ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าหลงรักป้าก็แล้วกัน

    ลำดับตอนที่ #7 : ep7

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 65



    หลังจากที่ได้อาจูพาชมความหรูหราอลังการของหอดอกเหมยจนพอใจแล้ว ตันหยงผู้มีความแน่วแน่ที่จะอยู่ใช้ทรัพย์สมบัติ เอ๊ย! ใช้ชีวิตในโลกของเสี่ยวจิ่วอย่างราบรื่น ก็ดูจะคึกคักฮึกเหิมขึ้นมากกว่าเดิม

    เช้าวันนี้หลังจากจิบชาหอมๆ กับซาลาเปาไส้เนื้อสับแสนอร่อย เธอก็บรรจงหยิบเอากล่องสมบัติของเสี่ยวจิ่วออกมาพิจารณาอีกครั้ง



    หน่วยเงินตราของที่นี่ไม่ซับซ้อน ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้เงินเหรียญที่มีรูตรงกลาง ทำจากโลหะสามสี ทองแดง เงิน และทอง

    100 เหรียญทองแดง เท่ากับ 1 เหรียญเงิน 100 เหรียญเงิน เท่ากับ 1 เหรียญทอง

    ในกล่องสมบัติของเสี่ยวจิ่วบรรจุเงินพวงใหญ่ 4 พวง ทองแดง 1, เงิน 1, ทอง 2 แต่ละพวงไม่น่าต่ำกว่า 100 เหรียญ ใต้พวงเหรียญเป็นตั๋วเงินปึกใหญ่ ใบละ 100 เหรียญทอง และ 200 เหรียญทองคละกันไป ตรงมุมกล่องมีถุงผ้าไหมใบเล็กหลายใบ ใบหนึ่ง ใส่ก้อนทองคำเม็ดเล็กเท่าเม็ดข้าวโพดจนเต็ม ใบที่เหลือใส่เครื่องประดับที่เป็นอัญมณีมีค่า



    สดชื่นนนนนน~~




    ชื่นชมจนพอใจแล้วก็เก็บทั้งหมดเข้ากล่องล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา ของพวกนี้ยังไม่จำเป็นต้องเอามาใช้หรอก แค่ถุงใส่เงินที่ห้อยติดเอวก็พอใช้แล้ว



    เงินในตู้เซฟสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือทำยังไงให้เงินพวกนี้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่างหาก นักการเงินอย่างตันหยง เงินเต็มกระเป๋านั้นไม่พอ เงินต้องเข้ามาเรื่อยๆ ด้วย passive income is da best!!

    เพราะความฝันสูงสุดของเธอคือ นอนเล่นเกม ดูอนิเมะ อ่านนิยาย ทั้งวันให้ตายกันไปข้างนึงเลยโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน



    จะต้องหาข้อมูลของบ้านเมืองนี้ให้แน่นๆ ซะหน่อยจะได้หาลู่ทางทำเงินเพิ่ม

    ก่อนอื่นต้องเริ่มต้นที่นายทุนของเรา

    วิชาเสี่ยวจิ่ว 101 เริ่ม!!

    ว่าแล้วก็ส่งเสียงเรียกอาจู ที่นั่งเล่นอยู่ที่ลานหน้าเรือนพักเข้ามาสัมภาษณ์ซะหน่อย



    "อาจู.. เล่าเรื่องเสี่ยวจิ่วให้ฟังหน่อยสิ"




    "นายหญิง กลายเป็นคนปัญญาอ่อนแล้วอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ เหรอเจ้าคะ" ยัยหนูน้อยอาจูเริ่มหน้าเบ้ทันทีที่ได้ยินคำถามแรก



    "ตลกละ ถ้าปัญญาอ่อนแล้วจะคุยกับอาจูรู้เรื่องได้ยังไง นี่น่ะเค้าเรียกหลงลืมไปชั่วขณะ คุณหมอก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ"




    "จริงนะเจ้าคะ"



    "จริงดิ ยิ่งถ้าอาจูเล่าเรื่องเสี่ยวจิ่วให้ฟังบ่อยๆ พี่จะได้นึกอะไรออกมากขึ้นไง "



    "ดีเลย งั้นอาจูจะเล่าให้ฟังทั้งหมดเลย นายหญิงอยากรู้เรื่องอะไรก็ถามมาได้เลยเจ้าค่ะ"



    "ดีๆๆ งั้น… เสี่ยวจิ่ว มีครอบครัวมั้ย พ่อแม่พี่น้องเป็นใคร ตอนนี้พวกเขายังอยู่ไหม"



    "ข้าเคยได้ยินนายหญิงเล่าให้ฟังว่า นายหญิงเป็นเด็กกำพร้าที่นายหญิงแปดรับมาอุปการะตั้งแต่ตอนเล็กๆ ท่านจึงได้ชื่อว่าเสี่ยวจิ่ว เพราะท่านเป็นนายหญิงลำดับที่เก้า พอท่านอายุได้สิบแปดปี นายหญิงแปดก็จากไป ท่านจึงดูแลหอดอกเหมยแห่งนี้ต่อเจ้าค่ะ"



    "ที่นี่เป็น 'โรงน้ำชา' มาตลอดเลยเหรอ"



    "ก่อนหน้านี้เป็นหอคณิกาเจ้าค่ะ แต่พอนายหญิงมาดูแลต่อ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโรงน้ำชา แต่ก็ยังมีพี่สาวบางคนที่ยังรับแขกอยู่บ้าง"



    "แล้วเสี่ยวจิ่ว… เคย… รับแขก มั้ย?? "



    "นายหญิงไม่เคยต้องรับแขกเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมา หอดอกเหมยเราก็ต่างจากหอคณิกาอื่นมากนัก นายหญิงไม่เคยบังคับให้ใครต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ด้วยเหตุนี้ ตอนที่ท่านรับช่วงดูแลใหม่ๆ การค้าก็เลยซบเซาลงมาก จนหวุดหวิดจะสิ้นเนื้อประดาตัวเลยเจ้าค่ะ"



    "ถึงขนาดจะหมดตัวเลยเหรอ กว่าจะทำให้ร้านกลับมาหรูหราฟู่ฟ่าเหมือนตอนนี้ได้ คงลำบากน่าดูเลย"



    "พี่หมิงบอกว่า สมัยนั้นท่านถึงกับแจกตั๋วเงินให้พวกเขาแยกย้ายกันไป ส่วนท่านก็เดินทางออกไปนอกด่าน ปีกว่าถึงได้กลับมาเปิดกิจการใหม่อีกครั้ง พวกพี่ๆ พอทราบข่าวทุกคนล้วนกลับมาทำงานที่นี่เหมือนเดิมเจ้าค่ะ"



    "หายไปปีกว่า กลับมาก็มีเงินมาเปิดร้านเลย?? "

    น่าสนใจจริง ๆ เวลาแค่ปีกว่า เสี่ยวจิ่วไปหาเงินทุนมาจากไหนกันนะ



    "แล้วเสี่ยวจิ่วมีเพื่อนฝูง หรือคนสนิทบ้างมั้ย"



    "นายหญิงไม่ค่อยสนิทกับใครหรอกเจ้าค่ะ ท่านชอบขลุกอยู่ในห้อง คิดสูตรอาหารใหม่ๆ นานๆ ครั้งจะออกไปดื่มชากับท่านหมอ"



    "ท่านหมอ…เผยชิงน่ะเหรอ? "



    "เจ้าค่ะ"



    "สนิทสนมกันมากเลยสินะ "



    "นายหญิงบอกว่าท่านหมอเคยช่วยเหลือท่านไว้สมัยที่ท่านตกระกำลำบากอยู่ที่นอกด่าน ตั้งแต่นั้นก็เป็นสหายกัน เรือนไม้หลังกำแพงนั่นท่านก็ยกให้ท่านหมอใช้ปลูกสมุนไพร"



    "หืมมมม???"



    เรือนไม้ด้านหลังป่าไผ่ ที่มีรั้วรอบขอบชิดจนน่าสงสัยนั่น ก็เป็นทรัพย์สินของเสี่ยวจิ่วด้วยเหรอนี่ ถึงกับยกบ้านทั้งหลังให้อยู่ ต้องสนิทกันเบอร์ไหนนะ



    "เราแวะไปดูได้ไหม คุณหมอเค้าอยู่หรือเปล่า"



    ยัยหนูอาจูส่ายหัวดิกๆ

    "ไม่ดีแน่เจ้าค่ะ ก่อนหน้านั้นท่านสั่งเอาไว้ว่าห้ามใครเข้ารบกวนเป็นอันขาด แม้แต่ตัวท่านเองยังต้องรอท่านหมอเชิญถึงจะเข้าไป ท่านบอกพวกเราว่า ที่เรือนท่านหมอมีสมุนไพรมีพิษมากมาย หากทะเล่อทะล่าเข้าไปอาจจะถูกพิษเอาได้ และท่านหมอก็ไม่ชอบให้ใครไปยุ่มย่ามเวลาปรุงยาด้วยเจ้าค่ะ"



    นี่มันคนหรือตัวละครในเกมกันแน่เนี่ย! สงสัยโลกของเสี่ยวจิ่วจะเป็นโลกในเกม MMORPG แน่ๆ หนุ่มแว่นทิพย์ มีอาชีพเป็นหมอ อาวุธที่ใช้ก็ต้องเป็นยาพิษ ส่วนเสี่ยวจิ่วต้องมีอาชีพพ่อค้าแน่ๆ คิๆๆ ตันหยงหัวเราะคิกคักเมื่อนึกเปรียบเทียบโลกของเสี่ยวจิ่วกับเกมมือถือที่ตัวเองชอบเล่น หนึ่งในตัวละครโปรดของตันหยงในเกมนั้น คือพ่อหนุ่มผมยาวผู้ชำนาญการรักษาและใช้เข็มพิษ ถ้าเราติ๊ต่างว่าโลกนี้คือเกม คงสนุกไม่น้อยเลย ยัยหนูอาจูคนนี้ก็คือ NPC ของแท้แน่นอน ฮ่าๆๆ



    "โอเค ไม่เข้าไปก็ได้"



    "โอเค?? แปลว่าอะไรหรือเจ้าคะ"



    "โอเคก็แปลว่า ตกลง เข้าใจแล้ว"



    "ออ…โอเคเจ้าค่ะ" สาวน้อยพยักหน้า พร้อมกับทำหน้าทะเล้น



    ยัยเด็กคนนี้มันอยู่เป็นแฮะ



    "วันนี้พี่จะว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก อาจูไปด้วยกันนะ"



    "ไปเจ้าค่ะ เราออกไปกันเลยนะเจ้าคะ ข้าไปรอนายหญิงที่ประตูหน้าเลยนะเจ้าคะ"

    ว่าแล้วก็วิ่งปรู๊ดออกไปเลย เหมือนกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจอย่างนั้นแหละ



    หอดอกเหมยตั้งอยู่ท้ายถนน ห่างจากย่านการค้าไม่ไกลมาก แต่เพราะรอบข้างเป็นป่าไผ่เลยทำให้ดูเหมือนอยู่ตั้งอยู่นอกเมือง 



    ตันหยงกับอาจูเดินทอดน่องไปตามถนนที่ปูด้วยแผ่นหินเรียบ ถนนหนทางแข็งแรงไม่ขรุขระ ฝนตกก็ไม่เปื้อนโคลน เป็นระเบียบเรียบร้อยดีจัง



    "อาจูๆ ขอแวะร้านนี้หน่อย" ว่าแล้วก็เดินหายเข้าไปในร้านเครื่องเขียน กลิ่นกระดาษกับหมึกนี่มันดีจริงๆ ขนพู่กันนุ่มๆ ไล่สีจากเทาเข้มไปจนขาวสะอาด ด้ามทำจากไม้เคลือบเงา เกลาจนเป็นด้ามป้อมๆ มนๆ น่ารักมาก อยากขนกลับไปเยอะๆ เลย



    ระหว่างที่ตันหยงกำลังดำดิ่งกับพู่กันด้ามอวบน่ารัก จนไม่ทันได้สังเกตว่าข้างๆ ตัวเองนั้นมีร่างสูงใหญ่ของคนบางคนยืนมองเธออยู่สักพักแล้ว



    "แม่นางเสี่ยวจิ่วชอบพู่กันนี่มากเลยหรือ"



    "อื้อ. ชอบมาก…."



    น..นี่มัน อีตาผู้ปกครองของเจ้าเด็กแสบนี่ มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจูไปไหนแล้ว ตันหยงหันซ้ายหันขวา เห็นอาจูยืนทำหน้าหงิก ประจันหน้ากับเจ้าเด็กแสบอยู่ใกล้ๆ ประตูทางเข้าร้าน เอ้า! เด็กสองคนนี่ ทะเลาะอะไรกันนะ



    "ได้เจอแม่นางเสี่ยวจิ่วในร้านเครื่องเขียนเช่นนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก พู่กันด้ามนี้ ข้าขอซื้อให้ท่านเป็นของขวัญพบหน้าก็แล้วกัน.."



    คำพูดนายมีปัญหานะพ่อหนุ่ม เสี่ยวจิ่วเดินเข้าร้านเครื่องเขียนมันแปลกตรงไหน แล้วจะมาซื้อให้ทำไมก่อนนนนน



    "มะ..ไม่ต้อง"



    "จริงสิ ..ข้าลืมตัวว่ากำลังพูดอยู่กับ เถ้าแก่เนี้ยหอดอกเหมยผู้ร่ำรวย พู่กันราคาไม่กี่เหรียญเงินนี้ดูจะไม่สมฐานะท่านเกินไปหน่อย"




    อีตานี่ถ้าไม่ก็ทำงานสรรพากรก็ต้องขี้เสือกมากแน่ๆ แอบมาล้วงความลับอะไรหรือเปล่า หรือเสี่ยวจิ่วจะเคยรู้จักมักจี่เจ้าคนนี้มาก่อน อยู่ไม่ได้แล้ว แม่ เผ่นดีกว่า



    "ข้าพูดไปยังงั้นเองแหละ ไม่ได้ชอบหรอก แค่เดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไปล่ะ"



    ลาก่อน น้องพู่กันนุ่มฟู รอพี่ก่อนนะ ขากลับพี่จะแวะมาใหม่



    ตันหยงส่งสายตาละห้อยให้น้องพู่กันแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกมาคว้าแขนอาจูออกจากร้านอย่างรีบเร่ง



    สองสาวพากันเดินเข้านั้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนานจนลืมเรื่องหงุดหงิดใจ จนได้เวลามื้อกลางวันแล้วทั้งคู่จึงชวนกันเดินเข้าร้านอาหารข้างทางที่ดูสะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง



    "ก่อนหน้านี้ที่ร้านเครื่องเขียน ถ้านายหญิงออกมาช้ากว่านี้อีกนิด ข้าคงได้ต่อยคนแล้ว"



    ตันหยงมองอาจูที่ทำหน้ายู่ด้วยความขบขัน

    "อาจูจะต่อยใครเหรอ"



    "ก็เจ้า… คุณชายโจวผู้นั้นยังไงล่ะเจ้าคะ "



    "ไปโกรธอะไรเขาขนาดนั้นล่ะ"



    "ก็เจ้านั่นน่ะ ชอบมายั่วยวนพี่สาวที่หอดอกเหมย แถมยังจงใจทำให้ท่านหึงหวงด้วย พอท่านเข้าใกล้ก็ทำอิดออด แต่ยังจะพยายามตีสนิท คนแบบนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ "



    เขาพยายามมาตีสนิทเสี่ยวจิ่วด้วยเหรอ เจ้าคนที่เอาแจกันยักษ์ทุ่มหัวคนน่ะนะ ดูยังไงๆ ก็ไม่เห็นจะพิศวาสเสี่ยวจิ่วเลยนี่นา



    "เค้าตีสนิทเสี่ยวจิ่วด้วยเหรอ"



    "ใช่เจ้าค่ะ แต่คนบ้านั่นแทนที่จะดินเข้าไปหาท่านตรงๆ ดันทำลับๆ ล่อๆ ทำหน้าหวานเลี่ยนใส่ข้า แถมยังก็ชอบแอบส่งของกินมาให้ข้า คงหวังจะให้ข้าชมเขาให้ท่านฟัง เขาลืมไปหรือเปล่า ว่าข้าอยู่หอดอกเหมย สิ่งที่ไม่ขาดแคลนเลยในชีวิตนี้คือของอร่อยกับคนงาม ข้าไม่ตกหลุมพรางเขาง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ นายหญิงวางใจได้"



    ฮ่าๆๆๆ ยัยเด็กน้อยเอ๊ยโดนเขาตามจีบยังไม่รู้ตัวอีก สมน้ำหน้าไอ้เจ้าเด็กแสบ ชั้นไม่ยอมยกอาจูให้นายง่ายๆ หรอกนะ



    "นายท่านทั้งสอง อาหารมาแล้วขอรับ"

    รอไม่นาน อาหารที่สั่งก็มาแล้ว ตันหยงไม่รู้จักอาหารของที่นี่จึงมอบหน้าที่สั่งอาหารให้อาจูจัดการ เด็กสาวสั่งอาหารจานผัก เนื้อ และเต้าหู้มาอย่างละจาน กะว่าจะรองท้องแล้วจะค่อยกลับไปกินมื้อใหญ่ที่หอดอกเหมย



    "เอ๋.. พี่ชาย ซุปเผ็ดนี่ข้าไม่ได้สั่งนะ"



    อาจูร้องถามเมื่อเห็นซุปเนื้อตุ๋นมันฝรั่งรสเผ็ดถูกส่งมาด้วย



    "ออ… ชามนี้คุณชายโต๊ะโน้นสั่งมาให้พวกท่านขอรับ เขาบอกว่าจ่ายค่าอาหารให้พวกท่านด้วย "




    คุณชายโต๊ะโน้น… ตันหยงกับอาจูมองตามมือพนักชายคนนั้นไป เจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนนั่นอีกแล้ว!!



    "เอาคืนไป บอกเขาว่าพวกข้าไม่รับ แล้วก็ไม่ต้องจ่ายให้ด้วย"



    "คุณชายท่านนั้นบอกว่า ถ้าท่านไม่ยอมรับน้ำใจนี้ เขาจะมาร่วมโต๊ะทานอาหารกับพวกท่าน แล้วจะคะยั้นคะยอให้ท่านรับไปด้วยตัวเองขอรับ"



    มันยังไงกันนักนะ สองคนนี้



    "นายหญิง.. สองคนนั่นจะมากินข้าวกับเราหรือเจ้าคะ" อาจูถามพลางดึงแขนเสื้อเธอไปมาอย่างกังวล



    "เปล่าหรอกเขาแค่ขู่เท่านั้นเอง"



    "เอ๋?? "



    "ความหมายในคำพูดนี้ก็คือ รับไปซะ ไม่งั้นข้าจะตามเจ้าไม่เลิก ถ้าพวกเราไม่รับจานนี้ ต่อไปเดินเข้าออกร้านไหนพวกเขาจะตามเราไปป่วนเราทุกที่"

    "จะกินซุปหรือจะนั่งโต๊ะกับสองคนนั้น"

    ตันหยงถามอาจู



    "ไม่เอาทั้งสองอย่างเลยเจ้าค่ะ"



    "โอเค"



    แล้วก็หันไปกระซิบบางอย่างกับพนักงานชายที่ยืนรออยู่ ก่อนชายหนุ่มจะผละไปเธอก็ร้องบอกตามหลังว่า

    "บอกเขาด้วยว่าขอบคุณมาก"

    อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดแล้วรีบรุดไปทำหน้าที่ต่อ



    "นายหญิง.. ไหนบอกว่าโอเคไงเจ้าคะ"



    "เราก็กินที่เราสั่งนั่นแหละ ชามนั้นก็ไม่ต้องกิน"



    อาจูพยักหน้ารับอย่างงงๆ แต่ก็รีบก้มหน้าก้มตากินเหมือนอยากจะให้มื้อนี้ผ่านไปให้ไวที่สุด



    เมื่อจัดการอาหารตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว สองสาวก็พากันกลับ ตันหยงหันไปยิ้มขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่ขณะเดินผ่านโต๊ะพวกเขาแล้วรีบเผ่นแน้บออกจากร้าน



    "พี่รอง.. ท่านว่า เถ้าแก่เนี้ยยิ้มแปลกๆ ไหม"



    "อืม.. นางยิ้มเจ้าเล่ห์พิกล"



    ยังไม่ทันขาดคำ เสียงพนักงานชายก็ร้องตะโกนลั่นพร้อมกับตีฆ้องมงคลที่ทางร้านมีไว้สำหรับป่าวประกาศข่าวดีแก่ลูกค้า

    "ยินดีกับลูกค้าทุกท่าน!!! นายท่านหลี่กับคุณชายโจวมีข่าวมงคลจึงอยากแบ่งปันความยินดีกับทุกท่าน ขอให้ทุกท่านรับซุปเนื้อรสเผ็ดชามใหญ่พิเศษนี้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน!!!"

    เสียงขอบคุณและแสดงความยินดีดังอื้ออึงไปทั่ว ทำเอาชายหนุ่มยกมือขึ้นรับการคำอวยพรจากลูกค้าทั่วทั้งร้านแทบไม่ทัน

    อึ้งอยู่พักใหญ่ ศิษย์ผู้พี่ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา



    "พี่รอง ท่านมีน้ำใจแต่พวกนางกลับกลั่นแกล้งท่านแบบนี้ ท่านยังอารมณ์ดีอยู่อีก"



    "นางแค่ขู่น่ะ"



    "?? "



    "ความหมายของนางก็คือ อย่าได้ตามวอแวพวกนางอีก"



    "ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย ท่านคิดซับซ้อนไปเองหรือเปล่า"



    "กินซุปเนื้อของเจ้าไปเถอะ ถือซะว่ามื้อนี้เราจ่ายเงินค่าทำขวัญนางก็แล้วกัน"




    "แล้ว..ของที่ท่านสั่งไว้ยังจะ.."



    "ก็ทำตามเดิมนั่นแหละ"



    หนุ่มน้อยพยักหน้าแบบแกนๆ ผู้ใหญ่นี่เข้าใจยาก ผู้หญิงก็เข้าใจยากยิ่ง พี่รองเขาก็เข้าใจยากยิ่งกว่าใครทั้งหมด

    ……



    ระหว่างทางเดินกลับ ตันหยงแวะไปร้านเครื่องเขียนร้านเดิม พบว่าน้องพู่กันสุดคิ้วท์นั้นมีคนซื้อตัดหน้าไปแล้ว แถมเป็นพู่กันที่ผลิตออกมาชิ้นเดียวอีกด้วย น่าเสียดายจัง แต่ยังไงๆ เราก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้วนี่นา ตัดใจซะเถอะหยง เธอคิดอย่างปลงตก



    เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เธอก็เรียกสมาชิกหอดอกเหมยทุกคนมารวมตัวกัน เอาแบบร่างเตาหมูกระทะ ที่เธอวาดให้พวกเขาดู

    แน่นอน! ไอเดียหมูกระทะนี้อินสไปร์มาจากแม่หญิงการะเกด เรียกว่าเป็น must to do list ที่ตอนดูละครแล้วบอกกับตัวเองว่า ถ้าชั้นย้อนเวลาได้เหมือนการะเกด สิ่งแรกที่จะต้องทำคือหาเตาหมูกระทะ!!

    จะให้ชั้นย้อนไปโลกไหนก็ได้แต่โลกนั้นต้องมีหมูกระทะ!!



    "ถ้าใช้อุปกรณ์ทั่วไปคงไม่นาน แต่ถ้านายหญิงอยากได้ทองเหลืองอาจจะใช้เวลารวบรวมของสักหน่อย สักสองสามอาทิตย์"

    พี่หมิงมองแบบแปลนบนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ

    ตันหยงมองประเมินพนักงานของหอดอกเหมยแต่ละคน พี่หมิงนี่ท่าจะเป็นคนที่คุยด้วยง่ายหน่อย ดูกระตือรือล้นกับงานใหม่ๆ แถมยังไม่ขี้ประจบด้วย ส่วนอาชาง การ์ดเฝ้าประตูอีกคนมองแบบแปลนแบบผ่านๆ แถมยังแอบทำหน้าเบื่อหน่ายตอนที่เธอขอแรงให้ช่วย ขี้เกียจ ใช้ยาก ทำงานอย่างเดิมไปน่ะดีแล้ว

    ป้าหวัง แม่ครัว กับลูกน้องอีกสองสามคน ย่นหัวคิ้วมองกระทะปิ้งย่างของเธออย่างประหลาดใจแต่ไม่พูดอะไร และพยักหน้าเห็นด้วยเรื่องการใช้กระทะทองเหลืองแทนกระทะเหล็ก ทีมนี้ออกแนว มองเฉยๆ ไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรมาก ถ้าไม่เกี่ยวกับงานฉัน ฉันก็ไม่ว่าอะไร ส่วนสาวๆ ที่ยืนมุงดูอยู่ก็มีบางคนถามขึ้นมา



    "แล้วมันต่างกับกระทะทั่วไปยังไง"



    "ต่างแน่นอน เจ้าดูนะ กระทะรูปทรงโค้งแบบนี้ เวลาย่างหมู ก็เอามันหมูวางไว้ข้างบน เจาะรูเอาไว้ ให้มันหมูไหลลงไปได้ ด้านล่างตีออกไปให้กว้าง แล้วม้วนขึ้นมา เป็นขอบแบบนี้ก็ใส่น้ำซุปได้"



    "มีน้ำซุปด้วยหรือ" เสียงถามดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น



    "ใช่แล้ว เวลาเจ้าออกไปกินข้าวที่ร้านกันหลายคน ย่อมมีคนชอบย่าง อีกคนชอบต้ม จะหาร้านที่นั่งกินด้วยกันได้ก็ลำบาก"



    "เราอยู่กันแค่นี้ ทำไมต้องทำเยอะแยะขนาดนี้ด้วย"



    "ข้าจะเปิดร้านบุฟเฟ่ต์หมูกระทะยังไงล่ะ"



    "บุบ…เฟ…. อะไรนะเจ้าคะ? "



    "บุฟเฟ่ต์ มันคือร้านปิ้งย่างที่ข้าอยากทำ เราจะใช้เตาอันนี้แหละ แล้วคิดราคาสัก 30 เหรียญเงินต่อหัวถูกไปไหมนะ"



    "30 เหรียญเงิน?? แพงขนาดนั้นจะมีใครมากินหรือเจ้าคะ"



    "แต่พวกเขาอยากกินเท่าไหร่ก็ได้ไม่อั้น ภายในเวลา 1 ชั่วยาม"



    "1 ชั่วยามกินไม่อั้น พวกเราไม่เดินกันขาขวิดเลยเหรอเจ้าคะนายหญิง"



    "ใครจะให้พวกเจ้าเดินกัน เราจะทำซุ้มอาหารไว้ตรงกลาง พวกเขาเดินมาตักอาหารเองตามที่ชอบใจ พวกเจ้าแค่ดูแลไม่ให้อาหารพร่องก็เท่านั้น ไม่ต้องปรุงอะไรมากด้วย แค่ต้องจุดเตา แล้วต้มน้ำซุปเตรียมไว้มากหน่อยก็พอ"



    "น่าสนใจจริงๆ ร้านอาหาร ที่แขกเดินตักอาหารเอง ข้าอยากเห็นนัก"



    "ใช่ แถมไม่ต้องปรุงอะไรมากด้วย"



    "อาจจะต้องมีของทอด ของท่านเล่นอะไรนิดหน่อยด้วย"



    "ข้าอยากจะเห็นร้านแบบนี้จริงๆ "



    แต่ละคนเริ่มออกความเห็นกันเซ็งแซ่

    ตันหยงปล่อยให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่ สบายละ แค่นี้ก็หาร้านหมูกระทะกินได้แล้ว



    "เอาล่ะ ไม่รบกวนเวลาพวกเจ้าแล้ว จากนี้ใครมีความเห็นอะไรเพิ่มเติมก็เขียนมา อาจูจะเป็นคนรวบรวมแล้วส่งให้ข้า ไปกินข้าวแล้วเตรียมเปิดร้านกันได้แล้ว"



    ตันหยงกล่าวปิดประชุมแล้วเดินจากมาท่ามกลางสายตางุนงงสงสัย บางคนเผลอพึมพำออกมาจนได้ยินว่า

    "หลังจากนางถูกตีหัวจนสลบไป ก็ดูคล้ายจะแปลกๆ ไปนะ"




    —---



    "นายหญิงเจ้าคะ มีคนฝากของมาให้ท่านเจ้าค่ะ"



    อาจูวิ่งถือกล่องไม้ขนาดย่อมเดินเข้ามา วางกล่องไม้ไว้บนโต๊ะ ตันหยงกำลังใช้แท่งถ่านจดไอเดียสำหรับร้านหมูกะทะ พยักหน้าอนุญาตให้อาจูเปิดกล่องไม้ให้



    "เป็นพู่กันด้ามนั้นเจ้าค่ะนายหญิง มีของอย่างอื่นมาด้วย มีจดหมายด้วยเจ้าค่ะ "



    หืมมม พู่กันเหรอ



    "เอาจดหมายมาซิอาจู"



    อาจูยื่นจดมายให้แล้วยืนรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ



    'แม่นางเสี่ยวจิ่ว

    เห็นเจ้าชอบซุปเนื้อในวันนี้มากถึงขนาดแบ่งบันให้คนมากมายข้าก็ดีใจยิ่ง จึงได้ส่งพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษมาให้เป็นของขวัญ หวังว่าเจ้าจะชอบ



    พบกันอีกคราวหน้า หวังว่าจะมีโอกาสร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้า'



    "เป็นท่านหลี่เหรอเจ้าคะ เขาอยากทานอาหารกับท่านขนาดนั้นเลยเหรอ"



    "เปล่าหรอก เขาแค่ขู่ข้าน่ะ"




    "เอ๋?? "



    "เขาขู่ว่า ถ้าข้ายังเล่นเล่ห์กลแบบวันนี้อีก ไม่ว่าวันหน้าข้าต้องการอะไร เขาก็จะช่วงชิงไปไปให้หมดเหมือนพู่กันด้ามนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเขาโกรธขึ้นมาหอดอกเหมยของเราก็ทำการค้าลำบากแล้ว"



    "เขาเขียนมานิดเดียวท่านแปลออกตั้งยืดยาวได้ยังไงกันนะ"



    "มันก็ต้องคนทันกันสิไอ้น้องถึงจะแปลออก"



    "แล้วเราจะทำยังไงต่อดีล่ะเจ้าคะ"



    "เจ้าให้อาหมิงไปแจ้งข่าว บอกเขาว่าเดือนหน้าข้าจะเปิดกิจการใหม่ จะเชิญเขามาร่วมฉลอง และขอเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ"



    "ในที่สุดก็ต้องสิ้นเปลืองให้คนพวกนั้นจริงๆ " อาจูบ่นอุบอิบ



    "สิ้นเปลืองที่ไหนกันอาจู 30 เหรียญเงินค่าบุฟเฟ่ต์เทียบกับค่าพรีเซนเตอร์ร้านหมูกระทะแล้ว คุ้มจะตาย ฮ่าๆๆ "



    —----------









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×