ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Hello soulmate [83lines - TeukCin]

    ลำดับตอนที่ #8 : ❥Hello soulmate -------- Seven

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 55


      

      

     


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

      


     

     

    Now I found you, where I belong

    My whole life will never be the same

     

     

                    เข็มนาฬิกาขยับเดินเรื่อยเฉื่อยอย่างช้าๆ ถูกจ้องมองด้วยสายตาคมที่ฉายแววว้าวุ่นออกมาอย่างปิดไม่มิด ปาร์คจองซูยังคงนั่งอยู่ในห้องสีเหลี่ยมสีครีมของคิมฮีชอล แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านช่วงมื้อเย็นมาเกือบสี่ชั่วโมงแล้ว แต่ทว่าข้าวสองจานที่ถูกตระเตรียมไว้ยังไม่ได้ถูกแตะต้องแม้แต่นิด

     

                    นิ้วเรียวเฝ้ากดโทรศัพท์โทรหาร่างเล็กเป็นครั้งที่ร้อยความกังวลที่สุมแน่นอยู่ภายในจิตใจเริ่มบีบคั้นให้เค้ากำกุญแจรถในมือแน่น ขอเพียงแต่รู้ว่าตอนนี้ฮีชอลอยู่ที่ไหน เค้าพร้อมที่จะพุ่งตัวออกไปหาโดยไร้ซึ่งข้อแม้ใดๆ

     

                    5 ทุ่มแล้ว

     

                    แต่ฮีชอลยังไม่กลับห้อง

     

                    เกือบสิบชั่วโมงแล้วที่ร่างเล็กออกจากห้องไป โดยไร้ซึ่งการติดต่อกลับมา โทรหาเป็นร้อยๆรอบก็ไม่มีวี่แววว่าจะรับสาย จนกระทั้งเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ที่เสียงสัญญาณรอโทรศัพท์กลายเป็นระบบตอบอัตโนมัติที่แสดงว่าโทรศัพท์ของอีกฝ่ายแบตหมดหรือถูกปิดเครื่องไปแล้วเรียบร้อย

     

                    อีกครั้งที่ร่างโปร่งตัดสินใจเดินไปเปิดประตูห้องดูว่ามีเงาของใครกำลังเดินมาหรือไม่ แทบจะทนไม่ไหวจนอยากลงไปสตาร์ทรถออกตามหาเสียเดียวนี้แต่ทว่าสิ่งที่รู้ก็มีเพียงแค่ว่าฮีชอลออกไปตัดแว่นเพียงแค่นั้น

                   

                    อยู่ไหนกันนะป่านนี้แล้ว ไปอยู่ที่ไหนกัน

     

                    ความกังวลที่ทวีคูณขึ้นเมื่อย้อนนึกถึงใบหน้าหวานที่ยิ้มฝืนๆให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปท่าทางการเดินแปลกๆกับรอยเลือดที่ผ้าห่ม

                    รวมถึงฝัน ที่ปาร์คจองซูภาวนาให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน

                    แต่น่าเสียดายที่เค้าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตัวเค้าเองทั้งนั้น ที่เป็นผู้กระทำให้มันเกิดขึ้นจริง

     

                    สิ่งที่จองซูได้แต่โต้เถียงกับตัวเองอยู่ในใจคือ ทำไมทำไมฮีชอลถึงได้ทำสีหน้าได้เรียบเฉยแบบนั้น

    ทำไมถึงไม่พูดอะไรซักคำทำไมถึงได้ทำเหมือนกับว่าค่ำคืนที่ผ่านมานั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เราทั้งคู่ก็น่าจะรู้อยู่เต็มอก

     

                    ใช่ ร่างเล็กที่สติครบถ้วนย่อมจดจำทุกอย่างได้ดียิ่งกว่าเค้าไม่รู้ซักกี่เท่า

     

     

                    “พี่อินยอง เมื่อคืนกูเมา”

                “แล้ว…?

                “ตื่นมาจำไรไม่ได้ แต่รู้สึกเหมือนฝันว่ากูทำอะไรน้องเค้า

                “เหยด

                “เออ นั่นแหล่ะ”

                “ไอ้สัดนั่นคำอุทาน ไม่ใช่เวิร์บ!

                “น้องเค้าเดินแปลกๆ มีเลือดติดที่ผ้าห่มด้วย มึงคิดว่าไง”

                    ………………. เหยด……………….

                “แต่ที่กูโคตรสับสนคือฮีชอลไม่พูดอะไรถึงเมื่อคืนเลยไง ปกติมาก มากจนกูพูดอะไรไม่ออก”

                    “น้องเค้าก็เมาด้วยรึเปล่า?”

                “ไม่

                    “งั้นก็มีแค่มึงที่ไม่มีสติ จำอะไรไม่ได้”

                    “อืม

     

     

     

                “กูควรทำยังไง

     

                “ปาร์คจองซู ถ้ายังโง่อยู่ก็รู้เอาไว้ซะนะ ว่าถ้าคนมันไม่รักน่ะ ไม่ยอมหรอก”

     

     

     

                    คุยให้รู้เรื่อง

                    เป็นคำเดียวที่ร่างโปร่งนึกขึ้นมาในหัวหลังจากที่ตัดสินใจโทรไปปรึกษาพี่สาวเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เค้าถึงได้รอให้ฮีชอลกลับเข้ามา รอให้เราทั้งคู่นั่งกินข้าวด้วยกันจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง

     

                    แต่ทว่าเมื่อเวลายิ่งเดินผ่านไปจนดึกมากขึ้นเรื่อยๆ ความคิดของปาร์คจองซูก็เปลี่ยนเป็นแค่ขอให้ฮีชอลกลับมาก็พอ

     

                    มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าอีกครั้งด้วยความวิตกกังวล เหงื่อเริ่มซึมขึ้นที่ขมับทั้งสองข้าง ดวงตาคมยังคงจ้องไปยังหน้าปัดนาฬิกาสลับกับประตูบานใหญ่อย่างร้อนใจ            

     

     

                    …แกรก

     

     

                    ลูกบิดประตูถูกบิดแล้วผลักเข้ามาเบาๆเพียงแค่นั้นก็ทำให้ปาร์คจองซูแทบจะพุ่งตัวไปถึงหน้าห้องโดยทันที

                   

                    “ฮีชอล” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเอ่ยออกมา ก่อนที่ร่างโปร่งจะคว้าร่างเล็กเข้ามากอดไว้แนบอก

                    เปลือกตาสวยหลับแน่นพร้อมกับริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเกือบเป็นเส้นตรง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อความเป็นห่วงที่หนักอึ้งสลายหายไปในอากาศทันทีเมื่อคิมฮีชอลกลับเข้ามา

     

                    เจ้าของใบหน้าหวานเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดโดยไม่ทันตั้งตัว  มือเล็กรีบผลักร่างโปร่งของปาร์คจองซูออกโดยอัตโนมัติเมื่อตั้งสติได้ คนถูกผลักเซไปด้านหลังจนชนเข้ากับชั้นวางของ ก่อนที่ตาคมจะช้อนขึ้นมองร่างเล็กด้วยแววตาไม่เข้าใจ

                    คิมฮีชอลก็ไม่สามารถเข้าใจตัวเองเช่นกันปฏิกิริยาต่อต้านที่แสดงออกมาจากจิตใต้สำนึก พร้อมกับความรู้สึกสั่นไหวภายในอก ราวกับร่างกายของเค้ากำลังหวาดกลัวกับสัมผัสของปาร์คจองซู

     

                    ตาคู่คมฉายแววเจ็บปวดออกมาเล็กน้อยกับปฏิกริยาที่ร่างเล็กแสดงออก ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติสวนทางกับความรู้สึกหน่วงลึกในอกพร่ำหาถ้อยคำมาปลอบใจตัวเองเพื่อไม่ให้เผลอแสดงอาการผิดปกติออกมา

                    ฮีชอลแค่ตกใจ

     

                    ใช่แค่เพราะตกใจเท่านั้น

                   

                    อย่าผลักไสกันเพราะความรู้สึกรังเกียจเลย

     

               

                    “โทรไปไม่รับวะ เป็นห่วง”

                    “อ่อ แบตหมดอ่ะโทษที” ฮีชอลถอดรองเท้าวางไว้บนชั้น ก่อนจะเดินมาวางกระเป๋าไว้บนโซฟา เอ่ยตอบเสียงนิ่งโดยไม่หันมาสบตาคนถาม

     

                    “ไปไหนมา” ประโยคคำแสนเรียบง่ายที่เคยถามไถ่กันตามปกติ แต่ทว่า ณ เวลานี้ ปาร์คจองซูกลับรู้สึกกลัวว่าคำถามนั้นจะดูล่วงเกินชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่ายมากจนเกินไปมันจะทำให้ร่างเล็กที่ขี้รำคาญต้องหงุดหงิดใจรึเปล่านะ

     

                    “พอดีไปเจอเพื่อนเก่า เลยไปกินข้าวกันนิดหน่อย” บทสนทนาถามคำตอบคำทำให้ทั้งคู่เริ่มอึดอัดใจห้องสี่เหลี่ยมสีครีมที่คุ้นเคยดูแคบขึ้นมาถนัดตา แต่ในเวลาเดียวกัน ภายในจิตใจกลับรู้สึกไกลมากกว่าที่เคย

     

                    ปาร์คจองซูยิ้มเจื่อนๆพร้อมกับเหลือบตามองมื้อเย็นขนาดเล็กที่จัดเตรียมไวบนโต๊ะเม็ดข้าวแห้งแข็งกับซุปที่เย็นชืดจนเป็นไข ไม่สมควรเรียกว่าอาหารมื้อค่ำตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน เมื่อร่างเล็กของคิมฮีชอลหายเข้าไปในห้องน้ำจองซูก็ตัดสินใจยกจานชามตรงหน้าไปเก็บที่ครัว ...ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพที่หุงยากกว่าข้าวสวยทำธรรมดาหลายเท่าถูกกวาดทิ้งเหมือนเป็นเศษอาหารที่ไม่มีใครต้องการ ... เทกับข้าวทุกอย่างทิ้งโดยไม่นึกแม้แต่น้อยว่าตอนที่หัดทำนั้นจะลำบากซักแค่ไหน

     

                    ไม่เคยมีสักครั้งที่คิมฮีชอลเอ่ยความต้องการของตัวเองออกมาแต่ทว่าเค้าก็ยังยินดีที่จะทำ

                    แม้แทบทุกครั้งสิ่งเหล่านั้นจะไม่เคยถูกมองเห็นเลยก็ตาม

                   

    จานใบสุดท้ายถูกคว่ำเก็บเข้าที่ มืออีกข้างที่เลอะฟองสบู่เอื้อมมือลงไปในฟองสีขาว กดปล่อยน้ำให้ใหลออกไปตามท่อระบาย ...ใช้ผ้าขิ้ริ้วสีหม่นเช็ดหยดน้ำและฟองสบู่ที่กระเด็นไปนอกขอบซิ้งค์ล้างจาน ...จัดเก็บทุกอย่างให้สะอาดเรียบร้อย ..ให้เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครคนหนึ่งใช้ความพยายามทั้งหมดตั้งใจทำอาหารมื้อเย็นที่นี่...

                   

                    คิมฮีชอลเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก มือเล็กที่กุมหัวตัวเองแทบจะตลอดเวลาทำให้จองซูอดถามออกมาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ แม้ในใจจะพร่ำบอกว่าควรจะเงียบปากแล้วเดินออกจากห้องไปให้พ้นสายตาของร่างเล็กซะก็ตาม

     

                    “มึงเป็นอะไรรึเปล่า?”

     

                    แม้จะเหมือนแค่ถามอาการภายนอก ทว่าน้ำเสียงนุ่มลึกราวกับจะต้องการคำตอบที่มากกว่านั้น

                   

                    หากเป็นสถานการณ์ปกติปาร์คจองซูคงจะสามารถคาดเดาสิ่งที่ฮีชอลกำลังคิดอยู่ได้ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้

                    มีหลายอย่างเหลือเกินที่ทั้งคู่ไม่ได้พูดออกไปมีความรู้สึกมากมายที่ต่างคนต่างคิดไปเองอยู่ในใจโดยไม่คิดจะเอ่ยถามอีกคนออกมา

     

                    มือแกร่งกำมือเข้าหากันช้าๆด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เมื่อคิมฮีชอลหันหน้ามาเพียงนิดก่อนจะหลับตาลงราวกับรำคาญเต็มที

     

                    “เปล่า ไม่เป็นอะไรหรอก”

     

                    “

                    “

     

                    ความเงียบที่ไม่เคยแวะเข้ามาทักทาย กลับครอบคลุมบรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ร่างเล็กจะยกมือขึ้นกุมหัวอีกครั้งแล้วก้าวเดินต่อไปยังเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้อง จังหวะนั้นเองที่แมวตัวใหญ่สีเทาใต้เตียงกระโจนขัดขาเล็กจนคิมฮีชอลเซตัวจนเกือบจะล้มลง หากแต่ลำแขนแกร่งของอีกคนคว้าเอวบางเอาไว้ได้เสียก่อน

     

                    “อ๊ะ” 

                    ร่างเล็กเสียหลักพิงเข้ากับอกกว้างท่วงท่าที่ทำผิวกายสัมผัสซึ่งกันละกันทำให้ปาร์คจองซูรู้สึกถึงอุณภูมิร้อนจัดจากร่างในอ้อมกอด

                    ทว่าทันทีที่คิมฮีชอลทรงตัวได้ ก็ผลักร่างโปร่งออกก่อนจะถอยตัวห่างทันทีปฏิกริยาที่ราวกลับไม่อยากเข้าใกล้ปาร์คจองซูเป็นครั้งที่สองนั้นทำให้ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอีกครั้งด้วยความรู้สึกเจ็บที่หน่วงลึกกว่าเดิม

     

                    ใบหน้าหวานภายใต้กรอบแว่นใหม่สีเข้มช้อนตาขึ้นมองร่างตรงหน้าก่อนพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แม้สีหน้าจะดูแย่ลงมากกว่าเดิมก็ตาม

    คิมฮีชอลก็ยังคงเป็นคิมฮีชอลอยู่วันยังค่ำ

                    เก็บความรู้สึกไม่เก่งแต่ก็ทำเฉยไม่พูดมันออกมา

     

                    “ราตรีสวัสดิ์นะ” เอ่ยพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะหันหลังเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่มโดยปล่อยให้อีกคนยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นทำได้แค่กำมือแน่นด้วยความรู้สึกหม่นๆที่อัดแน่นอยู่ภายในจิตใจริมฝีปากบางพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ ราวกับจะผ่อนก้อนหนักๆที่เรียกว่าความอึดอัดที่บีบแน่นจนรู้แย่แม้จะแค่หายใจ

     

                    “อือฝันดี”

                    ท้ายประโยคเบาราวกับพูดกับตัวเอง ร่างโปร่งเอื้อมมือไปหรี่โคมไฟเล็กบนหัวเตียง รู้ดีว่าฮีชอลไม่ชอบให้ห้องมืดสนิท แต่ทว่าก็ไม่อยากให้ร่างเล็กนอนโดยที่ไฟเปิดสว่างจ้าทั้งห้องเพราะจะทำให้เสียสายตาไปมากกว่านี้ ปาร์คจองซูหันหลังก่อนจะก้าวเท้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง มือแกร่งที่เอื้อมออกไปหวังจะเปิดประตูออกกลับชะงักไว้อย่างชั่งใจ

     

                    ผิวกายที่ร้อนจัด พร้อมสีหน้าซืดๆกับมือที่กุมหัวแทบจะตลอดเวลา เดาได้ไม่ยากว่าคิมฮีชอลกำลังไม่สบาย ...ความเป็นห่วงที่ชัดเจนยิ่งกว่าความรู้สึกอื่นใดในจิตใจ ผลักดันให้ปาร์คจองซูหมุนลูกบิดดันประตูออก ก่อนจะปิดกลับเข้ามาจนเกิดเสียง ให้ร่างเล็กบนเตียงเข้าใจว่าเค้าออกไปแล้ว ทั้งที่ตัวเองยังยืนอยู่ภายในห้อง

     

                    ร่างโปร่งหันหลังพิงกับประตูบานหนาแววตาคมมองเหม่อขึ้นไปบนเพดานในห้องที่มีเพียงแค่แสงไฟสลัวให้แสงสว่าง หลายความรู้สึกที่โจมตีกันอยู่ภายในใจทำให้ในห้วงความคิดมีแต่คำถามมากมายที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ปาร์คจองซูยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานกระทั่งรู้สึกว่าภาพที่มองเห็นเบื้องหน้าเริ่มเบลอมัว เพราะม่านน้ำบางๆที่เอ่อขึ้นบนขอบตาทั้งสองข้าง

     

                    ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเพียงนิด ก่อนจะกดยิ้มเหยียดที่มุมปากด้วยความรู้สึกนึกสมเพชตัวเองขึ้นมาเปลือกตาสวยกระพริบถี่เพื่อไล่ม่านน้ำใสที่เอ่อขึ้นบังตา พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาช้าๆเพื่อผ่อนก้อนบางอย่างที่จุกอยู่ที่คอ

     

                    ปาร์คจองซูไม่ใช่คนอ่อนไหวแต่ไม่ใช่ในเวลานี้

     

    ช่วงชีวิตที่ผ่านเรื่องเจ็บปวดมามาก แต่กลับมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เค้าจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเพื่อระบายความรู้สึกแย่ๆในจิตใจ

                    มือแกร่งยกขึ้นลูบใบหน้าอีกครั้งเพื่อเรียกสติของตัวเองให้กลับมา รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง            

     

                    ใช่ คิมฮีชอลทำให้เค้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนเค้าสามารถมีชีวิตอยู่เพียงลำพังได้อย่างไร

     

     

                    เกือบยี่สิบนาทีที่ปาร์คจองซูรอให้แน่ใจว่าคนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียงได้หลับสนิทเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าอย่างระมัดระวังมาหยุดอยู่ข้างเตียงสีครีมที่คุ้นเคยอดยิ้มออกมาบางๆไม่ได้เมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กน้อยที่หลับพริ้มอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ผลอยหลับไปทั้งๆที่ยังสวมแว่นตาอยู่

                    ร่างโปร่งก้มลงถอดกรอบแว่นสีเข้มออกให้อย่างเบามือ แม้จะสัมผัสเข้ากับหน้าผากเนียนเพียงนิด แต่ปาร์คจองซูก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนจัดทิ่ผิวกายของร่างเล็ก...  

     

                    เรียวนิ้วปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าหวานออก ก่อนจะนาบหลังมือลงบนหน้าผากเล็กเบาๆ ผิวเนียนที่ร้อนเกินกว่าที่ปาร์คจองซูคาดเอาไว้ทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความกังวล

     

                    ไข้สูงซะด้วย

     

                    ร่างโปร่งตัดสินใจถอยออกไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำแล้วบิดจนหมาด พับเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆแล้ววางทาบไว้บนหน้าผากเล็กอย่างเบามือ การปฐมพยาบาลแบบง่ายๆที่ปาร์คจองซูพอจะรู้ก็คงมีเพียงเท่านี้ ครั้นจะปลุกให้ร่างเล็กตื่นขึ้นมากินยาตอนนี้ก็ใช่เรื่อง จะทำได้ก็แค่คอยเช็ดตัวเบาๆแล้วนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆเพียงเท่านั้น

     

                    หลายชั่วโมงผ่านไปที่จองซูนั่งเฝ้าคนป่วยบนเตียงอยู่ข้างๆเอาผ้าที่วางทาบบนใบหน้าหวานไปชุบน้ำใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ซับผ้าขนหนูหมาดน้ำไปตามแขนเล็กเบาๆโดยระมัดระวังไม่ให้ฮีชอลสะดุ้งตื่น

     

                    “อือ” เสียงครางในลำคอดังขึ้นเมื่อปาร์คจองซูซับผ้าขนหนูไปตามแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยพิษไข้ทำให้ร่างโปร่งแทบจะกลั้นหายใจภายในทันทีเพราะกลัวว่าเปลือกตาสวยนั้นจะลืมขึ้น แต่ทว่าฮีชอลกลับเพียงแค่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมาดึงรั้งลำแขนแกร่งมากอดเอาไว้แทนหมอนแล้วพลิกตัวนอนหลับต่อ

    คนถูกดึงเบิกตาโพลงขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะใช้แขนอีกข้างค้ำไว้กับหมอนเพื่อทรงตัวไม่ให้ตัวเองเผลอทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงมากกว่านี้

     

                    ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลงบนข้อมือของปาร์คจองซูเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้ร่างโปร่งกลั้นหายใจนิ่งอยู่กับที่ราวกับโดนสาปใบหน้าสวยยามหลับใหลที่น่ารักไม่แพ้ยามตื่นเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทกับทุกอากัปกริยาที่ทำให้วันทุกวันของผู้ชายที่แสนจะธรรมดากลับมีความหมายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด 

     

                    ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะปนกัน

     

    แต่กลับมีสิ่งทหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นมาในหัวใจ

     

     

     

                    รัก

    ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก

     

                   

                    และคงไม่มีวันหยุดรัก แม้ว่าเมื่อใดร่างเล็กลืมตาตื่นขึ้นมาเค้าจะไม่มีสิทธิได้กลับมายืนที่ตรงนี้ก็ตาม

     

     



     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     





                    แสงอาทิตย์สีส้มรำไรสาดแสงเข้ามาทักทายภายในห้องสีครีมในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ปาร์คจองซูยังคงนั่งฟุบอยู่ที่ข้างเตียงที่มีร่างเล็กนอนหลับอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ลุกไปไหน กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มผงกขึ้นทันทีเมื่อรู้สึกถึงแรงขยับของคนป่วยที่นอนอยู่ใกล้ๆ

                   

                    “อือ” คิมฮีชอลพยายามดันตัวลุกขึ้น แต่ก็ต้องทิ้งตัวลงพิงกับหมอนอีกครั้งเพราะอาการปวดหนึบอย่างรุนแรงที่ศีรษะ ใบหน้าหวานขมวดยุ่งพร้อมกับยกมือขึ้นกุมหัวอย่างทรมานจากพิษไข้

     

                    “เป็นไงบ้าง?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับประคองร่างเล็กให้นอนลงในท่าเดิมเจ้าของตาคู่สวยที่ปิดปรือของคนยังไม่ตื่นเต็มที่ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ไม่อยากเจอนั่งอยู่ข้างๆ แต่ด้วยอาการป่วยที่ลิดรอนเรี่ยวแรงจนหมดสิ้นทำให้ฮีชอลไม่ได้ขยับตัวหนีออกจากอ้อมแขนกว้างแต่อย่างใด

                    ริมฝีปากบางที่แห้งผากเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขยับราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่ากลับมีเพียงแค่ลมแหบๆหลุดออกมา

                   

                    “หืม?น้ำหิวน้ำเหรอ?” จองซูพยายามอ่านริมฝีปากเล็กที่ขยับไปมาแทนการฟังเสียง เจ้าของใบหน้าหวานที่ซืดเซียวพยักหน้ารับช้าๆก่อนจะหลับตาแล้วเอนหัวลงพิงกับหมอนอีกครั้ง ปล่อยให้อีกคนหายเข้าไปในครัวพักหนึ่ง ก่อนออกมาพร้อมกับน้ำอุ่นแก้วเล็ก และถ้วยโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปในมือ นึกโมโหตัวเองที่ไม่คิดเตรียมข้าวต้มหรืออะไรก็ตามที่ดีต่อคนป่วยมากกว่าอาหารกึ่งสำเร็จรูป แต่ก็นั่นแหล่ะจะให้ทิ้งฮีชอลนอนซมอยู่บนห้องแล้วออกไปหาซื้ออะไรเข้ามาให้ตอนนี้ปาร์คจองซูก็คงไม่ทำ

     

                    “กินน้ำแล้วกินโจ๊กรองท้องนะ จะได้กินยา” ออกคำสั่งเสร็จสรรพก่อนจะหยิบยาลดไข้ที่เอามาจากห้องตัวเองวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ ไม่ทันได้สังเกตเห็นปากเล็กที่เบะบึ้งเมื่อร่างโปร่งเอ่ยถึงสิ่งที่เกลียดที่สุดเวลาไม่สบาย

     

                    “ไม่ชอบยา” เสียงแหบแห้งที่เกือบจะฟังไม่รู้เรื่องเอ่ยออกมาพร้อมกับใบหน้าสะลึมสะลือที่หงอยลงอย่างเห็นได้ชัด จนคนมองอดยิ้มออกมาไม่ได้

                    “มึงบ้าเหรอ เรียนหมอไม่ชอบยา” ปาร์คจองซูหลุดขำออกมากับท่าทางงอแงเหมือนเด็กสามขวบที่ไม่ยอมกินยา พร้อมกับยีกลุ่มผมยุ่งๆสีน้ำตาลด้วยความหมั่นเขี้ยวเบาๆ ชั่วแว่บหนึ่งเค้ารู้สึกเหมือนม่านหมอกแห่งความอึดอัดค่อยๆคลายลง

     

                    ก็แค่ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น

     

                    คนป่วยรับแก้วน้ำอุ่นไปดื่มอึกๆจนหมดแก้ว ก่อนจะเตรียมล้มตัวลงนอนอีกครั้งแต่ทว่าจองซูกลับรั้งร่างเล็กเอาไว้เสียก่อน

                    “กินโจ๊กก่อน แล้ว กิน-ยา” ออกคำสั่งเสียงเข้มพร้อมกับจัดหมอนใบใหญ่มาวางไว้ด้านหลังให้ร่างเล็กพิงไว้ในท่านั่งกึ่งนอน ก่อนหยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมาตักของเหลวสีขาวขุ่นคำเล็กๆแล้วเป่าไล่ลมร้อนเบาๆ

     

                    “อ้า” ยืนช้อนไปจ่อรออยู่ตรงหน้าฮีชอล พร้อมกับออกคำสั่งอีกครั้ง บังคับให้ริมฝีปากเล็กต้องเผยอขึ้นรับโจ๊กอุ่นๆเข้าปากอย่างเสียไม่ได้

     

                    “อีกคำ” ช้อนพลาสติกใสตักโจ๊กขึ้นมาอีกครั้ง ถูกเป่าเบาๆพอให้หายร้อนก่อนจะส่งเข้าปากเล็กคำแล้วคำเล่าจนเหลือข้าวสีขุ่นอีกแค่ครึ่งถ้วย แต่ทว่าใบหน้าหวานกลับส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่าอิ่มแล้ว ก่อนจะเตรียมล้มตัวลงนอนอีกรอบ

     

                    “เนียนละน้องหมอ ลุกมากินยาก่อน”

                    “ไม่ ไม่แดกยากูก็หายได้ แค่กๆๆ”

                    “จะเถียงอะไรหัดเจียมสังขารบ้าง” จองซูหลุดขำออกมากับประโยคอวดเก่งที่ปะปนมากับเสียงไอค่อกแค่ก แค่จะเปล่งเสียงออกมาก็แทบไม่รอด ยังอุตส่าเถียงอีกเนอะคนเรา

     

                    “อย่าดื้อ” ร่างโปร่งยื่นยาลดไข้สองเม็ดพร้อมน้ำอุ่นหนึ่งแก้วไปตรงหน้า ทว่าฮีชอลกลับเม้มปากแน่นพร้อมกับหลับตา แถมยักคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงท้าทายว่ามึงบังคับกูไม่ได้หรอก

                    ปาร์คจองซูพ่นลมหายใจออกมาเบาๆให้กับความดื้อขั้นสุดยอดของคนป่วยอาการร่อแร่ตรงหน้า ไม่นานก็กดยิ้มออกมาเมื่อนึกหาวิธีบังคับให้เด็กขี้งอแงกินยาเข้าไปให้ได้

     

                    “….!!!” นิ้วเรียวยื่นไปบีบจมูกเล็กแน่นจนฮีชอลสะดุ้งพร้อมกับเบิกตาโพลง ทว่าริมฝีปากบางยังคงเม้มเข้าหากันแน่นปาร์คจองซูอมยิ้มอย่างผู้ชนะพร้อมกับกำเม็ดยาในมืออย่างเตรียมพร้อมรอจังหวะ

     

                    “อื้อ!!” มือเล็กเอื้อมขึ้นมาปัดข้อมือของจองซูให้ออกห่าง แต่ทว่าไม่เป็นผล คนป่วยที่เริ่มหน้าแดงเพราะขาดอากาศหายใจ ก่อนจะยอมแพ้โดยการอ้าปากเพื่อสูดออกซิเจนเข้าปอด จังหวะนั้นเองที่เม็ดยาสีขาวสองเม็ดถูกส่งเข้าไปในโพลงปากคนป่วยอย่างง่ายดาย

                    คิมฮีชอลมุ่ยหน้าทันทีเมื่อรู้สึกถึงรสขมในปาก รีบรับน้ำอุ่นจากมือของจองซูมาดื่มน้ำตามเข้าไปหลายอึกก่อนจะล้มตัวลงนอนหอบด้วยความเหนื่อย

     

                    “แค่กๆพี่จองซูแฮ่กไอ้แก่ใจหมา ...แค่กๆ มึงจะฆ่ากูเหรอ” คนถูกด่าได้แต่กุมท้องขำกับท่ายกนิ้วขึ้นชี้หน้าอย่างหมดแรงของฮีชอล พร้อมแววตาอาฆาตร้ายที่ดูไร้พิษภัยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

                    “ยอมแดกดีๆแต่แรกก็ไม่ต้องใช้กำลังหรอก” จองซูยีผมสีน้ำตาลของฮีชอลอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นเอาถ้วยโจ๊กกึ้งสำเร็จรูปไปทิ้งพร้อมกับเอาแผงยาที่เหลือไปเก็บเข้าตู้ที่ห้องของตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อกลับเข้ามาก็พบว่าคนป่วยที่นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มบนเตียงหลับสนิทไปแล้ว

                   

                    คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าควรเช็ดตัวให้ฮีชอลซักหน่อยเผื่อไข้จะได้ลดเร็วขึ้น แต่เมื่อร่างเล็กหลับไปอีกรอบแล้วก็เลยตามเลย ตื่นมาค่อยวัดไข้แล้วดูอาการอีกทีก็แล้วกัน

                    ปาร์คจองซูเหลือบดูนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกเวลาเกือบจะเลยเที่ยงวันแล้ว เพิ่งจะระรึกได้ว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เย็นเมื่อวาน แต่น่าแปลกที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไรร่างโปร่งเดินไปหยิบกาแฟกระป๋องมาเปิดดื่มเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียงของฮีชอลอีกครั้ง

                    ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมโปงจนปิดใบหน้าหวานทำให้จองซูต้องร่นมันลงมาจนถึงระดับคอเพราะกลัวว่าคนป่วยจะตายเพราะขาดอากาศหายใจซะก่อน อมยิ้มนิดๆกับริมฝีปากเล็กที่เหมือนจะเบะบึ้งกระทั่งเวลานอน พร้อมกับเอื้อมมือไปปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าหวานออกเบาๆ ทว่ารอยยิ้มบางก็ต้องสะดุดลงเมื่อเสียงแหบแห้งละเมอพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

                    คิ้วเรียวเหนือตาคู่สวยที่ปิดสนิทขมวดเข้าหากันจนยุ่ง พร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างไร้เหตุผลจนปอยผมสีน้ำตาลพันกันยุ่ง

     

                    “พี่จองซู” เสียงแหบแห้งพึมพำชื่อของอีกคนขึ้นมาจนคนถูกเรียกใจกระตุกวูบ ก่อนจะจับข้อมือเล็กที่ปัดป่ายไปทั่วมาแนบไว้กับแก้มเพื่อบอกให้รู้ว่าเค้าอยู่ตรงนี้

     

                    “ฮีชอลเป็นอะไรพี่อยู่นี่ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”

                    ฮึกปล่อย ปล่อย” เสียงแหบที่ปะปนออกมากับเสียงสะอื้นทำให้จองซูถึงกับนิ่งค้างมือเล็กที่ถูกกอบกุมไว้พยายามผลักไสร่างโปร่งออกห่าง ดิ้นขลุกขลักพร้อมกับส่ายเป็นพัลวันราวกับกำลังทรมานแสนสาหัส

     

                    “ไม่เอาฮือ ออกไปออกไป

    “ฮีชอล” ปาร์คจองซูเอ่ยเรียกชื่อเบาหวิวด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่บีบรัดจนแทบไม่อยากหายใจ ร่างเล็กที่เพ้อจัดด้วยพิษไข้เอาแต่ร่ำไห้โดยไร้ซึ่งหยดน้ำตา ราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำที่กลายเป็นฝันร้ายซึ่งไร้ทางออก

     

    เจ้าของดวงตาคมเสมองไปที่อื่นเพื่อข่มก้อนจุกที่เกือบจะหลุดออกมาเป็นเสียงสะอื้น ก่อนกำมือเข้าหากันแน่นเพื่อห้ามใจไม่ให้ไปแตะต้องร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงอีก เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ฮีชอลหวีดร้องหนักขึ้น

     

    จำต้องทำยังไง

     

                    “ขอโทษ” มันจะพอมั๊ยนะ

     

                    “ขอโทษนะฮีชอล

     

                    ริมฝีปากบางได้แต่พร่ำคำว่าขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น แม่ร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงจะสงบลงแล้ว อยากจะปลุกคิมฮีชอลให้ตื่นจากห้วงแห่งความทรมานของฝันร้าย แต่ก็กลัวว่ามันจะทำให้เจ้าของใบหน้าสวยเจ็บปวดยิ่งกว่า ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าคนในฝันร้ายนั้นยังคงนั่งอยู่ข้างๆในความเป็นจริง

     

                    เกือบสิบนาทีที่จองซูได้แต่นั่งกำมือตัวเองอยู่นิ่งๆโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ถ้าเค้าลุกออกไปซะ มันอาจจะทำให้ฮีชอลหลับสบายขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าคนป่วยอาจจะหิวน้ำหรือต้องการอะไรรึเปล่า

     

                ปาร์คจองซูก็อย่างนี้ชอบยัดเยียดความห่วงใยให้ โดยไม่สนว่าคนรับเค้าต้องการรึเปล่า

                   

                    Rrrrrrr ….Rrrrrrrr….

                    แรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะรีบล้วงหาไอโฟนเครื่องบางขึ้นมากดรับสาย

     

                    “หืม?” ครางรับในลำคอเบาๆเมื่อเห็นว่าสายเรียกเข้าไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากรุ่นน้องคนสนิท อีฮยอกแจ

                    “ไฟล์งานที่ส่งเมลล์มามันเปิดไม่ขึ้นว่ะพี่จองซู ส่งมาใหม่อีกรอบได้เปล่า บอสเร่งเอางานเย็นนี้” น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายที่เร่งรีบเพราะส่งงานไม่ทันทำให้ปาร์คจองซูอดนึกถึงสมัยที่ยังทำงานอยู่ในบริษัทที่ตีกรอบชีวิตอย่างนั้นไม่ได้ ร่างโปร่งหยัดตัวลุกขึ้นช้าๆก่อนจะก้าวเดินโดยระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงกลับไปยังห้องของตัวเองเพื่อส่งไฟล์งานให้รุ่นน้องอีกรอบ มาสคอตแบรนด์สินค้าน้องใหม่ที่ปาร์คจองซูเคยรับออกแบบตั้งแต่สมัยเริ่มออกมาทำงานฟรีแลนซ์แรกๆ เติบโตขึ้นจนเป็นแบรนด์ดังที่ใครๆต่างก็จำมาสคอตรูปร่างตลกๆนั้นได้ กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ที่เจ้าของคนเดิมกับเมื่อตอนนั้นก็ได้ติดต่อให้เค้ากลับไปทำให้มาสคอตตัวนั้นมีชีวิตขึ้นมาด้วยการร่วมทำอนิเมชั่นกับอีฮยอกแจ

                    ทำเอาเจ้าเด็กขี้โวยวายนั้นโมโหใหญ่ว่าบริษัทจ้างเค้าไว้แล้วทั้งคนจะไปจ้างคนนอกอย่างปาร์คจองซูอีกทำไม แต่คนเป็นพี่ก็ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆแล้วแก้ตัวแทนว่าเค้าคงอยากได้งานที่มีกลิ่นอายออริจินัลร่วมด้วยล่ะมั้ง

     

                    “แล้วดราฟท์ที่ให้ไปคราวก่อนถึงไหนแล้ว” เอ่ยถามไถ่ว่างานเดินไปแค่ไหนแล้วบ้าง กลายเป็นว่าเปิดประเด็นคุยยาวซะจนปาร์คจองซูเผลอลืมไปว่าปล่อยให้คนป่วยนอนซมอยู่อยู่ในห้องข้างๆคนเดียว จนคนที่ปลายสายถูกเรียกตัวเข้าไปส่งงานนั่นแหล่ะถึงจะได้ตัดบทวางสายกัน

     

                    “ขอบคุณมากนะพี่จองซู ไว้คุยกัน”

                    “เออๆ บาย” นิ้วเรียวกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะนั่งคิดเรื่องงานไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับเคาะนิ้วบนเม้าส์เบาๆ คลิกเปิดโฟลเดอร์งานเก่าๆดูเผื่อว่าจะมีไอเดียอะไรผุดออกมาบ้าง แต่ทว่าสายตาคมก็ต้องชะงักเมื่อกดปิดหน้าบราวเซอร์จนเจอหน้าเดสท๊อปที่ตัวเองตั้งเอาไว้ภาพใบหน้าหวานคุ้นตายามหลับที่ตัวเองเคยแอบถ่ายไว้เมื่อเกือบครึ่งปีก่อนถูกตั้งเป็นวอลเปเปอร์มาตลอดจนจองซูจำไม่ได้แล้วว่ารูปก่อนหน้านั้นเป็นอะไรร่างโปร่งรีบเก็บโทรศัพท์เครื่องบางเข้ากระเป๋าก่อนจะพุ่งตัวออกไปหาอีกคนทันทีเมื่อนึกได้ว่าปล่อยคนป่วยไว้ในห้องเพียงลำพัง

     

                    จองซูใจชื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าร่างเล็กยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แม้ว่าผ้าขนหนูผืนเหล็กจะเลื่อนหล่นไปอยู่ข้างหมอนก็ตาม มือแกร่งหยิบผ้าหมาดน้ำผืนเล็กขึ้นมาแล้วนำไปชุบน้ำใหม่ ก่อนจะนำมาวางกลับลงไปที่เดิม ทว่าร่างโปร่งก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อลองเอามือไปอังกับหน้าผากเนียนนั่นแล้วรู้สึกถึงความร้อนระอุยิ่งกว่าก่อนที่ฮีชอลจะหลับซะอีก

                    เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่ขมับทั้งสองข้างด้วยความวิตกกังวล ก่อนจองซูจะตัดสินใจเดินไปเปิดน้ำใส่กะละมังขนาดกลางเพื่อนำมาเช็ดตัวให้คิมฮีชอล เผื่อว่ามันจะช่วยทำให้ไข้ลดลงบ้าง

                    กะละมังสีขาวถูกวางไว้บนชั้นวางของที่หัวเตียง พร้อมกับผ้าขนหนูบิดหมาดน้ำที่วางพาดไว้บนขอบข้างๆ ร่างโปร่งชะงักเล็กน้อยเมื่อเอื้อมมือไปปลดกระดุมชุดนอนของฮีชอลออก แต่ทว่าความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายทำให้เค้าไม่มีเวลาคิดหาทางเลือกที่ดีกว่านี้

                   

                    “อือ” เสียงครางฮือเบาๆดังรอดออกมากจากริมฝีปากเล็ก จองซูรู้ดีว่าร่างเล็กกำลังจะตื่น หากแต่ถ้าไม่รีบเช็ดตัวให้ตอนนี้คงได้หามส่งโรงพยาบาลเป็นแน่

                   

                    เสื้อนอนสีฟ้าถูกปลดกระดุมออกจนหมด ก่อนร่างโปร่งจะพยายามร่นคอเสื้อให้หลุดไปทางด้านหลังเพื่อที่จะได้เช็ดบริเวณข้อพับได้สะดวกขึ้น แต่ทว่าท่วงท่าที่ไม่ถนัดนั้น บังคับให้เค้าเอี้ยวตัวขึ้นมาคร่อมบนร่างเล็กไว้เพื่อที่จะถอดเสื้อนอนออกได้อย่างง่ายดาย

     

                    …!!!!!” คนป่วยที่งัวเงียในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นเบิกตาโพลงขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าปาร์คจองซูประชิดตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับพยายามร่นเสื้อนอนของตัวเองออกให้พ้นร่าง ในท่วงท่าที่ชวนให้คิดเป็นอย่างอื่น

     

                    แววตาสวยสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวเมื่อภาพเมื่อคืนก่อนฉายซ้อนขึ้นมาในห้วงความคิดจนน้ำใสรื้นขึ้นมาบนขอบตาที่ร้อนผ่าวมือเล็กรวบรวมเรี่ยวแรงที่พอจะมีเหลือผลักร่างที่คร่อมทับอยู่ออกแรงจนร่างโปร่งเซล้มไปอีกทางริมฝีปากแดงจัดที่แห้งผากเผยอหอบ ก่อนจะรีบดึงผ้าห่มมาคลุมกายเอาไว้พร้อมกับนั่งกอดเข่าแน่น

     

                    ปาร์คจองซูที่นิ่งอึ้งพยายามอ้าปากเพื่อที่จะอธิบายเหตุผลออกมาก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงไปมากกว่านี้ แต่ทว่ารอยแดงเป็นจุดบนซอกคอขาวเรื่อยลงมาถึงเนินอกบนร่างเล็กนั่นทำให้เค้าจุกจนพูดอะไรไม่ออก

     

     

                    รอยพวกนั้น

    สิ่งที่ยืนยันว่าคิมฮีชอลเป็นของปาร์คจองซู

     

                    ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆพร้อมกับกลืนความรู้สึกทุกอย่างลงคอ พยายามไม่สนใจก้อนเนื้อที่บีบรัดตัวเองอย่างบ้าคลั่งในอกด้านซ้าย หรือสายตาที่เริ่มพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตาบางๆ ที่ต้องทำตอนนี้คือพาฮีชอลไปหาหมอ ไม่ว่าในสายตาของร่างเล็กจะตัดสินว่าเค้าเลวร้ายยังไง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวฮีชอลเองเท่านั้น… 

                    มือแกร่งเอื้อมไปแตะเบาๆที่ต้นแขนเล็กเพื่อที่จะพาร่างตรงหน้าไปโรงพยาบาล ทว่าฮีชอลกลับปัดมือนั้นออกอย่างแรงพร้อมกับริมฝีปากบางที่แค่นเสียงแห่บตะคอกกลับมา

                   

                    “ออกไป!!

     

     

                    “ฮีชอล

     

                    “อย่าเข้ามา!! กูบอกให้ออกไปไง!!! …ฮึก” เสียงแห่บแห้งตะโกนออกมาอย่างเสียสติพร้อมกับน้ำตาใสที่ไหลออกมาเป็นทางร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นพร้อมกับห่อไหล่กอดตัวเองเอาไว้แน่น

                   

     

     

                    ฮีชอลอย่าร้องไห้

                    ไม่เอาสิ ไม่ร้องนะ

     

                    อย่าร้องไห้เลยนะได้โปรดเถอะอย่าร้อง

     

     

                    เพียงเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ปาร์คจองซูรู้ซึ้งถึงคำว่า แทบขาดใจมันเป็นยังไง

     

                    มือแกร่งที่สั่นเทาเอื้อมไปข้างหน้าอีกครั้งหวังจะช่วยเช็ดน้ำตาเหล่านั้นให้พ้นออกจากใบหน้าหวานที่เฝ้าถนุถนอมมาตลอด แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับมาคือมือเล็กที่ปัดความหวังดีออกอย่างไร้เยื่อไยพร้อมกับเสียงแหบแห้งที่ตวาดใส่หน้าเสียงดัง

     

                    “อย่ามายุ่งกับกู!! ฮึกฮือ

     

                เสียงสะอื้นปานจะขาดใจ ทว่าน่าแปลกที่คนใจจะขาดกลับไม่ใช่คิมฮีชอล

     

                    ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา ร่างกายแทบจะหมดแรงลงไปเสียดื้อๆเมื่อตัดสินใจจะพูดทุกอย่างให้มันชัดเจน และจบๆไป ณ เวลานี้

     

                    “กูขอโทษ

     

                    “ฮึก

     

                    “ทุกอย่าง ที่กูทำขอโทษที่ทำให้เจ็บ กูขอโทษ” บางช่วงของประโยคถูกกลืนหายไปพร้อมกับเสียงสะอื้นท แต่ก็ดีที่สุดแล้วสำหรับคนเคยเข้มแข็งที่พยายามปรับน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติที่สุดพยายามไม่แสดงความอ่อนแออกมา แม้ข้างในจะรวดร้าวจนแทบไม่ไหวแล้วก็ตามที….

     

                    “ไม่มีอะไรจะแก้ตัวมันผิดที่กู

                    “หุบปาก!

     

                    “ฟังกู นะฮีชอล”

     

                    “ไม่!! กูไม่อยากฟัง ฮึก

     

                    เสียงแหลมสูงที่ตวาดกลับมาพร้อมกับมือเล็กที่เอื้อมขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างพร้อมกับส่ายหน้าเป็นพัลวันบังคับให้ปาร์คจองซูต้องขึ้นเสียงกลับอย่างเสียไม่ได้

     

                    “มึงต้องฟัง!! …มึงจะได้รู้

     

                    “ฮึกฮือออไม่

     

                    “รู้ไว้ ว่ากูรักมึง

     

     

                    “

                    “

     

                    เกือบสิบนาทีที่ความเงียบเข้าครอบคลุมจนได้ยินเพียงแค่เสียงสะอื้นซ้ำๆกับเสียงหอบหายใจเบาๆด้วยความเหนื่อยอ่อนของคนทั้งคู่ไม่ใช่เหนื่อยกายแต่เหนื่อยเหลือเกินที่หัวใจ

     

                    เหนื่อยแล้วเหนื่อยล้าเกินกว่าจะลุกขึ้นวิ่งตาม

     

                   

                    หยุดพยายามได้รึยังปาร์คจองซู

     

     

                    “ออกไป

     

                    เสียงแหบแห้งเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นเบาๆราวกับทำลายก้อนเนื้อเล็กๆที่เรียกว่าหัวใจของอีกคนให้แหลกสลายไม่มีชิ้นดี

     

     

     

                    “จะไปตายที่ไหนก็ไป

     

     

                   

                    …น้ำตาใสของลูกผู้ชายไหลหยดลงบนหลังมือเบาๆหยดน้ำอุ่นตัวแทนแห่งความอ่อนแอกำลังพรั่งพรูออกมาไม่หยุดโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะกลั้นมันไว้อีกต่อไป

     

                    ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มสมเพชให้กับตัวเองเป็นรางวัลก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วหันหลังให้กับคนที่เคยวิ่งตามตลอดมา

     

                    กลับห้องซะปาร์คจองซู

                    กลับไปยืนในที่ที่มึงควรยืน กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น

     

                    มันจบลงแล้วจริงๆ

                   

                    แกรก

                    ประตูบานใหญ่ถูกผลักออกช้าๆ ร่างโปร่งชะงักฝีเท้าลง เมื่อก้มลงมองเส้นบางๆที่ลากแบ่งระหว่างขอบประตูกับทางเดินเบื้องหน้ารู้ดีว่าต่อจากนี้คงไม่มีวันก้าวเข้ามาที่นี่อีก

     

                    เพราะด้ายบางแห่งความสัมพันธ์มันถูกตัดขาดไปแล้วนับตั้งแต่วินาทีที่เค้าเผลอก้าวล้ำเข้าไป

     

     

     

     

                    ประตูห้องถูกปิดเข้ามาเสียงเบา ทิ้งให้เหลือแค่ร่างเล็กที่สะอื้นไห้อยู่บนเตียงเพียงลำพัง

                   

     

                    คิมฮีชอลทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรงบนเตียงกว้าง ซุกใบหน้าสวยลงกับหมอนใบนิ่มก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความเจ็บปวดที่บีบตัวแน่นในหัวใจ ที่สุดเท่าที่ตลอดชีวิตของเด็กคนหนึ่งเคยเผชิญ

                    ถ้อยคำร้ายกาจที่ตวาดออกไป กลับย้อนเข้ามาทิ่มแทงลงบนจิตใจของตัวเองจนเป็นแผลเหวอะหวะ นึกอยากตบหน้าตัวเองเพราะนิสัยปากอย่างใจอย่างที่เหมือนกับการฆ่าตัวตายเข้าไปทุกที

                   

                    “ฮือฮึกฮือ

     

     

                    นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เสียงสะอึกสะอื้นดังก้องภายในห้องอยู่อย่างนั้น

     

                   

     

                    บางทีคนที่เพิ่งรู้ซึ้งถึงคำว่าแทบขาดใจอาจไม่ได้มีเพียงแค่ปาร์คจองซู

                   

     

     

     

     

    To be con.

     

     

                   

                    -talk-

                    ครบร้อยเปอร์แล้ว *w*

                    ครึ่งแรกเหมือนจะดราม่าหน่อยๆ แต่ครึ่งหลังมานี่รู้แล้วใช่มั๊ยว่ามันไม่หน่อย 55555

                    หวานมากเดี๋ยวเบื่อไง ปีใหม่ก็ลองอะไรใหม่ๆบ้าง (โดนรุมถีบ)

                    แต่ดราม่านิดเดียวจริงๆ เราเองก็ไม่ถนัดแบบนี้เหมือนกัน เขียนแล้วอึดอัดอยากหวีดร้องตะกุยจอ T^T โถว พี่จองของน้อง

                   

                    สวัสดีปีใหม่อีกรอบเลยละกันเนอะ ขอให้เป็นปีที่ดีมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะคะ ^^

                    ที่สำคัญคืออย่าทิ้งกันไปไหนน้า รักๆ (=/////=) \|m|

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×