คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ศิษย์ข้าต้องเทพเกรียน
บทที่ 10 ศิษย์ข้าต้องเทพเกรียน
หลังจากกล่าวประโยคชวนถูกรุมฆ่าในการขอตัวพนักงานดีเด่นแห่ง world sky ออกไปแล้วท่านประธานซันก็ไม่พูดอะไรต่อเพียงปรายตาคมๆ สังเกตปฏิกิริยาต่อต้านของทุกคนด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“เรื่องแรกเหมือนสั่งให้เราล้มละลายไปซ้ะ เรายังคงรับด้วยน้ำตาตกในจนใจแตกไปหลายรอบ แต่เราก็ยังพอกล้ำกลืนรับได้ เรื่องที่สองนี่เราต้องขอโทษจริงๆ ทางเราไม่สามารถให้น้ำค้างใสไปเป็นเอ่อ....เอ่อ..พนักงานแลกเปลี่ยนได้จริงๆ” ฟ้าแลบ
ผู้เป็นพ่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้งๆ แม้ในใจจะเกรงใจคนตรงหน้าอยู่บ้างแต่ดีกรีอารมณ์หวงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนยังมากทะลุเพดานมากกว่า
“งั้นเรามาถามคุณหนูตัวน้อยดีกว่า....ว่าเธอจะยอมไปเป็นพนักงานแลกเปลี่ยนไหม?” ท่านประธานซันเหมือนเคยผ่านตากับทุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศของแสงดาวที่เกลื่อนอยู่เต็มโซฟาที่บ้าน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเอาคำว่าแลกเปลี่ยนนั้นมาใช้กับบริษัทที่เป็นอริทางการค้าต่อกัน....จึงทำให้คนทั้งหมดอึ้งและสนเท่ยิ่งกว่าเดิม
เพราะมันไม่เคยมีมาในอดีตและอนาคตไม่รู้ว่าจะมีรึเปล่า!
หญิงสาวเหลือบดวงเนตรใสผ่านทุกใบหน้าบนโต๊ะที่กำลังทอแววคับแค้นจนเหลือจะกล่าว
“เอ่อ....คือ...หนู.....” จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็พูดมากกว่านี้ไม่ได้สักที
“คุณหนูตัวน้อยพูดตามฉันน้ะง่ายๆคือเอ่อ...หนูตกลงค่ะ จะไปเป็นพนักงานแลกเปลี่ยนสามปีให้บริษัท world haunt”
ท่านประธานซันชื่นชมตัวเองอย่างพึงพอใจ เพราะสำนวนธุรกิจยากๆ เขาก็พอจำได้บ้าง
สายตาอาฆาตของแต่ละคนบนโต๊ะรวมเป้าจ้องรอยยิ้มบานแฉ่งของชายชราที่ประกายตาระยิบระยับ
ส่วนหญิงสาวเจ้าของสรรพนามแสนน่ารักก็หันจ้องหน้าประสานสายตากับคนข้างๆ ตาเขียว
“หนูขอคิดก่อน”
คำตอบของหญิงสาวที่สะเหมือนสมบัติวิเสทของบริษัททำให้ญาติผู้ใหญ่แต่ละคนแทบสะดุ้งตกเก้าอี้
ท่านประธานสมโชคอ้าปากค้าง ตาเหลือกจ้องชายตรงหน้าด้วยความแค้นเคือง
“หนอย จำไว้ไอ้เลวข้าจะให้หลานขโมยข้อมูลของบริษัทแกให้หมด!” ยังไม่ทันที่น้ำค้างใสจะตอบตกลงไหมคุณลุงก็ขู่คู่อริด้วยแววตาโหดๆ จนยอดยุทธ์ซันได้แต่อมยิ้มหัวเราะ
“คราวนี้ก็หมดเรื่องของพวกคุณแล้ว ผมจำเป็นต้องคุยเป็นการส่วนตัวกับคุณหนูตัวน้อย” ไม่รอปากอ้าค้างของใครหุบลงท่านประธานซันอุ้มคนตัวเล็กขึ้นในอ้อมแขนและเดินไปหามุมคุยเรื่องส่วนตัวระหว่างเขาและเธอ
ชายหนุ่มพิงหลังลงกับเสาต้นใหญ่และก้มหน้าจนดวงตาของเขาที่เปลี่ยนกลับมาเป็นสีดั้งเดิมคือนิลสลับน้ำเงินฟ้าระยิบระยับประสานกับดวงตาใสที่จะเหมือนหลุดเข้ามาในโลกของดวงตาสีประหลาดของเขาไปแล้ว
พนักงานและผู้บริหารแถวนั้นชะเง้อคอมามองและหูตั้งกระดิกเตรียมฟังบทสนทนาที่อาจจะทำให้พวกเขามีเรื่องเล่าเม้าสนุกไปอีกหลายวัน
“คุณหนูตัวน้อย ฉันจะไม่ถามว่าขาเธอไปเป็นอะไรมาหรอกน้ะ แต่เรื่องที่ฉันไปที่ตลาดห้ามเธอบอกใครเด็ดขาด
ไม่งั้นฉันจะไม่รักษาขาเธอ
แล้วเรื่องที่เห็นฉันบินได้ก็ห้ามบอกใครไม่งั้นฉันจะจับเธอทำเมียซ้ะ!” คำขู่ของชายโสดหลายทศวรรษทำให้หญิงสาววัยย่างยี่สิบในวงแขนสะดุ้งโหยงจนใบหน้าเนียนอมชมพูนั้นซีดเผือดลงชั่ววูบหนึ่ง
ท่านประธานซันหัวเราะขันใบหน้าของหญิงสาวที่ดวงเนตรใสเปลี่ยนเป็นเขียวอย่างขุ่นเคือง
“ฉันจะไม่ถามหรอกน้ะว่าคุณเป็นใคร แล้วก็รู้ไว้ด้วยฉันไม่สนใจเรื่องของคุณ” ริมฝีปากเล็กๆ น่าจูบเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสขึ้นจมูกดวงตาขุ่นเขียวของคนในตาหวานทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้มขบขัน
“สักวัน...ฉันจะบอกเธอเองคุณหนูตัวน้อย!” รอยยิ้มมุมปากชวนหมั่นใส้ของคนที่อุ้มเธอไม่เบื่อทำให้น้ำค้างใสเม้มปากชมพูอิ่มด้วยท่าทางขัดเขิน
“จริงสิ แล้วอีกเรื่องละสำคัญมาก” จู่ๆ ท่านประธานซันก็นึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาคู่สวยประหลาดจึงทอแววตกใจ จนทำเอาอีกคนต้องจดจ้องชายร่างสูงที่ทำหน้าตลกแบบนั้นแล้วเหมือนคนแก่หน้ายุ่ง
“อะไรค้ะ?” น้ำค้างใสเผลอพูดด้วยความตกใจตามชายเจ้าของวงแขนกว้างๆ อย่างตกอกตกใจไปด้วย
“คุณหนูตัวน้อย เรื่องที่ฉันขอเธอแต่งงานไง~~~~~”
โลกของใครหลายคนกลายเป็นขาวโพลนไปชั่วขณะ แล้วก็เป็นใบหน้าใสที่ทอประกายเลือดฝาดระเรื่อ.....จนดวงหน้ารูปไข่งดงามที่สุดต้องเบือนไปจ้องทางอื่น
เจ้าของคำพูดชวนช็อคก็แอบปรายตาจ้องหลังเสาที่มีคนอย่างน้อยสามคนน้ำลายฟูมปากช็อคยิ่งกว่าคนในวงแขนไปไม่รู้กี่เท่า
………….
“แกรีบใสหัวปายยย!!!”
เป็นประโยคโหยหวนพร้อมน้ำตาที่ไหลซึมของท่านประธานสมโชค~
…
เวลาห้าโมงเย็นตรงเป๊ะๆ ไม่มีขาดมีเกินแก๊งเกรียนต่างมานั่งหน้าสลอนซดน้ำเต้าหู้รอคนนัดบนหลังของแต่ละคนแบกกระบอกฉีดน้ำของปืนที่กำลังโด่งดังเป็นพรุแตกครบทุกคน
รอเพียงไม่นาน ร่างของคนที่นัดพวกเขาไว้ก็ปรากฏตัวในชุดสุดแนว
หมวกแก๊บสีขาวผ้าพันคอสีเขียวเสื้อสีม่วงแจ๊ดกางเกงขาสั้นสีเหลืองอ๋อยและรองเท้าแตะสีชมพูข้างซ้ายและขวาสีส้ม
ทำเอาแต่ละคนสูดปากและร้องฮือด้วยความตลึง
“คืนนี้ป่าตองหรือบางแสนดีลูกเพ่!”
ไอ้หนุ่มมอร์เตอร์ไซต์ซดน้ำเต้าหู้เสียงดังพลวดแล้วทักทายชายชราที่รีบปลี่เข้ามาฟาดกระบานของเจ้าลูกสมุนหลายคนที่รีบเผ่นหายจากหม้อน้ำเต้าหู้อย่างด่วนจี๋
“เฮ้ยๆ แก๊งเกรียนอะไรว้ะทำไมไม่สั่งน้ำเต้าหู้ตำหรับจักรพรรดิมากิน ร้านแค่นี้มีจ่าย” หัวเราะร่าพร้อมตบกระเป๋าทำเอาลูกน้องหลายคนน้ำลายไหลเยิ้ม
“โห่ปู่ มีเงินกินไปวันๆ ก็บุญแล้ว” เจ้าหนุ่มมอเตอร์ไซต์บ่นแต่ก็ยังยกมือตะโกนบอกเจ้าของร้านที่ทำหน้าที่ตั้งแต่สากกะเบือยันต้มน้ำเต้าหู้
“เฮีย ตำหรับจักรพรรดิจัดมาหนึ่งหม้อ” ชายชราหัวเราะแล้วเดินมาตบไหล่ป๊าบๆ ด้วยความพึงพอใจ แต่ทำเอาคนโดนตบถึงกับซุดลงไปนอนบนพื้นพร้อมเก้าอี้เหล็กที่หลุดออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยด้วยความง่ายดาย
“อ้าว โทษทีเผลออีกแล้วหวะฮ้ะๆ!” ชายวัยรุ่นหลายสิบคนต่างรีบเผ่นออกไปยืนห่างชายชราด้วยแววตาหวาดผวา
“ไอหยา เอาอีกเลี้ยวพวกลื้อทำล้านอั๊วพังอีกเลี้ยว” ชายหนุ่มเชื้อสายจีนเผ่นจากหม้อน้ำเต้าหู้แล้วโวยวายลั่น ส่วนในมือควงปังตอมาด้วย ชายวัยรุ่นต่างเตรียมเผ่น แต่เมื่อเห็นชายชราที่ตบกระบานพวกเขาเรียงตัวก่อนจากกันยังคงหัวเราะฮ่าๆ เหมือนคนบ้าเสียสติ ไม่รู้ขวัญกำลังใจมาจากไหนทำให้พวกเขายังคงปักหลักไม่เผ่นไปไหน
“เฮ้ยแป๊ะ ลื้ออยากเจ๊งเหรอ?” ชายชราเลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนแห้งเหี่ยว จนทำอาแป๊ะหัวเราะเยาะเสียงดัง
“เดี๋ยวลื้อจะไล่รู้ว่าอั๊วมีฝีมือปังตอกรีดฟ้า!” ชายวัยรุ่นต่างอ้าปากค้าง เมื่อได้ยินฉายาของเจ้าของร้านเต้าหู้ผู้ประกาดตัวว่าเป็นปังตอกรีดฟ้า
“ฮ่าๆ กลับบ้านไปหั่นผักให้เมียเถอะแป๊ะฮ่าๆ” อาแป๊ะกระโดดเข้าหาพร้อมกวัดแกว่งปังตอสะสมแรงทั้งหมดสับลงหา
ชายชราเสื้อม่วงที่ยกตะเกียบบนโต๊ะขึ้นแทงสวนออกไป
“ตูม!”
เสียงระเบิดของกำลังลมปราณสองขุมที่ปะทะกันจนส่งมรสุมพลังลมอัดเหล่าว่าที่ศิษย์จนล้มลงนอนระเนระนาดบนพื้นด้วยปากที่อ้าค้างและเสียงฮือกระหึ่ม
ชายชราเสื้อม่วงแหงนหน้าขึ้นหัวเราะลั่นจนดวงตาคู่คมเปร่งประกายลึกลับ อาแป๊ะที่สัมผัสได้ถึงความร้ายกาดของคนตรงหน้าทำเพียงอมยิ้มเล็กน้อย
“ไอ้หนูทั้งหลาย พวกแกอยากเป็นแบบข้ากับท่านปรมาจารย์ไหม?” เกิดความเงียบขึ้นวูบหนึ่งก่อนเสียงโห่ร้องฮือฮา
จะดังลั่นร้านจนมีเสียงด่าทอจากร้านรวงใกล้เคียงดังมาพร้อมข้าวของหลายอย่างที่บินหวือเข้าหาร้านแต่เพียงอาแป๊ะ
ดีดนิ้วตะเกียบหลายสิบคู่ก็พุ่งทะยานออกไปกระแทกกับของที่ลอยหวืดมาจนระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“โห่แป๊ะ เทพขนาดนี้ทำไมไม่บอกกันบ้าง” อาแป๊ะหันไปแสยะยิ้มให้เจ้าของคำพูดโอดครวญของหนึ่งในชายวัยรุ่นที่
ส่วนใหญ่เป็นพลเมืองชั้นสองจนดวงตาคมของอาแป๊ะต้องหรี่แสงลงหม่นหมองวูบหนึ่ง
“อั๊วต้องมีลีบ้าง ไม่งั้นจาทำมาหากินอาไร!” อาแป๊ะเดินกลับไปหน้าหม้อน้ำเต้าหู้อีกครั้ง ทิ้งให้พวกเขาเหลือบมองชายชรา
ที่ยกยิ้มเบาๆ
“มาๆ เข้าแถวๆ แนะนำตัวกันหน่อย” ท่านประธานซันที่แอบโดดกลับไปเปลี่ยนชุดมาโบกมือให้เด็กๆ มาเรียงแถว แต่
แววตาลึกซึ้งก็ยังมองตามหลังอาแป๊ะไปอย่างคลุ่นคิด
ยอดคน!
เมื่อลาก พยุงและคลานมาเข้าแถวกันได้หัวหน้าแก๊งเกรียนคนปัจจุบันไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซต์ก็เริ่มแนะนำตัวเป็นคนแรก
“ผม เทพซุส ฉุดสาวตลอดซอย!” พร้อมเสยผมเท่ๆ
จนชายชราส่ายหัว
“ผมดอน นอนไม่เลือกที่!” ชายวัยรุ่นคนที่สองคือคนที่จะแย่งเงินจากเด็กสาวขายดอกไม้เมื่อเช้านั่นเอง แววตาเขายังคงทอแววพรั่งพลึง
“ผมเฮส เด็ดถ้าตำส้ม!” พร้อมทำท่าควงสากขยับขึ้นลง
“ผมเดท เยสถ้าใช่เลย!” พร้อมสอดนิ้วชี้ลงในรูกำปั้นแล้วขยับยึกยัก
“ผมมาร์คซัคคามอย!” พร้อมทำท่าพรมนิ้วลงบนแป้นคีบอร์ดแต่เหมือนจะจิ้มนิ้วลงบนบางอย่างเสียมากกว่า
“ผมโล่ โง่ที่สุดในสามโลก!” พร้อมเอาหัวกระแทกขอบโต๊ะดังโป๊กๆ
“หนู....ไอศกรีมแท่งใกล้บูด ปู้นๆ อยู่ทุกวัน!” เพื่อนหนุ่มแตกฮือเมื่อเข้าใกล้รัศมีความบึกบึน แม้แต่ท่านประธานซันยังต้องกลืนน้ำลายฝืดๆ
“ผม ไอ้แมงมุมขยุ่มหลังลาย ให้ต๊ายให้ตายก็ไม่เอาเธอ!” พร้อมเดินสะบัดตูดฟาดตู้มใส่ไอศกรีมแท่งสใกล้บูดจนคนรูปร่างหมียักษ์ล้มกระแทกพื้นดังลั่งตึง
“ผม โคนัน แม่ให้ไปถอนฟันมานานแล้ว!” พร้อมยิ้มร่าโชฟันสีเขียวใส
“ผมขุนทอง ไม่เคยทำใครท้องจริ้งๆ น้ะ!” ท่านประธานซันสะดุ้งโหยงเมื่อกิตติศัพท์ลูกศิษย์แต่ละคนชั้นเทพทั้งนั้น
“ผม หลวงพ่อโกย วัดหน้าตั้ง ชนของพังมาไม่น้อย!” เด็กหนุ่มเต้นยักไหล่ยึกยักและยิ้มเผล่
“ผมสีซอ แม่ร้องมอๆ ยังไม่ฟัง!” พร้อมทำท่าชักซอจนท่านประธานซันทำหน้าตึงเครียด
“ผม ทรพี พ่อบอกคนดีที่สุดเลยลูก!” พร้อมหมุนตัวโชว์เสื้อลูกดีเด่น
“ผม สมชาย ให้ต๊ายให้ตายขอเป็นสมหญิง!” พร้อมทำท่าน่าระแวง
“ผมเซเว่นตอนตีสี่ ตอนนี้กำลังว่างเลย!” พร้อมโชว์ตรา 7 11
“ผม สุนทรพนม จากความเกลียวกลมของจาพนมและสุนทรภู่!” ยืนนิ่งๆ และกางแขนออกกว้างพร้อมทำท่าตีลังกาและเป่าปี่….
“หนู เจ้าแม่นาคี มีแต่หมีขาวขั้วโลกใต้!” พลึบ
สายตาของชายวัยรุ่นทั้งสิบหกคนหันขวับมาจ้องสมาชิกคนที่สิบเจ็ดที่หมุนตัวจนกระโปรงนักเรียนบานละล่องเหมือนที่เธอพูดฉายาจริงๆ
“ยัยเด็กขายดอกไม้!!” เจ้าเทพซุสชี้หน้าแล้วเต้นผาง
“หนอยแน่ กล้ามาล้อชื่อแม่ฉันเหรอ!” มีเพียงแลบลิ้นปลิ้นตาให้ก่อนจะวิ่งไปหลบหลังคุณปู่ที่ได้แต่กะพริบตาอึ้งๆ
หลังจากแนะนำตัวกันจบเรียบร้อยท่านประธานซันก็เริ่มเปิดโรงงานนรกให้เหล่าลูกศิษย์เกรียนๆ เหล่านี้ได้เข้าสู่ห้วงปรับพื้นฐานลมปราณและสื่อสัมพันธุ์แห่งจิตใจ
บนโต๊ะของร้านน้ำเต้าหู้ข้างทางที่ขึ้นป้ายว่าปิดบริการ
ภายในเหล่าศิษย์แต่ละคนกำลังนั่งขัดสมาธิและถูกส่งจิตวิญญาณเข้าสู่ขุมพลังลมปราณขั้นวิญญาณของยอดยุทธ์
ซันกุ้ยเซียนเรียบร้อยแล้ว
ใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกสักสองถึงสามชั่วโมงการปรับพื้นฐานพลังลมปราณน่าจะเสร็จสมบูรณ์ แล้วเวลานั้นจะได้เห็นพลังสมาธิของแต่ละบุคคล
“ศิษย์ของข้า พวกเจ้าต้องเป็นเทพเกรียนให้ได้” แม้แต่ซันกุ้ยเซียนก็ไม่รู้หรอกว่า เหล่าลูกศิษย์ของเขาชุดแรกนี้ จะทำให้ชายหนุ่มอ้าปากค้างและเกิดอาการเอ๋อไปอีกหลายวัน…
เสริมบท
อาแป๊ะ: โฮ่ๆ จิบน้ำเต้าหู้ชมดูศิษย์ท่านฝึกฝีมือเป็นอย่างไร?
ท่านประธานซัน: ปกติมันใช้สุราไม่ใช่เรอะ!
โปรดติดตามตอนต่อไป บทที่ 11 อาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนหวะ~
……………………….***
ความคิดเห็น