ตอนที่ 9 : BamBam's attack 08 : กฏข้อที่8 ถอยออกมาหากเจอสถานการณ์ที่ตั้งรับไม่ทัน 100%
กฏข้อที่8 : ถอยออกมาหากเจอกับสถานการณ์ที่ตั้งรับไม่ทัน
เคยตั้งความหวังกับอะไรไหมสักอย่างแล้วผิดหวังไหมครับ ?
อารมณ์แบบสแตนด์บายหน้าคอมรอกดจองบัตรคอนเสิร์ต รีเฟรชแล้วรีเฟรชอีก พอถึงเวลา...แม่ง เน็ตหลุด
เฟล...
เฟลมากเลยแหละ
แต่ถ้าหากเทียบกับกรณีนี้...
ผมว่ามันคล้ายทีเดียวล่ะ
กับคนที่เราแอบชอบ ถ้าหากเขามาทำดีด้วยมันก็ต้องมีคิดแหละว่าเขาอาจจะมีใจ เผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปก็หลายที หัวใจพองโตไปก็หลายครั้ง แถมยังถลำลึกขึ้นทุกวัน...
จนบางครั้งก็หลงลืม...
ลืมคิดเลยว่าเขาอาจจะทำอย่างนี้กับทุกคน
ยอมรับนะว่าความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม โอเค ผมไม่โทษพี่มาร์คหรอกที่ทำแบบนี้กับผม แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าแอบฉุนพี่แกนิดหน่อยที่ทำตัวเหมือนให้ความหวัง
คนที่ทำให้หัวใจของผมพองโตเป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้มันแฟบลง มันจุกจนพูดไม่ออก จะร้องก็ไม่มีน้ำตา เลยได้แต่เดินกลับไปหาไอ้ยูคที่ยืนรออยู่หน้าโรงหนัง รับขนมในมือมันมาถือแล้วเดินเข้าโรงอย่างเงียบ ๆ
ผมเมินคำถามของยูคยอมที่เฝ้าถามว่าเป็นอะไรถึงได้แปลกไป ทำเพียงแต่จ้องมองไปยังหน้าจอตรงหน้า จนกระทั่งหนังเริ่มมันถึงได้เงียบไป...
ความคิดหลายอย่างเริ่มปะทุขึ้นมาในหัว เฝ้าถามถึงเหตุผลว่าทำไม ?
ทำไมพี่มาร์คถึงทำอย่างนี้ ? หรือนี่คือนิสัยของพี่เขาอยู่แล้ว แล้วพี่เขาจะเอาใจใส่ผมทำไม ท่าทีเป็นห่วง ทำเหมือนแคร์ผม แล้วไหนจะไอ้คำพูดที่ชวนให้ความหวังนั่นอีก ถ้าหากพี่มาร์ครู้ว่าผมคิดยังไง เขายังจะทำแบบนั้นกับผมอยู่ไหม
บางทีมันก็เหนื่อยนะ
ความรู้สึกน่ะ มันปิดกันไม่ได้ตลอดเวลาหรอก
“ มึงเข้าไปหลับ ”
“ กูเปล่า ” ผมปฏิเสธคำกล่าวหาของคิมยูคยอม มันเอาแต่บอกว่าผมหลับมาตั้งแต่เราเดินออกจากโรงหนังแล้ว จนตอนนี้จะเดินออกจากห้างอยู่ละมันก็ยังไม่เลิก =_=
“ หลับดิ แม่ง ถามห่าอะไรก็ไม่รู้เรื่อง มึงเข้าไปนอนใช่ไหม เอาค่าตั๋วกูคืนมาเลย ” ว่าแล้วไอ้คนตัวโตก็ยื่นมือของมันมาตรงหน้าผมราวกับเด็ก ๆ ทวงของเล่น ถ้าหากว่ามึงไปเจอคนที่แอบชอบไปทำกับคนอื่นเหมือนที่ทำกับมึงนี่มึงยังจะมีกะจิตกะใจจะดูหนังไหม ตอบบบบบ
ผมยกมือขึ้นตีแปะเข้าที่มือไอ้ยูคไปหนึ่งทีแล้วสะบัดหน้าหนีมันด้วยความรำคาญแล้วก็ต้องชะงักอยู่กับที่เมื่อพบกับตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมเป็นอย่างนี้
พี่มาร์คอยู่ตรงนั้น หน้าร้านไอศกรีม เขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น ยืนยิ้ม ยืนหัวเราะ หยอกล้อกันไปมา และก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นผม
ไม่สิ ในสายตาของเขามันไม่ได้มีผมอยู่เลยด้วยซ้ำ
ผมกัดริมฝีปากแน่นเมินหน้าหนีจากภาพบาดตา ตอนนี้หูของผมแทบไม่ได้ยินเสียงพร่ำบ่นของยูคยอม ผมทำเพียงแต่เดิน เดินไปข้างหน้า ไปให้ไกล ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว ...
“ เชี่ย !!! ”
“ เห้ย ! ไอ้แบม ! ”
ร่างทั้งร่างของผมเสียการทรงตัวเอนไปข้างหน้าเมื่อเท้าของผมข้างหนึ่งเผลอเหยียบเชือกรองเท้าของตัวเองเข้า ใจของผมหายวาบเมื่อภาพตรงหน้ามันไม่ใช่พื้นโล่งอีกต่อไป ผมหลับตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวดเมื่อร่างกายกำลังล่วงหล่นลงไปสู่เบื้องล่าง ผมกำลังจะตกบันได...
พลั่ก !
ตุบ ๆๆๆ
คิมยูคยอมกำลังวิ่งลงมา...
นั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็น
กลิ่นยาฆ่าเชื้อและภาพเพดานสีขาว นั่นคือสิ่งแรกที่ผมรู้สึกและมองเห็น ก่อนความรู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะจะแล่นเข้ามาเมื่อผมพยายามจะลุกขึ้นนั่ง
“ อย่าเพิ่ง ” มือของใครคนหนึ่งกดไหล่ทั้งสองข้างของผมให้แน่นิ่ง คำสั่งสั้น ๆ ติดจะห้วนที่แสนคุ้นเคยดึงสายตาของผมให้หันไปมองด้วยความงุนงง
ตาดุทอดมองมายังผมคล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง แล้วผมก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเสื้อที่เขาใส่เปอะเปื้อนไปด้วยคราบสีแดงสด อยากจะเอ่ยถามเขาถึงสาเหตุแต่ก็ไม่ทันเมื่อร่างสมส่วนเอี้ยวตัวไปเปิดม่านกั้นเตียงออกแล้วพูดคุยกับใครบางคน
“ เฮีย... ”
“ อะไรอีก ก็บอกว่าคนไข้ฟื้นแล้วค่อยเรียกไงวะ นี่เรียกทุก ๆ ห้านาที เป็นหมอนะเว้ย ไม่ใช่บ๋อยจะได้เรียกใช้บริการได้ตลอดเว !! ” แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
“ ฟื้นแล้ว มาดู ” พี่มาร์คเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันหน้ากลับมา ตาคมไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังสำรวจหาสิ่งแปลกปลอม
เกร็งครับ...
กูเกร็ง
“ เจ็บ... ” ผมบอกเสียงอ่อย คือทำยังไงก็ได้เลิกมองกูทีเถอะ แล้วไอ้ยูคอ่ะ ไอ้ยูคไปไหนทำไมพี่มาร์คถึงได้มาอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมเสื้อพี่แกเปื้อนเลือดขนาดนั้น แล้วทำไมผม...
“ ฟื้นแล้วเหรอคนซุ่มซ่าม ” เสียงทะเล้น ๆ ของคุณหมอชุดขาวดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ยิ้มแฉ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างพี่มาร์ค แฟ้มในมือถูกยกขึ้นไปเคาะเบา ๆ ที่หัวของคนข้างตัวจนได้ค้อนกลับไปวงโตจากนั้นก็เริ่มพูดกับผมอีกครั้ง “ เจ็บตรงไหนบ้าง บอกหมอหน่อยสิตัวเล็ก ^^ ”
อ่า...
บางที หมอที่นี่ก็ให้ความสนิทสนมกับคนไข้ดีเนอะ
“ แบมแบม ”
“ ครับ ? ” ผมขานรับเมื่ออยู่ ๆ พี่มาร์คก็เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากหน้าตาเท่าไหร่
“ ไม่ใช่เรา ” พี่มาร์คพูดกับผมก่อนหันไปสบตากับคุณหมอยิ้มแฉ่งแล้วเอ่ยประโยคถัดไป “ เรียกแบมแบมสิเฮีย ”
“ หึ ” คุณหมอหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นสองข้างในระดับไหล่ราวกับผู้ร้ายที่ยอมมอบตัว “ โอเค ๆ แบมแบมเจ็บตรงไหนบ้าง ไหนบอกพี่หมอหน่อยซิ ”
“ หัวฮะ แล้วก็ปวดตามตัวอีกนิดหน่อย อันที่จริงผมปวดข้อเท้าขวาด้วย ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอะไรหรือเปล่า ” ผมบอกอาการ อืม ตกบันไดนี่ไม่ใช่อะไรที่สนุกเลยนะ เจ็บโคตร ๆ :(
“ อ่าห๊ะ เป็นแน่ ๆ เล่นตกลงมาตั้งแต่ขั้นแรกเลยนิเรา พี่หมอใส่เฝือกอ่อนไว้ให้ อย่าขยับมานักล่ะ ดูเหมือนว่ามันจะร้าวนิดหน่อย ส่วนหัวก็เย็บไปหกเข็ม ดีที่ไม่แตกเยอะ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ แค่รอยฟกช้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สลบไปก็คงแค่ตกใจน่ะ รอให้น้ำเกลือหมดขวดก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ ”
อ่า ไม่เป็นอะไรมาก ?
แต่ต้องใส่เฝือกไว้นี่นะ ?
“ นอนค้างสักคืนไม่ได้เหรอเฮีย ” แล้วพี่มาร์คก็เอ่ยขึ้นอีกหน คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ทำหน้าจริงจังซะคุณหมอต้องถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นเกาคิ้วตัวเองราวกับรำคาญเต็มทน
“ นี่บอกเป็นรอบที่ร้อยแล้วนะ ไม่-ได้-เป็น-อะ-ไร-มาก กลับบ้านได้แล้ว ”
“ แต่ผมว่าน่าจะเอ็กซเรย์... ”
“ พอเลยมาร์ค ต้วน เฮียขอ เราเอ็กซเรย์น้องแบมสองรอบแล้ว นะ ”
“ บอกว่าให้เรียกแบมแบม ”
“ โว้ะ ! จะยังไงก็ช่าง รอน้ำเกลือหมด ไปรับยาแล้วจ่ายตังค์ เสร็จแล้วก็โกโฮมได้ โอเค๊ ! ” ว่าจบคุณหมอชุดขาวก็หันมาฉีกยิ้มให้ผมหนึ่งทีก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีหัวเสียสุด ๆ เหลือเพียงแต่ผมกับพี่มาร์คซึ่งยังคงงึมงำกับเรื่องนอนโรงพยาบาลไม่หยุด
“ พี่ว่าเราน่าจะได้นอนนะ ” พี่มาร์คหันมาพูดกับผมเบา ๆ แล้วทำท่าครุ่นคิด
“ เอ่อ คือ... ”
“ เดี๋ยวมา ” ว่าจบร่างสมส่วนของพี่แกก็หมุนตัวหันหลังแล้วเดินจากไปโดยไม่ฟังผมเลยแม้แต่น้อย สองนาทีถัดมาเสียงโวยวายก็ดังขึ้นบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน
“ นี่ยังพูดไม่รู้เรื่องอีกหรือไงหา ใครก็ได้เอามันไปเก็บที รำคาญว๊อยยยย ”
ผมได้ไม้ค้ำมาหนึ่งอัน พร้อมกับผ้าก๊อต ยาฆ่าเชื้อ และยาแก้อักเสบอีกถุงใหญ่ อืม จะว่ายังไงดีล่ะ มีสองข้อที่ผมค้นพบในตัวพี่มาร์คในวันนี้ก็คือ หนึ่ง พี่มาร์คกับพี่หมอซองจุน อ่า พี่หมอที่รักษาผมอ่ะนะ พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และสองโรงพยาบาลนั่นเป็นธุรกิจหนึ่งของตระกูลต้วน
ผมรู้ว่าครอบครัวของพี่มาร์คทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ก็ไม่นึกเลยว่าโรงพยาบาลจะเป็นหนึ่งในนั้นแถมยังมีญาติเป็นหมออีกแหน่ะ
จะว่าไปผมนี่ก็รู้อะไรเกี่ยวกับเขาน้อยเหมือนกันแฮะ
ยิ่งรู้จักพี่เค้ามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าผมไม่รู้จักเขามากขึ้นเท่านั้น
ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ไม่มีพี่เค้าอยู่ในสายตา บางที อะไร ๆ อาจจะเปลี่ยนไป เช่นตอนนี้ หัวใจของเขาอาจจะไม่ว่างเหมือนเคยแล้วก็ได้...
“ เจ็บแผลเหรอ ” เสียงของพี่มาร์คปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ละสายตาจากข้างทางหันไปสบตากับคนข้างตัวก่อนทอดมองไปยังเบื้องหน้าแล้วตอบเสียงเบา
“ นิดหน่อยฮะ ”
“ ครั้งหน้าก็ระวัง ๆ ล่ะ เกิดเป็นมากกว่านี้จะทำยังไง แล้วถ้าพี่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นใครจะช่วย ” ตรงนั้น ? พี่เห็นผมด้วยเหรอ ? ผมอยู่ในสายตาของพี่ด้วยเหรอฮะ
“ ยูคยอมก็อยู่นี่ฮะ อันที่จริง... ”
“ กับยูคยอมนี่แค่เพื่อนกันเหรอ ” ผมชะงักเมื่ออยู่ ๆ พี่มาร์คก็ถามแทรกขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่นิสัยของเขาเท่าไหร่ ปกติแล้วเขาจะรอจนอีกฝ่ายพูดจบถึงจะเริ่มพูด...
“ ก็...ฮะ ”
“ เพื่อนสนิท ? ”
“ ครับ ? ” ผมเลิกคิ้วสงสัยเมื่ออีกฝ่ายยังคงถามไม่เลิก ไม่...ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองอีก ไม่อีกแล้ว สิ่งที่เขาทำด้วยเขาอาจจะไม่ได้ให้ความหวังผมหรอก มันอาจจะเป็นเพราะผมเองแหละ ที่ให้ความหวังตัวเอง พี่มาร์คอาจจะแค่อยากรู้ ก็แค่อยากรู้เท่านั้นแหละ
“ ไม่มีอะไรหรอก ” แล้วเขาก็ตัดบทเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าบ้านผม
“ ขอบคุณฮะ ” เอ่ยขอบคุณเสียงเบาก่อนเอี้ยวตัวไปเปิดประตูแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่ออีกฝ่ายก็หันไปเปิดประตูรถของตัวเองแล้วเดินอ้อมมาหาผม
“ คิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหนฮึ ” พี่มาร์คว่าเบา ๆ ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถด้านหลังแล้วหยิบไม้ค้ำมาให้ผมถือไว้ จากนั้นก็หันหลังให้แล้วย่อตัวลง
“ เอ่อ ” ผมมองการกระทำนั้นด้วยความงุนงง คือเขาจะให้ผมขี่หลัง...งั้นเหรอ ?
“ เร็ว ๆ สิ ย่อนาน ๆ มันเมื่อยนะ ”
“ แบมว่า... ”
“ คิดว่าเดินไหวหรือไง เร็วสิ ” เขาเร่ง
“ พี่มาร์คคือ... ”
“ แบมแบม ให้ไว มันเมื่อยนะเนี่ย -_- ” น้ำเสียงติดจะเข้มหน่อยของพี่มาร์คซึ่งบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวว่าไม่ค่อยจะพอใจแล้วทำให้ผมจำต้องโถมตัวใส่เขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สองแขนเล็กโอบรอบคอ มือข้างหนึ่งถือไม่ค้ำยันเอาไว้ทางเฉียงเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการก้าวเดินของเขา ส่วนอีกข้างก็ถือถุงยาไว้แน่น
ผมขมวดคิ้วสงสัยเมื่อพี่มาร์คยกกุญแจบ้านของผมขึ้นไขแล้วเปิดเข้าไป นี่เขาไปเอามาตอนไหนกัน ? แต่ยังไม่ทันที่จะถามให้หายสงสัยเจ้าตัวก็ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อไม่สามารถเปิดมันออกได้
“ ช่วยหน่อย ” ว่าแล้วพวงกุญแจของผมก็ถูกยื่นขึ้นมาในระดับมือ ซึ่งผมก็รับมันมาอย่างรวดเร็วเพราะเห็นว่ามืออีกข้างของเขาคงไม่สามารถรับน้ำหนักของผมได้นานแน่
พี่มาร์คย่อตัวเล็กน้อยเพื่อให้ผมไขประตูเข้าไปได้ ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักเขาก็พาร่างของผมเข้าไปในบ้านได้อย่างง่ายดาย ผมบอกให้พี่มาร์คหยุดเมื่อเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับผนังแล้วกดสวิตเพื่อเปิดไฟ
“ อยู่คนเดียวเหรอ ” พี่มาร์คเอ่ยถามพร้อมกับพาผมไปยังโซฟากลางบ้าน คือบ้านหลังที่ผมอยู่เป็นบ้านชั้นเดียวฮะ มีสองห้องนอนสองห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น และหนึ่งห้องครัว บ้านหลังเล็ก ๆ ที่พ่อซื้อไว้ให้ เมื่อก่อนตอนที่ผมมาเกาหลีใหม่ ๆ จะมีพี่เลี้ยงมาอยู่ด้วย เนื่องจากแม่เห็นว่าผมเด็กเกินไปที่จะอยู่คนเดียว พอโตขึ้นอีกหน่อย ขึ้นชั้นมัธยมปลาย ผมดูแลตัวเองได้แล้วแม่จึงลดเหลือแค่ให้มีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้แบบเช้ามาเย็นกลับ
“ ฮะ ” ผมรับคำ พี่มาร์ควางผมลงกับโซฟาจากนั้นก็ยืนเต็มความสูงแล้วบิดตัวไปมา อะไรกัน ผมไม่ได้หนักขนาดนั้นสักหน่อย -3-
“ มิน่า ตอนมาส่งคราวนั้นถึงไม่มีใครมาเปิดประตูให้ ”
“ แหะ ๆ ” คิดแล้วก็น่าอายก็เลยได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ กลับไป ไม่กล้าถามหรอกว่าผมทำอะไรลงไปบ้างตอนเมา
“ แล้วนี่จะทำแผลยังไงตอนเช้า ? ” พี่มาร์คถามก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ
“ เดี๋ยวแม่บ้านจะมาตอนเช้า เดี๋ยวแบมให้ทำให้ก็ได้ฮะ ” พี่มาร์คพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็หยิบเอาถุงยาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู
“ เฮียบอกว่าวันแรกแผลจะตึง ๆ หน่อย ห้ามโดนน้ำ แล้วก็ต้องกินยาแก้ปวดแล้วก็แก้อักเสบด้วยกันไข้ขึ้น ”
“ ฮะ ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก เป็นไข้อีกเหรอ ? เหอ ๆ ทุกคนคงจะไม่คิดถึงน้องแบมเวอร์ชั่นฮาร์ดคอหรอกใช่ไหม
“ มีโอกาสสูงนะที่ไข้จะขึ้นเอาคืนนี้ ”
“ อ่า ครับ ”
“ แล้วยิ่งอยู่คนเดียวด้วยแบบนี้ ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมาจะบอกใคร ”
“ เดี๋ยวแบมโทรบอกยูคยอมให้มาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ฮะ ” ยังไงซะมันก็กลับมาแล้วนี่ นี่ยังไม่ได้ชำระแค้นเลยนะที่มันไม่มาเฝ้าผมอ่ะ
“ ทำไมต้องยูคยอม ” พี่มาร์คขมวดคิ้ว
“ เอ้า ก็... ”
“ เดี๋ยวพี่อยู่เฝ้าเอง ”
“ ฮะ ? ” ผมเบิกตาโตเมื่อพี่มาร์คพูดจบ พี่มาร์คเนี่ยนะจะมานอนเฝ้าผม ?
“ อื้อ ทีตอนพี่ป่วยเรายังไปนอนเฝ้าเลย แถมติดไข้มาด้วย ”
“ อ่า แบมว่า... ”
“ นี่ล่ะ จะไปเดือดร้อนเพื่อนทำไม ” เดือดร้อนเพื่อนมันไม่เหมือนเดือดร้อนพี่นี่ฮะ
“ แบม... ”
“ มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนไหม พอดีเปื้อนเลือดของคนซุ่มซ่ามไปหมดแล้ว ”
“ ... ”
“ ทำหน้าอย่างนั้น ถึงจะไล่ก็ไม่ไปหรอกนะ ”
“ เสื้ออยู่ในตู้ เดี๋ยวแบม... ”
“ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ลุกไปเอาเองดีกว่า ขอเปลี่ยนเสื้อก่อนแล้วจะไปหาอะไรให้กิน จากนั้นจะได้กินยาเนอะ ”
“ อ่า ” ผมพูดไม่ออกเมื่อคนตรงหน้าเริ่มพูดเองเออเองแล้ว พี่มาร์คล้วงกระเป๋าตังค์พร้อมกับโทรศัพท์มากองไว้บนโต๊ะจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วส่งยิ้มตาหยีมาให้ผม
อ่า -///-
“ เดี๋ยวคืนนี้พี่จะเป็นป๊าให้แบมมั่ง...เนอะ ”
ไม่ต้องมาเนอะเลยคนนิสัยไม่ดี -////-
ผมมองตาร่างของพี่มาร์คที่หายเข้าไปในห้องนอนของผม คนไม่มีมารยาท เปิดประตูเข้าห้องนอนคนอื่นหน้าตาเฉยอย่างนั้นได้ไง ขออนุญาตเจ้าของเขายัง
แล้วนี่ที่มาทำให้เข้าของบ้านหวั่นไหวนี่มารับผิดชอบเลยนะ
มีสิทธิ์อะไรมายิ้มใจดีแบบนั้นให้คนอื่นเค้าใจเต้นกันล่ะหาาาาาาา
อ่า แต่บางที...
นี่อาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมไม่สามารถเลิกชอบเขาได้
ตื้อดึ่ง !
เสียงแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนของพี่มาร์คดังขึ้นพร้อมกับปรากฏข้อความบนหน้าจอ ผมรู้ว่ามันไม่ควร แต่สายตาของผมกลับจ้องมองไปที่ผมด้วยความอยากรู้
Lovelylovegirl : มาร์คคคคคค น้องเป็นไงบ้าง
Lovelylovegirl : ตอนนี้อยู่ไหน
Lovelylovegirl : ตอบบบบบบ
Lovelylovegirl : อะไรคือทิ้งฉันไว้กลางห้างแล้ววิ่งออกไป
Lovelylovegirl : ได้ยินไหมมาร์คต้วน ไม่ตอบจะโกรธละนะ
Lovelylovegirl : กลับมารายงานตัวด่วน ๆ อย่าให้โมโหนะ !!
แต่ว่านะ บางที...
การที่เราเลือกที่จะไม่รับรู้อะไรเลย มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้นะ
มันนานแล้วนะ...
นี่เลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้วนะ...
ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาเป็นรอบที่สิบก่อนจะเงยหน้าขึ้นชะเง้อมองหาร่างของคนบางคนที่บอกว่าจะมารับหลังเลิกเรียนที่ห้อง แต่ก็นั่นล่ะฮะ ไร้เงา...
จากตอนแรก ๆ ที่ตึกเรียนมีนักเรียนเยอะแยะ ตอนนี้ทั้งตึกแทบจะกลายเป็นตึกร้างไปแล้วล่ะครับ จากวันที่ผมตกบันไดก็ผ่านมาได้สองวันแล้ว แผลก็เริ่มจะแห้ง ๆ หน่อยแล้วล่ะ แต่ก็ยังคงปวดอยู่บ้าง ส่วนขาก็ยังคงเข้าเฝือกไว้เหมือนเดิม =__=
ส่วนคิมยูคยอมก็หายต๋อมไร้เงาเช่นเคย โทรไปก็ปิดเครื่อง ไลน์ไปก็ไม่เปิดอ่าน แล้วยิ่งตัวเป็น ๆ ของมันนี่อย่าไปหวังเลยครับ ! ผมถอนหายใจให้กับตัวเองอีกหน ตัดสินใจหันไปหยิบไม้ค้ำขึ้นมาแล้วพยุงตัวเองขึ้นอย่างทุลักทุเล อย่างน้อยช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมาผมก็ยังพอคุ้นเคยกับมันอยู่บ้าง การที่ผมจะเดินไปห้องซ้อมโดยไม้ค้ำนี่คงไม่ใช่ปัญหา
บางคนอาจสงสัยนะฮะว่าผมเจ็บขนาดนี้แล้วยังต้องเล่นดนตรีอยู่เหรอ บอกเลยครับ ผมเป็นนักกีตาร์ครับ ใช้มือเกากีตาร์ครับไม่ใช่ตีน ยืนไม่ได้กูก็นั่งครับ แถมถอนตัวไม่ได้ด้วยนะ อีกสองอาทิตย์คือจะถึงวันงานแล้วไง หาคนมาแทนคงจะไม่ทันและพี่เนียร์มันก็คงจะไม่ยอม
อืม มันก็คงต้องเป็นกรรมของแบมแบมต่อไปนั่นแหละ
กว่าผมจะลากสังขารตัวเองลงจากตึกได้นี่ก็ใช้เวลานานโข โชคดีนะที่ห้องเรียนของผมอยู่แค่ชั้นสอง ถ้าเป็นชั้นห้าล่ะก็มึงเอ้ยยยยย กูไม่อยากจะเซด แทนที่จะลงบันไดกูขอดิ่งพสุธาลงมาทางระเบียงดีกว่า =_=
พี่มาร์คนะพี่มาร์ค ก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องมารับ บอกว่าไปเองได้ พี่แกก็ยังจะดื้อมารับ แล้วนี่เป็นไง มาไม่ได้ก็ไม่บอกแถมหายเงียบไปเลย คอยดูนะถ้าเจอพ่อจะงอนซะให้เข็ด ฮึ่ม ๆ
ผมก่นด่าคนนิสัยไม่ดีในใจไปตามทางพร้อม ๆ กับพยุงร่างของตัวเองไปด้วย จนกระทั่งเกือบถึงห้องซ้อม ในจังหวะที่ผมกำลังจะเลี้ยวเข้าไปอยู่ ๆ เสียงหนึ่งกับเรียกให้ผมหยุดชะงัก
เปล่าหรอก เจ้าของเสียงนั้นไม่ได้เรียกชื่อผม...
แต่ชื่อที่ออกมาจากปากของเธอต่างหากที่เรียกผมเอาไว้
“ นายกำลังทำผิดสัญญานะมาร์คต้วน ” ผมมองหาที่มาของเสียง ขมวดคิ้วฉับเมื่อพบร่างสองร่างที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ซึ่งผมเคยลากพี่แบคกับไอ้เตนล์ออกมาคุย
พี่มาร์คซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบของทางมหา’ลัยJYP กำลังยืนหันหลังให้ผมอยู่ กับผู้หญิงอีกคนซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบของทางมหา’ลัยSM ยืนเผชิญหน้ากับเขา ผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมเห็นเธออยู่หน้าห้องน้ำกับพี่มาร์ค
ดวงตาคู่สวยของเธอแดงก่ำราวกับกำลังสะกดกลั้นน้ำตาไม่ไหล แววตาขุ่นเคืองทอดมองไปยังคนตรงหน้า ปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรงก่อนเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายเมื่อเขาตอบกลับเสียงแผ่ว
“ ฉันขอโทษ... ”
“ ฮึก...ทำไมนายทำแบบนี้ล่ะ นายเห็นฉันเป็นตัวอะไร ” เธอสะอื้น มือบางยกขึ้นปิดปากเมื่อน้ำตาหยดแรกร่วงหล่น
“ ... ”
“ ที่ผ่านมามันก็เป็นแค่ละครสินะ ”
“ ... ”
“ นายมันแย่ ฉันไม่น่าไว้ใจคนอย่างนายเลยจริง ๆ ” ร่างบางตัดพ้อในขณะที่อีกคนเลือกที่จะเงียบ ตัวของเธอสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ผิดกับอีกคนที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่มาร์คทำหน้ายังไงรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้คนตรงหน้าเขาแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว
“ ... ”
“ นายหักหลังฉัน...อย่างเลือดเย็น ฉันไม่น่าเชื่อนายตั้งแต่แรก ”
“ ขอโทษ...”
“ เลิกพูดคำว่าขอโทษสักที !!! ฮือออ ” ร่างบางตะคอกก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก มือบางยกขึ้นผลักร่างของพี่มาร์คแต่เขาแทบจะไม่ขยับตัว
“ ... ”
“ ถึงนายจะพูดมันออกมาเป็นพันครั้งมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้...ฮึก... ”
“ แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง ในตอนนี้มีสิ่งเดียวที่ฉันคิดออกก็คือคำว่าขอโทษ ” เสียงที่เปล่งออกมาจากปากของเขาราวกับคนสำนึกผิด พี่มาร์คขยับเข้าไปหาร่างบางหนึ่งก้าว จ้องมองเธอนิ่งแล้วพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้โลกของผมแทบพังไปในพริบตา
“ ... ”
“ เรา...กลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้ไหม ซูจี ”
ไม่ไหวแล้ว...
นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่
สองขาของผมก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ ตอนนี้แผลที่เจ็บตามร่างกายไม่อาจเทียบได้กับแผลใหม่ที่เกิดขึ้นภายในใจ ความเจ็บแล่นแปลบขึ้นสู่หัวใจโดยทันทีที่สมองประมวลผลสำเร็จ
ประโยคนั้นของเขายังคงรีเพลย์ซ้ำ ๆ ในหัว
“ เรา...กลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้ไหม ซูจี ”
“ เรา...กลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้ไหม ซูจี ”
“ เรา...กลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้ไหม ซูจี ”
แล้วผมล่ะ...
พี่เอาผมไปไว้ที่ไหนล่ะ พี่จะเอาผมไปไว้ที่ไหนในขณะที่พี่กำลังจะเริ่มใหม่กับใครอีกคน ผมคนนี้ควรจะยืนอยู่ที่ตรงไหนเหรอครับ...
พลั่ก
“ เชี่ย ! ” ร่างของผมเด้งไปข้างหน้าเมื่อแผ่นหลังปะทะเข้ากับร่างของใครบางคน เสียงอุทานอันแสนคุ้นเคยของเจ้าตัวทำให้ผมต้องหันขวับ
คิมยูคยอม...
เพื่อนรักที่หายสาบสูญของผมมันยืนอยู่ตรงนี้แล้ว มันยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว...
“ เห้ย ร้องไห้ทำไมวะ ! ”
“ มึงหายไปไหนมา ” ผมเอ่ยถามยูคยอมเสียงเบาเมื่อมันนั่งลงข้างผม ตอนนี้ผมสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอะไรก่อนดี ผมควรจะนั่งเงียบ ๆ หรือควรอาละวาดก่อนดี ควรโกรธหรือควรเสียใจ ควรร้องไห้หรือตะโกนด่า ผมไม่รู้ ผมไม่รู้เลยจริง ๆ
“ กูไม่ได้ไปไหน ”
“ แล้วทำไมมึงไม่อยู่กับกู ”
“ ... ”
“ กูตกบันได กูเจ็บ กูหัวแตก กูเลือกออก กระดูกกูก็ร้าว แถมมีรอยฟกช้ำไปทั่วตัว ตอนนั้นมึงก็อยู่กับกูแล้วทำไมพอกูตื่นมาทำไมกูไม่เห็นมึง ”
“ ... ”
“ มึงไปไหนมา...ฮึก ”
“ ... ”
“ อย่างน้อยมึงก็น่าจะรับโทรศัพท์กู น่าจะอ่านข้อความที่กูส่งไป โทรมาหากูหน่อย ถามกูบ้างว่ากูเป็นยังไง หรือไม่ก็มาหากูที่บ้าน...ฮึก...ฮือออ ” ผมไม่รู้...
“ แบมแบม คือกู...”
“ มึงมันเหี้ยยูคยอม ” ผมไม่รู้ว่าที่ผมร้องไห้ออกมานี่ เป็นเพราะผมน้อยใจมันหรือว่าเสียใจจากภาพเมื่อครู่นี้กันแน่
“ ... ”
“ มึงก็รู้ว่ากูไม่มีใคร แต่มึงก็ยังทิ้งกู ”
“ ... ”
“ มึงทิ้งกูได้ยังไง มึงทิ้งกูไว้กับเขาได้ยังไง ฮืออออออออ ”
“ แบมแบม กูขอโทษ... ”
“ ถ้ามึงยังอยู่กับกู กูก็คงจะไม่เจ็บขนาดนี้ กูคงจะไม่เป็นแบบนี้ กูคง...กูคง...ฮืออออ มึงมันเหี้ย ฮืออออออ ”
“ กูขอโทษ...กูขอโทษจริง ๆ กูไม่รู้ โทรศัพท์กูหาย แต่พี่มาร์คก็ดูแลมึงดีไม่ใช่เหรอ ที่กูปล่อยให้มึงไปกับเขาเพราะกูรู้ว่ามึงคงอยากอยู่กับเขา คนที่มึงต้องการเห็นหน้าเมื่อลืมตาตื่นก็คงเป็นเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาสองวันนี่กูอยากให้มึงอยู่กับเขา มึงจะได้ทำคะแนนได้ไง กูไม่อยากเข้าไปเป็นกอขอคอ ยังไงซะ โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับเขามันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ แต่กู...กูคงคิดผิด ใช่ไหม ? ”
“ ฮืออออ มึงมันเหี้ย ฮืออออ ”
“ กูขอโทษ... ”
“ กูเจ็บ มึงเข้าใจไหมว่ากูเจ็บ ฮือออ ”
“ มึงเจ็บแผลเหรอ มา ๆ เดี๋ยวพาไปทำแผล ไม่ร้องดิเห้ย โตแล้ว ” ยูคยอมเอื้อมมือมาจับไหล่ของผมหมายจะพยุงให้ลุกขึ้นยืนแต่ผมกลับขืนตัวไว้ ไม่ยอม จนมันหันมามองหน้าผมงง ๆ
“ กูไม่ได้เจ็บแผล...ฮึก...กูเจ็บนี่ กูเจ็บ ฮือออ ” ผมทุบอั่ก ๆ ที่อกข้างซ้ายของตัวเอง ภาพของพี่มาร์คกับผู้หญิงคนนั้นฉายชัดขึ้นมาบนหัวพร้อมกับประโยคขอเริ่มต้นใหม่ของเขาก็ดังก้องในโสตประสาทเช่นเดียวกัน
เจ็บ ไม่ไหวแล้ว...
“ แบมแบม มึงเป็นอะไร มึงบอกกูมา มึงต้องการอะไร ใครทำอะไรมึง บอกกูมา อย่าทำแบบนี้ดิเห้ย เดี๋ยวก็เจ็บมากไปกว่านี้หรอก ” ยูคยอมจับมือทั้งสองข้างของผมไว้มั่นเพื่อไม่ให้ผมทำร้ายตัวเอง ผมร้องไห้สักพักก่อนจะค่อย ๆ เงียบลง พยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นแล้วเริ่มเล่าโดยมียูคยอมนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ
“ กูไม่รู้ว่ะแม่ง ”
“ ... ”
“ กูก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองด้วยว่ะ...ฮึก...อาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนกูไม่ได้เข้าใกล้เค้าขนาดนี้ด้วยมั้ง กูเลยไม่อะไรมาก ”
“ ... ”
“ ในตอนนั้นกูชอบเขานะ ชอบมาก แต่ก็ไม่ได้อยากเป็นแฟน ไม่เคยวาดฝันให้เขามาชอบมารักกูหรอกนะ แต่ตอนนี้แม่ง ”
“ ... ”
“ ความรู้สึกกูมันไม่เหมือนเดิมแล้วว่ะ ทั้ง ๆ ที่กูก็ยังชอบเขาเหมือนเดิมนะเว้ย แต่ไม่รู้ทำไมกูถึงอยากเป็นมากกว่านั้น... ”
“ ... ”
“ กูรู้สึกเหมือนกับว่ากูเป็นคนโลภ กูอยากได้เค้าทั้งตัว ทั้งหัวใจ อยากให้ตัวกูอยู่ในสายตาเขา อยากให้เขามองกูเหมือนอย่างที่กูมองเขา อยากให้เขารู้สึกเหมือนอย่างที่กูรู้สึก กูอยากเป็นที่หนึ่งของเขา กูอยากให้เขาทำดีกับกูเพียงแค่คนเดียว กูอยากให้เขา...ฮึก...เข้าใจกู... ”
“ ... ”
“ แต่กูก็รู้...ฮึก...แม่ง มันเป็นไปไม่ได้ไงมึง... ”
“ ... ”
“ กูมันทำตัวของกูเองแหละ จะโทษใครก็ไม่ได้...ฮึก...กูไปรักเขาเอง คิดไปเองคนเดียวว่าเขาจะรู้สึกเหมือนตัวเอง...ฮึก...กูมันโง่แหละมึง โง่ ที่เลิกชอบเขาไม่ได้...ฮึก...ฮือออ ” แล้วน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ต้องไหลลงมาอีกรอบ ร่างของผมสั่นสะท้านจนยูคยอมต้องกอดเอาไว้แน่น เพื่อนตัวโตของผมลูบหลังให้ใจเย็น แต่ก็ดูเหมือว่าน้ำตาที่ไหลมันไม่มีทางที่หยุดง่าย ๆ
“ กูควรจะทำยังไงดี ยูค มึงช่วยกูหน่อย ฮือ มึงช่วยคนโง่ ๆ อย่างกูหน่อยดิ ฮืออออ ”
“ มึงเหนื่อยหรือยัง ”
“ ฮืออออ ” ผมพยักหน้า เหนื่อยเหรอ ผมเหนื่อยมาก เหนื่อยที่ต้องคอยหวาดระแวง เหนื่อยที่ต้องคอยปิดบังความรู้สึก เหนื่อยมากจริงๆ
“ มึงเลิกชอบเขาไม่ได้ใช่ไหม ”
“ ฮือออออ ” แต่จะให้เลิกชอบเค้าผมก็ทำไม่ได้ ก็เลยได้แต่พยักหน้าอีกครั้ง
“ กูรู้ว่ามึงพยายามมาหลายครั้งแล้ว ”
“ ฮือออ ” ใช่ ผมพยายามมาหลายครั้งแล้ว
“ กูจะไม่บอกให้มึงเลิกชอบเขาหรอกนะ แบมแบม มึงฟังกูดีๆ นะ”
“ อือ...ฮึก...ฮือออ ”
“ ถ้ามึงเลิกชอบเขาไม่ได้ มึงก็ไม่ต้องเลิก ”
“ ....ฮึก ”
“ แต่มึงแค่ถอยออกมา ”
“ ... ”
“ แค่มึงค่อย ๆ ถอยออกมาทีละก้าว แล้วกลับมายืนข้างกูนี่ ”
“ ... ”
“ แล้วเมื่อไหร่ที่มึงเข้มแข็งพอที่จะเดินต่อ กูนี่แหละ จะเป็นคนผลักดันมึงเอง ”
“ ฮึก...”
“ เหนื่อยก็พัก ไม่รักก็พอ ถุ๊ย ไม่ใช่ปูนา ”
“ น้อยหน่าเหอะ สัด ”
“ น้อยหน่าพ่อง หนูนาเว้ย ”
“ เออ นั่นแหละสนิทกัน ”
“ นี่ถ้ามึงไม่เศร้านี่กูตบหัวทิ่มไปแล้ว สัด อกหักแล้วยังไม่เจียม ”
นั่น ยังไม่วายแดกดันกู =__________=
ผมหัวเราะน้อย ๆ ให้กับที่ทีกระฟัดกระเฟียดของยูคยอม มือข้างหนึ่งยกขึ้นปาดน้ำตา ถึงแม้ว่ามันจะกวนตีนผม จะชอบด่าแล้วก็ใช้กำลังกับผม แต่ถึงยังไงมันก็ยังคงเป็นที่พักใจของผมเสมอ คอยพยุงเมื่อผมล้มแม้มันจะเผลอเหยียบ คอยปลอบเมื่อผมเศร้าแม้มันจะซ้ำเติมก่อน คอยให้กำลังใจเมื่อผมท้อแม้มันจะด่าทอและตบตีผม
แต่ถึงยังไงผมก็รักมันนะ
วันหนึ่งหากว่าผมไม่มีเขาจริง ๆ
อย่างน้อยผมก็ยังคงมีเพื่อนที่ชื่อว่า คิม-ยูค-ยอม
“ สัด แล้วเลิกร้องไห้ได้แระ ตาบวมอย่างกับลูกมะนาว ถ้าเป็นตอนกลางคืนนะกูคงตกใจ นึกว่าผี คนห่าอะไรร้องไห้แล้วอัปลักษณ์ฉิบหาย ”
ผมถอนคำพูดทันมั้ย ?
TBC.
ใครคือนักอ่านใหม่ รายงานตัวให้เราชื่นใจหน่อยจิ .___.
#ฟิคทอรมบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพือนมดดูแลลูกงูดีมากแม้จะกัดบ่อย
สงสารน้อง
ยูคแบมๆๆๆ ได้กันๆ
น้ำตาไหลมาไม่รู้ตัวเลยสงสารแบมจัง????
แบมจะต้องกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิม ไม่ต้องสนเเล้ว อีพี่มาร์คนั่นน่ะ
เชียร์มาร์คแบมมานานมาก แต่นะจุดๆนี้ ขอลงเรือยูคแบมแทนละกันค่ะ!
ส่วนอิมาร์คไปไหนก็ไปไท่ต้องมาแก้ตงแก้ตัวด้วย!!
ผู้หญิงนี่เป็นใครไหนพรูดดด
หรือพูดแบบนี้กับทุกคน
นายเป็นคนยังไงกันแน่