คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ❥Hello soulmate -------- Eight
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
It's the coldest night, people passing by.
You will be the one that light up my life.
“ฮีชอล จำได้เปล่าว่ามึงยังไม่ได้ส่งบทวิเคราะห์ให้กู ไม่ต้องรีบนะสัด แต่ทั้งกลุ่มเหลือแค่มึง”
“เออรู้แล้ว เดี๋ยวเมลล์ไป”
“มึงลืมชีทสรุปที่กูฝากไปซีร๊อกอีกแล้วเหรอฮีชอล รอให้กูหลังสอบเหรอไอ้เวร”
“
เชี่ยกูลืมชีททิ้งไว้ไหนแล้ววะ
”
“ฮีชอล
สภาพหน้ามึงใกล้เคียงอาจารย์ใหญ่มาก อย่าเผลอหลับนะเว้ยเดี๋ยวกูผ่าผิด
”
“นั่นปากเหรอสัด
มีไรแดกก่อนเข้าแลปบ้างป่ะ ตื่นสายแดกข้าวเช้าไม่ทัน”
“ฮีชอล บทวิเคราะห์
”
“โอเค เสร็จแล้วๆ จิกชิบหาย
”
เหนื่อย
เหนื่อยจนอยากจะตายวันละสิบรอบ
ตั้งแต่เปิดเรียนมาเกือบสามอาทิตย์นี่รู้สึกหนักหนายิ่งกว่าเรียนมาทั้งชีวิต อยากซิ่วไปเรียนประมงซะให้รู้แล้วรู้รอด งานห่าอะไรแม่งสั่งๆๆๆมายังกับจะรีบไปตาย นัดสอบเหี้ยไรเยอะแยะไม่รู้ ถามกูมั๊ยว่าพร้อมรึเปล่า
เหนื่อย
เหนื่อยที่เอาแต่ถอนหายใจเกือบทุกสินาทีแบบนี้
เหนื่อยที่ต้องกลั้นน้ำตาเวลาอยู่ท่ามกลางผู้คน
แต่เมื่ออยู่คนเดียว น้ำตาแม่งเสือกไม่ไหลออกมาซักหยด
บางทีก็คิดอยากจะผ่าไอ้ก้อนเนื้อในอกนี้ออกมาดูบ้าง
ว่าแผลมันลึกมากแค่ไหน
แต่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะคิมฮีชอลเองก็ไม่รู้วิธีรักษามันอยู่ดี
“เชี่ยเอ๊ย
” ริมฝีปากเล็กสบถออกมาอย่างอารมณ์เสียก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง ตาคู่สวยปิดปรือด้วยความอ่อนเพลียเหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ...อยากหลับใจจะขาด แต่กระเพาะเจ้ากรรมกลับบิดตัวท้วงซะจนร่างเล็กกุมท้องตัวงอ จำใจต้องยันตัวลุกขึ้นไปหาอะไรใส่ปากเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง
ทว่าตู้เย็นที่ว่างเปล่า พ่นไอเย็นสีขุ่นออกมาใส่หน้าซะจนเจ้าของห้องแทบทรุดอยู่ตรงนั้น
ตาคู่สวยเหลือกตาอย่างเบื่อโลกก่อนจะโขกหัวเจ้ากับชั้นวางไข่เบาๆด้วยความหงุดหงิด
ช่องฟรีซที่มีแค่เศษน้ำแข็งแห้งเกาะอยู่รอบๆ ใต้ลงมาถึงช่องแช่ต่างๆที่มีเพียงเศษแซนวิซขึ้นราเมื่อหลายวันก่อนกับถ้วยโยเกิร์ตที่เลยวันหมดอายุมาแล้วค่อนเดือนทำให้ฮีชอลจำต้องคว้าขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มอึกๆแก้ขัดไปอย่างเสียไม่ได้
ไม่ชอบน้ำเปล่า
อยากกินอมิโนพลัส
ร่างเล็กในชุดนักศึกษาหยัดตัวลุกขึ้นก่อนจะก้าวมาหยุดอยู่หน้าตู้เก็บของในครัวเล็กๆ
ฝากความหวังในการมีชีวิตรอดไว้กับตู้ไม้เบื้องหน้าก่อนจะกลั้นใจเปิดออกช้าๆ
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด
ว่าง-เปล่า
เชี่ย
ถ้าหม้อกับกระทะย่อยได้กูยินดีแดกเลยตอนนี้
กระเพาะจะทะลุแล้ว
กูหิวววว
ริมฝีปากบางเบะบึ้งอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเขย่งตัวขึ้นคุ้ยหาสิ่งใดก็ได้ที่เรียกว่าอาหารในตู้อย่างไม่ยอมแพ้
ในใจเริ่มคิดถึงเศษแซนวิซขึ้นรากับโยเกิร์ตค้างปีในตู้เย็นว่าจะยัดอดีตอาหารพวกนั้นใส่ปากประทังชีวิตดี หรือจะลากสังขารตัวเองลงไปขโมยมาม่าจากมินิมาร์ทที่ปิดไปตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนดี
ป๊อก
วัตถุทรงกระบอกกลิ้งหล่นลงมากระแทกแสกกลางหน้าผากเล็กอย่างพอดิบพอดี ก่อนคิมฮีชอลจะหยิบถ้วยกระดาษนั้นขึ้นมาด้วยดวงตาที่ส่องประกายอย่างมีความหวัง
มา-ม่า-คัพ-รส-หมู-สับ !
เหยดเข้
กูรอดแล้ว ;______;
ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งไปกดน้ำใส่ไมโครเวฟด้วยความเร็วสูง ฉีกผงเครื่องปรุงกับกระเทียมเจียวใส่ตามลงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ถึงสามนาทีเท่านั้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ส่งกลิ่นหอมพร้อมจัดการ
“พี่จองซูมึงคุ้ยอะไรอยู่ในครัวน่ะ”
“ซื้อมาม่ามาให้ไง สองแพคเลยเนี่ย”
ริมฝีปากเล็กที่กำลังดูดเส้นบะหมี่เข้าปากชะงักทันทีเมื่อเสียงแว่วเบาๆดังขึ้นในจิตใจ
เหตุการณ์ธรรมดาๆในวันหนึ่งฉายซ้ำขึ้นมาอย่างชัดเจนจนน่าประหลาด แม้ว่าเค้าจะไม่ได้ตั้งใจจดจำมันก็ตามที
“รสอะไร
โหย บอกแล้วไงไม่ชอบรสหมูสับ โตแล้วต้องกินต้มยำกุ้งดิ”
“เกี่ยวอะไรวะโตขึ้นต้องต้มยำกุ้ง ฮ่าๆ รสต้มยำแม่งกินเช้าๆแล้วกัดกระเพาะ หมูสับเนี่ยดีแล้ว ท้องว่างๆก็กินได้”
“มึงอ่ะ ทีหลังไม่ต้องซื้อมาเลย”
“ราเมงล๊อบส์เตอร์ทะเลเดือด”
“มาม่าต้มยำกุ้งเหอะสัด เรียกซะกูไม่กล้าแดก”
“ฮ่าๆๆๆ จะกินไม่กิน นี่อุตส่าใส่ไข่ลงไปตั้งสามฟองเลยนะ”
“อ่ะๆ อ้ามมมมๆ”
“
”
ขอบตาสวยร้อนผ่าวขึ้นพร้อมกับอาการแสบร้อนในจมูก แต่ทว่าร่างเล็กก็ทำแค่กระพริบตาถี่เพื่อไล่มันออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร
ซ้อมพลาสติกสีขาวม้วนเส้นมาม่าขึ้นมาใส่ปาก เคี้ยวอย่างลวกๆก่อนจะกลืนมันลงไปพร้อมกับก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในคอ
แค่นี้จะร้องไห้ทำไมวะ...
คำถามเดิมๆที่ดังขึ้นในห้วงความคิดทุกครั้งที่รู้สึกเจ็บจนไม่อยากหายใจ แต่ทว่าน้ำตาก็ไม่ยอมไหลออกมาซะที...
ทั้งที่เหตุผลก็อยู่แก่ใจ...
คนเราร้องไห้ออกมาเพราะสองสาเหตุเท่านั้น...
เป็นสุขจนตื้นตัน ...กับเป็นทุกข์แทบขาดใจ
แล้วถ้าทุกข์จนจะตายแต่เสือกไม่มีน้ำตาไหลออกมาซักหยดนี่กูควรจะทำยังไง
"ปึก..." ถ้วยกระดาษของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถูกทิ้งลงใส่ถังขยะ ก่อนร่างเล็กจะก้าวออกมาจากห้องครัวพร้อมปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มทิ้งอย่างลวกๆ
"......" ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องนอนชะงักทันทีเมื่อแววตาที่รื้นไปด้วยน้ำใสเหม่อมองไปรอบห้องที่ราวกับมีเงาจางๆของปาร์คจองซูยืนอยู่ไปทั่วทุกที่... เตียงนอนสีครีมที่เคยมีร่างโปร่งของผู้ชายคนหนึ่งนอนแผ่อยู่ข้างๆ
โต๊ะไม้ขนาดกลางที่ยังคงเต็มไปด้วยกองหนังสือเล่มหนา ทว่าไร้คนจัดเก็บมันให้เป็นระเบียบอย่างเคย
ชีทกระดาษที่วางสุมกันเอาไว้ แต่ไม่มีคนช่วยติวเหมือนครั้งก่อนๆ
...เปียโนหลังงามสีขาวที่ตั้งชิดไว้กับผาผนังติดประตูระเบียง
ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ...นับตั้งแต่คืนที่มีเสียงกีต้าร์โปร่งนั่นดังลอดเข้ามาในห้อง...
ร่างเล็กที่กำลังหัวเสียเพราะรายงานกองพะเนินบนโต๊ะที่ปั่นยันฟ้าสว่างก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเสร็จทัน ทว่าฮีชอลก็ต้องประสาทเสียยิ่งกว่าเก่าเมื่อจู่ๆแสงสว่างรอบกายก็พร้อมใจกับดับวูบลง...
มืดสนิท...
แววตาใสเบิกกว้างแต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใด หัวใจกระตุกวูบก่อนจะเต้นระรัวพร้อมกับไหล่บางที่เริ่มสั่นน้อยๆเพราะโรคกลัวความมืด พยายามข่มตาลงเพื่อตั้งสติแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องทางเพื่อเดินไปหาไฟฉายหรือเทียนมาจุด...
แสงสว่างดวงเล็กถูกจุดขึ้นแล้วนำไปวางที่มุมต่างๆของห้อง แม้จะไม่สว่างพอจะปั่นงานต่อ แต่แสงส้มอ่อนๆนั่นก็มากพอที่จะทำให้คนกลัวความมืดอย่างฮีชอลสงบลงได้... ถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนเสียงเพลงเบาๆที่ดังลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาจะเรียกความสนใจให้เค้าเงี่ยหูฟัง...
ทำนองเพลงหวานที่บรรเลงเป็นเพลงที่ฮีชอลรู้จักดี... และปฏิเสธไม่ได้ว่าเค้าเองก็ชอบมัน.. คิ้วเรียวที่ขมวดยุ่งเพราะอารมณ์ขุ่นมัวเริ่มคลายตัวออกเมื่อเสียงกีต้าร์โปร่งรื่นหูเริ่มทำให้เค้าอารมณ์อ่อนลง ...
รางเล็กหยัดตัวขึ้นก่อนจะก้าวเดินช้าๆไปยังประตูกระจกที่กั้นระเบียงด้านนอกไว้ หันหลังพิงกับกระจกก่อนจะหลับตาลงเพื่อให้เพลงหวานๆช่วยขับกล่อมให้คนที่เริ่มฟุ้งซ่านเพราะความมืดสงบใจลง
"..." ทว่าเสียงกีต้าร์โปร่งกลับเงียบลงกลางเพลง เรียกความสงสัยจากร่างเล็กจนเกือบจะเผลอเปิดประตูออกไปดู... แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อสายตาพลันไปสะดุดเข้ากับเปียโนหลังสีขาวข้างๆ... รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าหวานอย่างนึกสนุก... ไม่รอช้า ...ฮีชอลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เปียโนก่อนจะวางนิ้วเล่นโน๊ตท่อนต่อไปของบทเพลงอย่างนุ่มนวล...
...เพียงแค่เสียงโน๊ตตัวเดียวเท่านั้น...
...เพียงแค่เค้าตัดสินใจเล่นเปียโต้ตอบกับเสียงกีต้าร์แปลกหน้า
...คิมฮีชอล
ทำพลาดตั้งแต่วินาทีนั้น
พลาด...เอ่ยทำความรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งในลิฟท์...ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ดีซักเท่าไหร่...
พลาด...ที่เปิดประตูห้องให้ใครคนนึงก้าวเข้ามา แม้จะมีนิสัยรักความเป็นส่วนตัวมากก็ตาม...
พลาดที่ปล่อยให้ปาร์คจองซูเดินเข้ามาในหัวใจ ..
แต่ที่พลาดที่สุด ...คือการผลักไส ไล่ หัวใจ ของตัวเองออกไป
“ฮึ
” ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มสมน้ำหน้าให้กับตัวเองพร้อมกับแค่นหัวเราะในลำคอ
จะอวดเก่งได้อีกซักเท่าไหร่... คิมฮีชอล...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะเป็นจังหวะเบาๆดังขึ้นที่ประตูหน้าห้อง เรียกให้ใบหน้าสวยที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงขมวดคิ้วขึ้นอย่างหงุดหงิดที่มีใครบางคนมารบกวนเวลานอนในวันหยุดอันแสนมีค่าของเค้า
“อือ
” ครางฮือในลำคออย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะดึงหมอนที่หนุนไว้ขึ้นมาทับหัวแล้วพยายามซุกตัวนอนต่อ อย่างไม่สนใจโลก
ก๊อก ก๊อก ก๊อกๆๆ
“ไอ้สัดเคาะอีกทีกูเผาบ้านมึงวอดแน่!” คิมฮีชอลเด้งตัวขึ้นมาก่อนจะตวาดด่าเสียงดังทั้งที่เปลือกตายังไม่ลืมขึ้นด้วยซ้ำ มือเล็กยกขึ้นเกาหัวอย่างหงุดหงิด
จนเมื่อเห็นว่าเสียงเคาะประตูเงียบลงแล้วจึงทิ้งตัวหลับต่อโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เคาะห้องผิด มันต้องเคาะห้องผิดแน่ๆ
กูคงไม่ประสาทนัดใครมาหาเช้าวันเสาร์อย่างนี้หรอก
ร่างเล็กสบถในใจอย่างหัวเสียก่อนจะพยายามข่มตาหลับต่อ ทว่าตากลมโตก็ต้องเบิกโพลงขึ้นเมื่อจู่ๆใบหน้าของใครบางคนผุดขึ้นมาในหัว
ปาร์คจองซู
มีแค่ไอ้แก่นั่นเท่านั้นที่กล้ามารบกวนเค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างนี้
หึ
บ้าเหรอฮีชอล
มันจะเป็นไปได้ยังไง
ถึงจะปฏิเสธความคิดตัวเองอย่างนั้น แต่ทว่าหัวใจกลับกระตุกเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่
รอยยิ้มหวานที่ไม่ปรากฎมานานระบายกว้างขึ้นเมื่อเสียงที่เพิ่งคิดว่าแสนน่ารำคาญ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ไอ้เชี่ยนี่
ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม
เปิดประตูไปเจอหน้าแม่งจะด่าให้บ้านพ่องพังเลยคอยดู
สบถด่าในใจตรงข้ามกับรอยยิ้มที่จุดขึ้นบนใบหน้า
ริมฝีปากบางเม้มริมเข้าหากันด้วยความประหม่าพร้อมใบหน้าที่เริ่มร้อนวูบขึ้นจนต้องยกมือขึ้นมาลูบแก้ม
ขาเล็กค่อยๆก้าวลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำไปบ้วนปากสองสามที ก่อนจะสางผมยุ่งๆของตัวเองให้เป็นทรงมากขึ้น
นี่กูจะดูดีไปเพื่ออะไร
เปล่านะ กูแค่ล้างหน้าล้างตาปกติเอง
อืม
ติดกิ๊บดีมั๊ย
โว้ย
ประสาทแดกไปแล้วฮีชอล มึงแค่เปิดประตูไปด่าใส่หน้าแม่งแล้วกลับมานอนซะ!... ถึงง้อกูก็ไม่หายโกรธหรอก
ใช่ อย่าใจอ่อนเด็ดขาดนะคิมฮีชอล
อย่าให้มันคิดว่ามึงง่าย แม้มันจะได้มึงแล้วก็ตาม...
เจ้าของใบหน้าสวยหลับตาลงเพื่อตั้งสติ พยายามเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อปรับสีหน้าให้ดูหงุดหงิดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปรือตาลงเล็กน้อยให้ดูงัวเงียเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน รวบรวมความกล้าแล้วเปิดประตูออกอย่างแรง
“
”
“อะ
อ้าว
ม๊า”
“ฮาร์ดคอร์ขนาดจะเผาบ้านม๊าเชียวเหรอเรา หึ?” หญิงสาววัยกลางคนยกมือขึ้นยีหัวลูกชายด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ ก่อนจะแทรกตัวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว รีบวางข้าวของมากมายที่ถือติดมือมาวางไว้บนโต๊ะโดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าที่เจื่อนลงของเด็กหนุ่ม
หัวใจดวงเล็กที่เหมือนจะพองโตขึ้นมาเพียงครู่ ห่อเหี่ยวลงราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกจนฟีบเหมือนเดิม ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจออกมาหนักๆเพราะความรู้สึกจุกในอกที่เรียกว่าความผิดหวัง
ตาคู่สวยกระพริบถี่ก่อนจะกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจ
ไปเอาความหวังมาจากไหนกันนะ
หวังจะให้เค้ากลับมาง้อเหรอฮีชอล
เหอะ
ก็คง
ใช่มั้ง
“ถอนหายใจแบบนั้นหมายความว่าไงน่ะลูกชาย ไม่ดีใจเหรอม๊ามาหาทั้งทีนะ”
“เปล่าซะหน่อย แค่ตกใจอ่ะ มาซะเช้าเชียว” ลูกชายคนเล็กแสร้งทำหน้างัวเงียกลบแววตาสีน้ำตาลเข้มที่ฉายแววผิดหวังออกมาอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหายตัวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างหน้าใหม่อีกรอบ
“เช้าบ้านแกน่ะสิ นี่มันสี่โมงเย็นแล้วไอ้ตัวแสบ
อ้ะ
อันนี้ของฝากจากฝรั่งเศสม๊าวางไว้บนโต๊ะนะฮีชอล ส่วนเค้กสมยูสุใส่ไว้ในตู้เย็นอย่าลืมกินล่ะ”
“อืออออ” ครางตอบในลำคอโดยไม่โผล่หัวออกมาดูของฝากกองพะเนินบนโต๊ะเลยแม้แต่นิด
ม๊าเค้าก็อย่างนี้แหล่ะ ตั้งแต่ป๊าเสียไปก็ทำตัวเป็นสาวโสดบินไปเที่ยวประเทศนั้นประเทศนู้นเป็นว่าเล่น นานทีปีหนจะได้เจอหน้ากันที จนบางครั้งก็เผลอนึกไปว่าฮีจินเป็นแม่แทนไปซะแล้ว
“ทำไมตู้เย็นโล่งอย่างนี้ล่ะ วันๆไม่กินอะไรเลยรึไง”
เสียงบ่นงุ้งงิ้งดังลอดเข้ามาในห้องน้ำ แต่ร่างเล็กก็ไมได้ใส่ใจอะไร ยังคงแปรงฟันต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับเสียงบ่นที่หนาหูมากขึ้นทุกที
“โห
ฮีชอลลูก เป็นคนไม่เรียบร้อยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เสื้อผ้าทำไมไม่รู้จักเอาลงไปซักซะบ้าง แล้วกองหนังสือนี่ระวังจะหล่นลงมาทับตายเข้าซักวัน
พื้นห้อง
กวาดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เนี่ยไอ้ตัวแสบ”
“แล้วต้นไม้ที่ระเบียงแห้งตายเป็นแถบเลยดูซิ
ทำไมไม่รู้จักรดน้ำดูแลซะบ้างเจ้าลูกคนนี้นี่” ฮีชอลเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายกับเสียงบ่นที่ไม่ได้ยินมานาน บัวรดน้ำสีฟ้าถูกกรอกน้ำจนเต็ม ก่อนจะเดินตามผู้เป็นแม่ออกไปที่ระเบียงเพื่อรดน้ำซากต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาลงเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ก็ไม่ค่อยว่างนี่นา
แต่ฮีชอลก็ไม่ได้ว่างมานานแล้วนี่
แล้วที่ยังเห็นกระถางต้นไม้ที่ระเบียงเป็นสีเขียวมาตลอด
?
“
”
ปาร์คจองซู
อีกแล้วสินะ
หึ
ยุ่งไม่เข้าเรื่องตลอดเลยจริงๆ
ริมฝีปากเล็กเผลอกดยิ้มบาง
สวนทางกับจิตใจที่จู่ๆก็รู้สึกหน่วงขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
ยิ่งยืนอยู่ในห้องนี้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกถึงหลายสิ่งรอบกายที่มองข้ามมาตลอดมากขึ้นเท่านั้น
คนคนหนึ่งที่เวลาอยู่ใกล้ กลับถูกมองข้าม
ทว่าเวลาไม่ได้อยูด้วยกัน
.คนคนนั้นกลับมีตัวตนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“จริงๆเลยนะ ห้องรกขนาดนี้อยู่เข้าไปได้ยังไงน่ะ ไหนฮีจินมันบอกม๊าว่ารูมเมตลูกดูแลดีไง”
“หืม? รูมเมต
ฮีชอลไม่มีรูมเมตนะม๊า” เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย กลัวว่าพี่สาวตัวดีจะปั้นเรื่องอะไรประหลาดๆอะไรเล่าให้แม่เค้าฟังอีก
“อ้าว ก็ผู้ชายที่อยู่ห้องเดียวกับลูกไง พี่สาวแกมันโทรมาเม้าท์ใหญ่เลยว่าพ่อรูมเมตคนนั้นน่ะหล่อเชียว แถมปัดกวาดเช็ดถูดูแลห้องให้ทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ ม๊าก็เลยหายห่วงไม่ได้มาเยี่ยมซะตั้งนาน”
“
ไม่ใช่รูมเมตซะหน่อยครับ”
“ไม่ใช่แล้วทำไมเค้าถึงมาดูแลลูกขนาดนั้นล่ะ
หืม?”
“
”
ประโยคคำถามสั้นๆที่ราวกับตบห้าฮีชอลอย่างแรงจนชาไปทั้งตัว
ก้อนสะอื้นจุกๆที่เพิ่งถูกกลืนลงคอแล่นขึ้นมาถึงอกอีกครั้ง
มันบีบรัด
อึดอัดซะจนแค่เพียงหายใจยังทำได้ลำบาก
นั่นสิ
เป็นใครกัน
ถึงได้ทำอะไรมากมายเพื่อเค้าขนาดนั้น
เพื่อนข้างห้อง รุ่นพี่กับรุ่นน้อง เพื่อนสนิท
ไม่มีฐานะไหนที่คู่ควรสำหรับสิ่งที่ปาร์คจองซูทำเลย
เพื่อนข้างห้อง
จำเป็นต้องกินข้าวด้วยกันทุกมื้อรึเปล่า
รุ่นพี่กับรุ่นน้อง
ต้องนอนเตียงเดียวกันมั๊ย
เพื่อนสนิท
กอด
จูบ
บอกรักกันรึเปล่า
“ฮีชอลเป็นอะไรน่ะลูก ไม่สบายรึเปล่าตาแดงเชียว”
“อะ อ่า
เปล่าครับ
แล้ว
นี่ม๊าจะค้างกี่วันล่ะ” ร่างเล็กที่ตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะรีบกระพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำใสๆที่ชอบถือวิสาสะเอ่อขึ้นที่ขอบตา เอ่ยชวนคุยเรื่องอื่นขึ้นเพราะไม่ชอบเห็นสีหน้าเป็นห่วงบนใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นแม่
ไม่ชอบเลย
ความรู้สึกจุกๆที่เหมือนกับน้ำตาพร้อมจะไหลออกมาได้ตลอดเวลาอย่างนี้
“ไฟล์ทบินสองทุ่มจ้ะ”
“โหย ไปไหนอีกล่ะม๊า ไม่เหนื่อยบ้างรึไงเนี่ย”
“ฮาวายเชียวนะ ฮาวาย ไปด้วยกันมั๊ยล่ะ”
“ไปคนเดียวเหอะม๊า มะรืนนี้สอบแลปกริ๊งอีกแล้วเนี่ย” บทสนทนาแปลกๆของสองแม่ลูก ที่คนมีอายุดูกระฉับกระเฉง แตกต่างกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เอาแต่ปั้นหน้าเครียดเหมือนเบื่อโลกเต็มที
ใบหน้าหงอยๆของเด็กน้อยคิมฮีชอลเรียกร้อยยิ้มเอ็นดูจากผู้เป็นแม่ได้ไม่ยาก มืออวบอูมยกขึ้นลูบบนหัวยุ่งๆสีน้ำตาลอัลมอนต์อย่างอ่อนโยน พร้อมกับระบายยิ้มหวานที่ฮีชอลถอดแบบออกมาเป๊ะๆบนใบหน้าสวยที่เริ่มขึ้นริ้วรอยแห่งวัย
“เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน ออกไปกินข้าวกัน เดี๋ยวม๊าพาไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ชอบ ดีมั๊ย”
“โอเคเลย” ตาคู่สวยเริ่มเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินของชอบ แม้ในหัวจะยังรู้สึกมึนเพราะนอนไม่พออยู่เล็กน้อย แต่คุณนายคิมเธออุตส่าเจียดเวลามาหาทั้งทีก็ถือโอกาสออกไปกินข้าวตามประสาแม่ลูกด้วยกันซะหน่อย
“ไปกินชาบูกันเนอะ”
“
”
“ถ้าเล่นเพลงนี้ได้ภายในสิบห้านาที เดี๋ยวพาไปเลี้ยงชาบู”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ความรักที่มั่นคง
คงปรียบได้กับอากาศบริสุทธิ์
ไม่ใช้ลมหนาวที่พัดผ่านเพียงฉาบฉวย
ไม่ใช่น้ำหอมกลิ่นฉุนที่ชวนให้ลุ่มหลงเพียงชั่วยาม
เป็นเพียงแค่อากาศที่โอบล้อมรอบกาย
ทว่าไร้ตัวตน...
ระรึกได้อีกทีก็เพราะความทรมานเพราะขาดมัน...
“ม๊าไม่ต้องไปส่งก็ได้ เดี๋ยวไปไม่ทันไฟล์ทบินนะ
ฮีชอลนั่งรถเมล์กลับเองเป็นแล้ว” เสียงหวานเอ่ยขึ้นหลังเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นพร้อมหญิงสาวผู้เป็นแม่
อาหารมื้อค่ำแสนอร่อยที่ดำเนินผ่านไปพร้อมกับเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคุณนายคิมที่เล่าให้ลูกชายฟังถึงทริปทัวร์หลากประเทศที่ไปเที่ยวมาอย่างออกรส ทำให้คนฟังลืมเรื่องราวหนักๆในใจไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
อย่างน้อยก็ทนนั่งอยู่ในร้านชาบูได้โดยที่น้ำตาไม่ไหลออกมา
“จริงด้วย ตายๆๆ ทุ่มครึ่งแล้ว
งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะฮีชอล ถึงคอนโดแล้วโทรบอกม๊าด้วยนะ”
“ครับ
เดินทางปลอดภัยนะม๊า” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาหญิงสาวที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ชั่วโมง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะว่างมาเจอกันอีกเมื่อไหร่
“
”
“
”
แม้ประโยคล่ำลาง่ายๆจะจบลงไปแล้ว ทว่าร่างเล็กก็ยังไม่เดินหันหลังไปไหน
ท่าทีร่าเริงสดใสของเด็กชายที่หญิงสาวคุ้นเคย แต่วันนี้เธอกลับเห็นเพียงแค่สายตาหม่นที่เหม่อลอยแทบจะตลอดเวลา พร้อมริมฝีปากเล็กที่ถอนหายใจออกมาแทบจะทุกสิบนาที
แค่นี้ทำไมคนที่เลี้ยงมากับมือจะดูไม่รู้ว่าลูกชายตัวน้อยของตนกำลังมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
หญิงสาวร่างอวบเดินเข้ามาสวมกอดร่างเล็กของลูกชายมาไว้แนบอก
ก่อนมืออวบอูมจะลูบไปบนกลุ่มผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยนเหมือนคราวที่กอดปลอบเด็กน้อยวัยสีขวบที่ร้องไห้เพราะขี่จักรยานล้ม
“เห็นลูกม๊าเป็นอย่างนี้ ไม่สบายใจเลยนะรู้มั๊ย”
“อย่าห่วงเลยครับ
ฮีชอลไม่เป็นไรหรอก”
พูดไปอย่างนั้น ทั้งที่น้ำตาหยดเล็กไหลอ้อยอิ่งออกมาเปื้อนแก้มซ้าย จนมือเล็กต้องรีบปัดออกเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าเป็นห่วงไปมากกว่านี้
“ม๊ารักเรา
มาถึงกลับมาหาเรานะฮีชอล
”
“
”
“เพราะฉะนั้น
ลูกรักใคร
ลูกก็ไปตามเค้ากลับมาสิ”
“
”
“ความรักน่ะมันหาได้รอบตัว
แต่คนที่เรารัก
บางทีมันก็มีแค่คนเดียว
รู้มั๊ยเด็กน้อย”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“กลับบ้านดีๆนะลูก อย่าขึ้นรถเมล์ผิดสายล่ะ”
“ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะม๊า
ไม่ผิดหรอก”
“ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะม๊า
ไม่ผิดหรอก”
แล้วที่ต้องลงมานั่งหง่าวอยู่ป้ายรถเมล์ที่ไหนไม่รู่นี่เรียกว่าอะไรวะ
“เฮ้อ
กูอยากจะบ้าตาย”
ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีเข้มนั่งกอดอกอย่างเซ็งๆอยู่ใต้ป้ายรถเมล์เก่าๆที่ไม่มีแม้แต่หลังคาคลุม
เมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่เค้าขึ้นมาบนรถเมล์ที่คิดว่าถูกสายแล้ว แต่ทว่าเผลอหลับไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น พอลืมตาขึ้นมาพบกับวิวรอบกายที่ไม่คุ้นเคยพร้อมกับประโยคชวนโดดตึกว่า
ป้ายสุดท้ายแล้วน้อง
พ่องตาย
ทำไมเจอแต่เรื่องน่าโมโหวะ
โทรศัพท์เครื่องบางถูกจิ้มโทรออกรัวๆอย่างอารมณ์เสียเมื่อกดโทรหาใครก็ไม่มีซักคนรับสาย
สายไม่ว่าง ปิดเครื่อง สายไม่ว่าง ปิดเครื่อง
สายไม่ว่าง และปิดเครื่อง
พระเจ้าแม่งจะเอาไงกะกูครับ
มึนหัวเหมือนจะไม่สบายด้วย อยากกลับบ้านไปนอนจะตายห่าอยู่แล้ว
แล้วแถวนี้มันอยู่ส่วนไหนบนโลกวะ ทำไม่มีแท๊กซี่ผ่านมาซักคัน
จะห้าทุ่มแล้ว กูนอนแม่งตรงนี้เลยดีมั๊ย
นิ้วเรียวเลื่อนลิสต์รายชื่อบนหน้าจอไอโฟนขึ้นลงอย่างหงุดหงิดเผื่อว่าจะเจอเบอร์ใครซักคนที่พอจะโทรไปขอความช่วยเหลือได้อีกบ้าง
กระทั่งเจอเข้ากับเบอร์ของใครคนหนึ่งที่เผลอเพฟไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
P’Jung
“
”
ปลายนิ้วเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ชื่อนั้น
ทว่าคนตัวเล็กก็ไม่กล้าพอที่จะกดโทรออก
คิดถึงเค้าแค่ตอนเดือดร้อนเท่านั้นน่ะเหรอ
คิดแต่จะให้เค้ายื่นมือให้ ทั้งที่ไม่เคยเห็นหัว แถมผลักไสไล่ส่งเค้าออกไปอย่างนั้นน่ะเหรอ
จะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยล่ะมั้งคิมฮีชอล
"พี่จองซูมารับหน่อยได้เปล่า ขึ้นรถเมลล์ผิดสายมาโผล่ไหนไม่รู้ กลับคอนโดไม่ถูกอ่ะ"
"ตอนนี้อยู่ไหน เดี๋ยวรีบไปรับ"
ยังจำมันได้ดี
ว่าตอนนั้นเค้ารู้สึกอุ่นใจมากแค่ไหนที่ได้ยินน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงนั่น
แล้วตอนนี้
เค้ายังไม่สิทธิได้รับความห่วงใยอย่างนั้นอีกรึเปล่านะ
น้ำใสหยดลงกระทบบนหน้าจอไอโฟนจนกระจายเป็นวงกว้าง
เรียกให้เจ้าของเครื่องมือสื่อสารขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย
เพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังร้องไห้
แปะ
แปะ
แปะ
แปะๆๆๆ
หยาดฝนเม็ดเล็กสาดกระทบลงมาแทนคำตอบ พร้อมเสียงดังครืนๆบนท้องฟ้าสีหม่นที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำสนิทที่เคลื่อนตัวเข้าหากันเป็นกลุ่มก้อน
สายฟ้าสีขาวแล่นริ้วขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าฝ่าดังสนั่นที่ทำให้ฮีชอลสะดุ้งตัวอย่างแรงด้วยความหวาดกลัว
ราวกับท้องฟ้าเล่นตลกร้าย
เมื่อสายฝนพรำๆในทีแรก กลับกลายเป็นพายุลมแรงที่พัดกระหน่ำสาดเทลงมา โดยไม่เกรงใจว่าคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างป้ายรถเมลล์ที่ไร้หลังคาจะใช้อะไรเป็นที่กำบัง
หยาดฝนเย็นเยียบสาดกระทบร่างบางที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตตัวบางห่อหุ้มตัวจนเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ทำให้ฮีชอลรู้สึกหนาวสุดขั้วหัวใจ
ไอโฟนเครื่องบางถูกยัดใส่กระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับภาวนาให้มันยังใช้งานได้หากผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป
ไหล่บางห่อตัวเกร็งพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว
เสียงฟ้าฝ่าที่ดังขึ้นทบจะทุกสามนาทีทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมา
ไหนจะความมืดที่เริ่มก่อตัวขึ้นรอบกายเพราะดวงไฟสาธารณะดับไปเพราะพายุเข้ายิ่งทำให้เค้าประสาทเสียมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิตของฮีชอลมีเพียงแค่สองอย่าง
และการต้องมาเผชิญสองสิ่งในพร้อมๆกันนั้นมันช่างทรมานจนอยากจะหลับตาแล้วภาวนาให้ลืมตาขึ้นมาพบว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายจริงๆ
ร่างเล็กเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนรวบรวมความกล้าปรือตาขึ้นมองรอบกายที่เกือบจะมืดสนิท
ห่างออกไปทางด้านซ้าย เป็นทางเดินฟุตบาททอดยาวที่มีแสงจากเสาไฟสาธารณะสีส้มให้แสงสว่างอยู่เป็นระยะ
และดูเหมือนใกล้ๆกันนั้นจะมีป้ายรถเมล์อีกแห่งที่พอจะให้ที่กำบังสายฝนได้บ้าง
ครืน!!!!....
“ฮืก
” เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นอีกครั้งจนฮีชอลเผลอสะอื้นออกมา
ท่ามกลางลมพายุที่โหมกระหน่ำทำให้ร่างเล็กสั่นสะท้านไปทั้งกาย
เจ้าของริมฝีปากบางที่สั่นระริกเพราะความหนาวยกมือขึ้นปิดหูแน่น พร้อมวิ่งฝ่าสายฝนเย็นเยียบหวังจะไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อเสียงฟ้าร้องดังขึ้นคราใด ขาทั้งสองข้างก็เหมือนจะหมดแรงลงเสียดื้อๆ
ทางเบื้องหน้า มันช่างพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำฝนจนแทบมองไม่เห็นว่าจะก้าวไปทางไหน
ใบหน้าหวานที่รู้สึกเย็นจนชาเพราะเม็ดฝนที่ตกกระทบลงมา ทำให้เค้ารู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลพรากออกมาเป็นทางจากขอบตาสวยทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน
พื้นถนนเต็มไปด้วยแอ่งน้ำเจิ่งนองที่มืดสนิท
ขาสองข้างที่เอาแต่ฝืนวิ่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงแสงสว่างเบื้องหน้าเสียที
ดวงไฟสีส้มที่พร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา
เหมือนอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ
แต่ในขณะเดียวกัน
มันก็แสนใกลราวกับไม่มีอยู่จริง
ที่ทำได้ก็เพียงแค่ใช้แรงที่มีทั้งหมด
วิ่ง
วิ่ง
และวิ่ง
อยู่ในเขาวงกตแห่งความมืดมิด
วิ่ง
ไล่ตามแสงสว่างที่เป็นดั่งความหวัง
อย่างที่ปาร์คจองซูเคยทำ
“ฮึก
ฮืออ
” ร่างเล็กทิ้งตัวทรุดลงนั่งกับพื้นทันทีเมื่อวิ่งเข้ามาหลบในร่มของหลังคาป้ายรถเมล์
เสียงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนดังปนออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นจนเจ้าตัวแทบจะหายใจไม่ทัน
ขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะหยัดตัวขึ้นมาอีกครั้ง จะทำได้ก็แค่เพียงยันตัวเองให้พิงไว้กับเก้าอี้ด้านหลังเพื่อไม่ให้ล้มไปเท่านั้น
หยาดน้ำตาที่เคยพร่ำบอกตัวเองว่าต่อให้เสียใจแค่ไหน ก็อย่าหลั่งมันออกมา
ณ เวลานี้
เค้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
คิมฮีชอลอ่อนแอเกินกว่าที่ตัวเองคาดคิดเอาไว้มาก
อวดดีไปก็เท่านั้น แสร้งทำเฉยไปก็ไม่ช่วยอะไร
ในเมื่อทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่ในใจ
ว่าคิมฮีชอล รัก ปาร์คจองซู
ครืน
.!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้ร่างเล็กกลับไม่ได้ยกมือขึ้นปิดหูแต่อย่างใด
ที่ผ่านมา
เค้าเอาแต่หวาดกลัวแต่สิ่งที่ไร้ตัวตน
แต่หารู้ไม่ว่าการไร้ตัวตน เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
หวังให้เค้ากลับมาง้อเหรอคิมฮีชอล
ทำตัวแบบนี้
มันสมควรถูกเกลียดมากกว่าถึงจะสาสม
หากนี่คือบทเรียนที่พระผู้เป็นเจ้าจงใจสั่งสอนให้คนโง่คนหนึ่งรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของใครอีกคน
คิมฮีชอลก็คงได้เพียงแค่หลั่งน้ำตาออกมาแทนคำพูดมากมายที่พร่ำร้องขอโอกาสให้คนโง่คนนี้อีกซักครั้ง
ได้แต่ขอให้ใครคนนั้น โปรดอภัยให้กัน
.สักครั้งจะยอมได้ไหม
.
กลับมารดน้ำต้นไม้ต้นนี้อีกสักครั้ง
ก่อนที่กูจะตายเพราะขาดคนดูแล
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เกือบสองชั่วโมงที่ร่างเล็กของชายคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ในป้ายรถเมล์ที่อาศัยเป็นที่กำบังฝนชั่วคราว
ไหล่บางสั่นสะท้านเพราะความหนาวเหน็บที่เย็นไปจนถึงกระดูกเมื่อเสื้อผ้าเนื้อบางชื้นไปด้วยน้ำฝนต้องต้านลมแรงที่พัดผ่านมาแต่ละครา
น้ำตาหยดแล้ว หยดเล่า ที่ไหลซึมออกมาจากขอบตาที่บ้วมช้ำจากการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ได้ทำให้ฮีชอลรู้สึกเจ็บไปมากกว่าที่หัวใจแต่อย่างใด
ใบหน้าหวานซุกหน้าลงกับเข้ากอดตัวเองอยู่อย่างนั้น กระทั่งสายฝนเริ่มซาลง จึงเดินเรื่อยไปตามทางจนพบแท๊กซี่ขับผ่านมา
สุดท้าย
ค่ำคืนที่โหดร้ายก็สิ้นสุดลงเมื่อขาเล็กที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรงก้าวพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่คุ้นเคย
แต่ทว่าไม่ใช่ของห้องฮีชอล
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เจ้าของดวงหน้าซืดขาวราวกับกระดาษเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะเหยียดยิ้มหยันให้กับตัวเองด้วยความรู้สึกสมเพช
แม้ดวงตาแดงก่ำจะดูเหม่อลอย
แม้สภาพร่างกายที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำฝน หรือเปรอะไปด้วยขี้โคลนที่กระเด็นเลาะไปทั่วเสื้อเชิ้ตสีขาวจะดูย่ำแย่มากก็ตามที
ทว่าคิมฮีชอลรู้ดี ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่
ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ
“พี่จองซู
อยู่รึเปล่า”
ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ
“ฮึก
ออกมาเดี๋ยวนี้นะ
มาติวหนังสือให้หน่อย
”
ก๊อกๆๆๆๆๆๆ
“ฮ
ฮือ
ซื้อเกี๊ยวมาฝากด้วยนะ
ชอบไม่ใช่เหรอ
”
ปึง!
ปึงๆๆ
“พี่จองซู
กูคิดถึง
.คิดถึงจน
ฮึก
จะตายอยู่แล้ว
ฮือ
”
จากเสียงเคาะประตูเบาๆในทีแรก กลับกลายเป็นเสียงกำปั้นเล็กๆที่ทุบลงไปบนบานไม้หนาอย่างแรงจนเกิดเสียงดังปังที่ดังติดต่อกันหลายนาที
เด็กหนุ่มเสื้อผ้ามอมแมมเอาแต่ร้องไห้พร้อมกับทุบประตูอย่างเสียสติอยู่อย่างนั้น
แม้ว่าเสียงแหบแห้งที่ตะโกนออกมาจะแทบฟังไม่เป็นภาษาก็ตามที
“ฮะ
ฮือ
.” ริมฝีปากบางเผยอหอบพร้อมสะอื้นไห้ออกมาปานจะขาดใจ
ร่างเล็กที่ไร้เรี่ยวแรงจะหยัดยืนอีกต่อไปทิ้งตัวทรุดลงนั่งพิงกับบานประตูใหญ่ด้านหลังอย่างเหนื่อยอ่อน
ดวงตาคู่สวยบวมช้ำเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย
เสยปอยผมหมาดน้ำที่ปรกหน้าขึ้น ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆเมื่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
มือขาวซืดเอื้อมหยิบไอโฟนเครื่องบางในกระเป๋ากางเกงออกมา
ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว
ขอเพียงแค่ปาร์คจองซูกลับมา
ให้คิมฮีชอลคนนี้ร้องไห้อ้อนวอนอีกเพียงไหน
เค้าจะทำ
Calling
P’jung
โทรศัพท์เครื่องบางถูกยกขึ้นแนบหู ก่อนเปลือกตาบวมช้ำจะค่อยๆปิดตัวลงเบาๆพร้อมสูดหายใจเข้าช้าๆ เพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
ตู๊ด
ตู๊ด
ตู๊ด
เสียงรอสายที่ดังขึ้นเป็นจังหวะซ้ำๆทำให้หัวใจของฮีชอลเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง
คำพูดมากมายในหัวเริ่มเดินสวนกันวุ่นวาย พอๆกับความกังวลที่เกาะกุมไปทั่วจิตใจ
ได้โปรด
ให้โอกาสกันอีกซักครั้ง
ขอร้อง
ตู๊ด
“
”
เสียงสัญญาณเงียบไป แต่ทว่าคนที่รับสายกลับไม่พูดอะไรขึ้นมา
ริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกกว้าง พร้อมกับน้ำตาใสที่รื้นขึ้นนัยน์ตาทั้งสองข้าง
ไม่ใช้เพราะความเจ็บปวดเสียใจอย่างที่ผ่านมา
ทว่าฮีชอลกำลังร้องไห้
เพราะความตื้นตันใจที่อย่างน้อยใครคนนั้นก็ยังคงรับฟังเค้าเสมอ
“
” เกือบห้านาทีที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่อย่างนั้น
คนที่ตอนแรกคิดว่ามีความกล้าเต็มร้อย แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่สามารถสรรหาประโยคใดพูดอธิบายความในใจออกไปได้
แต่สุดท้ายก็เผลอพูดประโยคที่ดูโง่ที่สุดออกมา
“
วันนี้ไปกินชาบูกับม๊ามา
นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เลี้ยงชาบูมึงเลย
”
“
”
“ไว้กลับมาเมื่อไหร่
เราไปกินชาบูกันนะ
”
“
”
“ฮึก
กลับมาหาฮีชอล
นะ”
“
”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
ไม่ต้องตอบอะไรกลับมาก็ได้
ขอแค่ยังฟังเค้าอยู่ก็พอ
“ขะ
ขอโทษนะพี่จองซู
”
“ขอโทษจริงๆ
”
“ขอโทษ ฮึก
ขอโทษ
”
“ไม่ต้องรักคนเหี้ยๆอย่างกูแล้วก็ได้
ฮึก
แต่ช่วยกลับมาหา
ได้มั๊ย”
“เพราะกูรักมึง
แล้วก็คิดถึง
จนจะประสาทแดกตายแล้วจริงๆ
”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อีกฝั่งหนึ่งของบานประตู
ร่างโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งพิงบานไม้อยู่นิ่งๆท่ามกลางความมืด
มือเรียวยกโทรศัพท์ขึ้นแนบไว้ที่หู ทว่าไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา
น้ำตาหยดเล็ก ไหล่อ้อยอิ่งลงมาเปื้อนแก้ม พร้อมกับร้อยยิ้มกว้างที่ระบายขึ้นบนใบหน้าหล่อที่ห่างหายจากคำว่ามีความสุขไปแสนนาน
“เพราะกูรักมึง
แล้วก็คิดถึง
จนจะประสาทแดกตายแล้วจริงๆ
”
เสียงแหบแห้งที่ดังลอดมาตามสายพร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆ เรียกน้ำตาจากชายหนุ่มบ่อน้ำตาตื้นได้ไม่ยาก
หรือถ้าจะพูดจริงๆ
ปาร์คจองซูร้องไห้ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วด้วยซ้ำ
เจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเอนหลังพิงเข้ากับบานประตูที่รู้ดีว่าอีกฝากหนึ่งมีใครอีกคนนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก
กระเป๋าสีน้ำตาลที่วางอยู่ข้างๆ บ่งบอกว่าเค้ากำลังเตรียมตัวออกจากห้องก่อนหน้าที่ฮีชอลจะมาเคาะประตูเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
แค่กะจะมาเก็บข้าวของต่างๆให้เป็นที่เป็นทาง
ก่อนจะให้รถขนย้ายมาขนเครื่องใช้ต่างๆออกไป
“คุณปาร์คจองซู
คุณจะสะดวกมั๊ยถ้าหากผมอยากจะขอให้คุณช่วยรับผิดชอบงานนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ”
“ครับ?”
“ผมหมายความว่าบริษัทของเรายินดีจะจ้างคุณเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำ
เราสามารถมาคุยราละเอียดเรื่องเงินด้วยกันได้ตามแต่คุณเลย อยู่ที่ว่าคุณยินดีจะรับตำแหน่งนี้เอาไว้รึเปล่า”
ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ภาพของใครคนหนึ่งแว่บเข้ามาในจิตใจ
การตัดสินใจที่ควรจะเด็ดขาดของชายหนุ่มวัยเข้าเลขสามที่ถึงเวลามีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งมั่นคงน่าจะตอบตกลงได้ไม่ยาก ทว่าร่างเล็กผู้มีอิทธิพลในใจของเค้าก็ยังคงสามารถสั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของปาร์คจองซูได้อยู่เสมอ
ถ้าหากเค้าเข้าทำงานที่นี่
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการย้ายมาอยู่คอนโดเดียวกับฮยอกแจและทีมงานแอนิเมเตอร์ทั้งหมด ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันอย่างที่ผ่านมาตลอดสามสัปดาห์
งานแอนิเมชั่นที่ต้องใช้เวลาและอาศัยทีมวอร์ค มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ปาร์คจองซูจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างแต่ก่อน
แง่ดี
นี่เป็นโอกาสดีที่จองซูจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงาน ลืมเรื่องราวของคิมฮีชอลซะ แล้วกลับมาเป็นหนุ่มอิลลัสเตรเตอร์บ้างานคนเก่า
ทว่าน่าเสียดาย
ที่ปาร์คจองซูคนเก่าก็ไม่สามารถตัดคิมฮีชอลออกไปจากใจได้เช่นกัน
“ผม
ขอเวลาตัดสินใจได้มั๊ยครับ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา
พร้อมให้คำตอบเมื่อไหร่ก็โทรบอกผมได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะ”
“ขอบคุณครับ”
ริมฝีปากบางกดยิ้มออกมาอย่างไม่เชื่อกับการตัดสินใจของตัวเองในตอนนี้
เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เค้าโทรบอกกับรุ่นน้องคนสนิทว่ากำลังจะตอบตกลงเข้าทำงานที่บริษัทเดียวกัน
รถขนย้ายที่ติดต่อกันล่วงหน้าเกือบอาทิตย์เพื่อให้มาขนย้ายของออกในเช้าวันพรุ่งนี้
หน้าจอโทรศัพท์ที่กดเบอร์ของบอสใหญ่ค้างเอาไว้
เพื่อที่จะโทรไปตอบตกลงข้อเสนอและเข้าทำงานในสัปดาห์หน้า
แล้วกลับไปอยู่ในโลกของปาร์คจองซูจอมบ้างานคนเดิม
ทว่า
ทุกอย่างที่วางแผนเอาไว้
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงเพราะคำพูดสั้นๆเพียงประโยคเดียว
“กลับมาหาฮีชอล
นะ”
ตู๊ด
“
ผม
ปาร์คจองซูนะครับ”
ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ โดยระวังไม่ให้คนที่ปลายสายได้ยิน
กดยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยเพื่อสร้างความมั่นใจว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกไปนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
“ข้อเสนอที่จะเข้าทำงานในบริษัทของคุณ
ขอโทษด้วยที่ผมต้องปฏิเสธ
ขอบคุณสำหรับโอกาสนะครับ หวังว่าในอนาคตเราคงจะได้ร่วมงานกันอีก
ผมขอบคุณจริงๆ”
เป็นอีกครั้ง ที่คนโง่อย่างปาร์คจองซูยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อหัวใจของตัวเอง
แต่ครั้งนี้เค้ามันใจ
ว่ามันจะไม่สูญเปล่า
โอกาสน่ะมันหาได้รอบตัว
แต่โอกาสที่จะได้กลับไปรัก กับคนที่เรารัก ...ชีวิตหนึ่ง
มันอาจจะมีแค่ครั้งเดียว
To be con.
-talk-
มหากาพย์มากตอนนี้ -_-
ยาวโคตรพ่อค่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่เราอัพช้า (แถสีข้างถลอก 5555)
เมื่อวานเพิ่งเขียนได้ยี่สิบเปอร์ เจอทวีตปูอบซอสเข้าไป ฟินพุ่งพล่านเขียนจนครบร้อยได้ชั่วข้ามคืนอ่ะตัวเธอ TwT
ตอนนี้ถ้าเจอประโยคประหลาดๆเราขอโทษด้วยเน้อ ตรวจคำผิดกะอีดิทรอบเดียวเอง แห่ะๆ
อ่าแล้วก็
น้องหมอตอนหน้าจะฟินนิชแล้วนะทุกคนนนน ._.
ปล.เรื่องชาบูยังไม่ลืมค่ะ 5555 เดี๋ยวเขียนแถมเป็นสเปเชี่ยลในเล่ม เย้ๆ
ปล2.เล่มไร
รวมเล่มไง รวมเล่มกันเหอะ! (มัดมือชกมาก สั่งพิมพ์เล่มเดียวก็เอา 5555)
ไว้เจอกันตอนหน้าน้า บ๊ายบาย.
ความคิดเห็น