ตอนที่ 10 : BamBam's attack 09 : กฏข้อที่9 ควรเผื่อใจเอาไว้หากอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน 100%
กฏข้อที่ 9 : ควรเผื่อใจเอาไว้หากอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกัน
ผมไปนอนที่บ้านของไอ้ยูค
และเลือกที่จะปิดมือถือ ขาดเรียน และไม่ไปซ้อม จากหนึ่งวัน กลายเป็นสองและสาม ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่สบาย จากสภาพของผมแล้วพี่เนียร์คงไม่กล้าโวยเท่าไหร่หรอก ก็เล่นหัวแตกกับกระดูกขาร้าวซะขนาดนี้
ผมรู้ดีว่าการทำแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไร ถึงยังไงซะผมก็หนีเขาไม่พ้นหรอก ผมยังต้องไปซ้อมดนตรีและต้องพบกับเขาอยู่ดี คนขี้ขลาดยังไงมันก็คือคนขี้ขลาดนั่นแหละครับ อย่างน้อยการหลบหน้าเขาสองสามวันนี้มันก็ทำให้ผมคิดอะไรหลาย ๆ อย่างได้
เขาไม่ผิด...
แต่เป็นผมต่างหากที่ผิด...
“ เห้ยแบม ไปหาไรแดกกันเหอะ มึงอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมนี่มาหลายวันละนะ ”
“ ไม่อ่ะ ” ผมตอบเอื่อย ๆ ในขณะที่ตาก็จ้องมองจอไอแพดตรงหน้า อืมมม อย่างน้อยเวลาสามวันมานี่มันก็ทำให้ผมค้นพบอะไรบางอย่าง HEYDAY มันไม่ใช่เกมปลูกผักเลี้ยงสัตว์ธรรมดานะครับ มันยังคงทำผลิตภัณฑ์อย่างอื่นขายได้ด้วย -_-
โอ๊ะ นั่น เรือมาแล้วนี่หว่า ผมต้องขายอะไรบ้างนะ ? ขนแกะ เค้ก แล้วก็น้ำแครอทใช่ไหม ? อ่า ต้นไม้ก็เหี่ยวแล้ว เลื่อยเสือกไม่มีอีก สัด แล้วกูจะไปหาซื้อที่ไหน ในหนังสือพิมพ์ก็ไม่ค่อยจะมีหรอก ถึงมีซื้อไม่ทันชาวบ้านเค้า เน็ตบ้านไอ้ยูคแม่งช้าฉิบหาย
“ ถ้ามึงไม่ออกกูจะปิดเน็ต ถ้าต้นไม้มึงตายกูก็จะไม่เข้าไปกดให้ เอาดิ -*- ”
แม่ง ทำไมต้องทำกับกูอย่างนี้ด้วยวะ
“ กูเจ็บขา มึงไม่เห็นไงว่าขากูใส่เฝือกอยู่อ่ะ ”
“ ใส่เฝือกสิมึงต้องเดิน มึงจะไม่ออกกำลังกายเลยไง ? เดี๋ยวมึงจะกลายเป็นอิหมูตอนขาพิการเข้าสักวัน มีแต่กินกับนอน ”
“ แต่กูอกหักอยู่นะเว้ยยยย ” หลับหูหลับตาเถียง ไม่จริงหรอก หุ่นกูออกจะสเลนเดอร์ไม่มีทางกลายเป็นอิหมูตอนง่าย ๆ หรอก มึงไม่ต้องมาหลอกกู !!
“ อกหักแบบโง่ ๆ อย่างมึงนี่กูไม่นับ ”
“ ควาย ” มึงเคยรักกูบ้างไหมเนี่ย =______=
“ เร็วเลยให้ว่องอิโง่ ”
เรียกซะกูอยากจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อนรักมึงเลย สัด แต่ละคำที่พูดมานี่เห็นใจกูเหลือเกิน มึงคงจะรักกูมากสินะคิมยูคยอม
ว่าแล้วมันก็ลากผมไปขึ้นรถโดยทันที และห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านก็คือจุดหมายต่อไป...
“ มึง ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยวะ ” ผมเอ่ยถามไอ้ยูคเลี้ยวรถเข้าไปในห้าง นี่มันห้างใกล้ ๆ กับคอนโดเฮียแจ็ค มีเปอร์เซนต์สูงเลยทีเดียวที่จะพบพี่มาร์ค ก็เฮียแจ็คกับพี่มาร์คเป็นเพื่อนกัน ใครจะรู้วันดีคืนดีสองเพื่อนซี้นั่นอาจจะมาเดินแถวนี้ก็ได้
“ มึงจะกลัวอะไรอิเป๋ ” ยูคยอมหันมาชักสีหน้าใส่ผมก่อนจะหันไปขับรถวนหาที่จอดต่อ
“ ก็มันอยู่ใกล้คอนโดเฮียแจ็คอ่ะ ” ผมพึมพำ กูยังไม่พร้อมเจอพี่มาร์คนะเว้ย
“ นี่ล่ะ อย่าพูดมาก กูจอดรถละเนี่ย ” ว่าแล้วยูคยอมเพื่อนรักก็จอดรถทันทีที่พูดจบ เออดี เชื่อฟังกูจั๊งงงง “ เอ้า นั่งหน้าเอ๋ออยู่นั่นแหละ จะลงไม่ลง ”
นั่น การด่ากูในทุกประโยคของมึงนี่มันคงจะทำให้มึงมีความสุขมากสินะ =_= ผมขมุบขมิบปากด่ามันสองสามคำก่อนจะหันไปเปิดประตูรถลงไปอย่างช่วยไม่ได้ นี่กูเป๋อยู่นะมึงยังจะให้กูเดินเองอีกเหรอ ยูคยอม
ถ้าเกิดว่ากูมากับพี่มาร์คนะ ป่านนี้เขาคงจะเดินมาเสนอตัวให้กูขี่หลังแล้ว นั่น คิดทำไมแบมแบม เศร้าไปดิมึง สะกิดแผลดิมึง เอ้า จะร้องแล้วดิมึง สัด T^T
“ กินไรดีวะ ” ไอ้คนตัวสูงพึมพำทันทีที่ขาทั้งสองข้างก้าวเข้าสู่ประตูห้าง เออ ใจคอมึงนี่จะไม่รอกันเลยใช่ไหม มึงลืมไปหรือเปล่าว่าช่วงนี้เพื่อนมึงไม่ครบสามสิบสองอ่ะ มึงรอกูด้วยเด้ !
“ รอด้วยดิ ! ” ผมกระชากเสียงบอกไอ้คนตรงหน้า ซึ่งแม่งก็ได้ยินกูเหลือเกิน เดินหน้าตั้งไปแล้วนั่นน่ะ เดินไปไม่เหลียวหลังเลยไอ้ฟายยยย ลากกูออกมาแล้วไม่รับผิดชอบกูนี่คือ ?
“ เอ้า อิเป๋ มึงเดินให้ไวกว่านี้หน่อยดิวะ ” นั่นนนนน นี่ผมควรจะขอบคุณพระเจ้าใช่ไหมครับที่มันยังอุตส่าห์จำได้ว่ามันลากผมออกมาด้วย ผมก่นด่ามันไปชุดใหญ่ก่อนเร่งฝีเท้าไปหามันที่ยืนรออยู่หน้าร้านอาหาร
แต่เชื่อไหมครับ ทันทีที่ผมเดินไปถึงตัวมันไอ้โย่งนี่ก็ออกเดินต่อไป มันเดินต่อไปโดยที่ลืมกูอีกแล้วครับพี่น้อง! โอ๊ย ไอ้เหี้ย ! มึงช่วยดูสภาพเพื่อนมึงหน่อยได้ไหมควายยยย
“ โอ๊ะ ! เฮียบี !!! ” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อไอ้คนตรงหน้าตะโกนเรียกชื่อเฮียบี ยูคยอมโบกมือหยอย ๆ ให้เฮียบีคนฟันเงิงที่ยืนหน้าเอ๋อแดกอยู่หน้าช็อปเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วก็ต้องชะงักค้างอยู่กับที่เมื่อเห็นร่างสั้น ๆ ของเฮียแจ็คเดินออกมาสมทบ ยูคยอมวิ่งเข้าไปทักทายเฮียทั้งสอง พูดคุยกันแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง เออ รู้ครับว่าพวกคุณสามคนหล่อ แต่ช่วยแคร์ภาพลักษณ์กันหน่อยได้ไหมครับ
แล้วผมก็ต้องอ้าปากหวอเมื่อคนทั้งสามเดินกอดคอกันเข้าไปยัง ช็อปนั้นราวกับว่ามาด้วยกัน เอ่อ คุณเพื่อนครับ คุณมึงลืมกูครับ ช่วยเห็นกูอยู่ในสายตาหน่อยเถอะครับ T^T
ผมถอนหายใจพรืด ปลงให้กับชีวิตตัวเอง คือกูต้องเดินตามมึงเข้าไปใช่ไหมหรือยังไง แต่แปลกนะ เฮียบีกับเฮียแจ็คอยู่นี่แล้วอีกคนไปไหน ? โอเค เมื่อกี้นี้ไม่เห็นเขาแสดงว่าปลอดภัย เขาคงไม่ได้มาด้วยหรอกมั้ง...
“ แบมแบม ? ”
ฉิบ...หาย...
เสียงนี้มัน...
“ ใช่จริง ๆ ด้วย ” ผมแทบปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อคนที่เรียกชื่อผมจากทางด้านหลังเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า พะ...พี่มาร์ค มาได้ไง “ แบม ไปไหนมา ”
เสียงทุ้มยังคงเอ่ยถาม ใบหน้าที่แสดงออกถึงความห่วงใยชัดเจน คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ตาคมจ้องมองมาที่ผมอย่างต้องการคำตอบ
“ ... ”
“ พี่โทรหาทำไมไม่รับ ” เสียงนั้นเข้มขึ้นราวกับต้องการดุ
“ ... ”
“ เห็นจูเนียร์บอกว่าไม่สบาย...เป็นอะไรมากหรือเปล่า ” แววตาที่เขาใช้มองผม ทำไมมันช่างอ่อนโยน น้ำเสียงนั่น...ก็เช่นเดียวกัน มันอ่อนลงเมื่อเขาพูดประโยคสุดท้าย
พรึ่บ
“ อย่า... ” ผมถอยเอนตัวหนีสัมผัสจากเขาเมื่อคนตรงหน้ายื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสหน้าผากของผม พี่มาร์คขมวดคิ้วอีกครั้งมองการกระทำของผมงง ๆ
“ เป็นอะไร อย่าทำแบบนี้สิ ” ไม่เอา... อย่าพูดกับผมด้วยน้ำเสียงแบบนี้สิ
“ ... ”
“ พี่เป็นห่วงนะ ” ห่วง...งั้นเหรอ
“ ... ”
“ แบมแบม พูดกับพี่หน่อยสิครับ เป็นอะไร ”
“ ... ”
“ โกรธอะไรพี่เหรอ พี่... ”
“ พอเถอะพี่มาร์ค ” ผมเอ่ยขัดคนตรงหน้าเสียงเรียบ เบนสายตาออกไปที่อื่นสูดหายใจเข้าลึก ๆ บังคับเสียงไม่ให้สั่น สะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหล
ไม่ได้นะแบมแบม อดทนไว้ก่อน อีกแค่นิดเดียวนะ อีกนิดเดียว
“ ... ”
“ อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ ” บอกเขาไป บอกความต้องการของมึงไปแบมแบม
“ ? ”
“ อย่าทำดีกับแบมอีกเลยนะ ” สิ่งที่มึงคิดได้น่ะ สามวันมานี้มึงคิดอะไรได้ มึงก็บอกเขาไป
“ แบม... ”
“ อย่าเข้าใกล้แบม ” กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ก่อนลากสายตาไปสบกับดวงตาสีเปลือกไม้ของคนตรงหน้า แน่นิ่ง ไม่ไหวติงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ ... ”
“ อย่าทำดี อย่าทำเป็นหวง อย่าบอกว่าห่วง อย่าทำเหมือนแคร์ อย่าแสดงท่าทีเหมือนสนใจ ”
“ พี่... ”
“ แบมอึดอัด ”
“ ... ”
“ หวังว่าพี่จะเข้าใจนะครับ ” โกหก...ผมเลือกที่จะโกหกออกไป ดวงตาของพี่มาร์คไหววูบ ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งสองคน ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะเบือนหน้าหนี
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ผมจึงตัดสินใจกระชับไม้ค้ำในมือก้าวขาเตรียมจะเดินออกไป แต่เดินไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักเมื่อคำตอบที่ต้องการดังออกมาจากริมฝีปากนั่น
“ ...อืม เข้าใจแล้ว ”
แปลกนะ ทั้ง ๆ ที่เป็นคำที่ต้องการแต่ทำไมผมถึงไม่อยากได้ยินมันกันล่ะ
ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำหน้ายังไงดีในตอนนี้
ผมควรจะทำตัวปกติ พูดคุย หัวเราะ ทำท่าร่าเริงเฮฮากับพวกเฮียแจ็ค แต่ก็นั่นล่ะฮะ ผมปั้นหน้าไม่ไหว แค่มานั่งร่วมวงเหล้าที่คอนโดเฮียแจ็คพร้อมกับพี่มาร์คได้โดยไม่ร้องไห้ออกมานี่ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
ถ้าเผื่อยูคยอมมันจะสังเกตหน้าผมสักนิดเมื่อตอนที่เฮียแจ็คชวนมาก๊งเหล้าที่คอนโดมันคงจะดี มันก็น่าจะรู้ว่าเมื่อสามวันก่อนนี่ผมร้องไห้จะเป็นจะตายก็เพราะพี่มาร์ค แล้วมาวันนี้มันกลับลากผมมาเจอกับพี่เขาหน้าตาเฉย แม่ง กูอยากหายตัวว่ะ
ใครว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีนี่ผมขอค้านเลยนะครับ
ไอ้นี่มันเห็นเหล้าฟรีดีกว่าความรู้สึกเพื่อนครับ !
“ เอ้าไอ้แบม ดื่มหน่อยดิวะ ” เฮียแจ็คว่าพร้อมกับยื่นแก้วเหล้ามาให้ ผมส่ายหน้าน้อย ๆ เพื่อปฏิเสธก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อพี่มาร์คมองมา “ เอ้า ไอ้นี่ หยิ่งเว้ยเห้ย ”
“ เอ้า ๆ ไอ้นั่นก็ซดเอา ๆ ใจคอมึงจะไม่พูดอะไรสักคำเลยไง ” ผมเหลือบตาไปมองพี่มาร์คเมื่อเฮียบีพูดถึง เขาวางแก้วเปล่าลงกับโต๊ะแล้วเสตามองไปที่อื่นโดยไม่พูดอะไร
“ เอ่อ ทำไมผมรู้สึกถึงรังสีอะไรบางอย่าง ” ยูคยอม นี่มึงพึ่งจะสัมผัสได้เรอะ !
“ เออ แม่ง รู้สึกบรรยากาศมันมาคุแบบแปลก ๆ ” เฮียบีพูดพร้อมกับหยิบเอาแก้วของพี่มาร์คมาชงเหล้าให้ อื้อหือ เทเหล้าเยอะซะขนาดนั้นไม่ดื่มเพียว ๆ ไปเลยล่ะป๋า
“ กูถามจริง พวกมึงเป็นอะไรกันครับ ” เฮียแจ็คถามแล้วมองหน้าเราสองคนสลับกัน “ นั่งเงียบกันยังกับลืมพกปากมาด้วย ไอ้มาร์คถ้ามึงง่วงก็กลับไปนอน ส่วนไอ้แบม ถ้ามึงปวดขี้ก็เชิญครับ เข้าห้องน้ำได้กูไม่คิดตังค์ ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ยอมตอบคำถามเฮียแจ็คเช่นเดียวกันกับพี่มาร์คที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
“ โว้ยยยย กูไม่ไหวละนะ !! ไอ้มาร์คลุก ! กูมีเรื่องจะคุยด้วย ” เฮียแจ็คลุกขึ้นโวยวายหันหน้าไปสั่งพี่มาร์คเสียงดังก่อนหันมาชี้หน้าผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน “ ส่วนมึงแบมแบม นั่งรออยู่นี่ อย่าเสือกกลับก่อน ไม่งั้นมึงเจอดี ! ”
ว่าจบเฮียแกก็เดินออกไปตามด้วยร่างของพี่มาร์คที่ลุกขึ้นยืนแบบเอื่อย ๆ แล้วเดินตามร่าง ๆ สั้น ๆ ของเจ้าของห้องออกไป
“ ยูค กลับเหอะ ” ผมหันไปสะกิดเพื่อนข้างตัวทันทีที่ร่างทั้งสองลับสายตาไปแล้ว
“ อ้าว มึงไม่ได้ยินไง เฮียแจ็คบอกให้มึงอยู่ ” ยูคยอมถามผมกลับพร้อมกับยกแก้วขึ้นดื่ม
“ ไม่เอา กูไม่อยากคุยกับเฮีย ” ผมส่ายหน้ารัว
“ เอ้า แต่... ”
“ นะมึง” ผมขอร้องมัน เหลือบตามองเฮียบีนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าเฮียแกกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศพท์ไม่ได้สนใจอะไรก็เริ่มพูดต่อ “ กูไม่อยากอยู่ เฮียแม่ง ต้องถามเรื่องกูกับพี่มาร์คแน่ ๆ เลย กูต้องร้องไห้แน่ ๆ เลยอ่ะมึง ”
“ ... ”
“ นะมึง ช่วยกูหน่อยนะ นะๆๆๆ ” ผมเขย่าแขนมันอย่างร้อนลนจนยูคยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนรับคำ
“ เออ ๆ ” มันยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มเป็นครั้งสุดท้ายจนหมดจากนั้นก็หันไปหยิบกุญแจรถของตัวเองไม่ลืมที่จะหันไปบอกเฮียบีก่อนลุกขึ้นยืน “ เฮีย กลับละนะ ”
“ เอ้า มึงไม่ได้ยินที่ไอ้แจ็คบอกไง ? ”
“ ไว้คราวหลังละกันนะเฮีย แบมปวดแผลอ่ะ ” ผมหันไปเบ้ปากใส่เฮียบี ซึ่งเฮียแกก็ไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ แล้วโบกมือไล่ จากนั้นก็ก้มลงไปให้ความสนใจกับโทรศัพท์ในมือต่อ
ผมหันไปหยิบไม้ค้ำของตัวเองแล้วทรงตัวลุกขึ้นยืนโดยมีไอ้ ยูคช่วยพยุงอีกแรง เดินตามมันออกไปยังประตูห้องแล้วเปิดออก หวังว่าคงจะไม่พบสองคนนั้นอยู่ข้างนอกนะ...
ยูคยอมเอื้อมมือไปกดลิฟท์แล้วยืนรอเงียบ ๆ มันทำท่าเหมือนจะถามคำถามผมหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถาม ผมเองก็ยังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ก็เลยเลือกที่จะยืนเงียบ ๆ ต่อไป
“ มึงตอบกูมาตรง ๆ ”
เสียงคุ้นเคยของเฮียแจ็คที่ดังมาจากทิศทางใกล้ตัวทำให้เราสองคนต้องหันมองหน้ากันอย่างอัตโนมัติก่อนเบนสายตาไปยังสวนเล็ก ๆ ที่จัดไว้อยู่ ใกล้ ๆ กับลิฟท์ซึ่งเป็นที่มาของเสียง ยูคยอมยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเอาไว้แล้วกระเถิบตัวชิดกำแพงจากนั้นก็เขยิบเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อแอบฟัง
ผมขมวดคิ้วกับการกระทำของมันแต่ก็อยากรู้ด้วยว่าพี่มาร์คกับเฮียแจ็คกำลังคุยกันเรื่องอะไร จึงเลือกที่จะเงียบแล้วขยับตัวไปยืนข้างมัน
“ เรื่องแบมแบม ” ฉิบหาย...มีชื่อกูอยู่ในบทสนทนาด้วย ผมไม่รู้นะว่าทำไมผมถึงต้องก้าวถอยหลังด้วยเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง จิตใต้สำนึกของผมมันบอกให้หยุด เพราะที่ผ่านมาผมบังเอิญได้ยินได้เห็นอะไรมันก็ล้วนทำให้ตัวเองเสียใจทั้งสิ้น ไม่เอาแล้ว ถ้าหากว่าสิ่งที่ผมกำลังจะได้ยินมันจะทำร้ายตัวเอง ผมไม่ฟัง ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากรู้
“ ทำไม ” เสียงของพี่มาร์คถามเฮียแจ็คกลับพร้อม ๆ กับยูคยอมที่เอื้อมมือมาดึงข้อมือของผมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ผมส่ายหน้าให้มัน ส่งสายตาอ้อนวอนให้มันปล่อยมือผม แต่ก็เปล่าประโยชน์เมื่อมันยังคงจับข้อมือผมไว้แน่น
“ แล้วมึงทำแบบนั้นกับน้องทำไม ? ” ไม่เอานะ ไม่อยากฟัง ผมไม่อยากได้ยิน
“ กูก็ทำตัวตามปกติ ”
อึก
ผมสะอึกทันทีที่พี่มาร์คพูดจบ ผมไม่รู้นะว่าตอนนี้พวกเค้าทำหน้ายังไงกันอยู่ แต่สำหรับผมน่ะ ผมแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ผมพอจะรู้นะว่าพี่มาร์คไม่ได้คิดอะไรกับผมแต่ว่า...พอมาได้ยินกับหูแบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บ...
เจ็บ...ทั้ง ๆ ที่รู้ดี
“ ปกติของมึง ? ”
“ ... ”
“ แล้วน้องมันจะรู้ไหม... ”
ไม่ไหวแล้ว...
ผมแม่ง...
“ เห้ย แบม... ”
ผมสะบัดข้อมืออกจากมือของยูคยอมพร้อมกับน้ำตาไหลพราก แล้วก็ดูเหมือนว่าไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันจะตกใจไปหน่อยถึงได้ลืมว่าพวกเรากำลังแอบฟังกันอยู่เผลอเรียกชื่อผมเสียดังลั่น
โคตรเจ็บเลยว่ะ
แค่ทรงตัวอยู่ตอนนี้ยังถือว่ายาก ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน
ติ้ง !
ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดผมก็พาร่างเปื่อย ๆ ของตัวเองเข้าไป มืออันสั่นเทายกขึ้นปิดมันด้วยความลนลาน ถึงแม้ว่าตอนนี้น้ำตาของผมที่เอ่อร้นรอบดวงตาจะทำให้ผมเห็นภาพตรงหน้าเลือนลาง แต่ทำไมผมกลับมองเห็นใบหน้าอันตื่นตระหนกของเขาได้ชัดเจน
พี่มาร์ควิ่งมาหาผม เรียกชื่อผมเสียงดังลั่น ก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลงพร้อม ๆ กับหัวใจของผม...
ปิดมันเถอะนะแบมแบม
ปิดหัวใจของมึงได้แล้วนะ อย่าเปิดรับเขาเข้ามาอีกเลย...
ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิด ผมไม่รู้หรอกว่าสองเท้าของตัวเองจะพาไปที่ไหน ผมทำเพียงแต่วิ่ง...วิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น วิ่งไปให้ไกลแม้ว่าสภาพของตัวเองจะไม่อำนวยนัก ที่ไหนก็ได้ที่จะไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้เห็นหน้า และไม่ทำให้เสียใจ...
พี่มาร์คคนนั้น...คนที่แสนใจดี คนที่มอบรอยยิ้มอบอุ่นให้ผม สัมผัสจากมือใหญ่คู่นั้นที่มักประทับลงบนเส้นผมแล้วลูบมันแผ่วเบา เสียงหัวเราะ คำชื่นชม แววตาที่แสดงออกถึงความห่วงใย...เขาคือคน ๆ เดียวกันกับที่ทำให้ผมเจ็บ
แต่ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ เชื่อมั้ย ?
ผมก็ยังจะชอบพี่เค้าอยู่ดี...
“ ฮึก ฮือออออ ”
เสียใจ
มันโคตรเสียใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้...
คนโง่อย่างผมมันก็ทำได้เพียงแต่ร้องไห้ ทำได้เพียงแค่ให้น้ำตามันไหลลงมา สะอึกสะอื้น ฟูมฟายราวกับเด็ก ๆ ผมหยุดวิ่งเมื่อพาร่างของตัวเองไปยังป้ายรถเมล์ได้สำเร็จ โชคดีที่ตอนนี้ค่อนข้างดึกจึงไม่มีคนเดินพลุกพล่าน ไม่เช่นนั้นผมคงต้องกลายเป็นคนบ้านในสายตาของใครหลาย ๆ คนแน่ ๆ
“ ฮืออออออออออออ ” ก็ได้แต่ยืนร้องไห้ท่ามกลางความมืดต่อไป... ถ้าเลือกได้ผมจะไม่ออกมา ผมจะนอนเล่น HEYDAY อยู่บ้านไอ้ยูค ถ้าผมไม่ออกมาตั้งแต่แรกเรื่องแบบนี้มันก็คงจะไม่เกิดและผมก็คงไม่ต้องเจ็บแบบนี้...
“ แบมแบม !! ” ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองจากใครบางคน แล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อหันหลังกลับไปมองที่มาของเสียง
พี่มาร์ค...
เขายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว คนที่ทำให้ผมร้องไห้และเจ็บเจียนตายยืนหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยหอบ เหงื่อของเขาไหลโซมกายราวกับคนวิ่งเป็นสิบกิโลเมตร
“ พี่มาร์ค... ”
“ ฟังพี่ก่อนนะ เรื่องนั้นมันไม่ชะ... ”
“ พอเถอะนะ ” ผมหลับตาลงบอกพี่มาร์คด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่เอาแล้ว ผมไม่ไหวแล้ว ผมอยากหยุด หยุดทุกอย่างก่อนที่มันจะถลำลึกไปกว่านี้...
“ อย่าทำแบบนี้กับผมได้ไหม ” สรรพนามที่แทนตัวเองเปลี่ยนไป ใช่...เพราะผมต้องการเปลี่ยน ผมควรจะเว้นช่องว่าง ถอยออกมาสักก้าวหนึ่ง กลับมายืนตรงจุดเดิมเหมือนที่เคยอยู่ ที่ซึ่งเป็นของผมตั้งแต่แรก...
เปลือกตาบางเผยออก เหม่อมองคนตรงหน้าซึ่งทอดมองมายังผมด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ ได้โปรดเถอะ พี่ช่วยเข้าใจผมได้ไหม พี่น่าจะรู้นี่นา
“ ขอร้องล่ะ ช่วยถอยออกไปจากผมได้ไหม เราน่าจะคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่นา ”
“ แบมแบม ” ผมเจ็บ...ใช่ อาการอกหักมันแบบนี้ ใช่ไหม ?
ผมก้าวถอยหลังเมื่อคนตรงหน้าเอื้อมมือเข้ามาหมายจะจับไหล่ น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้เริ่มเอ่อร้นก่อนจะร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง มือบางยกขึ้นปาดมันออกอย่างไม่ใยดี แต่ถึงอย่างนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บแค่ไหน แม้ว่าเรี่ยวแรงที่มีมันแทบไม่พอสำหรับการหยัดยืน แต่ว่านี่อาจจะถึงเวลาแล้ว...
เวลาที่ผมควรจะพูดมันออกไป...
พูดก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก
“ ผมชอบพี่นะ ” คนตรงหน้าเบิกตากว้างเมื่อผมพูดจบ เขาคงไม่ทันคิด...ไม่เลยคิดเลยว่าคนที่เขาทำดีด้วยจะคิดไม่ซื่อกับเขามาตลอด “ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ตามผมออกมาทำไม อาจจะเป็นเพราะว่าพี่แค่เสียดายผม ”
“ แบมแบม ”
“ ไม่สิ คนอย่างผมมันไม่มีอะไรให้เสียดาย ”
“ แบมแบม หยุด ”
“ แบมจะเลิกชอบพี่แล้ว ”
“ ... ”
“ จริงๆ แบมควรจะทำมันมาตั้งนานแล้ว ”
“ ...”
“ ชอบไปก็ไม่ได้อะไร แถมยังเจ็บขึ้นทุกวัน ”
“ ...”
“ ไล่ตามพี่อยู่นั่น ไม่รู้จักเหนื่อย เจ็บแต่ก็ยังไม่เลิก ”
“ ... ”
“ โง่... ”
“ ... ”
“ โง่จริง ๆ ”
“ ... ”
“ ... ”
“ พูดจบหรือยัง ”
“ ... ”
“ จบแล้วใช่ไหม ”
“... ”
“ ต่อไปฟัง ”
“ ... ”
“ ถ้าเหนื่อยก็พอ ถ้าเจ็บก็หยุด ถ้าไปไม่ไหวก็เลิก ”
“ ... ”
“ แต่ขออย่างนึงได้ไหม ”
“ ... ”
“ อย่าเลิกชอบพี่ ”
“ ...!! ”
“ เพราะพี่เอง ก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน ”
“ พะ...พี่มาร์ค ”
“ ต่อไปนี้ ให้พี่ได้เป็นฝ่ายวิ่งตามเราบ้างนะ ”
TBC.
จบพาร์ท BamBam's attack แล้วค่ะ^^ ต่อไปจะเป็น Mark's effect แล้วน้าาาาาาาา
#ฟิคทอรมบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ง่ออออออ
เดี๋ยวมาร์ค แล้วยัยซูจีของเธอนั่นล่ะ ยังไง
แบมไม่เข้มแข็งพอหรอก แอบรักมา 5 ปีนะ