คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชีวิตใหม่
ท่ามกลางตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งไร้แสงสว่างใดๆ ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีใครรับฟัง และไม่มีใครเหลือบหางตาไปมองเลย....แม้สักวินาทีเดียวก็ตาม
เด็กสาวร่างบอบบางจนเรียกได้ผอมแห้งเหมือนเนื้อติดกระดูกคนหนึ่งกำลังนั่งขดตัวด้วยความหนาวเหน็บจากอากาศยามค่ำอยู่ข้างกล่องกระดาษมากมายที่ผู้คนมักจะนำมาวางทิ้งเอาไว้ทุกวัน
เด็กสาวมองไปรอบด้านด้วยแววตาท้อแท้ สิ้นหวังในชีวิตก่อนจะซบใบหน้าซูบเซียวลงกับหัวเข่าที่ตั้งชันขึ้นมา เส้นผมสีดำยาวจรดพื้นดูยุ่งเหยิงและแห้งกรังทอดตัวลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกลงมาจนปิดบังซีกใบหน้าของเธอเอาไว้ และมันก็ทำให้เธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่า......เสียงฝีเท้าหนักๆซึ่งแสดงถึงความกำยำกำลังดังใกล้เข้ามา
“นี่.....หนูมานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเป็นห่วงพลางก้มลงแล้วเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่บางของเด็กสาวเบาๆทำให้เธอจำต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายวัยทำงานคนหนึ่ง
และด้วยนิสัยที่ถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นคนรอบคอบและสังเกตสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา เด็กสาวจึงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสำรวจชายตรงหน้าอย่างเสียมารยาท ดวงตาสีทองเป็นประกายในความมืดจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมองขึ้นไปหยุดอยู่ที่ดวงตาดำเช่นเดียวกับเส้นผมที่ตัดสั้นดูเป็นระเบียบ แต่ก่อนที่ความคิดจะไปไกลกว่านี้ เสียงกระแอมเบาๆก็ดังขึ้นจากชายวัยสี่สิบปลายๆราวกับจะบอกให้เด็กสาวรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ....มีอะไรเหรอคะ” เด็กสาวถามกลับเสียงแผ่วเนื่องจากต้องการเก็บแรงเอาไว้เพื่อหาเลี้ยงชีวิตตัวเองต่อไป
“อาถามว่า หนูมานั่งทำอะไรตรงที่มืดๆแบบนี้” ชายที่ใช้สรรพนามแทนตนว่า ‘อา’ ท่าทางใจดีเอ่ยถามอีกครั้งอย่างเป็นห่วงพลางย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กสาวที่มองเขาราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้า
“ก็ที่นี่เป็นบ้านของหนูนี่คะ ถ้าไม่ให้หนูกลับบ้าน แล้วคุณอาจะให้หนูไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ” เด็กสาวตอบอย่างไร้เดียงสาซึ่งนั่นทำให้ชายแปลกหน้ามองเธอด้วยแววตาหดหู่ เขาเงียบไม่ตอบคำถามนั้นแล้วเลี่ยงไปถามคำถามอื่นแทน
“แล้วพ่อแม่ของหนูล่ะ” แต่คำตอบที่ได้รับ กลับทำให้เขาแทบจะกัดลิ้นตายเสียตรงนั้นด้วยซ้ำไป...
“คุณลุงที่พาหนูมาที่นี่บอกว่า พ่อกับแม่ของหนูขึ้นไปอยู่บนนู้นแล้ว แล้วก็มีชีวิตอย่างสุขสบายด้วย แล้วคุณลุงก็บอกหนูอีกว่า ที่นี่คือบ้านของหนู” เด็กสาวเล่าพลางชี้มือชี้ไม้ประกอบ ชายแปลกหน้ายิ้มนิดๆด้วยความเอ็นดูระคนสงสารจับใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดคุยกับเด็กสาว
“หนูชื่ออะไรละ อาจะได้เรียกถูก” แต่คำถามของเขากลับได้รับเพียงสีหน้าเศร้าๆของเด็กสาวเป็นคำตอบ
“หนูไม่รู้ หนูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักนิด คุณลุงที่พาหนูมาที่นี่ก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตัวหนูเลยด้วย” แต่แล้วสีหน้าเศร้าๆนั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้งแล้วแทนที่ด้วยสีหน้าร่าเริงจนคนฟังปรับตัวตามไม่ทัน
“แต่หนูก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องพวกนั้นหรอก ตอนนี้สิ่งที่หนูให้ความสำคัญมากก็คือ ‘การมีชีวิตอยู่’ ต่างหาก” คำพูดเพียงประโยคเดียว แต่ทำให้ชายแปลกหน้าถึงกับแย้มรอยยิ้มอย่างถูกใจขึ้นมาได้ในทันที เขายกมือขึ้นเพื่อจะลูบศีรษะของเด็กสาวแต่เธอกลับถอยตัวหนีอย่างรวดเร็ว แววตาเจือไปด้วยความตกใจระคนระแวดระวังราวกับสัตว์ป่าที่กำลังจนตรอก
“ไม่ต้องกลัวหรอก อาไม่ทำอะไรหนูหรอก” ชายแปลกหน้าเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใจดีทำให้เด็กสาวคลายความตกใจไปได้เล็กน้อยและยังคงมองเขาอย่างหวาดระแวงอยู่เป็นนัย แต่ชายแปลกหน้ากลับยิ้มมากขึ้นแล้วเอ่ยชวนสิ่งที่ส่วนลึกในจิตใจของเด็กสาวตัวเล็กวัยเพียง5ขวบเศษพร่ำเรียกร้องมันอย่างโหยหามาตลอด
“หนูอยากได้ชีวิตใหม่ไหม....ชีวิตที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อายินดีรับหนูมาเป็นลูกสาวอีกคนนะ” และเขาก็ไม่ต้องรอคำตอบนาน เด็กสาวที่ถูกยื่นข้อเสนอให้โผเข้ากอดเขาด้วยความดีใจจนน้ำตาไหลเอ่อลงอาบแก้มผอมๆนั่น
“เอาละ ไม่เป็นอะไรแล้วนะ ไม่เป็นอะไรแล้ว หนูปลอดภัยแล้วนะ...” เสียงทุ้มๆที่พร่ำบอกอยู่ข้างหูของเด็กสาวที่กำลังสะอื้นไห้จนตัวโยนนั้นทำให้เธอรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้วภายในเวลาไม่นาน ร่างบางจนเรียกว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกันก็หลับคอพับคออ่อนอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็น ‘พ่อ’ หลังจากที่เหนื่อยทั้งกายและใจมานาน...
ความคิดเห็น