ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SMTM : RAPPER ROOM ᕽ (ALL x GIRIBOY)

    ลำดับตอนที่ #12 : ᕽ ROOM 10 : OLLTII

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 529
      4
      3 พ.ย. 58







     

     


     

    ช่วงนี้ชียองออกงานบ่อยกว่าใครเพื่อนแม้จะมีกระแสตอบรับในทางลบที่ค่อนข้างเยอะเกี่ยวกับงานเพลงของเขา มีหลายครั้งที่มันทำให้ชียองเครียดถึงขนาดว่าขังตัวเองอยู่ในห้องเปิดเพลงของตัวเองดังๆแล้วนอนฟังมันอยู่แบบนั้นทั้งวันทั้งคืน จริงๆมันไม่จำเป็นต้องใส่กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้แต่บางทีเรื่องเล็กน้อยนี่แหละที่มีผลกับความรู้สึกค่อนข้างมากกว่าที่ใครๆคิด

     

    การเรียกตัวเองว่าคนทำเพลง ศิลปิน แรปเปอร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ทั้งหมดทั้งมวลเมื่อมีคนชอบแน่นอนว่าก็ต้องมีคนไม่ชอบ แต่ชียองไม่ได้อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างคนชอบไม่ชอบแต่เหมือนคนเขาจะอยู่ในฝั่งที่ไม่ชอบเยอะกว่าชอบมันเลยต้องมาย้อนมองตัวเองว่าเขาทำมันดีแล้วหรือยัง

     

    ยังไม่รวมไปถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนได้ฟังคำครหาจากรุ่นน้องในวงการเดียวกันกลางเวทีที่ทำให้เขาเผลอหรือจะเรียกว่าจงใจสวนหมัดไปทันทีหลังจากที่เจ้าบ้านั่นพูดฉีกหน้าเขากลางเวที ชียองไม่เคยโมโหอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิตของเขา ถึงแม้ตอนที่โกรธโนชางก็ยังไม่ได้ครึ่งของตอนนั้นตอนที่เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นแรปดิสเขากลางเวที มันคงขำอยู่หรอกถ้ารู้จักกันมาก่อนแต่นี่เพิ่งครั้งแรกด้วยซ้ำมั้งที่เขาได้ร่วมงานด้วย

     

    “เป็นแรปเปอร์หน้าใหม่แถมเพลงยังห่วยแตก!”  มันคือคำที่เด็กนั่นตะโกนใส่หน้าชียองกลางเวทีแต่ไม่ได้พูดออกไมค์

     

    พูดแล้วตอนนั้นชียองรู้สึกไม่น่าจะแค่ต่อยน่าจะมากกว่านั้นถ้าไม่ติดว่าทุกคนเข้ามาห้ามกันจนกลายเป็นเรื่องชุลมุนวุ่นวาย โอเคคนในค่ายเรียกเขาไปตักเตือนเรื่องนี้ว่าไม่สมควรถึงแม้จะโกรธแค่ไหนแต่ทุกคนก็ตกใจไม่น้อยที่จู่ๆเขาเองก็พุ่งเข้าไปตะบันหน้าเจ้าเด็กนั่น อย่าว่าแต่คนอื่นเลยขนาดตัวชียองเองยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนนั้นเขาเองคิดอะไรอยู่ รู้แค่ว่าเลือดขึ้นหน้าแล้วมันก็ไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมา

     

    “แม่งเอ้ย!

     

    ชียองสถบแล้วปากระดาษแผ่นที่ยี่สิบลงบนพื้นด้วยความหงุดหงิด เพราะการถูกหักหน้ามันทำเอาความมั่นใจของชียองลดลงตามไปด้วย เขาเครียดจนตอนนี้สูบบุหรี่วันละหลายซองจนแดอุงต้องเตือนให้เพลาๆบ้าง ส่วนโนชางหมอนั่นก็บอกให้เขาใจเย็นลงหน่อยเพราะเจ้าเด็กคนนั้น จองอูซองก็เป็นคนปากร้ายแบบนี้แหละแต่นิสัยดี

     

    ได้แต่กลอกตาไปมาตอนที่ทุกคนย้ำว่าเจ้าเด็กจองอูซองนิสัยดี ชียองอยากจะบอกว่าคนนิสัยดีที่ไหนเขาพูดแบบนี้กับคนที่เพิ่งเจอกันบ้าง นอกจากหน้าจะกวนเบื้องล่างปากแม่งยังหมาอีกนั่นแหละนิยามจองอูซองที่ชียองมีในหัวและจะจดจำมันไปจนวันตาย

     

    เรื่องวิวาทของชียองกับอูซองถูกพูดปากต่อปากในแวดวงแรปเปอร์ที่รู้จักทั้งคู่ คนส่งข้อความมาถามชียองไม่ขาดสายถึงเหตุการณ์วันนั้นแต่เขาไม่ใช่พวกผู้หญิงที่จะต้องให้ใครมาปกป้องหรือว่ามาออกหน้าแทนอยู่แล้ว หรือจะให้ใส่สีตีไข่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่นิสัยเหมือนกันเพราะฉะนั้นก็เลยตอบปัดๆว่าเรื่องเข้าใจผิดจะมีแค่คนในค่ายแล้วก็ไม่กี่คนข้างนอกที่เขาเล่าให้ฟังจริงๆจังๆแต่ทุกคนก็ยืนยันว่าอูซองนิสัยดีแต่มันปากหมา

     

    ออด... ออด

     

    เสียงออดหน้าประตูทำให้ชียองต้องลุกจากโต๊ะทำงานเพื่อไปเปิดประตูที่ตอนนี้ดังไม่ยอมหยุด จำได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้สั่งอะไรมากินหรือถ้าจะเป็นฮอนชอลหมอนั่นก็ไปถ่ายแบบที่ไทยตั้งแต่เมื่อวานซืนคงไม่แว๊บกลับมาแน่ๆเพราะไปเป็นอาทิตย์ ชียองพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเดินไปถึงประตูเขาไม่แม้แต่จะมองดูว่าเป็นใครด้วยซ้ำเพราะมันชินที่จะเปิดโดยไม่ต้องรู้ว่าคนที่กำลังรัวออดหน้าห้องเขาเป็นใคร

     

    แต่พอรู้ว่าเป็นใครมันทำให้ชียองอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วย้อนกลับไปใหม่ เขาจะลองเอะใจส่องดูสักนิดว่าไอ้บ้าที่ไหนมันมากดออดรัวๆแบบนี้ จะได้ไม่ต้องเปิดมาเจอกับไอ้คนที่ทำให้เขาเครียดมาเป็นอาทิตย์ยืนทำหน้านิ่งในมือมีถาดพิซซ่าสองถาดแล้วก็น้ำอัดลมในถุงหิวสีดำอีกสองขวด

     

    “หลบไปดิ่วะจะยืนเอ๋ออีกนานป่ะ” ประโยคแรกที่หลุดออกมาก็ทำให้ชียองคันไม้คันมือ

     

    อูซองถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยไม่รอให้เจ้าของไล่ตัวเองกลับ พิซซ่าร้อนๆกับขวดน้ำอัดลมวางบนโต๊ะที่รกไปหมดก่อนสายตาจะเหลือบมองกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนหล่นอยู่บนพื้นเต็มไปหมด

     

    “ทำไมสกปรกงี้วะเนี่ย แล้วดูดิ่เสื้อผ้ากองเต็มโซฟา”

    ชียองที่ยืนเท้าเอวอยู่ใกล้ๆเลยปาถุงเท้าใส่แล้วใส่คนที่กำลังยืนหยิบเสื้อผ้าเขาโยนลงตะกร้าใกล้ๆอย่างรังเกียจ

    “ออกไปเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่จะได้กินกำปั้นฉันอีกรอบอูซอง” ชียองพูดพลางชูมือขึ้นมาขู่

    “จะไม่ถามหน่อยหรอว่าผมมาทำไมเก่งแต่ใช้กำลังหรือไงตัวก็แค่นั้น” หน้าตากวนเบื้องล่างกับคำพูดยิ่งทำให้ชียองโมโห

    “เออตัวเท่านี้แหละที่ต่อยมึงไง! ออกไปเลย!” เจ้าของสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆแล้วดึงแขนเสื้อฮู้ตของอีกคนอย่างแรง ทั้งดึง ทั้งทึ้ง จนสุดท้ายล้มลงไปกับพื้นไม่เป็นท่าทั้งคู่

     

    ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันแค่หนึ่งฝ่ามือโดยที่อูซองทับอยู่บนตัวชียองเพราะแรงดึงแล้วปล่อยทำให้ชียองหงายหลังแต่อูซองพยายามจะดึงให้ทรงตัวอยู่แต่ก็ล้มลงมาด้วย

     

    ชียองเบนหน้าหนีเพราะมันใกล้...ใกล้เกินไป เขาชังใบหน้านี้พอๆกับประโยคที่ฝังหัวเขาในวันนั้นไม่ใช่ว่าจะลบออกไปได้ง่ายๆ

     

    “ลุกดิ่วะหนักฉิบหาย”

     

     ชียองผลักไหล่หนาแรงๆเพื่อให้อีกคนลุกแต่อูซองกลับส่ายหัวแล้วก้มหน้าลงมาใกล้กว่าเดิม จนเริ่มรับรู้ถึงลมหายใจของคนข้างบนที่ยังเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้...จนจมูกเกือบจะชนกัน รอยยิ้มมุมปากปรากฎบนใบหน้ายียวนก่อนที่อูซองจะเคลื่อนหน้าไปที่ข้างหูแล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ชียองใช้ขากระทุ้งเข้ามาที่จุดกลางลำตัวอย่างแรงจนอูซองหงายหลังไปกับพื้น

     
     

    “พี่แม่งกาก”

     

    นั่นแหละที่อูซองพูดกับชียอง...

     

     

    ชียองนั่งกินพิซซ่าพร้อมกับน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งในแก้วพลาสติกสีใสที่ทำให้หายใจร้อนขึ้นมาบ้างและยอมที่จะให้อูซองหายใจร่วมห้องเดียวกันได้เพื่อฟังเหตุผลที่จู่ๆก็โผล่หน้ามาให้เห็นเป็นครั้งที่สองในชีวิตนับจากงานวันนั้น

     

    “ก็เราไม่เคยรู้จักกันใช่ป่ะล่ะแล้วผมก็พูดไม่ดีกับพี่มันก็คิดได้ก็เลยโทรถามพี่แดอุงว่าพี่อยู่ไหนก็มาหานี่แหละง่ายๆ” เหตุผลง่ายจริงๆนั่นแหละแค่คิดได้แล้วจู่ๆก็มาทำตัวเหมือนสนิทกันสักสิบชาติทั้งๆที่เพิ่งทะเลาะกันไป

    “ไม่สำนึกได้ชาติหน้าเลยล่ะ” ชียองกลอกตาไปมาแล้วจ้องใบหน้าที่ยิ้มแหยๆให้ตัวเอง

    “ก็จะขอโทษตั้งแต่วันสองวันที่ทะเลาะกันแล้วแต่ว่าเฮียวาสโค่เขาห้ามเอาไว้ บอกว่าพี่โมโหมากๆบอกให้ผมรอก่อน” อูซองพูดตอบ

    “แต่ไงก็ขอโทษนะพี่หายเห่อะ”

     

    เป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดในชีวิตสำหรับเด็กที่ชื่อ “จองอูซอง” จู่ๆก็มาหาเรื่องทะเลาะพอนึกจะขอโทษก็มายืนกดออดหน้าห้องพร้อมพิซซ่า มันง่ายเกินไปเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำกับความรู้สึกหลายอย่างที่ชียองเสียมันไปกับการจมอยู่กับคำพูดถากถางนั้นทั้งอาทิตย์

     

    “ขอโทษจริงๆพี่ บางทีผมอาจจะเป็นโรคจิตก็ได้นะ เคยฟังเพลงของพี่จริงๆมันก็ไม่ได้กากอะไรมากหรอกแต่พอหมั่นไส้ก็เลยพูดออกไปแบบนั้น....ปากหมาเนอะผมเนี่ย” อูซองพูดติดตลก

    “ต้องบอกว่าโคตรปากหมา...หน้าแม่งก็ให้อีก” ชียองพูดเสริมตอนนี้เขาเริ่มใจเย็นลง อย่างที่วาสโค่บอกเอาไว้ว่าเขาไม่ควรจะไปโฟกัสกับเรื่องลบๆจนทำให้พลาดเรื่องดีๆในชีวิตไปเพราะไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วจะถูกใจทุกคนไปหมดในครั้งแรก

     
     

    การที่คนพูดถึงเราในเรื่องแย่ๆมันก็แปลว่าเรายังมีอะไรให้คนอื่นเขาสนใจแต่ถ้าก็ต้องคิดนะว่าใครมันจะดีไปซะทุกอย่างจริงไหมล่ะ อยู่วงการแบบนี้การถูกวิจารณ์มองให้เป็นเรื่องขำๆดีกว่าถ้าคิดมากมันจะทำให้จิตตกแล้วก็จะกลายเป็นคนไม่ได้เรื่องอย่างที่บางคนอยากจะให้เป็น คำพูดของวาสโค่ดังก้องอยู่ในหัวของชียอง มันทำให้เขาตัดสินใจว่าควรจะจบมิตรภาพระหว่างอูซองที่ยังไม่แม้แต่จะเริ่มเป็นคนรู้จักตั้งแต่ตอนนี้หรือจะให้อภัยแล้วทำความรู้จักใหม่

     
     

    ชียองถอนหายใจออกมาหลังจากที่คิดได้ว่าเขาจะเอายังไงดีโดยมีอูซองยืนอยู่หน้าประตูห้องเพราะกำลังจะกลับ

     

    “ทีหลังอย่าพูดไม่คิดอีกแล้วกัน”

     

    นี่แหละชียอง...โกรธง่ายหายเร็ว

     

     
     






    $$

    ขอโทษที่หายไปนานนะคะ
    สกรีม #โบอีของทุกคน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×