วงเที่ยงที่ผ่านมา
ก็แสดงออกให้เห็นถึงความรักและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์
“เด็กๆ วันนี้พระอาจารย์จะให้ทุกๆ คนได้เลือกอาวุธที่ทุกคนถนัดที่สุด
แล้วทำอย่างไรก็ได้ ให้ได้ธงสีขาว
ที่พระอาจารย์ปักไว้ตามที่ต่างๆ ในเขตวัด
พระอาจารย์ใบ้ให้ว่า มันมีธงแค่เพียงสามผืนเท่านั้น
สุดท้าย ธงอยู่ที่ใครถือว่าคนนั้นสอบผ่านในวันนี้ พระอาจารย์ให้เวลาถึงสี่โมงครึ่ง
เมื่อได้ธงครบแล้วให้ไปที่วิหารกลางนะเด็กๆ”
เด็กๆ ต่างทำหน้าหวาดผวาอย่างหวาดหวั่น
เพราะประสบการณ์สอนพวกเขาว่าใครไม่ผ่านวิชาพลศึกษาจะต้องออกกำลังกาย
ด้วยสามท่วงท่ายอดฮิดอย่างกางมุ้ง
นั่งเก้าอี้ลมและสะพานโค้ง
“ไม่นะ ชีวิตฉัน!” บาบี้ร้องออกมาพลางทำหน้าจะร้องไห้จนซีม่ายกแขนขึ้นล็อกคอเด็กหญิงที่เขาเรียกว่าตุ๊กตาหัวทองไว้ แล้วเขย่าร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงจนบาบี้ร้องโวยใส่ซีม่า
ที่หันไปมองหน้าหมาหล้าซึ่งกำลังสะพายธนูไม้ของเขาขึ้นไหล่
ถึงชื่อวิชามันจะบอกว่ากระบี่กระบอง แต่ความน่าเกรงขามที่ให้เด็กอายุสองถึงหกขวบมาถืออาวุธที่เปรียบได้กับไม้จิ้มฟันของพวกผู้ใหญ่นี้กลายเป็นเรื่องตลกไป
“เอาไงดี/ไงต่อดี?” นมสดและไวโอลีนเอ่ยถามทุกคนพร้อมๆ กันจนสองหนุ่มน้อย
ต้องส่งสายตาเข้าปะทะกัน จนกาแฟส่ายหน้าและโบกมือให้ทั้งสองเลิกจ้องตากัน
“ยังต้องถามอีกหรอ?” เปียโนถามทุกคนอย่างงงๆ
“ก็เผื่อมีใครอยากฉายเดี่ยวไง?” ส้มป่อยพูดต่อประโยคที่เปียโนละไว้
“ไร้สาระ สถาบันเดียวกันนะ ไปกันเถอะ แยกกันต่อให้เจอธงพวกเราก็เอาไม่ได้แน่ๆ!”
เหมือนฝันตัดบททำให้นักเรียนอนุบาลวัดป่าปัญญาธรรมยิ้มกว้าง แล้วยื่นมือออกมาประสานกันอย่างมุ่งมั่น
“สู้มั้ยพวกเรา?” หมาหล้าร้องถามเสียงดัง
“สู้ตายอยู่แล้ววว!”
เสียงตอบรับกึกก้องทำให้นักเรียนทั้งหมดรีบแยกย้ายกันออกไปค้นและสังเกตการณ์โดยรอบเขตวัดเพื่อหาธงสีขาวของหลวงปู่เจ้าอาวาสที่ไปกวาดลานหน้าวัดรออย่างสบายใจ
พระชรายกยิ้มปรานี
พลางสายตาท่านก็จับลงบนผืนธงสีขาวบนยอดต้นโพธิสูงตระหง่านกว่ายี่สิบเมตร
และผืนผ้าธงสีขาวสะอาดอีกผืนที่โบกสะบัดไปตามลมที่ปักอยู่บนยอดวิหารกลางอย่างอารมณ์ดี
“พิสูจน์ให้อาตมาและเหล่าผู้ปกครองของหลานๆ เห็นซิว่า.....
เป็นหนึ่งน้ำใจ ไฝ่สามัคคี มีปัญญาธรรม สร้างผู้นำโลก
กำลังเริ่มต้นและจะเป็นจริงได้”…..
…………………………***
ความคิดเห็น