ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวม short fic SJ -- by. 'sTiiKer

    ลำดับตอนที่ #1 : [ELL SJ] -- Gagoyle parody I

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 55




    [SF] Gargoyle parody |

    Couple  :  예성  려욱

     --Note --     





    ....7 หมื่น 3 พัน 138 ราตรีที่ข้าเฝ้ารอ

                                       ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...





    ------------------------------------------------------------------------------------------


     “อ๊าาา~  ^^  อากาศดีจัง~”  เด็กหนุ่มในชุดอัลบ์* (Alb) สีขาวยาวถึงตาตุ่มเพิ่งก้าวลงจากรถไฟที่ดูท่าจะนั่งมานานจนเส้นยึด  ร่างเล็กในชุดรุ่มร่ามจึงได้บิดซ้ายบิดขวาเพื่อคลายความเมื่อยล้าให้กล้ามเนื้อพร้อมกอบโกยสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด   “ไหนดูซิ  ต้องไปทางไหนเนี่ย?”  ว่าแล้วก็ควักแผนที่ขึ้นมากาง  ก้มๆ เงยๆ อยู่หลายที

                 หลังจากจดๆ จ้องๆ แผนที่ผืนใหญ่ในมือพร้อมกับสำรวจป้ายบอกทางอยู่ครู่ใหญ่  “อ๊ะ!  ทางนั้นสินะ!”  เสียงใสๆ ร้องบอกตัวเองอย่างกระตือรือร้นก่อนจะพับกระดาษสีเก่าคร่ำคร่าเสียบไว้ข้างกระเป๋าเดินทางใบโต  ว่าแล้วก็เริงร่าลากสัมภาระเดินเข้าซอยไปอย่างอารมณ์ดี

     

                          ...มาแล้วล่ะ!
                                 
                    ...จริงเหรอ?  มาถึงแล้วเหรอ?

                         มาแล้วๆ  ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

                         ฮิ..ฮิ..  ต้องรีบบอก

                         ...เอ้าพวกเรารีบบอกต่อๆ กันไปเร็ว!

                       เสียงเล็กเหมือนเด็กๆ กระซิบกระซาบชอบใจดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ  แต่เพราะเป็นเสียงที่คนทั่วไปไม่อาจได้ยิน   เสียงคิกคักจนน่ารำคาญนั้นจึงไม่ต่างจากเสียงลมที่ลอยผ่านหูมนุษย์ธรรมดาๆ ไปเท่านั้น

                            ใช่ๆ  ต้องรีบบอก...  บอกเจ้าอัคคี แห่งรูออง เร็วเข้า

    .
    .
    .

     “อ๋าาา..! ก็ว่ามาถูกทางแล้วนา  แล้วทำไม...”   เด็กหนุ่มเงยหน้ามองฟ้าที่ตะวันสาดแสงแรงจ้ากลับมา จนรู้สึกว่าโลกเริ่มหมุนเคว้ง  “อ๋อย...  อยากจะเป็นลม”   @.@  แต่ไม่ทันที่ร่างเล็กจะทรุดถึงพื้นก็มีมือนุ่มๆ มาช่วยพยุงไว้

    “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” 

                  ...อะไรกัน?  หอมจัง  ...นางฟ้า?   เพราะความร้อนระอุยามบ่ายที่ย้อนแสงเข้าตาทำให้คนหน้ามืดมองอีกฝ่ายได้ไม่ถนัด

    “คุณรยอมานิสใช่มั๊ยครับ?”

    “คุณ...  รู้จักชื่อผมด้วยเหรอ?”  ร่างเล็กเอ่ยถามเสียงอ่อยก่อนตัดสินใจทิ้งตัวในอ้อมกอดหอมกรุ่น...  อ๋อย  =.=

     


                   หลังจากนั้นไม่นานเมื่อร่างอ่อนเปลี้ยถูกหามมาที่โบสถ์เรื่องราวก็กระจ่าง

    “ถ้าดูดีๆ แล้วคุณก็ใส่เครื่องแบบเหมือนกันนี่นา"  หน้าซีดๆ มีสีระเรื่อขึ้นมาหลังได้นั่งพักในร่มเย็นๆ  "ขอบคุณนะครับถ้าไม่ได้คุณ...เอ่อ?”

    “ซามูเอลครับ  ผมชื่อซามูเอล ^^  ”  ดีกัน*หนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้ถามส่งยิ้มหวานมาให้  “เห็นว่าจะมาถึงตั้งแต่ช่วงสาย  แต่ผมรอจนบ่ายก็ยังไม่เห็นวี่แววเลยออกไปตามหา”

    “ครับ..ก็ลงรถไฟตั้งแต่สายๆ แล้วล่ะครับ  แต่ว่า..  แหะๆ...”  ตัวเล็กยิ้มแห้งๆ อย่างนึกสมเพชตัวเอง

    “อย่าบอกนะว่าหลงทาง!  ไม่น่าเชื่อเลยนะครับเพราะหมู่บ้านเล็กๆ ของเราใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟไม่เกิน 20 นาทีก็ถึง”  ซามูเอลทำตาโตอย่างประหลาดใจพร้อมเอ่ยคำพูดเสียดแทงด้วยใบหน้าใสซื่อ แต่ตอกย้ำให้คนฟังยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเองหนักเข้าไปอีก


      


    “เอ้า...  เจอตัวแขกแล้วเรอะแซม”  ชายสูงวัยในชุดยาวแบบเดียวกัน ผิดแต่ว่าเป็นเครื่องแบบสีดำและมีคอลล่าสีขาวคาดที่คอเดินเข้ามาแทรกบทสนทนาของสังฆานุกร*หนุ่มน้อยสองคน

    “ครับคุณพ่อ  กำลังจะพาไปพบท่านอยู่พอดี”

    “สวัสดีครับผมรยอมานีสจากแซงต์ฟลูร์ มีโอกาสได้มารับใช้ที่นี่ตั้งแต่วันนี้น่ะครับ”  ร่างเล็กเข้าแนะนำตัวอย่างนอบน้อม  แต่...  โครกกกกกกกก~

    “..อุ๊!”  o.O  ทั้งหลวงพ่อและซามูเอลต่างตกใจกับเสียงฟ้าร้องที่ดูจะดังมาจากท้องของผู้มาเยือน

    “ฮุ..ฮุ..ฮุ   ท้องนั่นคงโล่งน่าดู  ท่านจะทำอะไรได้หากท้องยังว่างอยู่อย่างนั้น”  บาทหลวงชราหัวเราะใจดี  “ทำไมเธอไม่พาแขกของเราไปที่ห้องอาหารล่ะซามูเอล”  สิ้นคำสั่งของเจ้าอาวาสดีกันเจ้าถิ่นก็เดินนำรยออมานีสไปที่ห้องครัว

    “น่าอายจังเลย  -////-  “  ตัวเล็กเอ่ยขึ้นขณะลูบท้องเดินตามหลังแซมไป

    “คงจะยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่ลงจากรถไฟเมื่อเช้าสินะครับ  ผมละตกใจหมดเลยนึกว่าฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ” ซามูเอลยังคงพูดจาขวานผ่าซากผิดกับหน้าตาน่ารักของเขาต่อไป  “ถึงได้จะเป็นลมแดดตอนที่ผมไปพบสินะ”

    “แหะๆ...คงใช่”  เรียวได้แต่หัวเราะแห้งๆ กับคำพูดตรงๆ แต่ไม่รักษาน้ำใจคนฟังของคนๆ นี้  “นี่อบคุ๊กกี้อยู่เหรอครับ?”  เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

    “ใช่!  ทำไมรู้ล่ะ?!  ตรงนี้ก็ไกลห้องครัวอยู่นะ”  แซมทำตาโตอย่างประหลาดใจอีกครั้ง

    “ผมได้กลิ่นหอมๆ จากตัวซามูเอลตั้งแต่ตอนเจอกันแล้วน่ะ  คิดว่าเป็นคุ๊กกี้ไม่ผิดแน่”

    “เหรอ...  จมูกไวดีนะครับ”  อีกคนยิ้มชื่นชม  แต่...เฮ้ๆ  จมูกไว มันใช้กับหมาไม่ใช่เหรอพ่อซามูเอล?!!  -*-  เรียวได้แต่คิดในใจ


     

     


             กองทัพต้องเดินด้วยท้อง...หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อยแล้วซามูเอลพาดีกันหน้าใหม่ไปยังห้องพักของเขา ก่อนจะพาทัวร์รอบๆ โบสถ์  และพูดแนะนำหมู่บ้านให้รู้จักคร่าวๆ

    “หมู่บ้านรูอองของเราไม่ได้ใหญ่โตนัก  ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันหมด  พวกเราช่วยเหลือและคอยดูแลซึ่งกันและกัน  แม้แต่พระหรือบาทหลวงเองก็เคยไปช่วยงานชาวบ้านอยู่บ่อยๆ  อยู่ที่นี่รับรองได้ทำประโยชน์แน่นอนครับ”

    “ครับ  ดูเป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่จังนะครับ”

    “ที่นี่เราใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  แต่มีอยู่เรื่องนึงที่ชาวบ้านเคร่งครัดมาก!”  ซามูเอลเปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังทันที

    ทำเอาเรียวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  “ม.. มีอะไรเหรอครับ?”

    “เห็นนู่นมั๊ย?”  นิ้วขาวๆ ชี้ไปข้างบน  “...ว่ากันว่ารูปสลักที่สงบนิ่งบนยอดวิหาร  พอพลบค่ำกลับเคลื่อนไหวได้”

    “รูปปั้น  ค..เคลื่อนไหวได้?”  ตัวเล็กถามอึกอักอย่างหวาดๆ

    “ใช่  เป็นตำนานของที่นี่น่ะ  รูปปั้นบนยอดวิหารพอตกดึกจะมีชีวิต  ร่อนอยู่เหนือเมืองเพื่อตรวจตราคุ้มครองเมืองนี้  แต่ถึงจะบอกว่าคุ้มครองก็เถอะนะ  ชาวบ้านที่นี่พอมืดค่ำก็ปิดบ้านนอนกันหมด  น้อยคนที่จะกล้าออกมาเดินรับแสงจันทร์นะ”

    “ท.. ทำไมล่ะครับ?”

    “ก็เพราะไม่อยากเจอผู้พิทักษ์ตัวเป็นๆ น่ะสิ  บรื๋อออ...”  ซามูเอลทำท่าเหมือนขนลุกซู่  “การ์กอยล์น่ะรู้จักมั๊ย?  มันมีชื่อเสียงไปทางปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวมากกว่านะ  ไม่มีใครอยากเจอหรอก!

    “เรื่องจริงเหรอครับ?!!  ซามูเอลเคยเห็นมั๊ย?”

    “จะบ้าเหรอ?!!"  แซมโพล่ง  "รูปปั้นการ์กอยล์บนยอดวิหารน่ะนะ  ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าบางวันมันก็เปลี่ยนท่าด้วย  แค่นั้นก็พิสูจน์ได้เกินพอแล้วล่ะ ไม่ขอเจอกับตัวดีกว่า  บรื๋อ....”

     

                    ...ง่า  แล้วทำไมต้องมาเล่าให้เด็กใหม่อย่างเราฟังตั้งแต่วันแรกที่มาเหยียบที่นี่ด้วยฟะ  T^T  กลัวนะเฟ้ย

     

    “ถ้ารู้แล้วก็อย่าออกไปเดินท่อมๆ ล่ะ  ยิ่งกลางค่ำกลางคืนเดี๋ยวจะหลงไปกันใหญ่”

    “เอ่อ...  ครับ”   น่าน..ไม่พ้นพูดแทงใจตูอีกแน่ะ  - -*

     

     

    -----------------------------------------***---------------------------------------

     

     

                      ในห้องเล็กๆ ขนาดประมาณ  3x4  มีพื้นที่แค่ให้วางเตียงเดี่ยว , โต๊ะอ่านหนังสือ และที่เก็บของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย  คนทั่วไปอาจจะบอกว่าแคบยังกับรูหนูแต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้รับใช้ที่ไม่ต้องการอะไรอย่างพวกเขา  ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดลอดผ่านหน้าต่างลูกกรงเข้ามา ดีกันตัวน้อยที่ไม่คุ้นที่กำลังพลิกซ้ายพลิกขวาหาท่าสบาย  จนเวลาล่วงเลยไปค่อนคืนเขาจึงเริ่มเคลิ้มๆ เข้าสู่ภวังค์

     

                      ...เขามาถึงนี่แล้วนะ  ...มาถึงแล้วๆ

                      ...แล้วท่านจะเอายังไงล่ะ?  ..จะเอายังไงๆ?

                         เสียงเด็กๆ แว่วมาเป็นลูกคู่  เสียงแหลมเล็กหัวเราะคิกคักในคืนเดือนหงายอันเงียบเชียบฟังดูน่าหมั่นไส้แต่กลับไม่มีมนุษย์คนใดได้ยินมัน   เว้นแต่...

                          ...ครึ่กๆ   ครึ่กกก!    ตำนานรูปสลักที่ยอดวิหารเป็นจริงดังเขาว่า  รูปปั้นที่นั่งนิ่งตากแดดมาทั้งวันบัดนี้กำลังตัวสั่นลั่นเปรี้ยะๆ ด้วยแรงขยับขยาย  สองขาที่เริ่มยืดขึ้นอย่างช้าๆ จนเต็มความสูงในที่สุด   “หนวกหูจริง!!”  รูปปั้นมีชีวิตคำรามลั่น

     

                           ...ตื่นแล้วๆ   คนขี้โมโหตื่นแล้ว 

    “เงียบๆ ไม่เป็นรึไง!  จุ๊กจิ๊กเจ๊าะแจ๊ะอยู่ได้เจ้าพวกตุ๊กตาประดับสวน!” 

                                ...ใจร้ายๆ  ขี้โมโหแล้วยังใจร้ายด้วย

                            ...พวกเราอุตส่าห์รีบมาบอกแท้ๆ

                                ...มังกรไม่ดี

    “เออน่า!  รู้แล้วล่ะน่า  ขอบใจแต่ช่วยเงียบๆ ซะทีได้มั๊ย?!!”  ว่าแล้วโดดลงจากยอดวิหารที่สูงราวตึกสิบกว่าชั้น   “ไปล่ะ  รำคาญ!

     


    .
    .
    .

    “...มานีส  รูมานีส!  ตื่นสิรูมานีส”  เสียงทุ้มแว่วไกลอยู่ในหัว

    “อื้อ...  ใครน่ะ?”  นักบวชร่างเล็กสะลึมสะลือพูดไปอย่างไม่เต็มเสียง

    “คิดถึงเหลือเกิน...  ข้าคิดถึงเจ้า”  น้ำเสียงดีใจปนเศร้ากระซิบที่ข้างหู  “...73,138 ราตรีที่ข้าเฝ้ารอ  มันช่างยาวนานและอ้างว้างเพียงใดเจ้ารู้บ้างมั๊ย..รูมานีส?”

    “...คุณเป็นใคร?  ผมไม่ใช่รูมา..!”  ทั้งที่คิดจะแย้งว่าตนชื่อรยอมานีสไม่ใช่รูมานีสอย่างที่อีกฝ่ายเรียกหา  แต่พอสบเข้ากับนัยน์ตารีสีแดงเพลิงตรงหน้า กลับเหมือนถูกไฟลน ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียกไร้แรงต้านทานทันที...   


    ชายแปลกหน้าช้อนร่างบางให้ลุกขึ้นนั่ง  “เจ้าไม่รู้จักข้างั้นเหรอ?”

    “ผมไม่รู้จักคุณณณ..”  เรียวตอบคำถามโดยอัตโนมัติไม่อาจโกหกหรือหลบเลี่ยงได้

    “งั้นสัญญาของเราเจ้าก็จะบอกว่าไม่รู้งั้นสิ!

    “ผมไม่รู้เรื่องงง..  ไม่เคยสัญญาอะไรกับคุณณณ...”  เขายังคงตอบเสียงยานครางเหมือนคนโดนวางยา

    “ว่าไงนะ!!”  ร่างในเงามืดตะคอกด้วยโทสะก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง  “มาบอกว่าจำไม่ได้แล้วมันจะจบรึไง?!!  ถ้าจำไม่ได้..งั้นข้าจะทำให้เจ้าจำได้เอง!!”  ว่าแล้วร่างสูงก็ประกบปากนิ่มของพวกเขาเข้าด้วยกันก่อนจะถ่ายทอดความร้อนที่อัดแน่นด้วยแรงเสน่หาไปยังร่างเล็กที่สติเลือนลางเต็มที 

    “อื้อ..!!”  รยอมานีสได้แต่ค้านในคอ  แต่ไม่สามารถแม้แต่จะยกแขนขึ้นปัดป้องตัวเองได้   “อ.. อย่า...”

    คนแปลกหน้าสอดลิ้นหนาเข้ามาเชิญชวนก่อนจะเกี่ยวกวัดกับลิ้นเล็กที่อ่อนแรงของอีกคน  ทั้งที่เป็นลิ้นชื้นๆ แต่ทำไมถึงร้อนได้ขนาดนี้นะ  ราวกับถูกรัดด้วยไฟที่หอมหวน แต่แทนที่จะทุรนทุรายกลับจมดิ่งไปกับสัมผัสเร่าร้อนแปลกใหม่   อาาาาา... แย่แล้ว.. อะไรกันเนี่ย?  เรา..?  ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน...?  ร่างเล็กบนเตียงหมดแรงต้านทานทั้งทางกายและทางใจจนต้องปล่อยให้ลิ้นร้อนดุนดันตอบรับกันในโพรงปากหวานอย่างโหยหา

                       มือหนาเลื่อนไปปลดกระดุมที่ติดไว้อย่างรัดกุม  เริ่มจากเม็ดบนสุดที่ต้นคอไล่ลงมาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันรู้ตัว เพราะเพียงแค่ชายนิรนามกระดิกนิ้วกระดุมก็เด้งหลุดออกมาเองแล้ว   ใบหน้าที่เห็นไม่ถนัดละจากปากนุ่มมาซุกไซร้ซอกคอนวลเนียน  เส้นชีพจรที่คอบางเต้นตุบๆ รัวแรงเสียจนอีกฝ่ายรู้สึกได้ ทำให้รู้ว่าร่างเล็กรู้สึกดีและตื่นเต้นแค่ไหน  
    ไม่น้อยไปกว่ากันร่างสูงก็เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างเหมือนว่าตาเล็กหรี่และลมหายใจอุ่นๆ ของอีกคนกำลังเชิญชวนเขาอยู่ อดไม่ได้อยากจะฝังเขี้ยวบนคอขาวจนตัวสั่น  เขาอ้าปากกว้างงับเบาๆ ที่ต้นคอเล็ก  แต่ก็แค่ขบๆ ไม่อยากให้ผิวสวยเป็นแผล  ปากอุ่นดูดเม้มพอให้เลือดขึ้นสีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนจะลากลิ้นเลียทับให้อีกที     “ถึงจะจำไม่ได้  แต่เจ้าก็เป็นของข้า...”  นิ้วเรียวยาวดีดเป๊าะอีกทีกระดุมทุกเม็ดที่บรรจงติดก่อนนอนก็หลุดออกอย่างง่ายดาย  เผยให้เห็นผิวขาวกระทบแสงจันทร์ชวนคลั่งไคล้... 

    “นานแล้วนะที่เราไม่ได้ทำแบบนี้ด้วยกัน”  เสียงแหบต่ำกระซิบข้างใบหูเล็กนุ่มนิ่มก่อนจะงับมันเบาๆ 

    “แต่คืนนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าทั้งคืน....” 

     

     

     

    …..TBC….





      Writer talk  :

              เรื่องนี้ออกพีเรียด  เพราะงั้นคำพูดและภาษาที่เขียนอาจจะดูโบราณ หรือเสี่ยวๆ ไปหน่อยนะคะ 
    บทสนทนาอาจดูเนิบๆ เพราะคนจะบวชเป็นพระกันแล้ว  เลยพูดภาษาดอกไม้กันน่ะค่ะ
    แถมยังมีการปรับเปลี่ยนชื่อตัวละครนิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่อง  ไม่ว่ากันนะคะ ...หุหุ ^^






    Comment = กำลังใจ




    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------




    เกร็ดความรู้จากเรื่อง
      :

    อัลบ์ (Alb)  :  เสื้ออัลบ์เป็นเสื้อขาวยาวพร้อมแขนเสื้อกว้าง ยาวถึงข้อเท้า มีเชือกผูกที่เอว เสื้อขาวยาวไม่มีผ้าคลุมไหล่หรือปลอกคอ  อัลบ์มีที่มาจากเสื้อที่กษัตริย์เฮโรดให้พระเยซูสวมเพื่อล้อเลียนพระองค์ อัลบ์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งพรหมจรรย์ ความบริสุทธิ์ และ ความสุขนิรันดร ของผู้ที่ได้รับการไถ่บาปด้วยพระโลหิต ในยุคกลางมีการปักลวดลายบนแขนเสื้อทั้งสองข้างที่หน้าอกและชายเสื้ออัลบ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบาดแผลทั้งห้าของพระเยซู

    ตัวอย่างอัลบ์ -->       
    ตัวอย่างชุดบาทหลวง -->   


    ดีกัน (Deacon) :  มาจากคำภาษากรีก diakonos ซึ่งแปลว่า ผู้รับใช้  ดีกันในคริสตจักรจักรคาทอลิกคือพันธบริกร บางแห่งก็เรียกว่าสังฆานุกร ถือว่าเป็นผู้รับศีลบวชที่มีสถานะต่ำกว่าบาทหลวง (priest)  มีหน้าที่ช่วยเหลือมุขนายกและบาทหลวงในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีมิสซา พิธีศีลล้างบาป พิธีศพ เป็นต้น รวมถึงช่วยงานสงเคราะห์ เช่น ช่วยเหลือคนยากจน 
    หรือพูดง่ายๆ ก็คือผู้ชายที่ถวายตัวเข้ารับใช้แต่ยังไม่ได้เป็นบาทหลวง  อาจเรียกว่า  "บาทหลวงฝึกหัด"  นั่นเอง

    มหาวิหารรูอ็อง (Rouen Cathedral) : หรือชื่อทางการคือ กาเตดราลนอเทรอ-ดามเดอรูอ็อง (Cathédrale Notre-Dame de Rouen) เป็นมหาวิหารแบบกอธิค ตั้งอยู่ที่เมืองรูอ็อง ประเทศฝรั่งเศส  ระหว่างปี ค.ศ. 1876 ถึง ปี ค.ศ. 1880 มหาวิหารรูอ็องเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก เมื่อปี ค.ศ. 1944 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิหารถูกระเบิดซึ่งเกือบทำลายหอกลาง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×