ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Hello soulmate [83lines - TeukCin]

    ลำดับตอนที่ #9 : ❥Hello soulmate -------- Eight

    • อัปเดตล่าสุด 16 ม.ค. 55


      

      

     


    *บังคับฟังทุกคน =v=*

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     



    It's the coldest night, people passing by.

    You will be the one that light up my life.

     

     

     

                    “ฮีชอล จำได้เปล่าว่ามึงยังไม่ได้ส่งบทวิเคราะห์ให้กู ไม่ต้องรีบนะสัด แต่ทั้งกลุ่มเหลือแค่มึง”

                    “เออรู้แล้ว เดี๋ยวเมลล์ไป”

     

                    “มึงลืมชีทสรุปที่กูฝากไปซีร๊อกอีกแล้วเหรอฮีชอล รอให้กูหลังสอบเหรอไอ้เวร”

                    “เชี่ยกูลืมชีททิ้งไว้ไหนแล้ววะ

     

                    “ฮีชอลสภาพหน้ามึงใกล้เคียงอาจารย์ใหญ่มาก อย่าเผลอหลับนะเว้ยเดี๋ยวกูผ่าผิด

                    “นั่นปากเหรอสัด มีไรแดกก่อนเข้าแลปบ้างป่ะ ตื่นสายแดกข้าวเช้าไม่ทัน”

     

                    “ฮีชอล บทวิเคราะห์

                    “โอเค เสร็จแล้วๆ จิกชิบหาย

     

     

                    เหนื่อย

                    เหนื่อยจนอยากจะตายวันละสิบรอบตั้งแต่เปิดเรียนมาเกือบสามอาทิตย์นี่รู้สึกหนักหนายิ่งกว่าเรียนมาทั้งชีวิต อยากซิ่วไปเรียนประมงซะให้รู้แล้วรู้รอด งานห่าอะไรแม่งสั่งๆๆๆมายังกับจะรีบไปตาย นัดสอบเหี้ยไรเยอะแยะไม่รู้ ถามกูมั๊ยว่าพร้อมรึเปล่า

     

                    เหนื่อยเหนื่อยที่เอาแต่ถอนหายใจเกือบทุกสินาทีแบบนี้

                    เหนื่อยที่ต้องกลั้นน้ำตาเวลาอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่เมื่ออยู่คนเดียว น้ำตาแม่งเสือกไม่ไหลออกมาซักหยด

     

                    บางทีก็คิดอยากจะผ่าไอ้ก้อนเนื้อในอกนี้ออกมาดูบ้างว่าแผลมันลึกมากแค่ไหน

                    แต่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะคิมฮีชอลเองก็ไม่รู้วิธีรักษามันอยู่ดี

                   

                    “เชี่ยเอ๊ย” ริมฝีปากเล็กสบถออกมาอย่างอารมณ์เสียก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง ตาคู่สวยปิดปรือด้วยความอ่อนเพลียเหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ...อยากหลับใจจะขาด แต่กระเพาะเจ้ากรรมกลับบิดตัวท้วงซะจนร่างเล็กกุมท้องตัวงอ จำใจต้องยันตัวลุกขึ้นไปหาอะไรใส่ปากเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง

     

                    ทว่าตู้เย็นที่ว่างเปล่า พ่นไอเย็นสีขุ่นออกมาใส่หน้าซะจนเจ้าของห้องแทบทรุดอยู่ตรงนั้น ตาคู่สวยเหลือกตาอย่างเบื่อโลกก่อนจะโขกหัวเจ้ากับชั้นวางไข่เบาๆด้วยความหงุดหงิด ช่องฟรีซที่มีแค่เศษน้ำแข็งแห้งเกาะอยู่รอบๆ ใต้ลงมาถึงช่องแช่ต่างๆที่มีเพียงเศษแซนวิซขึ้นราเมื่อหลายวันก่อนกับถ้วยโยเกิร์ตที่เลยวันหมดอายุมาแล้วค่อนเดือนทำให้ฮีชอลจำต้องคว้าขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มอึกๆแก้ขัดไปอย่างเสียไม่ได้

                ไม่ชอบน้ำเปล่า อยากกินอมิโนพลัส

     

                    ร่างเล็กในชุดนักศึกษาหยัดตัวลุกขึ้นก่อนจะก้าวมาหยุดอยู่หน้าตู้เก็บของในครัวเล็กๆฝากความหวังในการมีชีวิตรอดไว้กับตู้ไม้เบื้องหน้าก่อนจะกลั้นใจเปิดออกช้าๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คาด

                   

                    ว่าง-เปล่า

     

                    …เชี่ยถ้าหม้อกับกระทะย่อยได้กูยินดีแดกเลยตอนนี้ กระเพาะจะทะลุแล้วกูหิวววว

     

                    ริมฝีปากบางเบะบึ้งอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเขย่งตัวขึ้นคุ้ยหาสิ่งใดก็ได้ที่เรียกว่าอาหารในตู้อย่างไม่ยอมแพ้ ในใจเริ่มคิดถึงเศษแซนวิซขึ้นรากับโยเกิร์ตค้างปีในตู้เย็นว่าจะยัดอดีตอาหารพวกนั้นใส่ปากประทังชีวิตดี หรือจะลากสังขารตัวเองลงไปขโมยมาม่าจากมินิมาร์ทที่ปิดไปตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนดี

     

                    ป๊อก

     

                    วัตถุทรงกระบอกกลิ้งหล่นลงมากระแทกแสกกลางหน้าผากเล็กอย่างพอดิบพอดี ก่อนคิมฮีชอลจะหยิบถ้วยกระดาษนั้นขึ้นมาด้วยดวงตาที่ส่องประกายอย่างมีความหวัง

     

     

                    มา-ม่า-คัพ-รส-หมู-สับ !

     

     

                    เหยดเข้ กูรอดแล้ว ;______;

     

                    ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งไปกดน้ำใส่ไมโครเวฟด้วยความเร็วสูง ฉีกผงเครื่องปรุงกับกระเทียมเจียวใส่ตามลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสามนาทีเท่านั้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ส่งกลิ่นหอมพร้อมจัดการ

     

                    “พี่จองซูมึงคุ้ยอะไรอยู่ในครัวน่ะ”

                “ซื้อมาม่ามาให้ไง สองแพคเลยเนี่ย”

     

                    ริมฝีปากเล็กที่กำลังดูดเส้นบะหมี่เข้าปากชะงักทันทีเมื่อเสียงแว่วเบาๆดังขึ้นในจิตใจเหตุการณ์ธรรมดาๆในวันหนึ่งฉายซ้ำขึ้นมาอย่างชัดเจนจนน่าประหลาด แม้ว่าเค้าจะไม่ได้ตั้งใจจดจำมันก็ตามที

     

                    “รสอะไร โหย บอกแล้วไงไม่ชอบรสหมูสับ โตแล้วต้องกินต้มยำกุ้งดิ”

                “เกี่ยวอะไรวะโตขึ้นต้องต้มยำกุ้ง ฮ่าๆ รสต้มยำแม่งกินเช้าๆแล้วกัดกระเพาะ หมูสับเนี่ยดีแล้ว ท้องว่างๆก็กินได้”

                “มึงอ่ะ ทีหลังไม่ต้องซื้อมาเลย”

     

     

                    …

     

     

                    “ราเมงล๊อบส์เตอร์ทะเลเดือด”

                “มาม่าต้มยำกุ้งเหอะสัด เรียกซะกูไม่กล้าแดก”

                “ฮ่าๆๆๆ จะกินไม่กิน นี่อุตส่าใส่ไข่ลงไปตั้งสามฟองเลยนะ”

     

     

                   

                “อ่ะๆ อ้ามมมมๆ”

     

     

                   

                    ขอบตาสวยร้อนผ่าวขึ้นพร้อมกับอาการแสบร้อนในจมูก แต่ทว่าร่างเล็กก็ทำแค่กระพริบตาถี่เพื่อไล่มันออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร ซ้อมพลาสติกสีขาวม้วนเส้นมาม่าขึ้นมาใส่ปาก เคี้ยวอย่างลวกๆก่อนจะกลืนมันลงไปพร้อมกับก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในคอ

     

                แค่นี้จะร้องไห้ทำไมวะ...

    คำถามเดิมๆที่ดังขึ้นในห้วงความคิดทุกครั้งที่รู้สึกเจ็บจนไม่อยากหายใจ แต่ทว่าน้ำตาก็ไม่ยอมไหลออกมาซะที...

    ทั้งที่เหตุผลก็อยู่แก่ใจ...

     

    คนเราร้องไห้ออกมาเพราะสองสาเหตุเท่านั้น...

    เป็นสุขจนตื้นตัน ...กับเป็นทุกข์แทบขาดใจ

     

    แล้วถ้าทุกข์จนจะตายแต่เสือกไม่มีน้ำตาไหลออกมาซักหยดนี่กูควรจะทำยังไง

     

    "ปึก..." ถ้วยกระดาษของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถูกทิ้งลงใส่ถังขยะ ก่อนร่างเล็กจะก้าวออกมาจากห้องครัวพร้อมปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มทิ้งอย่างลวกๆ

     

    "......" ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องนอนชะงักทันทีเมื่อแววตาที่รื้นไปด้วยน้ำใสเหม่อมองไปรอบห้องที่ราวกับมีเงาจางๆของปาร์คจองซูยืนอยู่ไปทั่วทุกที่... เตียงนอนสีครีมที่เคยมีร่างโปร่งของผู้ชายคนหนึ่งนอนแผ่อยู่ข้างๆ โต๊ะไม้ขนาดกลางที่ยังคงเต็มไปด้วยกองหนังสือเล่มหนา ทว่าไร้คนจัดเก็บมันให้เป็นระเบียบอย่างเคย ชีทกระดาษที่วางสุมกันเอาไว้ แต่ไม่มีคนช่วยติวเหมือนครั้งก่อนๆ

    ...เปียโนหลังงามสีขาวที่ตั้งชิดไว้กับผาผนังติดประตูระเบียง

     

     

    ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ...นับตั้งแต่คืนที่มีเสียงกีต้าร์โปร่งนั่นดังลอดเข้ามาในห้อง...

     

     

    ร่างเล็กที่กำลังหัวเสียเพราะรายงานกองพะเนินบนโต๊ะที่ปั่นยันฟ้าสว่างก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเสร็จทัน ทว่าฮีชอลก็ต้องประสาทเสียยิ่งกว่าเก่าเมื่อจู่ๆแสงสว่างรอบกายก็พร้อมใจกับดับวูบลง...

     

    มืดสนิท...

     แววตาใสเบิกกว้างแต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใด หัวใจกระตุกวูบก่อนจะเต้นระรัวพร้อมกับไหล่บางที่เริ่มสั่นน้อยๆเพราะโรคกลัวความมืด พยายามข่มตาลงเพื่อตั้งสติแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องทางเพื่อเดินไปหาไฟฉายหรือเทียนมาจุด...

     

    แสงสว่างดวงเล็กถูกจุดขึ้นแล้วนำไปวางที่มุมต่างๆของห้อง แม้จะไม่สว่างพอจะปั่นงานต่อ แต่แสงส้มอ่อนๆนั่นก็มากพอที่จะทำให้คนกลัวความมืดอย่างฮีชอลสงบลงได้...  ถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนเสียงเพลงเบาๆที่ดังลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาจะเรียกความสนใจให้เค้าเงี่ยหูฟัง...

     

    ทำนองเพลงหวานที่บรรเลงเป็นเพลงที่ฮีชอลรู้จักดี... และปฏิเสธไม่ได้ว่าเค้าเองก็ชอบมัน.. คิ้วเรียวที่ขมวดยุ่งเพราะอารมณ์ขุ่นมัวเริ่มคลายตัวออกเมื่อเสียงกีต้าร์โปร่งรื่นหูเริ่มทำให้เค้าอารมณ์อ่อนลง ...

    รางเล็กหยัดตัวขึ้นก่อนจะก้าวเดินช้าๆไปยังประตูกระจกที่กั้นระเบียงด้านนอกไว้ หันหลังพิงกับกระจกก่อนจะหลับตาลงเพื่อให้เพลงหวานๆช่วยขับกล่อมให้คนที่เริ่มฟุ้งซ่านเพราะความมืดสงบใจลง

     

    "..."  ทว่าเสียงกีต้าร์โปร่งกลับเงียบลงกลางเพลง เรียกความสงสัยจากร่างเล็กจนเกือบจะเผลอเปิดประตูออกไปดู... แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อสายตาพลันไปสะดุดเข้ากับเปียโนหลังสีขาวข้างๆ... รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าหวานอย่างนึกสนุก... ไม่รอช้า ...ฮีชอลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เปียโนก่อนจะวางนิ้วเล่นโน๊ตท่อนต่อไปของบทเพลงอย่างนุ่มนวล...

     

    ...เพียงแค่เสียงโน๊ตตัวเดียวเท่านั้น...

     

    ...เพียงแค่เค้าตัดสินใจเล่นเปียโต้ตอบกับเสียงกีต้าร์แปลกหน้า

    ...คิมฮีชอลทำพลาดตั้งแต่วินาทีนั้น

     

    พลาด...เอ่ยทำความรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งในลิฟท์...ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ดีซักเท่าไหร่...

    พลาด...ที่เปิดประตูห้องให้ใครคนนึงก้าวเข้ามา แม้จะมีนิสัยรักความเป็นส่วนตัวมากก็ตาม...

     

    พลาดที่ปล่อยให้ปาร์คจองซูเดินเข้ามาในหัวใจ ..

     

     

    แต่ที่พลาดที่สุด ...คือการผลักไส ไล่ หัวใจ ของตัวเองออกไป

     

     

     “ฮึ” ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มสมน้ำหน้าให้กับตัวเองพร้อมกับแค่นหัวเราะในลำคอ

     

    จะอวดเก่งได้อีกซักเท่าไหร่... คิมฮีชอล...

     

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    เสียงเคาะเป็นจังหวะเบาๆดังขึ้นที่ประตูหน้าห้อง เรียกให้ใบหน้าสวยที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงขมวดคิ้วขึ้นอย่างหงุดหงิดที่มีใครบางคนมารบกวนเวลานอนในวันหยุดอันแสนมีค่าของเค้า

     

    “อือ” ครางฮือในลำคออย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะดึงหมอนที่หนุนไว้ขึ้นมาทับหัวแล้วพยายามซุกตัวนอนต่อ อย่างไม่สนใจโลก

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อกๆๆ

     

                    “ไอ้สัดเคาะอีกทีกูเผาบ้านมึงวอดแน่!” คิมฮีชอลเด้งตัวขึ้นมาก่อนจะตวาดด่าเสียงดังทั้งที่เปลือกตายังไม่ลืมขึ้นด้วยซ้ำ มือเล็กยกขึ้นเกาหัวอย่างหงุดหงิด จนเมื่อเห็นว่าเสียงเคาะประตูเงียบลงแล้วจึงทิ้งตัวหลับต่อโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร

     

                    …เคาะห้องผิด มันต้องเคาะห้องผิดแน่ๆกูคงไม่ประสาทนัดใครมาหาเช้าวันเสาร์อย่างนี้หรอก

     

                    ร่างเล็กสบถในใจอย่างหัวเสียก่อนจะพยายามข่มตาหลับต่อ ทว่าตากลมโตก็ต้องเบิกโพลงขึ้นเมื่อจู่ๆใบหน้าของใครบางคนผุดขึ้นมาในหัว

     

     

                    ปาร์คจองซู

     

                    มีแค่ไอ้แก่นั่นเท่านั้นที่กล้ามารบกวนเค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างนี้

     

     

                    หึบ้าเหรอฮีชอลมันจะเป็นไปได้ยังไง

     

                   

                    ถึงจะปฏิเสธความคิดตัวเองอย่างนั้น แต่ทว่าหัวใจกลับกระตุกเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ รอยยิ้มหวานที่ไม่ปรากฎมานานระบายกว้างขึ้นเมื่อเสียงที่เพิ่งคิดว่าแสนน่ารำคาญ ดังขึ้นมาอีกครั้ง

     

                    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

                    ไอ้เชี่ยนี่ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหมือนเดิมเปิดประตูไปเจอหน้าแม่งจะด่าให้บ้านพ่องพังเลยคอยดู

     

                    สบถด่าในใจตรงข้ามกับรอยยิ้มที่จุดขึ้นบนใบหน้า ริมฝีปากบางเม้มริมเข้าหากันด้วยความประหม่าพร้อมใบหน้าที่เริ่มร้อนวูบขึ้นจนต้องยกมือขึ้นมาลูบแก้ม ขาเล็กค่อยๆก้าวลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำไปบ้วนปากสองสามที ก่อนจะสางผมยุ่งๆของตัวเองให้เป็นทรงมากขึ้น

     

                    นี่กูจะดูดีไปเพื่ออะไร

     

                    เปล่านะ กูแค่ล้างหน้าล้างตาปกติเอง…                           

     

     

     

                    อืมติดกิ๊บดีมั๊ย

     

                    …

                    โว้ยประสาทแดกไปแล้วฮีชอล มึงแค่เปิดประตูไปด่าใส่หน้าแม่งแล้วกลับมานอนซะ!... ถึงง้อกูก็ไม่หายโกรธหรอก

                    ใช่ อย่าใจอ่อนเด็ดขาดนะคิมฮีชอล

     

                    อย่าให้มันคิดว่ามึงง่าย แม้มันจะได้มึงแล้วก็ตาม...

     

                    เจ้าของใบหน้าสวยหลับตาลงเพื่อตั้งสติ พยายามเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อปรับสีหน้าให้ดูหงุดหงิดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปรือตาลงเล็กน้อยให้ดูงัวเงียเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน รวบรวมความกล้าแล้วเปิดประตูออกอย่างแรง

     

     

                   

     

     

     

     

     

                    “อะอ้าว ม๊า”

                    “ฮาร์ดคอร์ขนาดจะเผาบ้านม๊าเชียวเหรอเรา หึ?” หญิงสาววัยกลางคนยกมือขึ้นยีหัวลูกชายด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ ก่อนจะแทรกตัวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว รีบวางข้าวของมากมายที่ถือติดมือมาวางไว้บนโต๊ะโดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าที่เจื่อนลงของเด็กหนุ่ม

     

                    หัวใจดวงเล็กที่เหมือนจะพองโตขึ้นมาเพียงครู่ ห่อเหี่ยวลงราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกจนฟีบเหมือนเดิม ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจออกมาหนักๆเพราะความรู้สึกจุกในอกที่เรียกว่าความผิดหวัง ตาคู่สวยกระพริบถี่ก่อนจะกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจไปเอาความหวังมาจากไหนกันนะ หวังจะให้เค้ากลับมาง้อเหรอฮีชอล

     

                    เหอะ

     

    ก็คง ใช่มั้ง

     

                    “ถอนหายใจแบบนั้นหมายความว่าไงน่ะลูกชาย ไม่ดีใจเหรอม๊ามาหาทั้งทีนะ”

                    “เปล่าซะหน่อย แค่ตกใจอ่ะ มาซะเช้าเชียว” ลูกชายคนเล็กแสร้งทำหน้างัวเงียกลบแววตาสีน้ำตาลเข้มที่ฉายแววผิดหวังออกมาอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหายตัวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างหน้าใหม่อีกรอบ

     

                    “เช้าบ้านแกน่ะสิ นี่มันสี่โมงเย็นแล้วไอ้ตัวแสบอ้ะอันนี้ของฝากจากฝรั่งเศสม๊าวางไว้บนโต๊ะนะฮีชอล ส่วนเค้กสมยูสุใส่ไว้ในตู้เย็นอย่าลืมกินล่ะ”

                    “อืออออ” ครางตอบในลำคอโดยไม่โผล่หัวออกมาดูของฝากกองพะเนินบนโต๊ะเลยแม้แต่นิด ม๊าเค้าก็อย่างนี้แหล่ะ ตั้งแต่ป๊าเสียไปก็ทำตัวเป็นสาวโสดบินไปเที่ยวประเทศนั้นประเทศนู้นเป็นว่าเล่น นานทีปีหนจะได้เจอหน้ากันที จนบางครั้งก็เผลอนึกไปว่าฮีจินเป็นแม่แทนไปซะแล้ว

     

                    “ทำไมตู้เย็นโล่งอย่างนี้ล่ะ วันๆไม่กินอะไรเลยรึไง”

                    เสียงบ่นงุ้งงิ้งดังลอดเข้ามาในห้องน้ำ แต่ร่างเล็กก็ไมได้ใส่ใจอะไร ยังคงแปรงฟันต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับเสียงบ่นที่หนาหูมากขึ้นทุกที

     

                    “โหฮีชอลลูก เป็นคนไม่เรียบร้อยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เสื้อผ้าทำไมไม่รู้จักเอาลงไปซักซะบ้าง แล้วกองหนังสือนี่ระวังจะหล่นลงมาทับตายเข้าซักวัน พื้นห้องกวาดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เนี่ยไอ้ตัวแสบ”

     

                    “แล้วต้นไม้ที่ระเบียงแห้งตายเป็นแถบเลยดูซิ ทำไมไม่รู้จักรดน้ำดูแลซะบ้างเจ้าลูกคนนี้นี่” ฮีชอลเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายกับเสียงบ่นที่ไม่ได้ยินมานาน  บัวรดน้ำสีฟ้าถูกกรอกน้ำจนเต็ม ก่อนจะเดินตามผู้เป็นแม่ออกไปที่ระเบียงเพื่อรดน้ำซากต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาลงเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ติดต่อกันเป็นเวลานาน

                    ก็ไม่ค่อยว่างนี่นา

     

     

                    แต่ฮีชอลก็ไม่ได้ว่างมานานแล้วนี่

                    แล้วที่ยังเห็นกระถางต้นไม้ที่ระเบียงเป็นสีเขียวมาตลอด…?

     

                   

     

                    ปาร์คจองซูอีกแล้วสินะ

     

                    หึยุ่งไม่เข้าเรื่องตลอดเลยจริงๆ

     

     

     

                    ริมฝีปากเล็กเผลอกดยิ้มบาง สวนทางกับจิตใจที่จู่ๆก็รู้สึกหน่วงขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลยิ่งยืนอยู่ในห้องนี้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกถึงหลายสิ่งรอบกายที่มองข้ามมาตลอดมากขึ้นเท่านั้น

     

                    คนคนหนึ่งที่เวลาอยู่ใกล้ กลับถูกมองข้าม

                ทว่าเวลาไม่ได้อยูด้วยกัน ….คนคนนั้นกลับมีตัวตนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

                   

     

    “จริงๆเลยนะ ห้องรกขนาดนี้อยู่เข้าไปได้ยังไงน่ะ ไหนฮีจินมันบอกม๊าว่ารูมเมตลูกดูแลดีไง”

                    “หืม? รูมเมต ฮีชอลไม่มีรูมเมตนะม๊า” เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย กลัวว่าพี่สาวตัวดีจะปั้นเรื่องอะไรประหลาดๆอะไรเล่าให้แม่เค้าฟังอีก

     

                    “อ้าว ก็ผู้ชายที่อยู่ห้องเดียวกับลูกไง พี่สาวแกมันโทรมาเม้าท์ใหญ่เลยว่าพ่อรูมเมตคนนั้นน่ะหล่อเชียว แถมปัดกวาดเช็ดถูดูแลห้องให้ทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ ม๊าก็เลยหายห่วงไม่ได้มาเยี่ยมซะตั้งนาน”

                    “ไม่ใช่รูมเมตซะหน่อยครับ”

     

     

                    “ไม่ใช่แล้วทำไมเค้าถึงมาดูแลลูกขนาดนั้นล่ะ หืม?”

                    “…”

                    ประโยคคำถามสั้นๆที่ราวกับตบห้าฮีชอลอย่างแรงจนชาไปทั้งตัวก้อนสะอื้นจุกๆที่เพิ่งถูกกลืนลงคอแล่นขึ้นมาถึงอกอีกครั้ง มันบีบรัด อึดอัดซะจนแค่เพียงหายใจยังทำได้ลำบาก

     

                    นั่นสิ

     

                    เป็นใครกัน ถึงได้ทำอะไรมากมายเพื่อเค้าขนาดนั้น

                    เพื่อนข้างห้อง รุ่นพี่กับรุ่นน้อง เพื่อนสนิทไม่มีฐานะไหนที่คู่ควรสำหรับสิ่งที่ปาร์คจองซูทำเลย

     

                   

                    เพื่อนข้างห้อง จำเป็นต้องกินข้าวด้วยกันทุกมื้อรึเปล่า

                    รุ่นพี่กับรุ่นน้องต้องนอนเตียงเดียวกันมั๊ย

                    เพื่อนสนิท กอด จูบบอกรักกันรึเปล่า

     

                   

                   

                    “ฮีชอลเป็นอะไรน่ะลูก ไม่สบายรึเปล่าตาแดงเชียว”

                    “อะ อ่าเปล่าครับ แล้วนี่ม๊าจะค้างกี่วันล่ะ” ร่างเล็กที่ตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะรีบกระพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำใสๆที่ชอบถือวิสาสะเอ่อขึ้นที่ขอบตา เอ่ยชวนคุยเรื่องอื่นขึ้นเพราะไม่ชอบเห็นสีหน้าเป็นห่วงบนใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นแม่

    ไม่ชอบเลยความรู้สึกจุกๆที่เหมือนกับน้ำตาพร้อมจะไหลออกมาได้ตลอดเวลาอย่างนี้

     

    “ไฟล์ทบินสองทุ่มจ้ะ”

    “โหย ไปไหนอีกล่ะม๊า ไม่เหนื่อยบ้างรึไงเนี่ย”

    “ฮาวายเชียวนะ ฮาวาย ไปด้วยกันมั๊ยล่ะ”

    “ไปคนเดียวเหอะม๊า มะรืนนี้สอบแลปกริ๊งอีกแล้วเนี่ย” บทสนทนาแปลกๆของสองแม่ลูก ที่คนมีอายุดูกระฉับกระเฉง แตกต่างกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เอาแต่ปั้นหน้าเครียดเหมือนเบื่อโลกเต็มที ใบหน้าหงอยๆของเด็กน้อยคิมฮีชอลเรียกร้อยยิ้มเอ็นดูจากผู้เป็นแม่ได้ไม่ยาก มืออวบอูมยกขึ้นลูบบนหัวยุ่งๆสีน้ำตาลอัลมอนต์อย่างอ่อนโยน พร้อมกับระบายยิ้มหวานที่ฮีชอลถอดแบบออกมาเป๊ะๆบนใบหน้าสวยที่เริ่มขึ้นริ้วรอยแห่งวัย

     

    “เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน ออกไปกินข้าวกัน เดี๋ยวม๊าพาไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ชอบ ดีมั๊ย”

    “โอเคเลย” ตาคู่สวยเริ่มเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินของชอบ แม้ในหัวจะยังรู้สึกมึนเพราะนอนไม่พออยู่เล็กน้อย แต่คุณนายคิมเธออุตส่าเจียดเวลามาหาทั้งทีก็ถือโอกาสออกไปกินข้าวตามประสาแม่ลูกด้วยกันซะหน่อย

     

     

    “ไปกินชาบูกันเนอะ”

     

     

     

     

    “ถ้าเล่นเพลงนี้ได้ภายในสิบห้านาที เดี๋ยวพาไปเลี้ยงชาบู”

     

     

     

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     





     

    ความรักที่มั่นคง คงปรียบได้กับอากาศบริสุทธิ์

     

    ไม่ใช้ลมหนาวที่พัดผ่านเพียงฉาบฉวย

    ไม่ใช่น้ำหอมกลิ่นฉุนที่ชวนให้ลุ่มหลงเพียงชั่วยาม

     

    เป็นเพียงแค่อากาศที่โอบล้อมรอบกาย ทว่าไร้ตัวตน...

     

     

    ระรึกได้อีกทีก็เพราะความทรมานเพราะขาดมัน...

     

     

    “ม๊าไม่ต้องไปส่งก็ได้ เดี๋ยวไปไม่ทันไฟล์ทบินนะ ฮีชอลนั่งรถเมล์กลับเองเป็นแล้ว” เสียงหวานเอ่ยขึ้นหลังเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นพร้อมหญิงสาวผู้เป็นแม่ อาหารมื้อค่ำแสนอร่อยที่ดำเนินผ่านไปพร้อมกับเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคุณนายคิมที่เล่าให้ลูกชายฟังถึงทริปทัวร์หลากประเทศที่ไปเที่ยวมาอย่างออกรส ทำให้คนฟังลืมเรื่องราวหนักๆในใจไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

    อย่างน้อยก็ทนนั่งอยู่ในร้านชาบูได้โดยที่น้ำตาไม่ไหลออกมา

     

    “จริงด้วย ตายๆๆ ทุ่มครึ่งแล้ว งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะฮีชอล ถึงคอนโดแล้วโทรบอกม๊าด้วยนะ”

    “ครับ เดินทางปลอดภัยนะม๊า”  ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาหญิงสาวที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ชั่วโมง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะว่างมาเจอกันอีกเมื่อไหร่

     

     

    แม้ประโยคล่ำลาง่ายๆจะจบลงไปแล้ว ทว่าร่างเล็กก็ยังไม่เดินหันหลังไปไหนท่าทีร่าเริงสดใสของเด็กชายที่หญิงสาวคุ้นเคย แต่วันนี้เธอกลับเห็นเพียงแค่สายตาหม่นที่เหม่อลอยแทบจะตลอดเวลา พร้อมริมฝีปากเล็กที่ถอนหายใจออกมาแทบจะทุกสิบนาทีแค่นี้ทำไมคนที่เลี้ยงมากับมือจะดูไม่รู้ว่าลูกชายตัวน้อยของตนกำลังมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ

     

    หญิงสาวร่างอวบเดินเข้ามาสวมกอดร่างเล็กของลูกชายมาไว้แนบอก ก่อนมืออวบอูมจะลูบไปบนกลุ่มผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยนเหมือนคราวที่กอดปลอบเด็กน้อยวัยสีขวบที่ร้องไห้เพราะขี่จักรยานล้ม

    “เห็นลูกม๊าเป็นอย่างนี้ ไม่สบายใจเลยนะรู้มั๊ย”

    “อย่าห่วงเลยครับ ฮีชอลไม่เป็นไรหรอก” พูดไปอย่างนั้น ทั้งที่น้ำตาหยดเล็กไหลอ้อยอิ่งออกมาเปื้อนแก้มซ้าย จนมือเล็กต้องรีบปัดออกเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าเป็นห่วงไปมากกว่านี้

     

    “ม๊ารักเรา มาถึงกลับมาหาเรานะฮีชอล

     

     

    “เพราะฉะนั้น ลูกรักใครลูกก็ไปตามเค้ากลับมาสิ”

     

     

    “ความรักน่ะมันหาได้รอบตัว แต่คนที่เรารัก บางทีมันก็มีแค่คนเดียวรู้มั๊ยเด็กน้อย”

     




     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     




                                                     

                “กลับบ้านดีๆนะลูก อย่าขึ้นรถเมล์ผิดสายล่ะ”

                “ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะม๊าไม่ผิดหรอก”

     

     

                “ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะม๊าไม่ผิดหรอก”

     

     

     

                แล้วที่ต้องลงมานั่งหง่าวอยู่ป้ายรถเมล์ที่ไหนไม่รู่นี่เรียกว่าอะไรวะ

     

                    “เฮ้อกูอยากจะบ้าตาย”

                    ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีเข้มนั่งกอดอกอย่างเซ็งๆอยู่ใต้ป้ายรถเมล์เก่าๆที่ไม่มีแม้แต่หลังคาคลุม เมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่เค้าขึ้นมาบนรถเมล์ที่คิดว่าถูกสายแล้ว แต่ทว่าเผลอหลับไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น พอลืมตาขึ้นมาพบกับวิวรอบกายที่ไม่คุ้นเคยพร้อมกับประโยคชวนโดดตึกว่า ป้ายสุดท้ายแล้วน้อง

                    พ่องตาย ทำไมเจอแต่เรื่องน่าโมโหวะ

     

                    โทรศัพท์เครื่องบางถูกจิ้มโทรออกรัวๆอย่างอารมณ์เสียเมื่อกดโทรหาใครก็ไม่มีซักคนรับสาย สายไม่ว่าง ปิดเครื่อง สายไม่ว่าง ปิดเครื่องสายไม่ว่าง และปิดเครื่อง

                    พระเจ้าแม่งจะเอาไงกะกูครับมึนหัวเหมือนจะไม่สบายด้วย อยากกลับบ้านไปนอนจะตายห่าอยู่แล้ว แล้วแถวนี้มันอยู่ส่วนไหนบนโลกวะ ทำไม่มีแท๊กซี่ผ่านมาซักคัน จะห้าทุ่มแล้ว กูนอนแม่งตรงนี้เลยดีมั๊ย

     

                    นิ้วเรียวเลื่อนลิสต์รายชื่อบนหน้าจอไอโฟนขึ้นลงอย่างหงุดหงิดเผื่อว่าจะเจอเบอร์ใครซักคนที่พอจะโทรไปขอความช่วยเหลือได้อีกบ้างกระทั่งเจอเข้ากับเบอร์ของใครคนหนึ่งที่เผลอเพฟไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

     

     

                    P’Jung

     

     

                   

     

     

                    ปลายนิ้วเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ชื่อนั้น ทว่าคนตัวเล็กก็ไม่กล้าพอที่จะกดโทรออก

     

                    คิดถึงเค้าแค่ตอนเดือดร้อนเท่านั้นน่ะเหรอ คิดแต่จะให้เค้ายื่นมือให้ ทั้งที่ไม่เคยเห็นหัว แถมผลักไสไล่ส่งเค้าออกไปอย่างนั้นน่ะเหรอ

                    จะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยล่ะมั้งคิมฮีชอล

     

     

                "พี่จองซูมารับหน่อยได้เปล่า ขึ้นรถเมลล์ผิดสายมาโผล่ไหนไม่รู้ กลับคอนโดไม่ถูกอ่ะ"

                "ตอนนี้อยู่ไหน เดี๋ยวรีบไปรับ"

     

                    ยังจำมันได้ดี ว่าตอนนั้นเค้ารู้สึกอุ่นใจมากแค่ไหนที่ได้ยินน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงนั่น

                    แล้วตอนนี้ เค้ายังไม่สิทธิได้รับความห่วงใยอย่างนั้นอีกรึเปล่านะ

     

     

                    น้ำใสหยดลงกระทบบนหน้าจอไอโฟนจนกระจายเป็นวงกว้างเรียกให้เจ้าของเครื่องมือสื่อสารขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังร้องไห้

     

                    แปะ แปะ แปะ แปะๆๆๆ

     

                    หยาดฝนเม็ดเล็กสาดกระทบลงมาแทนคำตอบ  พร้อมเสียงดังครืนๆบนท้องฟ้าสีหม่นที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำสนิทที่เคลื่อนตัวเข้าหากันเป็นกลุ่มก้อน สายฟ้าสีขาวแล่นริ้วขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าฝ่าดังสนั่นที่ทำให้ฮีชอลสะดุ้งตัวอย่างแรงด้วยความหวาดกลัว

     

                    ราวกับท้องฟ้าเล่นตลกร้าย เมื่อสายฝนพรำๆในทีแรก กลับกลายเป็นพายุลมแรงที่พัดกระหน่ำสาดเทลงมา โดยไม่เกรงใจว่าคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างป้ายรถเมลล์ที่ไร้หลังคาจะใช้อะไรเป็นที่กำบัง หยาดฝนเย็นเยียบสาดกระทบร่างบางที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตตัวบางห่อหุ้มตัวจนเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ทำให้ฮีชอลรู้สึกหนาวสุดขั้วหัวใจ ไอโฟนเครื่องบางถูกยัดใส่กระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับภาวนาให้มันยังใช้งานได้หากผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป

     

                    ไหล่บางห่อตัวเกร็งพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว เสียงฟ้าฝ่าที่ดังขึ้นทบจะทุกสามนาทีทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาไหนจะความมืดที่เริ่มก่อตัวขึ้นรอบกายเพราะดวงไฟสาธารณะดับไปเพราะพายุเข้ายิ่งทำให้เค้าประสาทเสียมากขึ้นไปอีก

                    สิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิตของฮีชอลมีเพียงแค่สองอย่างและการต้องมาเผชิญสองสิ่งในพร้อมๆกันนั้นมันช่างทรมานจนอยากจะหลับตาแล้วภาวนาให้ลืมตาขึ้นมาพบว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายจริงๆ

     

                    ร่างเล็กเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนรวบรวมความกล้าปรือตาขึ้นมองรอบกายที่เกือบจะมืดสนิท ห่างออกไปทางด้านซ้าย เป็นทางเดินฟุตบาททอดยาวที่มีแสงจากเสาไฟสาธารณะสีส้มให้แสงสว่างอยู่เป็นระยะและดูเหมือนใกล้ๆกันนั้นจะมีป้ายรถเมล์อีกแห่งที่พอจะให้ที่กำบังสายฝนได้บ้าง

     

                    ครืน!!!!....

     

                    “ฮืก” เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นอีกครั้งจนฮีชอลเผลอสะอื้นออกมาท่ามกลางลมพายุที่โหมกระหน่ำทำให้ร่างเล็กสั่นสะท้านไปทั้งกาย เจ้าของริมฝีปากบางที่สั่นระริกเพราะความหนาวยกมือขึ้นปิดหูแน่น พร้อมวิ่งฝ่าสายฝนเย็นเยียบหวังจะไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อเสียงฟ้าร้องดังขึ้นคราใด ขาทั้งสองข้างก็เหมือนจะหมดแรงลงเสียดื้อๆ

     

                    ทางเบื้องหน้า มันช่างพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำฝนจนแทบมองไม่เห็นว่าจะก้าวไปทางไหน

                    ใบหน้าหวานที่รู้สึกเย็นจนชาเพราะเม็ดฝนที่ตกกระทบลงมา ทำให้เค้ารู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลพรากออกมาเป็นทางจากขอบตาสวยทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน

     

                พื้นถนนเต็มไปด้วยแอ่งน้ำเจิ่งนองที่มืดสนิท ขาสองข้างที่เอาแต่ฝืนวิ่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงแสงสว่างเบื้องหน้าเสียที ดวงไฟสีส้มที่พร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา

                    เหมือนอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็แสนใกลราวกับไม่มีอยู่จริง

                    ที่ทำได้ก็เพียงแค่ใช้แรงที่มีทั้งหมด วิ่ง วิ่ง และวิ่ง อยู่ในเขาวงกตแห่งความมืดมิด

     

                    วิ่งไล่ตามแสงสว่างที่เป็นดั่งความหวัง

                   

     

                อย่างที่ปาร์คจองซูเคยทำ

     

     

                    “ฮึก ฮืออ” ร่างเล็กทิ้งตัวทรุดลงนั่งกับพื้นทันทีเมื่อวิ่งเข้ามาหลบในร่มของหลังคาป้ายรถเมล์ เสียงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนดังปนออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นจนเจ้าตัวแทบจะหายใจไม่ทัน ขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะหยัดตัวขึ้นมาอีกครั้ง จะทำได้ก็แค่เพียงยันตัวเองให้พิงไว้กับเก้าอี้ด้านหลังเพื่อไม่ให้ล้มไปเท่านั้น

                    หยาดน้ำตาที่เคยพร่ำบอกตัวเองว่าต่อให้เสียใจแค่ไหน ก็อย่าหลั่งมันออกมา ณ เวลานี้ เค้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป คิมฮีชอลอ่อนแอเกินกว่าที่ตัวเองคาดคิดเอาไว้มากอวดดีไปก็เท่านั้น แสร้งทำเฉยไปก็ไม่ช่วยอะไร

     

                    ในเมื่อทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่ในใจ

                    …ว่าคิมฮีชอล รัก ปาร์คจองซู

     

     

                    ครืน….!

     

                    เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ร่างเล็กกลับไม่ได้ยกมือขึ้นปิดหูแต่อย่างใด

                    ที่ผ่านมา เค้าเอาแต่หวาดกลัวแต่สิ่งที่ไร้ตัวตน แต่หารู้ไม่ว่าการไร้ตัวตน เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

     

                    …หวังให้เค้ากลับมาง้อเหรอคิมฮีชอล

                    ทำตัวแบบนี้ มันสมควรถูกเกลียดมากกว่าถึงจะสาสม

     

     

    หากนี่คือบทเรียนที่พระผู้เป็นเจ้าจงใจสั่งสอนให้คนโง่คนหนึ่งรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของใครอีกคน คิมฮีชอลก็คงได้เพียงแค่หลั่งน้ำตาออกมาแทนคำพูดมากมายที่พร่ำร้องขอโอกาสให้คนโง่คนนี้อีกซักครั้ง

     

                    ได้แต่ขอให้ใครคนนั้น โปรดอภัยให้กัน….สักครั้งจะยอมได้ไหม….

     

     

                กลับมารดน้ำต้นไม้ต้นนี้อีกสักครั้ง ก่อนที่กูจะตายเพราะขาดคนดูแล

     

     

     

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     







                   

                    เกือบสองชั่วโมงที่ร่างเล็กของชายคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ในป้ายรถเมล์ที่อาศัยเป็นที่กำบังฝนชั่วคราว ไหล่บางสั่นสะท้านเพราะความหนาวเหน็บที่เย็นไปจนถึงกระดูกเมื่อเสื้อผ้าเนื้อบางชื้นไปด้วยน้ำฝนต้องต้านลมแรงที่พัดผ่านมาแต่ละครา น้ำตาหยดแล้ว หยดเล่า ที่ไหลซึมออกมาจากขอบตาที่บ้วมช้ำจากการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ได้ทำให้ฮีชอลรู้สึกเจ็บไปมากกว่าที่หัวใจแต่อย่างใด ใบหน้าหวานซุกหน้าลงกับเข้ากอดตัวเองอยู่อย่างนั้น กระทั่งสายฝนเริ่มซาลง จึงเดินเรื่อยไปตามทางจนพบแท๊กซี่ขับผ่านมา

     

                    สุดท้าย ค่ำคืนที่โหดร้ายก็สิ้นสุดลงเมื่อขาเล็กที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรงก้าวพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่คุ้นเคย

     

     

                    แต่ทว่าไม่ใช่ของห้องฮีชอล

     

     

     

                    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

                    เจ้าของดวงหน้าซืดขาวราวกับกระดาษเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะเหยียดยิ้มหยันให้กับตัวเองด้วยความรู้สึกสมเพชแม้ดวงตาแดงก่ำจะดูเหม่อลอย แม้สภาพร่างกายที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำฝน หรือเปรอะไปด้วยขี้โคลนที่กระเด็นเลาะไปทั่วเสื้อเชิ้ตสีขาวจะดูย่ำแย่มากก็ตามที ทว่าคิมฮีชอลรู้ดี ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่

     

                    ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ

                    “พี่จองซู อยู่รึเปล่า”

     

     

     

                    ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ            

                    “ฮึก ออกมาเดี๋ยวนี้นะ มาติวหนังสือให้หน่อย

     

                   

                    ก๊อกๆๆๆๆๆๆ

                    “ฮฮือ ซื้อเกี๊ยวมาฝากด้วยนะ ชอบไม่ใช่เหรอ

     

     

                    ปึง! …ปึงๆๆ

                    “พี่จองซูกูคิดถึง….คิดถึงจน ฮึกจะตายอยู่แล้วฮือ

                     

                    จากเสียงเคาะประตูเบาๆในทีแรก กลับกลายเป็นเสียงกำปั้นเล็กๆที่ทุบลงไปบนบานไม้หนาอย่างแรงจนเกิดเสียงดังปังที่ดังติดต่อกันหลายนาที เด็กหนุ่มเสื้อผ้ามอมแมมเอาแต่ร้องไห้พร้อมกับทุบประตูอย่างเสียสติอยู่อย่างนั้น แม้ว่าเสียงแหบแห้งที่ตะโกนออกมาจะแทบฟังไม่เป็นภาษาก็ตามที

     

                    “ฮะ ฮือ….” ริมฝีปากบางเผยอหอบพร้อมสะอื้นไห้ออกมาปานจะขาดใจ ร่างเล็กที่ไร้เรี่ยวแรงจะหยัดยืนอีกต่อไปทิ้งตัวทรุดลงนั่งพิงกับบานประตูใหญ่ด้านหลังอย่างเหนื่อยอ่อน

     

                    ดวงตาคู่สวยบวมช้ำเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย เสยปอยผมหมาดน้ำที่ปรกหน้าขึ้น ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆเมื่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดมือขาวซืดเอื้อมหยิบไอโฟนเครื่องบางในกระเป๋ากางเกงออกมา

    ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว

                   

                    ขอเพียงแค่ปาร์คจองซูกลับมา ให้คิมฮีชอลคนนี้ร้องไห้อ้อนวอนอีกเพียงไหน เค้าจะทำ

     

     

                    Calling …

                P’jung

     

     

                โทรศัพท์เครื่องบางถูกยกขึ้นแนบหู ก่อนเปลือกตาบวมช้ำจะค่อยๆปิดตัวลงเบาๆพร้อมสูดหายใจเข้าช้าๆ เพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง

     

                    ตู๊ด

     

                    ตู๊ด

     

                   

     

                    ตู๊ด

     

     

                    เสียงรอสายที่ดังขึ้นเป็นจังหวะซ้ำๆทำให้หัวใจของฮีชอลเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง คำพูดมากมายในหัวเริ่มเดินสวนกันวุ่นวาย พอๆกับความกังวลที่เกาะกุมไปทั่วจิตใจ

     

                    ได้โปรด ให้โอกาสกันอีกซักครั้ง ขอร้อง

     

                    ตู๊ด

                   

     

                    เสียงสัญญาณเงียบไป แต่ทว่าคนที่รับสายกลับไม่พูดอะไรขึ้นมา

                    ริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกกว้าง พร้อมกับน้ำตาใสที่รื้นขึ้นนัยน์ตาทั้งสองข้าง ไม่ใช้เพราะความเจ็บปวดเสียใจอย่างที่ผ่านมา ทว่าฮีชอลกำลังร้องไห้ เพราะความตื้นตันใจที่อย่างน้อยใครคนนั้นก็ยังคงรับฟังเค้าเสมอ

     

                    ” เกือบห้านาทีที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่อย่างนั้น คนที่ตอนแรกคิดว่ามีความกล้าเต็มร้อย แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่สามารถสรรหาประโยคใดพูดอธิบายความในใจออกไปได้แต่สุดท้ายก็เผลอพูดประโยคที่ดูโง่ที่สุดออกมา

     

                    วันนี้ไปกินชาบูกับม๊ามานึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เลี้ยงชาบูมึงเลย

                   

     

     

                    “ไว้กลับมาเมื่อไหร่ เราไปกินชาบูกันนะ

                    “

     

     

     

     

     

                    “ฮึกกลับมาหาฮีชอลนะ”

                    “

                   

                    ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ไม่ต้องตอบอะไรกลับมาก็ได้ ขอแค่ยังฟังเค้าอยู่ก็พอ

     

                    “ขะขอโทษนะพี่จองซู

     

     

                    “ขอโทษจริงๆ

     

     

     

                    “ขอโทษ ฮึก ขอโทษ

     

                    “ไม่ต้องรักคนเหี้ยๆอย่างกูแล้วก็ได้ ฮึกแต่ช่วยกลับมาหาได้มั๊ย”

     

                   

                    “เพราะกูรักมึง แล้วก็คิดถึงจนจะประสาทแดกตายแล้วจริงๆ

     

     

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

                    อีกฝั่งหนึ่งของบานประตู

     

                    ร่างโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งพิงบานไม้อยู่นิ่งๆท่ามกลางความมืด มือเรียวยกโทรศัพท์ขึ้นแนบไว้ที่หู ทว่าไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา น้ำตาหยดเล็ก ไหล่อ้อยอิ่งลงมาเปื้อนแก้ม พร้อมกับร้อยยิ้มกว้างที่ระบายขึ้นบนใบหน้าหล่อที่ห่างหายจากคำว่ามีความสุขไปแสนนาน

     

                    “เพราะกูรักมึง แล้วก็คิดถึงจนจะประสาทแดกตายแล้วจริงๆ

     

                    เสียงแหบแห้งที่ดังลอดมาตามสายพร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆ เรียกน้ำตาจากชายหนุ่มบ่อน้ำตาตื้นได้ไม่ยาก หรือถ้าจะพูดจริงๆ ปาร์คจองซูร้องไห้ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วด้วยซ้ำ

     

                    เจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเอนหลังพิงเข้ากับบานประตูที่รู้ดีว่าอีกฝากหนึ่งมีใครอีกคนนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก กระเป๋าสีน้ำตาลที่วางอยู่ข้างๆ บ่งบอกว่าเค้ากำลังเตรียมตัวออกจากห้องก่อนหน้าที่ฮีชอลจะมาเคาะประตูเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

                    แค่กะจะมาเก็บข้าวของต่างๆให้เป็นที่เป็นทาง ก่อนจะให้รถขนย้ายมาขนเครื่องใช้ต่างๆออกไป

     

                “คุณปาร์คจองซู คุณจะสะดวกมั๊ยถ้าหากผมอยากจะขอให้คุณช่วยรับผิดชอบงานนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ”

                “ครับ?”

                “ผมหมายความว่าบริษัทของเรายินดีจะจ้างคุณเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำ เราสามารถมาคุยราละเอียดเรื่องเงินด้วยกันได้ตามแต่คุณเลย อยู่ที่ว่าคุณยินดีจะรับตำแหน่งนี้เอาไว้รึเปล่า”

                ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ภาพของใครคนหนึ่งแว่บเข้ามาในจิตใจ การตัดสินใจที่ควรจะเด็ดขาดของชายหนุ่มวัยเข้าเลขสามที่ถึงเวลามีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งมั่นคงน่าจะตอบตกลงได้ไม่ยาก ทว่าร่างเล็กผู้มีอิทธิพลในใจของเค้าก็ยังคงสามารถสั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของปาร์คจองซูได้อยู่เสมอ

                ถ้าหากเค้าเข้าทำงานที่นี่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการย้ายมาอยู่คอนโดเดียวกับฮยอกแจและทีมงานแอนิเมเตอร์ทั้งหมด ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันอย่างที่ผ่านมาตลอดสามสัปดาห์งานแอนิเมชั่นที่ต้องใช้เวลาและอาศัยทีมวอร์ค มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ปาร์คจองซูจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างแต่ก่อน

                แง่ดี นี่เป็นโอกาสดีที่จองซูจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงาน ลืมเรื่องราวของคิมฮีชอลซะ แล้วกลับมาเป็นหนุ่มอิลลัสเตรเตอร์บ้างานคนเก่า

                ทว่าน่าเสียดาย ที่ปาร์คจองซูคนเก่าก็ไม่สามารถตัดคิมฮีชอลออกไปจากใจได้เช่นกัน

     

                “ผม ขอเวลาตัดสินใจได้มั๊ยครับ”

                “ได้สิ ไม่มีปัญหา พร้อมให้คำตอบเมื่อไหร่ก็โทรบอกผมได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะ”

     

                “ขอบคุณครับ”

     

                   

                   

                    ริมฝีปากบางกดยิ้มออกมาอย่างไม่เชื่อกับการตัดสินใจของตัวเองในตอนนี้ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เค้าโทรบอกกับรุ่นน้องคนสนิทว่ากำลังจะตอบตกลงเข้าทำงานที่บริษัทเดียวกัน รถขนย้ายที่ติดต่อกันล่วงหน้าเกือบอาทิตย์เพื่อให้มาขนย้ายของออกในเช้าวันพรุ่งนี้ หน้าจอโทรศัพท์ที่กดเบอร์ของบอสใหญ่ค้างเอาไว้ เพื่อที่จะโทรไปตอบตกลงข้อเสนอและเข้าทำงานในสัปดาห์หน้าแล้วกลับไปอยู่ในโลกของปาร์คจองซูจอมบ้างานคนเดิม

     

                    ทว่า ทุกอย่างที่วางแผนเอาไว้ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงเพราะคำพูดสั้นๆเพียงประโยคเดียว

     

                    “กลับมาหาฮีชอลนะ”

     

                    …

                    ตู๊ด

     

     

                    ผมปาร์คจองซูนะครับ”              

                   

                    ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ โดยระวังไม่ให้คนที่ปลายสายได้ยิน กดยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยเพื่อสร้างความมั่นใจว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกไปนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

     

                    “ข้อเสนอที่จะเข้าทำงานในบริษัทของคุณ ขอโทษด้วยที่ผมต้องปฏิเสธ ขอบคุณสำหรับโอกาสนะครับ หวังว่าในอนาคตเราคงจะได้ร่วมงานกันอีก ผมขอบคุณจริงๆ”

     

                   

                    เป็นอีกครั้ง ที่คนโง่อย่างปาร์คจองซูยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อหัวใจของตัวเอง

                    แต่ครั้งนี้เค้ามันใจว่ามันจะไม่สูญเปล่า

                   

     

                โอกาสน่ะมันหาได้รอบตัว แต่โอกาสที่จะได้กลับไปรัก กับคนที่เรารัก ...ชีวิตหนึ่งมันอาจจะมีแค่ครั้งเดียว

     

     

     

    To be con.

     

     

     

    -talk-

                    มหากาพย์มากตอนนี้ -_-

                    ยาวโคตรพ่อค่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่เราอัพช้า (แถสีข้างถลอก 5555)

                    เมื่อวานเพิ่งเขียนได้ยี่สิบเปอร์ เจอทวีตปูอบซอสเข้าไป ฟินพุ่งพล่านเขียนจนครบร้อยได้ชั่วข้ามคืนอ่ะตัวเธอ TwT

                    ตอนนี้ถ้าเจอประโยคประหลาดๆเราขอโทษด้วยเน้อ ตรวจคำผิดกะอีดิทรอบเดียวเอง แห่ะๆ

    อ่าแล้วก็ น้องหมอตอนหน้าจะฟินนิชแล้วนะทุกคนนนน  ._.

     

                    ปล.เรื่องชาบูยังไม่ลืมค่ะ 5555 เดี๋ยวเขียนแถมเป็นสเปเชี่ยลในเล่ม เย้ๆ

                    ปล2.เล่มไร รวมเล่มไง รวมเล่มกันเหอะ! (มัดมือชกมาก สั่งพิมพ์เล่มเดียวก็เอา 5555)

     

                    ไว้เจอกันตอนหน้าน้า บ๊ายบาย.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×