คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : พันธสัญญาสันติภาพปัญญาธรรม
Chapter10 พันธสัญญา
รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่แล่นฝุ่นตลบเข้าสู่ประตูหน้าของวัดป่าปัญญาธรรม
ด้วยความเร็วสูง
จนล้อทั้งสี่ปัดพื้นถนนคอนกรีตที่ลาดตรงสู่หน้าวิหารเสียงดังเอี๊ยดสนั่น
ผู้กุมพวงมาลัยเก้าลงจากรถด้วยสีหน้าบึ้งตึงแล้วหันไปลากสองลูกชายที่ไม่เต็มใจจะลงจากรถให้ก้าวตามผู้เป็นพ่อ มุ่งหน้าตรงเข้าหาคนที่มายืนรออยู่หน้าวิหารใหญ่แล้ว
ชายชราชาวต่างชาติและหญิงชราท่าทางเป็นอาม่าแก่ๆ ยังไม่ทำให้พรายแก้วเพ่งความสนใจได้มากเท่ากับพระสงฆ์ที่ยืนสงบและทำเหมือนกำลังหยุดจากการกวาดลานวัดแล้วเหลือบมามองด้วยรอยยิ้มปรานี
แต่กลับทำให้ฝีเท้าเก้ากระแทกส้นอย่างใส่อารมณ์ของนายอำเภอต้องชะงักไป
อย่างตระหนกตกใจ
“เจริญพร คุณนายอำเภอ” พรายแก้วมีความรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาองค์สาวกศาสดาตรงหน้า
อยู่ แต่เขากลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอพระตรงหน้าจากที่ไหนมา
“พระคุณเจ้า นมัสการครับ พระคุณเจ้าใช่มั้ยที่เป็นคนพูดสายกับผม”
เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ยิ้มอ่อนโยน
“ศาสนานะโยม ถ้าไม่เต็มใจจะสักการะ ไม่ใส่ใจจะบูชา โยมก็อย่าใช้จิตใจที่ไม่เต็มใจ
นั้นมาเก้าล่วงพระพุทธองค์ดีกว่า” พระญาณิลทะโล วิริยะปัญโญพูดทักทายกับข้าราชการใหญ่ตรงหน้าด้วยอาการนิ่งสงบทั้งน้ำเสียงและแววตา
นายอำเภอใหญ่กัดฟันกรอด แล้วไม่พูดอ้อมค้อม
“ผมไม่อ้อมค้อมนะครับหลวงพ่อ
ที่ผมมาวันนี้ ก็เพราะเรื่องลูกชาย!”
“ที่ลูกชายโยม พาพวกนักเลงโรงเรียนประถมมาทำร้ายนักเรียนอนุบาลของอาตมานะหรือ?” น้ำเสียงนิ่มๆ และแววตาคมกริบที่เรียบเฉยของพระคุณเจ้าทำให้นายอำเภอใหญ่หน้าบึ้งตึง
ยิ่งกว่าเก่า
“ยังไงผมก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ถึงลูกชายผมจะเป็นคนผิดในครั้งนี้
แต่หลวงพ่อจะมั่นใจได้ไง ว่าครั้งก่อนๆ ไอ้เด็กอนุบาลมันจะไม่ได้มาหาเรื่องลูกชายผมก่อน!”
เจ้าอาวาสวัดป่ามองข้าราชการตรงหน้าด้วยแววตาปลง
“จริงๆ อาตมาว่าคุยกับลูกชายของโยมทั้งสองคนเข้าใจแล้วนะท่านนายอำเภอ
แต่กลับเป็นโยมเสียอีกที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย
โยมลองคิดเอาแล้วกันนะ เด็กประถมอย่างลูกชายโยมยังพูดคุยกันรู้เรื่อง แต่โยมเป็นข้าราชการท้องถิ่นตำแหน่งใหญ่โต
กลับดื้อด้าน แถมยังไม่ยอมเข้าใจอะไร”
นายอำเภอพรายแก้วโกรธจนหน้าตาแดงก่ำ สองมือของชายร่างท้วมกำแน่น
จนกระดูกนิ้วลั่นกรอบแกรบ
พระพรรษากลางคนมองอาการบันดาลโทษะด้วยความนิ่งสงบ
ก่อนนายอำเภอจะได้พูดอะไรต่อก็รู้สึกเหมือนใต้เท้าสั่นสะท้านขึ้นมาพร้อมทิวทัศน์รอบข้างที่สะเทือนครืน
จนร่างของนายอำเภอ พร้อมลูกชายซุดลงไปกลิ้งบนพื้น
“แผ่นดินไหว....เกิดแผ่นดินไหว!”
มีเพียงอาจารย์ทั้งสามของโรงเรียนอนุบาลวัดป่าปัญญาธรรมเท่านั้นที่ไม่ล้มลง
เศษผงคลีและใบไม้แห้งที่ปลิวว่อนร่วงหล่นลงบนพื้นเผยให้เห็นสภาพของวัดที่เสมือนไม่เคยมีอาการแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
“มะ....มัน มัน เกิดอะไรขึ้น?” สภาพทุลักทุเลของนายอำเภอที่ฟุบหมอบลงกับพื้น
ไม่ทำให้แววตาสามคู่ของอาจารย์ทั้งสามของโรงเรียนอนุบาลสนใจได้เท่ากับเสียงครืนสนั่น!
ที่อุบัติขึ้นหลังกุฏิของเจ้าอาวาส
…
เมื่อกระแสน้ำท่วมทะลักขึ้นในบ่อน้ำแห้งขอดเพียงไม่ถึงยี่สิบเมตรด้วยอัตราเร็ว
ที่มวลน้ำมหาศาลไหลบ่าเข้าสู่บ่อและท่วมร่างของคารามายและชาที่กำลังถูกเพื่อนๆ ดึงขึ้นสู่เบื้องบนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มายยยย!” ส้มป่อยซีม่าและเพื่อนต่างร้องเรียกไม่ต่างจากกาแฟและนมสดที่ร้องเรียกชา
เสียงดังลั่น
ทว่ากระแสน้ำที่ท่วมท้นแทนที่บ่อซึ่งเคยว่างเปล่าก่อนหน้านี้ไม่ปรานีต่อทุกชีวิต
ธงขาวลอยกระเด็นขึ้นสู่ฟากฟ้า พร้อมตกลงมาข้างบ่อ
เพื่อนๆ ต่างร่วมแรงร่วมใจดึงรั้งสองร่างของเด็กน้อยวัยห้าขวบที่เพียงพริบตาเดียว
น้ำก็ท่วมทะลักทั้งสองจนมองไม่เห็นด้วยตา
แต่น้ำหนักบนเชือกก็ทำให้พวกเขาออกแรงดึงกันอย่างสุดความสามารถ
“พวกเราออกแรงหน่อย ฉันกลัวจะมีน้ำวน!” หมาหล้าร้องตะโกนไม่ทันจบคำ
เสมือนกระแสน้ำตอบรับต่อคำเรียกร้อง สายน้ำที่พุ่งทะยานสู่ท้องนภาเหนือยอดลำไยหมุนวนก่อเกิดแรงดูดรั้งมหาศาลอันรุนแรงพุ่งทะยานฉุดกระชากเด็กๆ ที่ถือเชือกอยู่ให้ปลิวละลิ่ว
พุ่งทะยานเข้าสู่ศูนย์กลางของแรงดึงดูดอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยง
เสียงกรีดร้องของเด็กน้อยทั้งสิบเก้าคนที่อยู่เหนือบ่อร้องโหยหวนเมื่อร่างของพวกเขากำลังจมดิ่งลงสู่ผิวน้ำที่กลืนพวกเขาลงสู่ใต้ห้วงวารีที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
ในชั่วเสี้ยววินาทีที่ชาและคารามายรู้ว่าพวกเขากำลังถูกน้ำท่วมทะลักใส่
เด็กชายก็พุ่งเข้าโอบกอดเด็กหญิงไว้อย่างรวดเร็ว
คารามายจากตื่นตระหนกก็ผวาเข้ากอดร่างของที่พึ่งสุดท้ายไว้แน่นจนทั้งสองแทบไม่รู้สึก
ถึงความหนาวเย็นของสายน้ำรอบตัวอีก
เชือกซึ่งผูกกับต้นลำไยขาดผึงออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ธงสามผืนที่พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ถูกกระแสน้ำสาดกระเซ็นเข้าใส่จนลอยละลิ่วปลิวไป
แสงตะวันสีแดงเพลิงราวกับลูกไฟยักษ์กลางฟากฟ้าย้อมสีเลือด เปล่งประกายลุกโชติช่วง
ดั่งภาพนี้จะคงอยู่ตลอดกาล
ทว่าพอสายลมเริ่มพลิ้วพัด ผืนธงที่ร่วงลงสู่พื้นทั้งสามผืนก็ก่อเกิดสิ่งมหัศจรรย์พันลึก
จนใครได้เห็นอาจไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
บนริ้วธงขาวสะบัดไหวค่อยๆ เรื่อเรืองแสงสว่างขึ้นจางๆ
พร้อมกับร่างอาจารย์ทั้งสามที่ปรากฏตัวขึ้นบนผืนธงราวกับผีหลอก
แต่ความเป็นจริงแล้วผืนผ้าสีขาวสว่างนั้น กลับกลายเป็นคล้ายแท่นอาสนให้ทั้งสามร่างนั่งลง
พร้อมกับรัศมีเรืองรองสามสีที่ลุกสว่างเข้าท่วมร่างของสามอาจารย์แห่งโรงเรียนวัดป่า
ปัญญาธรรม สว่างเรืองรอง
เริ่มจากสีทองสว่างไสว
สีขาวเจิตจ้าจากร่างของคุณครูเจ๊ติ๋มและสีน้ำเงินอมชมพูจากร่างของมาสเตอร์แซนตาคอส
เป็นลำดับสุดท้าย
ในชั่วขณะลมหายใจร่างของคนมากมายก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังของทั้งสามอาจารย์
ที่โอบล้อมบ่อน้ำปริศนาให้หันหน้าเข้าหากันเป็นสามเส้า
เริ่มจากกลุ่มคนที่ปรากฏไอหมอกสีดำฑมินโอบล้อมรอบตัวอย่างเข้มข้น
ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนที่แผ่ล้อมรอบพวกเขาทำให้เบื้องหลังมาสเตอร์แซนตาคอสกลับกลายเป็นสีดำทะมึนไป
ทั้งแผ่นผืนฟ้า
ติดตามมาด้วยกลุ่มคนในอาพรสีขาวพิสุทธิ์เจิตจ้านับไม่ถ้วนที่กระจายล้อมอยู่เบื้องหลังของหญิงชราเชื้อสายจีน
และสุดท้ายเป็นเงาจางๆ สุดคณานับของผู้ทรงศีลที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นรอบรัศมีทองอำพัน
ของเจ้าอาวาสวัดป่าอย่างเลือนรางทว่าแสงจรัสสีเปล่งประกายเรืองรองกลับให้ความรู้สึก
สุขสงบ
บ่อน้ำที่หยุดเคลื่อนไหวค่อยๆ สั่นกระเพื่อม ก่อนจะส่งร่างไร้สติของเด็กๆ ทั้งยี่สิบเอ็ดคนลอยขึ้นสู่ปากบ่อที่ค่อยๆ พังทลายลงกลายเป็นพื้นที่วงกลมสีใสบริสุทธิ์ไร้ซึ่งละอองฝุ่น
แม้เพียงเม็ดธุลี ใสสว่างราวสะท้อนทุกอย่างให้ออกมาจากแผ่นกระจกใสรูปวงกลมนั้น
ฉับพลัน วงกลมก็เริ่มปริร้าวพร้อมสายน้ำพุเล็กๆ ที่พุ่งฉีดขึ้นสูงแล้วย้อยตกลงมาพร่างพรม
เข้าใส่ร่างของเด็กน้อย บางสายน้ำเมื่อพุ่งสาดสู่ท้องฟ้าจะรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่แผ่กระจาย ทว่าบางสายกลับรู้สึกถึงความหนาวเย็นเสียดกระดูกที่ตกต้องร่างของเด็กน้อยทั้งยี่สิบคน
แล้วสาดกระเซ็นเข้าใส่กลุ่มคนที่สงบนิ่งท่ามกลางไอน้ำที่ลอยว่อนสาดใส่พวกเขา
“นับตั้งแต่อดีตกาลนานเนิ่นมา เหล่าเราทั้งสามฝ่าย ต่างเข้าห้ำหั่นกัน
ตลอดห้วงประวัติศาตร์ที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มใดบนโลกใบนี้
แต่เป็นสิ่งแน่นอน ที่พวกเรานั้น รู้และตระหนัก ว่ามีพวกเรา อาศัย ดำรงเผ่าพันธุ์ และหลบหลีกจากสังคมของสิ่งมีชีวิต
ที่นับวัน จะขยายกว้างใหญ่ขึ้น
พวกเรา จึงไม่อาจ ที่จะอยู่นิ่งและปล่อยให้ภาพหน้าประวัติศาสตร์อันโชกเลือดนั้นถืออุบัติขึ้น
อีกครั้ง
ในปัจจุบันและในอนาคต
เหล่าเราทั้งสามฝ่าย จึงพร้อมใจ ที่จะกระทำพันธสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเบื้องหลังฉบับนี้
โดยมีเด็กน้อยทั้งยี่สิบเอ็ดชีวิตนี้ เป็นพยานว่า พันธสัญญาฉบับนี้ จะคงอยู่ นับตั้งแต่เวลานี้ตราบนิตย์นิรันดร์”
น้ำเสียงอ่อนทุ้มจากเจ้าอาวาสวัดป่าปัญญาธรรมที่ประนมมือขึ้นสรรเสริญพระพุทธคุณพร้อมกับบทสวดมนตร์ที่ค่อยๆ ถูกเปล่งจากริมฝีปากที่ขยับขะเยื่อนเคลื่อนไหวด้วยท่วงทำนองอันนุ่มนวล สงบและกลั่นเป็นละอองฝนสีทองโปรยปรายลงชโลมย้อมทั้งกระจกใส
ให้เปล่งเลื่อมลายสีทองกระจ่างจ้าด้วยรัศมีธรรมที่ลุกโชน
สัญลักษณ์หยินหยางที่ลอยเด่นเหนือศรีษะหญิงชราเชื้อสายจีน
พร้อมสัญลักษณ์แห่งธรรมชาติและจักรวาลในรูปของงูกลืนหางสีขาวนวลเปล่งประกายสว่างจ้า สดใสจากคนที่ปรากฏตัวขึ้นในลักษณ์ของสายลมสีขาวอ่อนๆ โชยพริ้วเข้าหอบร่างของเด็กน้อยทั้งยี่สิบเอ็ดคนที่หลับไหลไร้สติให้ล่องลอยขึ้นอาบไอฝนสีทองสว่างไสว
แล้วจึงค่อยๆ ร่วงหล่นแล้วจมดิ่งลงสู่แผ่นกระจกที่กลายเป็นสีดำมืดถูกขีดแต้มด้วยสีแดงฉานราวจะหยดออกมาเป็นสายโลหิต
เปลวเพลิงสีดำลุกไหม้เผาผลาญร่างของยี่สิบเอ็ดเด็กน้อยจนแหลกสลายลงในหลุมบ่อ
ที่เปรียบประดุจขุมนรกอเวจี เสียงพึมพำสวดมนตร์ด้วยความกราดเกรี้ยว
เปลวเพลิงแห่งกิเลสตัญหาแผดผลาญด้วยสีดำฑมินอันบ้าคลั่งหลอมละลายสลายร่าง
ดวงจิตและดวงวิญญาณของเด็กน้อยที่ไร้ทางสู้จนอณูทุกสิ่งอย่างสูญสลายหายไปจากโลก
เพลิงสีดำมืดหม่นชวนขนลุกและลายเส้นสีชาดปานจะกลั่นหยดหยาดหลอมรวมกับบารมีสีทองกระจ่างใสเจิตจ้าแล้วพลิกเข้าล้อมหลอมรวมเป็นเนื้อหนึ่งเดียวกันของรัศมีพลังธรรมชาติ
และจักรวาลทั้งปวง
ทั้งสามขั้วกลายเป็นลูกบอลกลมที่ค่อยๆ เบ่งบานออกดั่งดอกบัวกระจายกลีบ
ทั้งงดงามทรงพลังและทรงอันตราย
ร่างของทั้งยี่สิบเอ็ดคนเกิดประกายสัญลักษณ์ของพลังสามขั้วที่แตกต่าง
ทว่าในวันเวลานี้พวกเขายอมสงบศึกและสร้างพันธสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเบื้องหลัง
พันธสัญญาสันติภาพปัญญาธรรม.
………………..***
ความคิดเห็น