ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *~MooN LighT~* …. <- แสงสว่างแห่งความมืดมิด ->

    ลำดับตอนที่ #2 : ชีวิตใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 49


    ท่ามกลางตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งไร้แสงสว่างใดๆ ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีใครรับฟัง และไม่มีใครเหลือบหางตาไปมองเลย....แม้สักวินาทีเดียวก็ตาม

     

    เด็กสาวร่างบอบบางจนเรียกได้ผอมแห้งเหมือนเนื้อติดกระดูกคนหนึ่งกำลังนั่งขดตัวด้วยความหนาวเหน็บจากอากาศยามค่ำอยู่ข้างกล่องกระดาษมากมายที่ผู้คนมักจะนำมาวางทิ้งเอาไว้ทุกวัน

     

    เด็กสาวมองไปรอบด้านด้วยแววตาท้อแท้ สิ้นหวังในชีวิตก่อนจะซบใบหน้าซูบเซียวลงกับหัวเข่าที่ตั้งชันขึ้นมา เส้นผมสีดำยาวจรดพื้นดูยุ่งเหยิงและแห้งกรังทอดตัวลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกลงมาจนปิดบังซีกใบหน้าของเธอเอาไว้ และมันก็ทำให้เธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่า......เสียงฝีเท้าหนักๆซึ่งแสดงถึงความกำยำกำลังดังใกล้เข้ามา

     

    นี่.....หนูมานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะ เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเป็นห่วงพลางก้มลงแล้วเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่บางของเด็กสาวเบาๆทำให้เธอจำต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายวัยทำงานคนหนึ่ง

     

    และด้วยนิสัยที่ถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นคนรอบคอบและสังเกตสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา เด็กสาวจึงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสำรวจชายตรงหน้าอย่างเสียมารยาท ดวงตาสีทองเป็นประกายในความมืดจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมองขึ้นไปหยุดอยู่ที่ดวงตาดำเช่นเดียวกับเส้นผมที่ตัดสั้นดูเป็นระเบียบ แต่ก่อนที่ความคิดจะไปไกลกว่านี้ เสียงกระแอมเบาๆก็ดังขึ้นจากชายวัยสี่สิบปลายๆราวกับจะบอกให้เด็กสาวรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่

     

    เอ่อ...ขอโทษค่ะ....มีอะไรเหรอคะ เด็กสาวถามกลับเสียงแผ่วเนื่องจากต้องการเก็บแรงเอาไว้เพื่อหาเลี้ยงชีวิตตัวเองต่อไป

     

    อาถามว่า หนูมานั่งทำอะไรตรงที่มืดๆแบบนี้ชายที่ใช้สรรพนามแทนตนว่า อา ท่าทางใจดีเอ่ยถามอีกครั้งอย่างเป็นห่วงพลางย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กสาวที่มองเขาราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้า

     

    ก็ที่นี่เป็นบ้านของหนูนี่คะ ถ้าไม่ให้หนูกลับบ้าน แล้วคุณอาจะให้หนูไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ เด็กสาวตอบอย่างไร้เดียงสาซึ่งนั่นทำให้ชายแปลกหน้ามองเธอด้วยแววตาหดหู่ เขาเงียบไม่ตอบคำถามนั้นแล้วเลี่ยงไปถามคำถามอื่นแทน

     

    แล้วพ่อแม่ของหนูล่ะ แต่คำตอบที่ได้รับ กลับทำให้เขาแทบจะกัดลิ้นตายเสียตรงนั้นด้วยซ้ำไป...

     

    คุณลุงที่พาหนูมาที่นี่บอกว่า พ่อกับแม่ของหนูขึ้นไปอยู่บนนู้นแล้ว แล้วก็มีชีวิตอย่างสุขสบายด้วย แล้วคุณลุงก็บอกหนูอีกว่า ที่นี่คือบ้านของหนู เด็กสาวเล่าพลางชี้มือชี้ไม้ประกอบ ชายแปลกหน้ายิ้มนิดๆด้วยความเอ็นดูระคนสงสารจับใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดคุยกับเด็กสาว

     

    หนูชื่ออะไรละ อาจะได้เรียกถูก แต่คำถามของเขากลับได้รับเพียงสีหน้าเศร้าๆของเด็กสาวเป็นคำตอบ

     

    หนูไม่รู้ หนูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักนิด คุณลุงที่พาหนูมาที่นี่ก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตัวหนูเลยด้วย แต่แล้วสีหน้าเศร้าๆนั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้งแล้วแทนที่ด้วยสีหน้าร่าเริงจนคนฟังปรับตัวตามไม่ทัน

     

    แต่หนูก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องพวกนั้นหรอก ตอนนี้สิ่งที่หนูให้ความสำคัญมากก็คือ การมีชีวิตอยู่ ต่างหาก คำพูดเพียงประโยคเดียว แต่ทำให้ชายแปลกหน้าถึงกับแย้มรอยยิ้มอย่างถูกใจขึ้นมาได้ในทันที เขายกมือขึ้นเพื่อจะลูบศีรษะของเด็กสาวแต่เธอกลับถอยตัวหนีอย่างรวดเร็ว แววตาเจือไปด้วยความตกใจระคนระแวดระวังราวกับสัตว์ป่าที่กำลังจนตรอก

     

    ไม่ต้องกลัวหรอก อาไม่ทำอะไรหนูหรอก ชายแปลกหน้าเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใจดีทำให้เด็กสาวคลายความตกใจไปได้เล็กน้อยและยังคงมองเขาอย่างหวาดระแวงอยู่เป็นนัย แต่ชายแปลกหน้ากลับยิ้มมากขึ้นแล้วเอ่ยชวนสิ่งที่ส่วนลึกในจิตใจของเด็กสาวตัวเล็กวัยเพียง5ขวบเศษพร่ำเรียกร้องมันอย่างโหยหามาตลอด

     

    หนูอยากได้ชีวิตใหม่ไหม....ชีวิตที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อายินดีรับหนูมาเป็นลูกสาวอีกคนนะ และเขาก็ไม่ต้องรอคำตอบนาน เด็กสาวที่ถูกยื่นข้อเสนอให้โผเข้ากอดเขาด้วยความดีใจจนน้ำตาไหลเอ่อลงอาบแก้มผอมๆนั่น

     

    เอาละ ไม่เป็นอะไรแล้วนะ ไม่เป็นอะไรแล้ว หนูปลอดภัยแล้วนะ... เสียงทุ้มๆที่พร่ำบอกอยู่ข้างหูของเด็กสาวที่กำลังสะอื้นไห้จนตัวโยนนั้นทำให้เธอรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้วภายในเวลาไม่นาน ร่างบางจนเรียกว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกันก็หลับคอพับคออ่อนอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็น พ่อหลังจากที่เหนื่อยทั้งกายและใจมานาน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×