ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    short fic - 83line/HaeEun

    ลำดับตอนที่ #4 : #teukcin - stranger

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 58


    Title :  Stranger

    Author : 30ww

    Paring : 83line (TeukCin) feat.Siwon

     

     (เข้ากันมากๆฟังเถอะนะ)

     

     

     

     

    ผมรู้ว่าผมบ้า

    แต่ผมเพิ่งรู้ว่าเวลาตัวเองตกหลุมรัก

    ผมแม่งโคตรบ้า

     

    รักแรกพบ... ผมรู้จักมันในวินาทีเดียวที่เจอกับคนๆนั้น

    ผู้ชายแปลกหน้าที่แค่เดินสวนกันผมก็อยากจะวิ่งตาม

    เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผลักดันให้ทำอะไรบ้าๆ 

    เพื่อแค่ว่าเราอาจจะเป็นได้มากกว่าคนแปลกหน้าต่อกัน

     

    อยากรักก็ต้องเสียง ไม่อยากให้เธอเป็นเพียงภาพในความฝัน

    ครับ ลอกเพลงเค้ามา

     

     

     

    Please, don't see. 
Just a boy caught up in dreams
 and fantasies

    Please, see me
 reaching out for someone
I can't see…

     

    “คุณ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่ควบคุมบรรยากาศรอบตัว หลังเสียงประกาศแจ้งว่าระบบรถไฟใต้ดินเกิดขัดข้อง ทำให้รถไฟรอบสุดท้ายจะมาช้ากว่ากำหนดยี่สิบนาที สถานีรถไฟที่แทบจะร้างผู้คนเหมือนถูกหยุดเวลานิ่ง ใต้ย่านเศรษฐกิจที่เคยคับคั่งไปด้วยผู้คน บัดนี้กลับเหลือพนักงานออฟฟิศชายหญิงที่ถูกทิ้งให้รอรถไฟเที่ยวสุดท้ายในเวลาเกือบเที่ยงคืน

     

    ร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสเลคแบบพนักงานออฟฟิศทั่วไปถอดหูฟังออกข้างหนึ่งเมื่อรู้สึกได้ว่าผู้ชายข้างๆกำลังต้องการสื่อสารกับเค้า 

    “ครับ?” ริมฝีปากบางเอ่ยรับ พร้อมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แม้จะนั่งใกล้กันมาซักพัก แต่ระยะห่างสองเก้าอี้ที่เว้นไว้สำหรับคนแปลกหน้าทำให้พนักงานออฟฟิศหนุ่มไม่ได้สังเกตชายผมสีน้ำตาลกับกีต้าร์ตัวโตซักเท่าไหร่ จนกระทั่งเสียงนั้นเอ่ยทัก

     

    “คุณ ฟังเพลงอะไรอยู่” คนแปลกหน้าเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรและลักยิ้มบุ๋มที่แก้ม กีต้าร์โปร่งที่เค้าถืออยู่ในมือดูท่าจะพร้อมส่งเสียงดนตรีออกมาทุกเมื่อ ผู้ชายท่าทางสบายๆใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวผูกหูกระต่าย เสื้อสูทที่ดูเนี้ยบกริบถูกถอดออกมากองไว้ข้างๆอย่างไม่ใยดีนัก ร้องเท้าหนังมันวาวที่สภาพแทบไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อนเข้าคู่กันดีกับกางเกงสแลคสีดำสนิทดูภูมิฐาน แต่ทว่าเรียวขาข้างหนึ่งกลับยกขึ้นมาไขว้ไว้บนเข่าเพื่อวางกีต้าร์ด้วยท่าทางราวกับนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน เสื้อผ้าเป็นทางการขัดกับบุคลิกและกีต้าร์ตัวโตในมือจนทำให้ผู้ชายคนนี้ดูขัดแย้งในตัวเอง จะมีก็แต่รอยยิ้มบนใบหน้าที่จัดว่าดูดีนั่นล่ะมั้งที่ทำให้คิมฮีชอลต่อบทสนทนาด้วย 

     

    “ตอนนี้เหรอ เอ่อ” ใบหน้าขาวแสดงความมึนงงออกมาชัดเจน ก่อนจะล้วงไอโฟนเครื่องบางออกมากด ปาร์คจองซูเผลอยิ้มออกมากับท่าทางมึนๆของคนข้างๆ ดูท่าว่าหูฟังสีขาวที่ใส่ไว้จะเล่นเพลงไปเรื่อยๆเพื่อสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาเฉยๆโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังฟังอะไรอยู่ 

     

    “Lost stars”

     

    “โห”

    “?”

    “คือผมเพิ่งเล่นเพลงนี้ไปเมื่อกี๊นี้เอง คุณได้ยินมั๊ย”

    ใบหน้าหวานส่ายหน้า ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าผู้ชายประหลาดๆคนนี้ต้องการอะไรกันแน่

    “บังเอิญเนอะ” 

    ปาร์คจองซูยังคงพูดไปเรื่อยราวกับบ่นกับตัวเอง

     

    “ผมเล่นให้ฟังอีกครั้งเอามั๊ย” รอยยิ้มเป็นมิตรสุดๆยังคงส่งไปยังร่างเล็กข้างๆไม่ขาดสาย แต่ทว่าใบหน้าสวยที่ยังคงนิ่งสนิทดูท่าจะไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดของเค้าเท่าไหร่นัก

     

    “ผมเป็นนักดนตรีนะคุณ ไม่ใช่โจร อย่ามองอย่างนั้นสิ นี่ผมจับกีต้าร์อยู่เห็นมั๊ย ไม่แอบล้วงกระเป๋าคุณหรอก” เจ้าของกีต้าร์โปร่งเอ่ยขึ้นขำๆเมื่อจับได้ว่าร่างเล็กเริ่มทำท่าหวาดระแวงเค้ามากขึ้น น่าแปลกที่แทนที่จะรู้สึกแย่แล้วปิดปากตัวเองซะ เค้ากลับรู้สึกอยากต่อบทสนทนากับผู้ชายหน้าบูดคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ

     

    เสียงกีต้าร์นุ่มทุ้มบรรเลงขึ้น นิ้วเรียวทำหน้าที่กดคอร์ดบนเส้นเอ็นทั้งหก เปลี่ยนไปตามจังหวะอย่างคล่องแคล่ว ทำให้เกิดท่วงทำนองคุ้นหูพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยร้องบทเพลงออกมาอย่างลื่นไหล

     

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงดนตรีเพราะๆกับเสียงมีเอกลักษณ์ของคนข้างๆทำให้ร่างเล็กที่พยายามตัดบทสนทนาด้วยการเล่นโทรศัพท์เกิดชะงัก

     

     

    Please, don't see 

    
            Just a boy caught up in dreams
 and fantasies

    Please, see me

    
Reaching out for someone
 I can't see

     

    เหมือนลมอ่อนๆที่พัดผ่านไป ทิ้งใจให้เคว้งคว้างไปซักพัก แล้วก็พัดกลับมา ทำนองขึ้นลงของบทเพลง กลายเป็นเส้นใยเล็กๆที่ชักจูงให้หัวใจกระตุกตามเป็นจังหวะช้าๆ รู้ตัวอีกทีสายลมที่พัดผ่านไปมา ก็หมุนวนอยู่รอบกาย

     

    Take my hand 

    let's see where we wake up tomorrow

    Best laid plans

    Sometimes are just a one night stand

     

    ฮีชอลเลือกเพลงนี้เป็นเพลงโปรดทันทีหลังจากดูหนังเรื่องนั้นจบ แม้จะเป็นการไปดูหนังคนเดียวเหมือนทุกที แต่เค้าก็ชินกับการอยู่กับตัวเองอย่างนั้นไปแล้ว ทุกคำร้องที่เคยฟังวนซ้ำไปมานับไม่ถ้วนอาจจะทำให้ร่างเล็กค่อยๆเบื่อเพลงนี้ไปในไม่ช้าและโหยหาท่วงทำนองใหม่ๆ แต่เวลานี้เค้ากลับรู้สึกว่ากำลังตกหลุมรักบทเพลงนี้อีกครั้ง 

     

     

    I'd be damned Cupid's demanding back his arrow


    So let's get drunk on our tears and

     

    เจ้าของใบหน้าบูดบึ้งเมื่อครู่หันมานั่งฟังร่างสูงดีดกีต้าร์อย่างตั้งใจโดยที่ฮีชอลเองคงไม่รู้ตัว ตาคู่สวยที่มีแววเหนื่อยล้าจากงานปาร์ตี้กร่อยๆของบริษัทจ้องตรงมาที่ปาร์จองซูตรงๆทว่าไม่ได้ทำให้คนที่กำลังบรรเลงบทเพลงขัดเขินอะไร ลูกปัดใสคู่นั่นสะท้อนเงาของเขา แต่ไม่ได้สื่อความหมายอะไรออกมา ราวกับว่าร่างเล็กกำลังหลุดลอยไปกับบทเพลงลื่นหูอยู่ในโลกของตัวเอง คิ้วที่เคยขมวดแน่นคลายออกจนทำให้ใบหน้าหวานงดงามอย่างชัดเจน 

     

     

    ปาร์คจองซูนึกขอบคุณเรียวนิ้วของตัวเองที่สามารถเลื่อนเปลี่ยนคอร์ดต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องเหลือบสายตามอง เพราะคงไม่มีสิ่งใดที่เขาเต็มใจจะมองไปมากกว่าใบหน้าของคนตรงหน้า

     

    ผิวใสสะท้อนแสงไฟสีส้มที่ประดับไปทั่วสถานีรถไฟฟ้า ยามมันกระทบกับปอยผมสีน้ำตาลที่ล้อมกรอบใบหน้าสวยช่างช่วยขับให้ตาคู่นั้นน่ามองว่าดวงดาวดวงไหน 

     

    แม้จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรแปลกๆ อย่างเช่นว่าอยู่ดีๆก็นั่งดีดกีต้าร์ให้ผู้ชายแปลกหน้าท่าทางไม่เป็นมิตรข้างๆฟัง แถมยังแจกยิ้มให้ไม่หยุดจนเค้ารู้สึกถูกคุกคามอย่างประหลาด 

    ทั้งที่ทีแรกก็แค่ทักขึ้นเพราะเสียงทำนองเพลงที่เล็ดลอดออกจากหูฟังมันคุ้นหูเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ปาร์คจองซูไม่สามารถละสายตาออกจากประกายวิบวับในตาคู่นั้นได้เลย

     

    เหมือนดวงดาว

    พิเศษก็ตรงที่มันระริกไหวราวกับมีชีวิต

     

    ช่างงายดาย ที่ปาร์คจองซูจะผลัดหลงเข้าไปในนั้น 

     

    ถึงจะกดคอร์ดบอดก็ไม่เป็นไร

    จะร้องผิดร้องถูกเค้าก็ไม่รู้ตัวอีกแล้ว

     

    แม้กระทั่งรถไฟจะมา ปาร์คจองซูก็ไม่อยากลุกออกไปจากตรงนี้

     

     

    God, tell us the reason youth is wasted on the young

    It's hunting season and the lambs are on the run

    Searching for meaning

    But are we all lost stars, trying to light up the dark?

     

     

    ช่างขัดแย้งกับเนื้อเพลงที่กำลังพร่ำร้อง 

     

    ไม่ใช่ดวงดาวที่กำลังหลงทาง

    แต่เป็นปาร์คจองซู ที่กำลังหลงทาง อยู่ในดวงดาว

     

     

    “คุณ… เก่งนะ”

     

    “ร้องเพราะมากเลย” ริมฝีปากบางเอ่ยชมออกมาเบาๆก่อนจะกดยิ้มบาง เพียงแค่นั้นก็เรียกเลือดให้แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของจองซูได้ไม่ยาก เจ้าของใบหน้าคมยิ้มตอบก่อนจะขยับกีต้าร์ไปมาอย่างเก้ๆกังๆ

     

    “คุณชอบเหรอ”

    “อืม ชอบ” 

     

    “ผมก็...ชอบนะ”

    “…” ชั่วเสี้ยวหนึ่งที่หัวใจของฮีชอลกระตุกวูบกับประโยคที่คนตรงหน้าเอ่ยออกมา ต่อให้คนที่โง่ที่สุดในโลกก็ฟังออกว่าคำว่าชอบมันถูกเน้นย้ำให้สื่อความหมายมากกว่าเพลงที่กำลังเอ่ยถึง 

     

    “ดูมาสามรอบได้แล้วมั้ง หนังเรื่องนี้อ่ะ ผมชอบเคียร่า” ถึงร่างเล็กจะชะงักไป แต่ดูเหมือนว่าจองซูจะต่อบทสนทนาของตัวเองไปได้เรื่อยๆ

    “ผมจำได้แต่คนที่เค้าเคยเล่นเป็นเดอะฮัล์ค” ฮีชอลดูจะเริ่มปรับตัวได้กับการคุยไปเรื่อยๆของคนแปลกหน้า

    “เอาจริงๆ ผมจำชื่อจริงเค้าไม่ได้5555” กีต้าร์ตัวโปร่งถูกเลื่อนไปวางพิงกับเก้าอี้ข้างๆ ปาร์คจองซูในตอนนี้กลายเป็นผู้ชายแต่งตัวสุภาพมากๆคนนึงที่อึดอัดกับหูกระต่ายของตัวเองเต็มที

     

    “ผมไปเล่นดนตรีในงานแต่งงานมาล่ะ” 

    “เป็นศิลปินเหรอ”

    “เปล่าหรอก เพื่อนกันน่ะครับ วัยผมนี่ทะยอยแต่งงานกันหมดแล้ว”

    “ก็วัยเดียวกันเนี่ยแหละมั้ง”

    “ปี 83 รึเปล่า” ปาร์คจองซูถามลองเชิง

    “ใช่เลย” 

     

    “คุณหน้าเด็กมากเลยนะ”

    “งั้นเลยเหรอ ขอบคุณนะ” คนถูกชมมีแววเขินเล็กน้อย

    “น่ารักด้วย” แต่ประโยคถัดมาก็ทำเอาเขินยิ่งกว่า

     

    “ผมโจ่งแจ้งไปใช่มั๊ยล่ะ คุณอึดอัดรึเปล่า” 

    “โจ่งแจ้ง?”

    “ใช่ ผมจีบคุณอยู่ คุณโอเคมั๊ย” ประโยคตรงไปตรงมาถูกซัดเข้าที่หน้า ราวกับลูกโป่งน้ำแตกโพละลงกลางหัวฮีชอล โอเคคือยังไง โอเคว่าไม่อึดอัด หรือโอเคว่าให้จีบ แล้วถ้าไม่โอเคคืออะไรล่ะ ผู้ชายคนนี้จะกล้าเกินไปรึเปล่า ทิ้งระเบิดเอาไว้แล้วยังจะมายิ้มอีก 

     

    “ถ้าไม่โอเคแล้วคุณจะทำไม” คิมฮีชอลปรับสีหน้ากลับมาเรียบนิ่งราวกับลองเชิง 

    “ผมก็จะร้องให้คุณฟังอีกเพลง”

    “รถไฟจะมาแล้ว”

    “ผมจะขึ้นไปเล่นให้ฟังบนรถไฟ”

    “ผมกับคุณลงคนละสถานี”

    “ผมจะขอไลน์คุณไว้”

    “ไม่ให้”

     

    “ยังไม่ได้ขอเลยนะครับ”

    “นี่คุณ” สุดท้ายตัวเองก็เป็นฝ่ายยอมแพ้กับการโต้เถียงที่หาข้อสรุปไม่ได้ ดวงตาแพรวพราวนั่นไม่ได้ต่างจากคารมหยอกล้อของเจ้าตัวเลยซักนิด ชวนให้คิดไปว่าคนๆนี้คงจะเจ้าชู้ไม่น้อย ที่จีบอยู่นี่ใช้มุขซ้ำกับที่เคยใช้กับใครรึเปล่า ร้องเพลงให้คนที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกแล้วถูกใจทุกคนเลยล่ะมั้ง

     

    จังหวะที่สายตาทั้งคู่ยังคงจ้องมองกันอย่างไม่ยอมแพ้นั้น แสงสีขาวก็สว่างจ้าขึ้นที่ฝากหนึ่งของรางรถไฟ เสียงเครื่องยนต์ครางต่ำดังขึ้นพร้อมๆกับตู้โลหะยาวมาเทียบจอดสนิทอยู่เบื้องหน้าหลังจากเลยเวลาไปกว่ายี่สิบนาที

     

    ก็ไม่เชิงขัดจังหวะเสียทีเดียว ยังไงก็ต้องขึ้นรถไฟไปด้วยกันอยู่ดี

     

    “ผมทายว่าคุณทำมาร์เก็ตติ้ง” ร่างสูงชวนคุยขึ้นอีกครั้งหลังจากวางกีต้าร์พาดไว้กับเก้าอี้ว่างข้างๆในตู้รถไฟที่เกือบร้างผู้คน ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองเหลือเพียงเก้าอี้หนึ่งที่นั่ง เนื่องจากกระเป๋าแลปท็อปสีดำที่ร่างบางจงใจวางเอาไว้เพื่อเพิ่มพื้นที่ส่วนตัว

     

    “มีตำแหน่งเขียนแปะไว้บนหน้าผากผมรึไง” ไม่ว่าคนข้างๆแอบมองเอกสารในกระเป๋าเค้าหรืออะไรก็ตาม แต่นั่นก็ถูกแผง

     

    “ผมทายว่าคุณเล่นกีต้าร์เป็น” ฮีชอลสวน

    “โห ไม่เห็นรู้ตัวเลยครับ” แต่น้ำเสียงยียวนทำให้คนที่ตั้งใจจะกวนประสาทกลับอารมณ์เสียซะเอง

     

    “ผมทายว่าคุณไปงานเลี้ยงบริษัทมาแต่ไม่เอนจอย” โอเค ไม่เถียง เสื้อเชิ้ตของเค้าคงมีกลิ่นเบียร์จางๆ และส่วนตัวแล้วคิมฮีชอลเกลียดงานสังคมและไม่มิตรเป็นกับใครเท่าไหร่ดูจากหน้าก็คงรู้ ร่างบางกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะหาประโยคอะไรก็ได้มาตอกหน้าให้ผู้ชายประสาทคนนี้หยุดยิ้มยียวนซะที

     

    “ผมทายว่าคุณมีปัญหากับปากนะ หุบไม่ได้”

    “โอ้โห” ดุชะมัด ร่างหนาเป่าปาก ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งมาใช้ศอกวางไว้ที่เข่าแล้วเท้าคางมองคนสวยขี้หงุดหงิดข้างๆอย่างตั้งใจ ท่าทางที่ทำเป็นไม่สนใจของฮีชอลยิ่งทำให้เค้าอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าเอาความหน้าด้านหน้าทนมาจากไหน แต่ต่อให้คนน่ารักอย่างนี้เอ่ยไล่เค้าก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก

     

    อยากจะคิดประโยคคูลๆแบบที่เคยดูในหนัง ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ชายหน้าม่อที่ไล่ขอเบอร์คนที่ชอบ แต่สุดท้ายปาร์คจองซูก็ต้องเอ่ยประโยคตลาดๆจีบสาวทั่วไปที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ใช้

     

    “ขอไลน์หน่อยครับ”

     

    คิมฮีชอลแทบจะทำไอโฟนร่วงจากมือ สะดุ้งที่อยู่ดีๆคนข้างๆก็โพล่งขึ้นแบบนั้น  ถึงจะอยากเก๊กสีหน้าปกติแต่เมื่อหันไปสบสายตาวิบวับของคนขี้หลีที่จ้องอยู่แล้วมันก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

     

    คนที่ขอไปก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกประหม่า แค่อยากรู้จักแต่ไม่อยากรวบรัดแอดไลน์อะไรแบบนั้น แต่รถไฟที่แล่นไปเรื่อยๆมันเหมือนกับบีบให้เวลาเหลือน้อยเต็มที มันก้องอยู่ในหูว่า ‘อยากทำอะไรก็รีบทำ’ เพราะถ้าก้าวออกจากรถไฟไปแล้วจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หรืออาจจะไม่เจอกันอีกเลยก็ได้

     

    เผื่อใจไว้ครึ่งต่อครึ่ง ถึงจะถูกปฏิเสธกลับมาก็คงรู้สึกแย่แค่ไม่เท่าไหร่ …หรอกมั้ง

     

    “ไม่ให้ครับ”

     

    ไม่สิ แย่มากต่างหากล่ะ

     

    “อ่า...ไม่เป็นไรครับ” แต่ใบหน้าคมที่ระบายยิ้มอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด ถึงแม้ในใจจะรู้สึกหน้าหมาไปมากอยู่เหมือนกัน เศษหน้าร่วงเต็มพื้นจนรู้สึกอยากหาอะไรลงไปกวาด ปาร์คจองซูผงกหัวน้อยๆอย่างเข้าใจก่อนจะหดมือที่ยื่นสมาร์ทโฟนเครื่องบางกลับมาก้มกดแก้เก้อไปอย่างนั้น 

     

    ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นขณะรถไฟแล่นผ่านหลายสถานี แต่ทั้งคู่ก็ทำเพียงแค่ก้มหน้ากดโทรศัพท์เครื่องบางในมือไปเรื่อยๆ เหมือนการพูดคุยก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น  ไม่นานเสียงประกาศสถานีถัดไปก็ดังก้องไปทั่วตู้รถไฟ ร่างหนาถึงได้ยันตัวลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวลง สูทผ้าวาเลนถูกยกขึ้นพาดบ่าข้างซ้าย ก่อนกระเป๋าหนังใส่กีต้าร์ใบโตจะจองพื้นที่บนไหล่ด้านขวา 

     

    “ผมไปละนะ”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวมาหยุดอยู่หน้าร่างบางที่ก้มหน้าอยู่ มองจากมุมนี้แล้วคนสวยตัวเล็กนิดเดียวเท่านั้น ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองเจ้าของเงาที่ทาบทับอยู่ ฮีชอลพยักหน้าเล็กน้อยเชิงรับรู้ก่อนจะเอ่ยลาคนรู้จักผิวเผินตามมารยาท

     

    “อือ บาย” ช่างเป็นมารยาทที่สั้นและห้วนเหลือเกิน

     

    “รั้งผมไว้ได้นะ”

    “…”

     

     

    “ไปละนะคุณ”

     

     

    “ไปจริงๆนะ”

     

     

    “ไปไหนก็ไปเถอะน่า” ริมฝีปากเล็กสบถเบาๆพร้อมกับขมวดคิ้วให้คนประสาทกลับที่เพิ่งก้าวออกจากตู้รถไฟไปในจังหวะเดียวกับสัญญาณเตือนปิดประตูดังครั้งสุดท้ายพอดี    ภายในตู้รถไฟกลับมาเงียบสนิท พร้อมๆกับแรงเคลื่อนตัวที่เกิดขึ้นบนพื้นเป็นสัญญาณว่ารถไฟขบวนนี้ได้พุ่งไปข้างหน้าแล้ว

     

    ด้วยแรงดึงดูดบางอย่างที่ฮีชอลก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร 

    ตาคู่สวยละจากจอสมาร์ทโฟนในมือแล้วเหลือบมองไปยังชานชะลามืดๆที่เริ่มห่างไกลออกไป เงาของใครบางคนยังยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับโบกมือให้ราวกับบอกลาญาติสนิทที่กำลังจะจากกันไกล ทั้งๆที่ทั้งคู่ไม่รู้จักกันเลย

     

     

    ภาพนั้นทำให้คนยิ้มยากหลุดขำออกมาเบาๆ

     

     

     

     

    |

     

    |

     

     

     

    ตบมือข้างเดียวไม่ดังก็ควรหยุดนะครับ

    รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง

    ไม่อยากเชื่อ ว่าสายตา

    จะได้พบคนที่กำลังตามหา

    ครับ คราวนี้ลอกมาสามเพลง แถมไม่ได้ใจความ

     

     

    กริ๊ก…

    เสียงปลดล็อคกุญแจดังขึ้นก่อนที่ประตูไม้สีขาวจะถูกผลักเบาๆตามแรงที่เหลือน้อยของเจ้าของห้อง ร่างบางแทรกตัวเข้ามาในความมืด พร้อมวางกระเป๋าแลปท็อปลงที่โซฟา มือขาวเลื่อนไปกดเปิดสวิซท์ไฟอย่างรวดเร็วก่อนจะเลื่อนมาบีบนวดไหล่บางที่อ่อนล้าจากการรับน้ำหนักกระเป๋ามาตลอดทาง คิมฮีชอลจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองเพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวกขึ้น 

    ขวดน้ำขนาดสามสิบมิลลิลิตรเกือบจะถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากปากเพื่อดับกระหาย ถ้าหากว่าเสียงสั่นครืดคราดของเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าไม่ดังขึ้นขัดเสียก่อน ตาคู่สวยกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่ายที่ความวุ่นวายในชีวิตยังไม่จบสิ้นเสียที โทรมาเอาป่านนี้ถ้าไม่ใช่งานด่วนก็คงปัญหาชีวิตชวนปวดหัวที่ต้องการระบายของใครซักคนเป็นแน่

    คิ้วเรียวเหนือตาคู่สวยขมวดเข้าหากันเมื่อเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ที่ไม่ได้เมมเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขึ้นต้นด้วยตัวเลขแปลกๆเหมือนสายด่วนอะไรแบบนั้น แต่ทว่าก็สายไปแล้วเมื่อความหงุดหงิดในทีแรกทำให้คิมฮีชอลเลื่อนนิ้วรับสายไปเรียบร้อย 

    ถ้าโทรมาขายตรงล่ะจะด่าให้วอดเลยคอยดู

    “ครับ”

    “คุณ”

    “?” คิมฮีชอลเผยอปากค้าง ความคิดที่เป็นเบอร์ขายตรงถูกตัดออกไปเรียบร้อย แทนที่ด้วยข้อสันนิษฐานโทรศัพท์โรคจิตอย่างรวดเร็ว วันนี้เค้าต้องเจอมนุษย์ประหลาดอีกกี่คนกัน 

    “เดี๋ยวสิอย่าเพิ่งวาง ผมเองนะ”

    “ใคร”  เสียงห้วนตอบกลับอย่างไม่ไว้ใจ บางทีอาจจะเป็นคนรู้จักของเค้าจริงๆก็ได้ล่ะมั้ง มือขาวยกขึ้นเสยปอยผมที่ปรกหน้าขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบขวดน้ำพลาสติกยกขึ้นดื่มอย่างที่ตั้งใจในทีแรก

    “ผมไง ที่รถไฟ เมื่อกี๊นี้”

    อุ่บ! แค่กๆๆ

    น้ำเปล่าในกระพุ้งแก้มพุ่งพรวดออกมาทันที ลำคอตีบตันฉับพลันจนสำลักน้ำออกมาเลอะเทอะไปหมด ร่างบางงอตัวไอค่อกแค่กกับคำตอบจากปลายสาย นอกจากจะเป็นโทรศัพท์โรคจิตจริงๆแล้ว ยังเป็นโรคจิตคนเดียวกันกับไอ้บ้าบนรถไฟเนี่ยนะ นี่มันตลกร้ายอะไร

    “เห้ยคุณ ไม่สบายเหรอ”

    “ไม่สบายกับผีน่ะสิ คุณเอาเบอร์ผมมาจากไหน!"

    “ใจเย็นๆดิคุณ ผมไม่มีเบอร์คุณซักหน่อย”

    “ก็คุยกับผมอยู่เนี่ย ยังจะมาเถียงอีก” ร่างบางหยิบทิชชู่มาซับคราบน้ำรอบปากก่อนจะเขี่ยๆผ้าขี้ริ้วใกล้ตัวมาเช็ดละอองน้ำที่พื้น อยากจะวางสายใส่ให้มันจบๆแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้โรคจิตนี่ไปเอาเบอร์เค้ามาจากไหน คุยกันอยู่แท้ๆยังจะมาปฏิเสธ บ้ารึเปล่า

    “ก็ผมโทรหาตัวเองอ่ะ”

    “โทรหาตัวเองบ้าอะไรของ-“ เสียงที่กำลังจะก่นด่าชะงักกลางอากาศราวกับฉุดคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้  มือขวาที่กำลังถือไอโฟนเครื่องบางแนบหูอยู่ค่อยๆเลื่อนโทรศัพท์มาดูชัดๆ 

     

    iphone 6plus

    เคส... สีขาว

     

    ถึงจะรุ่นเดียวกันเป๊ะๆแต่เคสของฮีชอลสีแดง และมันเป็นไอโฟนสีดำ ไม่ใช่สีขาวทั้งเครื่องแบบนี้

    นี่มันบ้าอะไรกัน

    “ในมือคุณอ่ะไอโฟนผม” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากลำโพงแต่ทว่าชัดเจนในหัวของคิมฮีชอล ขอไลน์แล้วไม่ให้ ก็เลยหย่อนโทรศัพท์ตัวเองลงมาในกระเป๋าชาวบ้านเนี่ยนะ เหลือเชื่อซะจนร่างบางนึกนับถือในความกล้าบ้าบิ่นของไอ้โรคจิตที่ปลายสาย

     

    “คุณบ้าไปแล้ว”

    “อาหะ ผมก็สงสัยอยู่”

    “โอ้ย โรคจิต! ประสาท!” คิมฮีชอลไม่รู้จะสรรหาอะไรมาด่าผู้ชายคนนี้ดี แถมยังสับสนกับตัวเองอีกต่างหากว่าจะรำคาญ ตลก หรือรู้สึกบ้าอะไรกับการกระทำเซอร์เรียลของมันกันแน่

    “ผมเดือดร้อนมากเลยเนี่ย เอาไอโฟนมาคืนผมเลย” 

    “นี่…” ได้ยินเข้าไปถึงกับอ้าปากค้าง เอาไอโฟนตัวเองยัดใส่กระเป๋าคนอื่นแล้วยังมีหน้าโทรมาโวยวายว่าตัวเองเดือดร้อนเนี่ยนะ

    “นัดส่งคืนที่ไหนดีอ่ะ คุณอยากกินร้านไหน อาหารเกาหลีหรืออาหารญี่ปุ่น อิตาเลี่ยนก็ได้ผมชอบ”

    “หยุดเลยนะ” 

    “5555 งั้นที่ไหนก็ได้ครับ คุณนัดมาเลย”

    "ไม่ คุณไปซื้อไอโฟนตัวเองคืนจากร้านขายโทรศัพท์มือสองเองแล้วกัน” คิมฮีชอลสวนเสียงแข็ง 

    "ถ้าอย่างนั้นผมจะแจ้งตำรวจจับคุณ” แต่คนที่ปลายสายดูท่าจะไม่ยอมแพ้เอาง่ายๆ

    "นี่คุณยัดใส่กระเป๋าผมเองแล้วยังจะกล้าแจ้งความเหรอ"

    "ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยตอนขึ้นโรงพักผมก็ได้เจอคุณ" คิมฮีชอลที่กำลังจะด่ากลับได้แต่อ้าปากค้าง ทั้งหมดนี่แค่จะได้เจอเค้าเนี่ยนะ คนอะไรความคิดประหลาดผิดมนุษมนา บ้าไปแล้ว คิมฮีชอลกำลังเถียงกับคนบ้า

    คนสวยกลอกตาไปมาก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ กับคนแบบนี้เถียงไปก็เหนื่อยเปล่า

     

    "โอเค ได้ งั้นก็เจอกันที่เดิม ผมเลิกงานสองทุ่ม มาไม่ได้ก็ไม่ต้องมา" เสียงเล็กมีแววหงุดหงิดชัดเจน ทว่ากลับเรียกรอยยิ้มจากปาร์คจองซูจนแก้มแทบปริ

     

    "ครับ ไปได้อยู่แล้ว"

    "ว่างงานนักเหรอคุณ"

    "ก็ไม่ค่อยว่างนักหรอกครับ ช่วงนี้หาแฟนอยู่ ยุ่งมาก" ร่างบางนิ่วหน้า ทำไมมันเป็นคนที่พูดจาน่าหาเก้าอี้ทุ่มใส่หัวได้ขนาดนี้

    "เหรอ แต่ผมไม่ว่าง แค่นี้นะ"

    "เดี๋ยวดิคุณ ชื่อไรอ่ะ” คนที่กำลังจะกดวางสายชะงัก แค่นขำออกมาจากลำคอ เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าคนที่นั่งคุยด้วยกันเป็นสิบนาที เถียงกันทางโทรศัพท์อยู่นานสองนานเนี่ยยังไม่รู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ทั้งที่อีกนิดก็จะพ่นคำหยาบใส่มันไปแล้ว

     

    "ฮีชอล คิมฮีชอล"

    "โอเคครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณฮีชอล"

    “อือ"

     

    “คุณฮีชอล”

    “เออ ชื่อผมมันทำไม”

    “ไม่อยากรู้จักชื่อผมบ้างเหรอ”

    “ไม่!”

    “ผมไม่บอกหรอก” ก็บอกอยู่ว่าไม่อยากรู้จัก โอ้ยไอ้บ้านี่

     

    “อยากรู้ก็เปิด camera roll ดูนะครับ”

     

    ตู๊ด ตู๊ด…

     

    คิมฮีชอลกดวางสายทันทีแบบไม่ต้องรอให้เสียงยียวนนั่นพูดอะไรต่อ มือเล็กควานหาสมาร์ทโฟนของตัวเองในกระเป๋า นึกโล่งอกที่อย่างน้อยมันก็ไม่ล้วงติดมือไปด้วย นึกสงสัยจริงๆว่านี่กำลังโดนจีบหรือโดนต้มตุ๋นกันแน่ จริงๆแล้วในไอโฟนนี้มียาบ้ารึเปล่า แล้วพอเอาไปส่งคืนก็กลายเป็นว่าฮีชอลเป็นคนส่งยา อยู่ดีไม่ว่าดีก็ได้ไปนอนในตาราง

     

    เออ ฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ ท่าทางวันนี้จะหนักเกินไปแล้วจริงๆ

     

    ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นพาตัวเองเข้าห้องน้ำ จัดการชำระร่างกายให้เสร็จๆจะได้พักผ่อนเสียที  

     

    01.10 AM 

    กลิ่นโลชั่นคุ้นจมูกฟุ้งไปทั่วห้อง ร่างบางในชุดนอนสีแดงเข้มล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มทันทีหลังจากการอาบน้ำอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงห้านาที พลันมือเล็กก็ควานหาโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกอย่างที่ทำประจำ 

     

    “เชี่ย” ฮีชอลสบถเมื่อตาปรือๆของตัวเองประมวลผลได้ว่าสมาร์ทโฟนที่กำลังกดในมือไม่ใช่ของตัวเอง  ก่อนจะควานหาอีกเครื่องที่คงวางอยู่ใกล้ๆกัน พลันในหัวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     

    “อยากรู้ก็เปิด camera roll ดูนะครับ”

    ถามว่าอยากรู้จักชื่อมันมั๊ย ก็ไม่ แต่อยากรู้ว่าใน camera roll มีอะไรมั๊ย... ก็ใช่ เผื่อเป็นรูปแอบถ่ายอะไรอย่างนั้นจะได้เอาไปแจ้งความแม่งซะเลย

     

    สุดท้ายแล้วนิ้วเล็กก็เลื่อนหน้าจอไปหาไอคอน photo แล้วกดเข้าไปดูจนได้

     

     

    ในอัลบั้มมีเพียงแค่ 7 รูปเท่านั้น ทั้งหมดเป็นภาพแคปของข้อความอะไรซักอย่างที่พิมพ์ใน  note

     

     

     

    "ข้อที่ 1 ผมไม่ใช่โรคจิต ผมแค่โดนพรหมลิขิตชักจูง"

     

    …วอท เดอะ ฟัค

     

     

    “ข้อที่ 2 เรือมีไว้ให้พาย แต่เธอไม่ให้ไลน์ต้องทำยังไง”

     

    เจอไปแค่สามรูปฮีชอลถึงกับลมจับ นี่มันอะไร มันเป็นแอดมินเพจมุขเสี่ยวเกี้ยวสาวเหรอ 

     

     

    “ข้อที่ 3 คุณ… นี่ผมไม่ได้ล้อเล่น”

     

    จะร้องไห้แล้ว ไอ้บ้านี่เป็นอะไร เป็นโรคเหรอ

     

    “ข้อที่ 4 ถ้าร้อนต้องเปิดแอร์ อยากได้คนเทคแคร์ต้องเปิดใจนะครับ” 

     

    ช่วยด้วย

     

    “ข้อที่ 5 เอาจริงๆนะ ผมไม่ได้บ้า ผมแค่กล้าเสี่ยงเพื่อความรัก”

     

    หยุดที ใครก็ได้หยุดมันที...

     

     

    “ข้อที่ 6 ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

    ไม่ ไม่อยากรู้จักมึง ไปไกลๆเลย

     

     

    “ผมชื่อปาร์คจองซู 09198200X”

     

     

    ขอบคุณพระเจ้า นี่คือชื่อของมัน

    7 รูปชวนผวาจบลงแล้ว คนที่สลึมสลือในทีแรกถึงกับหลับไม่ลง มือไม้นี่สั่นไปหมดอยากจะเขวี้ยงไอโฟนแม่งลงจากชั้นยี่สิบเอ็ดให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ ไม่คงไม่คืนมันแล้วไอ้คนแบบนี้ไม่อยากจะเชื่อว่ามีอยู่บนโลก ฮีชอลคว่ำหน้าสมาร์ทโฟนสีขาวลงก่อนจะซบหน้าลงบนฝ่ามือตัวเอง ไหล่บางสั่นน้อยๆจากการกลั้นหัวเราะ น้ำตาที่คลอนี่ไม่รู้ว่ากลัวจนเป็นบ้าหรือขำจนทนไม่ไหวกันแน่ ที่ร้อนๆที่หน้าก็ไม่รู้ว่าหัวเราะจนเหนื่อยหรือว่าหน้ามันแดงซ่านจนเป็นสีแดง 

     

    จะเป็นบ้าตามมันแล้วนะ

     

    ไม่มีทาง ฮีชอลไม่ยอมรับเด็ดขาด ระดับมาร์เก็ตติ้งดาวรุ่งของธนาคารชั้นแนวหน้าของประเทศไม่มีทางเขินให้มุขเสี่ยวเกลื่อนเฟสบุ๊คอย่างนี้อย่างเด็ดขาด

     

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้ข้อความทั้งหมดนั่นทำเค้าปั่นป่วนมากจริงๆ ในแง่ของตับไตไส้พุงน่ะนะ

    จะถือว่าเป็นการหัวเราะอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกของสัปดาห์ก็แล้วกัน

     

    คิมฮีชอลคลุมโปงจนกระทั่งหยุดขำ มือเล็กโผล่ออกมานอกผ้าห่มเพื่อกดตั้งนาฬิกาปลุกในไอโฟนตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วขัดตัวผลอยหลับไป

     

    ไม่ทันได้สนใจว่าการเต้นรัวของหัวใจ ก็ถือเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบแปดปีเช่นกัน

     

     

     

    |

     

    |

     

     

     

     

    ถ้าหากจะขอลองคุยกับเธอได้ไหม

    ก็ยังไม่รู้ว่าเธอเองจะคิดเช่นไร

     

     

     

     

    Siwon :

    อยู่ไหนละ

     

    Heenim :

    วันนี้ไม่ได้กลับด้วยอ่ะ มีธุระ

     

    Siwon :

    Ok

     

     

                ประโยคโต้ตอบสั้นๆในไลน์จบลงเหมือนทุกที เรียวนิ้วกดเลื่อนเปลี่ยนเปลี่ยนเพลงฟังไปเรื่อยๆตามนิสัย เพลงนึงไม่ทันจบก็เปลี่ยนเพลงใหม่ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ทำนองคุ้นหูที่เพิ่งได้ฟังสดๆเมื่อวาน

               

                Please, don't see. 
Just a boy caught up in dreams
-

                พอ!

               

                ใบหน้าหล่อแบบยียวนนั่นลอยเข้ามาในหัวโดยไม่ได้รับเชิญ เสียงทุ้มๆกับกีต้าร์ลื่นหูฮีชอลยังจำมันได้ดี สงสัยก็แต่ว่าคนที่เล่นดนตรีแล้วดูเท่ได้ขนาดนั้น ทำไมถึงได้หย่อนไอโฟนตัวเองลงกระเป๋าคนอื่น แถมเขียนข้อความเสี่ยวระดับชาติทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าคนเรามันมีหลายมิติจริงๆนะ

                กว่าจะทำใจฟังเสียงอดัม ลาวีนได้คงอีกนาน

     

                ร่างบางในชุดทำงานถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าก้าวลงบันไดรถไฟใต้ดินอย่างไม่เร่งรีบนัก เน็กไทด์สีม่วงเบอร์กันดี สีประจำธนาคารถูกคลายออกเพียงเล็กน้อย แต่ทว่าสูทสีดำยังคงสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวอยู่เนื่องจากอากาศที่หนาวขึ้นจากเมื่อหวานหลายองศา ทำให้ฮีชอลนึกอยากได้โค้ทซักตัวมาสวมทับเสียด้วยซ้ำ ไหล่บางเอียงเบี่ยงตัวหลบคลื่นมนุษย์มากมายที่เริ่มเบียดเสียดกันภายในสถานี แม้จะเลยเวลาเลิกงานของพนักงานออฟฟิศปกติมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่ดูท่าว่าระบบขนส่งจะไม่สามารถตอบสนองทุกคนได้อย่างเพียงพอ ผู้คนมากมายยังคับคั่งอยู่ในกล่องสีเหลี่ยมใต้ดินสีเทาเหมือนทุกวัน

     

    แปลกหน่อยก็แค่กลุ่มคนที่มุงอยู่ฝั่งริมสุดของสถานีที่ฮีชอลแน่ใจว่ามันไม่เคยมีอะไรน่าสนใจ ถึงจะเวียนหัวกับมนุษย์ที่หลากหลายก็ตามที แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้ฮีชอลเข้าไปจุดรวมสายตาของกลุ่มคนนั้น

     

    เพียงแค่วินาทีเดียวที่ตาคู่สวยมองลอดช่องว่างระหว่างผู้คนไปที่จุดศูนย์กลางของวงกลมมนุษย์ ปรากฎภาพผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนกับกีต้าร์ตัวเก่งในมือ

     

    โอเคชัด นั่นคือปาร์คจองซู และมันกำลังเล่นดนตรีเปิดหมวกกลางสถานีรถไฟใต้ดินโดยไม่กลัวตำรวจจับ!

     

    โอ้ยอยากจะบ้า ไว้เท่าความคิด ฮีชอลรีบหดหัวลงหลบสายตาแพรวพราวของผู้ชายคนนั้น ขาทั้งสองข้างรีบถอยออกห่างวงล้อมตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

    แต่ก็ช้ากว่าปาร์คจองซู

     

    “ฮีชอล!!!!

    ตะโกนทำบ้าอะไรของมันวะ

     

    “เฮ้!! คิมฮีชอล!!!

    “หุบปากนะ!

    “จะไปไหนอ่ะ”

    ข้อมือบางถูกคว้าหมับเอาไว้อย่างรวดเร็ว รอยยิ้มสว่างจ้าปรากฎบนใบหน้าหล่อจัดอย่างไม่เกรงใจคนรอบข้าง ถ้ายิ่งขืนก็จะยิ่งน่าอาย คิดได้ดังนั้นฮีชอลก็หันหน้าไปทักอย่างเสียไม่ได้ รอยยิ้มแกนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเพื่อใช้ตอบสายตาของคนรอบข้างที่มีท่าทีงุนงง

     

    “ไม่ต้องทำตัวเป็นจุดสนใจจะตายมั๊ย ออกมา” ริมฝีปากบางกดเสียงด่า

    “อ้าว งั้นไปคุยที่อื่นก็ได้”

    “ก็ไปสิ”

    “เดี๋ยว!

    “อะไร”

    “ไปเก็บตังก่อน”

    ” ผู้ชายผมสีน้ำตาลทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหันหลังกลับไปหอบกระเป๋าใส่กีต้าร์ขึ้นมา ภายในกระเป๋าหนังสีดำนั้นเต็มไปด้วยเหรียญและธนบัตรหลากสี

     

    สรุปนี่คืออาชีพของปาร์คจองซูงั้นเหรอ

    โอเค ผู้ชายคนนี้มีอะไรให้ตกใจอีกมั๊ย

     

    “เฮ้คุณ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเล่นดนตรีเปิดหมวกนะ แค่ยืนเล่นกีต้าร์ระหว่างรอคุณอ่ะ อยู่ดีๆมีป้าโยนเหรียญใส่กระเป๋าผมเฉยเลย” ร่างหนาเอ่ยขึ้นระหว่างเร่งฝีเท้าเดินตาม

    “หน้าตาคุณดูหิวมั้ง” ฮีชอลแอบกัดเบาๆโดยที่คิดว่าอีกคนคงไม่ได้ยิน ทั้งคู่เดินย้อนขึ้นมาอีกทางที่ผู้คนเบาบางลงหน่อย ก่อนที่คนสวยจะล้วงไอโฟนสีขาวขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้ปาร์คจองซู

    “อ่ะ จะเช็คดูก่อนก็ได้นะ ผมไม่ได้ทำอะไรไอโฟนคุณแน่ๆ สาบาน” เจ้าของโทรศัพท์ในมือรับไปอย่างว่าง่าย ร่างหนาที่สะพายกีต้าร์ตัวโตอยู่กดเข้าไปในอัลบั้มของตัวเองทันที

    “อ่านนี่ยัง” ไม่ถามเปล่า มือใหญ่โชว์หน้าจอให้ฮีชอลดูตรงหน้า

    “ยัง” ร่างบางปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงเมื่อคืนจะนั่งอารมณ์แปรปรวนกับข้อความพวกนั้นอยู่นานสองนานก็เถอะ

    “งั้นเดี๋ยวอ่านให้ฟังนะ”

    “ไม่ ไม่ โอเค ผมอ่านละ อ่านหมด 7 รูปนั้นอ่ะ พอใจยัง” เจ้าของเสียงดุรีบกลับคำ ไม่มีทางยอมให้มันอ่านให้ฟังแน่ๆ มาแค่ตัวอักษรยังขนลุกขนาดนั้น ขืนมาเป็นเสียงฮีชอลคงได้หลอนไปอีกหลายวัน          

    “ขำอะไร” ดูท่าว่าหน้าตายู่ยี่คิ้วขมวดของคนสวยจะทำให้ปาร์คจองซูหัวเราะออกมา

    “เวลาคุณทำท่าหงุดหงิด น่ารักดี”

    “เวลาหายหงุดหงิดก็น่ารัก”

    “ประสาท” คนถูกชมซึ่งๆหน้าสบถออกมาเบาๆ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อเก๊กหน้านิ่งแต่ทว่าไม่ได้ผล

    “ผมซื้อแซนวิชกับนมอัลมอนต์ให้คุณด้วย เพิ่งเลิกงานยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่มั๊ยล่ะ” จู่ๆร่างหนาก็เปลี่ยนเรื่องคุย ถุงกระดาษสีน้ำตาลบรรจุแซนวิชกลิ่นหอมกับนมอัลมอนต์ขวดใส ถูกยื่นให้ไม่ทันตั้งตัว

    “แอบใส่อะไรให้ผมอีกล่ะ”

    “ผมไม่ทำงั้นหรอกคุณ นี่ของกินนะ เพิ่งซื้อเมื่อกี๊นี้เอง” จะให้เชื่อได้ยังไง ขนาดไอโฟนตัวเองยังยัดใส่กระเป๋าคนอื่นมาแล้ว ถ้าบอกว่าปาร์คจองซูยัดแลปท็อปลงมาในแซนวิชฮีชอลยังเชื่อเลย

    “รับไว้เถอะคุณ ผมเป็นห่วกงนะ ไม่อยากให้คุณหิว”

    “ไม่คิดเป็นบุญคุณอะไรด้วย ผมชิลๆไม่ผูกมัด” พูดไปเรื่อย พูดอะไรของมัน

    “ขอบใจแล้วกัน” สุดท้ายฮีชอลก็รับมาอย่างงงๆ อยู่กับผู้ชายคนนี้แล้วเค้ารู้สึกควบคุมไม่ได้ไปหมด เหมือนปาร์คจองซูนึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ดูสนุก ดูมีความสุข อาจจะดูบ้าๆไปบ้าง แต่ลึกๆแล้วฮีชอลก็คิดว่ามันตลกดี เพราะนอกจากเค้าจะคาดเดาและควบคุมคนบ้าตรงหน้าไม่ได้แล้ว เค้าก็ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกตัวเองไม่ค่อยจะได้เหมือนกัน

     

    “ผมไปส่งนะ”

     

    เหมือนพูดไปอย่างนั้น ก็ตัวเองถือวิสาสะก้าวตามร่างบางไปแล้วนี่

     

    “ว่างนักก็ตามใจ” ได้รับเสียงดุๆตอบกลับมาเหมือนเคย แต่ริมฝีปากบางกลับแอบกดยิ้มเล็กๆไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว ภายในตู้โดยสารที่คับคั่งไปด้วยมนุษย์เงินเดือน เด็กมหาวิทยาลัยไปจนถึงป้าแก่ๆ ผู้ชายต่างส่วนสูงสองคนยืนพิงผนังอยู่ที่ช่วงต่อระหวางโบกี้ ชุดแต่งกายที่เนี้ยบกริบของหนุ่มร่างบางคนหนึ่งกับเสื้อยีนส์สบายๆบนร่างหนาของอีกคนหนึ่ง แตกต่างกันจนชวนให้สงสัยว่าบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองนั้นดำเนินไปได้อย่างไร แม้จะดูเหมือนมีแต่ปาร์คจองซูเท่านั้นที่ชวนคุย แต่อีกคนกลับไม่ได้ทำหน้าบูดบึ้งอย่างที่เคย  จวบจนชื่อสถานีถัดไปถูกประกาศขึ้น คิมฮีชอลก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายหลังเตรียมจะลง

    “ผมลงสถานีนี้แหละ ไปละนะ”

    “อีกสองสถานีค่อยลงไม่ได้เหรอ”

    “อยู่ไปคนเดียวเถอะ”

    “เดี๋ยวสิ”

    “อะไรเล่า ประตูเปิดแล้วเนี่ย” คนหน้าสวยหันมาว่า

    “ผมอยากคุยกับคุณอีกนะ”

    ...

    “แค่ลองคุยกันดูนะครับ”

     

    ไอโฟนสีขาวเครื่องเดิมถูกยื่นให้ร่างบางตรงหน้า หน้าจอปรากฎช่องให้พิมพ์ข้อความสั้นๆ ใต้คำว่า ‘Add Friend by ID’ เหมือนที่ฮีชอลปฏิเสธไปเมื่อวาน ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงอะไรมันเปลี่ยนใจเค้าได้เร็วขนาดนั้น แต่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนประตูจะปิด ชื่อสั้นๆก็ถูกพิมพ์ทิ้งไว้บนหน้าจอ

     

    kimheenim

     

    ไม่กี่ตัวอักษรที่คงทำให้ปาร์คจองซูใจเต้นแรงไปอีกนาน

     

     

    |

     

    |

     

     

    อยากจะได้คนนี้เป็นแฟน ก็ฉันนั้นอยากจะได้คนนี้เป็นแฟน

    ถ้าหากได้คนนี้เป็นแฟนก็ดี

     

    ตามนั้นอ่ะครับ

     

     

     

    PJS : นอนยัง เล่นกีต้าร์ให้ฟังเอาป่าว

    Heenim : ยังอ่ะ เล่นดิ

    PJS : ฮีชอลอยากฟังเพลงอะไรครับ

    Heenim : เอาที่พอทนฟังได้

    PJS : แล้วจะเคลิ้ม

    Heenim :  แหยะ -_-

     

    PJS : (voice message)

    Heenim : เห้ย เล่นสองมือไม่ใช่เหรอ เอาอะไรกดค้างไว้อ่ะ

    PJS : นิ้วเท้าไง

    Heenim : …อืม ขอบคุณนะที่พยายาม

    PJS : ฮีชอลก็ยอมเฟสไทม์กับผมซักทีสิ

    Heenim : ไม่  -_-

    PJS : คิดถึงนะ

    Heenim : *read*

    PJS : เซฟดิสฮีชอลมาตั้งหน้าจอเลยนะเนี่ย

    Heenim : *read*

    PJS : ฟังเสียงผมอยู่เหรอ เพราะดิ หล่อด้วยนะ

    Heenim : เบื่อจองซู นอนดีกว่า

    PJS : น่ารักจัง เรียกชื่อผมบ่อยๆนะ

    Heenim : olo

    PJS : ย่อมาจาก our love overload เหรอ

    Heenim : -_-

     

    อีโมติค่อนหน้านิ่งถูกใช้บ่อยจนติดเป็นนิสัย แต่ไม่ใช่กับหน้าจริงของฮีชอลในตอนนี้ ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามือบางแทบไม่วางจากโทรศัพท์ สังคมก้มหน้าที่เคยรำคาญนักหนา ตอนนี้ฮีชอลกลายเป็นสมาชิกอย่างถาวรไปแล้วเรียบร้อย รอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้นทุกครั้งที่โต้ตอบข้อความกับผู้ชายกับกีต้าร์ในดิสเพลย์ คนที่มักจะหน้าบึ้งตึงกลับยิ้มง่ายขึ้นมาซะอย่างนั้น จนคนใกล้ตัวยังอดทักไม่ได้

     

    PJS : ฝันดีนะครับ

     

    แล้วร่างบางก็ผลอยหลับไปด้วยข้อความเดียวกันทุกคืน

     

     

    |

     

    |

     

    ถ้าเธอไม่คิดอะไร ไม่เป็นไร

    อย่างน้อยเธอก็ได้เพื่อนเพิ่มอีกคน

     

    ไม่เป็นไรที่ไหนล่ะครับ อยากได้เพื่อนผมไม่ตามจีบหรอก

    …คนน่ารักมักใจร้าย ไม่อยากจะเชื่อเลย

     

     

    PJS : ฮีชอลตื่นรึยังง

    PJS : (สติ๊กเกอร์หมีบราวน์เต้นระบำ)

    Heenim : จะพักเที่ยงอยู่ละ

    PJS : ผมเพิ่งตื่นอ่ะ

    Heenim : บอกไม

    PJS : ไม่รู้เหมือนกัน อยากหาเรื่องคุยด้วยเฉยๆ :D

    Heenim : ก่อกวน

    PJS : ตั้งใจนะทำงานนะครับ

    Heenim :    : P

     

    “นี่ ยิ้มบ้าอะไรของแกอยู่ได้ หมั่นไส้”

    “อะไรซีวอน เอางานของแกไปเลย สามสี่แฟ้มนู่นอ่ะ” ฮีชอลพยักเพยิดไปที่มุมห้อง แฟ้มสีม่วงมีตราธนาคารประทับอยู่วางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของเจ้าตัว ที่ผิดจากนิสัยไปมากๆก็คงเป็นรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่คนหน้าสวยหลุดออกมาบ่อยๆเวลาก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์นั่นแหละที่ทำให้เพื่อนสนิทได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย

     

    “คุยกะผู้อีกแล้วใช่มะ” ผู้ชายร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้าง บุคลิกดี หุ่นปัง กล้ามแน่นชำเลืองมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าม่านเกล็ดทุกฝั่งปิดสนิทดีแล้วจึงได้บรรจงกรีดนิ้วเท้าศอกลงบนโต๊ะของเพื่อนสนิท

    “ยุ่งไรเล่า”

    “เบื่อมากกกก ชั้นก็สายแต่งบอยทำไมไม่ได้บ้างวะ” ริมฝีปากเรียวที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อระดับนายแบบตัวท๊อปเชิดขึ้นอย่างไม่พอใจ

    “ว่างนักก็ไปจิกจากฟิตเนสไปมึงอ่ะ”

    “อีนี่ ปากหมาอย่างมึงนี่มีคนมาจีบได้ยังไงวะ” ชเวซีวอนยืดตัวขึ้นตรง ก่อนจะเท้าเอวมองเพื่อนตัวเองอย่างมีจริต หมั่นไส้ ดูมัน ขนาดคุยกันยังไม่เงยหน้าออกจากผู้ชายในโทรศัพท์ นังงูพิษ

    “แต่พูดจริงๆนะ กูไม่น่าเล่นกล้ามเลยอ่ะฮีชอล มีแต่รับมาจีบ คือกูก็รับมะ แหกตาดูหน่อยสวยขนาดนี้ คือซีก็เครียด” สรรพนามเรียกแทนตัวเองของเพื่อนทำให้ฮีชอลหลุดขำ

    “มาซงมาซีอะไรมึง หยุดแบ๊วใส่กู นี่ในบริษัทนะ มึงต้องแอ๊บ”

    “ชั้นก็อึดอัดนะแก” 

    “มึงเป็นผู้ชาย” เสียงดุๆพูดประโยคสะกดจิตใส่เพื่อน ออกจะขำๆที่ท่าทางกระเง้ากระงอดแบบนั้นออกมาจากรูปร่างสมส่วนดูดีไร้ที่ติแบบที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝันจะมี และผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันจะครอบครอง แต่ก็ต้องเสียใจกับสังคมหิวคนหล่อด้วยที่ซีวอนเป็นหนึ่งในสมาชิกวีไอพีของฟิตเนสสีม่วงที่รุ่งเรื่องที่สุดแห่งยุค ถึงฮีชอลจะมีรสนิยมทางเพศเบี่ยงเบนไปทางเดียวกับซีวอนก็ตาม แต่สาบานได้ว่าเค้าไม่เคยเฉียดใกล้ฟิตเนสนั้นแม้แต่ครั้งเดียว

     

    ขออยู่สงบๆเถอะ

     

    “โอเค ไปทำงานละ” ผู้ชายภูมิฐานในชุดสูทคนเดิมกลับมา ชเวซีวอนบิดคอเล็กน้อยเพื่อคลายเส้นด้วยองศาเดียวกับนายแบบโฆษณา ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารแนบอกเดินออกจากห้องไปด้วยท่วงท่าสง่างามราวผู้บริหารระดับสูง

     

    “เออลืมถาม เย็นนี้กลับพร้อมชั้นป่ะ” ใบหน้าหล่อสะอาดของซีวอนโผล่กลับเข้ามาอีกครั้ง ทำฮีชอลชะงักไปเล็กน้อย ตาคู่สวยเหลือบมองกองแฟ้มเอกสารที่ต้องแบกกลับบ้านวันนี้แล้วก็ถึงกับนิ่วหน้า

    “คงงั้นแหละ ของเยอะ”

    “โอเคๆ”

     

     

     

    |

     

    |

     

     

     

    Heenim : วันนี้ไม่ได้กลับใต้ดินนะ

    PJS : อ้าว ฮีชอลไม่ได้ไปทำงานเหรอ

    Heenim : วันนี้แฟ้มงานเยอะอ่ะ ขี้เกียจแบก

    PJS : ผมไปช่วยแบกได้นะ

    Heenim : ไม่เป็นไร มีคนช่วยแล้ว

     

     

    ร่างบางพิมพ์ตอบไปอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้คิดอะไร ทว่าอีกฝ่ายที่ได้รับข้อความกลับขมวดคิ้วยุ่งด้วยความไม่พอใจ ไอ้คำว่ามีคนช่วยแล้วนี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมปาร์คจองซูรู้สึกเหมือนกำลังถูกแทรกด้วยบุคคลที่สามขึ้นมาแบบกระทันหัน ทั้งที่สามอาทิตย์ที่ผ่านมาเค้าก็ไปรอรับฮีชอลที่บริษัท แล้วนั่งรถไฟไปส่งที่บ้านทุกวัน ทุกอย่างเหมือนกำลังจะไปได้ด้วยดี แต่วันนี้ร่างบางจะกลับกับใครก็ไม่รู้ มีอะไรที่เค้ายังไม่รู้อีกรึเปล่า เป็นแค่คนที่คุยๆกันมันก็กังวลไปหมดอย่างนี้

    เจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะไม้ดีไซน์สไตล์โมเดิร์นสีขาวสะอาด ขาทั้งสองข้างก้าวผ่านห้องทำงานเพดานโปร่งที่ตกแต่งด้วยเครื่องดนตรีหลากชนิดที่เจ้าตัวโปรดปราน นมแอลมอนต์ขวดใสถูกหยิบออกจากตู้เย็นที่ห่างออกไปไม่ไกล โฮมออฟฟิศของปาร์คจองซูสะดวกสบายเสมอทั้งในด้านการใช้ชีวิตและการทำงานเป็นทั้งโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงของตนเอง ร่างหนาเดินผ่านห้องอัดเสียงที่ชั้นล่างมายังรถ BMW Z4 สีขาวคันงามของตัวเองที่พักนี้ไม่ค่อยได้ใช้งาน ใครจะไปนึกว่าผู้ชายนิสัยล้นๆคนนึงจะมีอาชีพการงานมั่นคง ขนาดตอนที่เล่าถึงงานที่ทำให้ฮีชอลฟังฝั่งนั้นยังสงสติ๊กเกอร์กระต่ายโคนี่หน้าช็อคกลับมาอย่างไม่เชื่อ

    ร่างบางคิดว่าปาร์คจองซูหากินด้วยการเล่นดนตรีเปิดหมวกและล้วงกระเป๋าคนบ้างเป็นครั้งคราว

    ทำไมใจร้ายนัก

     

                “ทำไมวันนี้ขับรถออกไปล่ะมึง คนที่รถไฟใต้ดินอ่ะจีบติดแล้วเหรอ” เพื่อนร่วมงานเอ่ยทัก

                “เค้าจะกลับกะคนอื่นอ่ะดิ”

                “อ้าว เอาละพี่จองซูของกูจะแห้วแดกอีกหรือไม่”

                “สัดคยูฮยอน ปากหมา กูรีบไปก่อน”

                “เออๆโชคๆ”

               

    ถึงไม่ได้เตรียมใจว่ามีคู่แข่งก็เถอะ อย่างน้อยก็อยากรู้นี่นาว่ากลับกับใคร

     

     

     

    |

     

    |

     

     

     

                20.15 PM

     

                ถ้าย้อนไปหาตัวเองตอนสองชั่วโมงก่อนได้ ปาร์คจองซูจะบอกให้ตัวเองไปนั่งฟังเด็กอัดเสียงยังจะดีกว่ามาโผล่ที่นี่ ร่างหนายืนพิงหลังกับเสาป้ายจราจรบนฟุตบาทถนน ยืนรอมาได้ซักพักแล้ว พร้อมกับนมแอลมอนต์ในมือ เอาจริงๆแล้วโอกาสมันก็น้อยมากที่จะรู้ว่าฮีชอลออกมากับรถคันไหน ถ้าไม่บังเอิญว่าร่างที่คุ้นเคยนั่นจะเดินออกมาขึ้นรถทางประตูหน้าธนาคาร พร้อมกับผู้ชายร่างสูงที่ดูดีระดับดาราข้างกายคอยช่วยถือแฟ้มงานกองใหญ่ให้ ทั้งคู่ขึ้นรถสปอร์ตสีดำ ที่จอดอยู่ข้างๆ BMW ของปาร์คจองซูนั่นแหละ

                เจ้าของใบหน้าขี้เล่นที่บัดนี้ไม่เหลือรอยยิ้ม มองภาพตรงหน้านิ่งๆ ก่อนที่จะก้าวข้ามถนนไปหารถคันนั้นทันทีที่ทั้งสองคนเข้าไปนั่งอยู่ในรถเรียบร้อย ทั้งที่ในหัวไม่มีแผนรับมือสำหรับการอกหักแบบสายฟ้าฟาดนี้แม้แต่นิด

     

                ก๊อกๆ

     

                ปาร์คจองซูเคาะเรียกที่หน้าต่างเคลือบฟิล์มใสเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองหน้าผู้ชายสองคนในรถด้วยรอยยิ้มที่ปรุงแต่งขึ้นมา คนหนึ่งมีแววงุนงง ส่วนอีกคนจ้องหน้าเค้าอึ้งๆด้วยความแปลกใจ

     

                “คุณ” มีเพียงแค่คำเดียวที่หลุดออกมาจากปาก เอาจริงๆแล้วปาร์คจองซูไม่รู้จะพูดอะไรด้วยซ้ำ แต่ทว่ามาขนาดนี้แล้วก็ควรถามให้มันรู้เรื่องไปเลยดีกว่าสรุปอะไรๆไปเองเหมือนพวกพระเอกหน้าโง่ในนิยาย

                “คุณ เป็นแฟนกันเหรอ”

                เกิดเดธแอร์ที่เงียบสนิท คิมฮีชอลหยิกเข้าที่ต้นขาเพื่อนสนิททันที หวังจะให้ซีวอนช่วยแอ๊บแมนเอาไว้แล้วช่วยแก้ไขสถานการณ์

                แต่ดูเหมือนผู้ได้รับสารจะพลาดไป

     

                “Me? , yes we’re dating”

                “พูดภาษาอังกฤษทำไมวะ”

                “Why did you ask me that? Who are you?” ร่างเล็กที่นั่งอยู่อีกฟากช็อคสนิทกับบทบาทของเพื่อนสาวตัวเอง อยากหาอะไรอุดปากให้มันหยุดพูด แต่ไอ้เพื่อนไม่รักดีก็ยังตีบทแตกต่อไปอยู่ได้

                “ปาร์คจองซู you know? ปาร์คจองซู”

                “No, could you please get away from my car? We’re going to see the movie”

                “มูฟวี่ไรวะ นี่จะไปดูหนังกันเหรอ”

                “เห้ย เปล่านะ” ฮีชอลรีบปฏิเสธ

                “Sure! Boyfriend you know? Boyfriend?”

                “อ๋อ เออ บอยเฟรนด์โอเคครับฮีชอล โอเค” ใบหน้านิ่งๆของปาร์คจองซูพยักหน้าเบาๆ ถึงจะงงกับผู้ชายหน้าตาเหมือนคนชาติเดียวกันแต่พ่นภาษาอังกฤษใส่รัวๆก็เถอะ แต่ก็ถือว่าพอจะเข้าใจ คนระดับฮีชอลก็คงไปได้ดีกับคนระดับเดียวกันในสังคมของเค้าล่ะมั้ง ถ้าจะแปลกก็คงเป็นปาร์คจองซูเองที่มาเคาะกระจกหาเรื่องคนอื่นเค้าทำไมก็ไม่รู้

     

                “ขอโทษแล้วกัน sorry ขอให้ดูหนังให้สนุก” พูดได้แค่นั้น ก่อนที่ผู้ชายใจช้ำๆจะเดินคอตกกลับไป ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองสายตาของฮีชอลด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่ามันจะมีแต่ความเย็นชาเหมือนทุกที ทั้งที่ปกติเค้ารู้สึกชินเสียแล้วกับการโดนมองด้วยสายตานิ่งๆแบบนั้น แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกเข้าใจ ปาร์คจองซูคงไม่เคยเข้าไปใกล้ที่ข้างๆตรงนั้นของฮีชอลได้เลย

     

                เพลงอกหักต้องมาแล้วล่ะจังหวะนี้

     

     

    |

     

    |

     

     

     

    “เหี้ย ซีวอน มึงไปแกล้งเค้าทำไม แรงมาก” ฮีชอลโวยวายทันทีที่เพื่อนสนิทรางวัลตุ๊กตาทองของตัวเองเหยียบคันเร่งบึ่งรถออกมา

    “เอ้าอีดอก ก็มึงหยิกต้นขากู ก็นึกว่าให้ช่วยไล่”

    “ช่วยไล่ตอนไหน!

    “ก็เห็นปกติมีคนเข้ามาจีบก็ให้กูแกล้งเป็นผัวฝรั่ง เป็นไม้กันหมาไม่ใช่เหรอ”

    “บ้านมึงสิ กูแค่จะส่งซิกให้ว่าคนนี้แหละที่เล่าให้ฟัง” ฮีชอลยกมือขึ้นตบหน้าผาก อยากจะบ้า ไอ้ที่พูดมามันก็ใช่ ที่ผ่านมาก็เคยใช้เพื่อนตัวเองกันคนที่เข้ามาจีบหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ใช่คนนี้ไงล่ะ โอ้ยปวดหัว

    “คนที่มึงก็อยากได้เค้า แต่ทำเป็นเล่นตัวอ่ะนะ”

    “อะไร กูก็แค่สนใจนิดหน่อย”

    “หน่อยเหรออีดอกกก คุยกันทั้งวี่ทั้งวัน อี-“

    “หยุด! สามนาฬิกา รถข้างๆ เด็กใหม่ฝ่ายบัญชีที่มึงเล็งไว้ แอ๊บ!”

    “อะแฮ่ม…โอเค เออเมื่อกี๊ว่าไงนะ” ซีวอนยืดคอตรงเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต เหลือบมองรถคันข้างๆ คนขับเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่แอบเล็งเอาไว้

    “ก็ไม่ยังไง มึงแค่ไปทำตุ๊ดแตกใส่เค้าพร้อมกู เคลียร์ว่ามึงไม่ใช่”

    “เพื่อ!”

    “ป่านนี้แม่งคิดว่ามึงเป็นผัวกูไปแล้ว มึงต้องรับผิดชอบ”

    “แหมอีฮีชอล ทำเป็นขรึมทำเป็นแมน สุดท้ายก็กลัวนก”

    “อย่าพูดมาก” ร่างบางตัดบท พ่นลมหายใจออกมาหนักๆเมื่อนึกถึงใบหน้านิ่งๆของปาร์คจองซูเมื่อครู่ ฮีชอลไม่เคยเห็นผู้ชายขี้เล่นคนนั้นแสดงสีหน้าจริงจังมากๆมาก่อนจนนึกกลัว นี่มันเข้าใจผิดระดับร้ายแรงแล้ว คิดได้อย่างนั้นมือเล็กก็รีบหยิบไอโฟนเครื่องบางขึ้นแล้วรัวไลน์ใส่อีกฝ่ายทันที

     

    Heenim : เมื่อกี๊ไม่ใช่แฟนนะ เพื่อน

    Heenim :  มันแกล้งเฉยๆ ไม่มีไรจริงๆ

                  Heenim : นี่ อย่าเงียบดิ

     

                สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมาฮีชอลไม่เคยรู้สึกกระสับกระส่ายกับการรอข้อความตอบกลับเท่านี้มาก่อน แต่ผ่านไปเกือบสามนาที สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าเจอมีเพียงแค่

     

                *read*

     

                …เกลียดคำนี้ที่สุดในโลก

     

                “ซีวอน ไม่โอเคว่ะ” เมื่อปาร์คจองซูไม่สนใจ ก็หันไปเหวี่ยงตัวต้นเหตุข้างๆอย่างหงุดหงิด

    “อะไร”

    “จองซูอ่ะ ขึ้น read ทุกข้อความแล้ว ไม่ตอบกูเลย”

    “ใจเย็นดิ”

    “เย็นบ้าไร งอนกูหนักแน่ แม่ง มึงคนเดียวเลย”

    “ชอบเค้า?”

    “มั้ง!”

    “อี๊ ดัดจริตปากแข็ง เบื่อออออ” ชเวซีวอนเบ้ปากก็จะเหลือบตามองบน

    “ซีวอน มึงกลับรถ”

    “อะไร แยกข้างหน้าก็คอนโดมึงแล้วนะ”

    “กลับไปหน้าบริษัทอ่ะ เนี่ยเค้าไม่รับสายด้วย นะๆกลับๆๆ” ร่างบางโวยวายไปหมด ถึงขนาดกดโทรออกไปหาเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันแล้ว ปาร์คจองซูก็ยังไม่รับสาย

    “เออๆ อีบ้า เป็นอะไรของมึงเนี่ย”

    “จองซูไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา ปกติแม่งต้องตามง้อกูอ่ะ มึงดู read แล้วไม่ตอบเป็นพรืดเลยเนี่ย”

    “ทำตัวเป็นชะนีว้าวุ่น”

    “กลับรถโว้ย!”

    “รอยูเทิร์นสิอีดอกกก”

     

     

                เอี๊ยดด…

     

                ไม่ถึงสิบนาทีซีวอนก็เหยียบมิดพาทั้งคู่กลับมาที่จุดเกิดเหตุ นึกขอบคุณที่ร่างหนาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว มองเห็นในระยะสิบเมตรให้อุ่นใจว่าปาร์คจองซูยังเดินวนๆอยู่ไม่ไกล

     

                คิมฮีชอลตรวจเชคสภาพตัวเองผ่านกระจกมองหลังให้เรียบร้อย ก่อนจะลากเพื่อนสนิทฝั่งคนขับให้ตามลงไปด้วยโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของชเวซีวอน

     

                “จองซู”

               

                “ปาร์คจองซู”

                “กลับมาทำไมอ่ะ ลืมตั๋วหนังเหรอ”

                “หนังบ้าอะไรล่ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นอ่ะ นี่ก็ไม่ใช่แฟนผมด้วย”

                “ไม่ใช่แล้วทำไมต้องไปส่งกันล่ะ”

                “ก็มันมีรถนี่ บอกแล้วไงว่าวันนี้ของเยอะ”

                “ผมก็มีรถอ่ะ”

                “ไม่บอกแล้วใครจะไปรู้เล่า!”

                “โหยมึง ขับ Z4 รวยกว่ากูอีก”

                “ใช่เวลามั๊ยอีซีวอน”

               

    “เออเนี่ย ไม่ใช่แฟน เป็นเพื่อน เป็นตุ๊ดด้วย”

    “หวัดดีค่ะ” ร่างสูงจิกเสียง ก้มไหว้อย่างมารยาทงาม ผิดกับท่าทางเมื่อสิบนาทีที่แล้วลิบลับจนเหยื่อที่ถูกหลอกอ้าปากค้างด้วยความช็อคสนิท

    “เป็นเพื่อนกันอ่ะ โอเคเนอะ”

    “เป็นไงล่ะ” ฮีชอลกอดอก คงจะตายตาไม่หลับแน่ถ้าต้องเสียว่าที่แฟนไปเพราะนึกว่าเพื่อนสาวอย่างซีวอนเป็นผัว ขอตายดีกว่า

    “ก็ โอเค”

    “ทีนี้ ซีวอนมึงกลับรถไป”

    “หมดประโยชน์แล้วก็ไล่กูเชียว”

    “เออ ไปก่อนๆ” ร่างบางดันไหล่ ไม่รู้ว่าตัวเองติดลูกบ้ามาจากจองซูหรือยังไง แต่ตอนนี้ในหัวมีแต่รอยยิ้มกวนประสาทนั่นเต็มไปหมด คิดถึงแล้ว กลับมายิ้มแบบเดิมได้มั๊ย ทำยังไงก็ได้

     

    “ยังโกรธอะไรอยู่”

    “ไม่โกรธแล้ว”

    “แล้วทำไมไม่ยิ้ม”

    “ฮีชอลชอบให้ผมยิ้มเหรอ”

    “ใช่” ถามตรงๆก็จะตอบตรงๆแล้ว ติดนิสัยไอ้บ้าเนี่ย

    “แต่ผมยิ้มเองไม่ได้”

    “ต้องให้หาอะไรมาแหกปากรึไงเล่า”

    “ผมยิ้มเพราะฮีชอล” ประโยคสั้นๆที่ทำให้อีกคนเผยอปากค้าง สาบานได้ว่านัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นไม่มีแววล้อเล่นอย่างที่เคย

     

    “ก็ เอ่อ”

    “ฮีชอล ชอบผมบ้างรึยัง”

    “ซักนิดนึงก็ได้ ชอบผมบ้างมั๊ย”

    “ประสาท”

    “ใช่ผมประสาทมากๆเพราะผมคิดว่ายังไงฮีชอลก็คงไม่ชอบผม” เค้าก็ทำเสียงดุไปอย่างนั้นเป็นนิสัยน่ะแหละ เข้าใจกันหน่อยสิ

     

    “แบบ อยากเป็นดาราต้องเล่นละคร อยากมีแฟนเป็นฮีชอลต้องทำยังไง” เกือบ... เกือบโรแมนติกละ

    จะพังเพราะมุขแบบนี้นี่แหละ เงียบไปเลย”

                “…นั่นไง ไม่ชอบจริงๆ” ปาร์คจองซูแค่นขำออกมา เค้าแค่อยากให้ฮีชอลหัวเราะบ้างเท่านั้นเอง

     

                “เมื่อกี๊ทำไมไม่รับสาย ทำไมไม่ตอบไลน์” พอนึกขึ้นได้แล้วมันก็หงุดหงิด ถ้าไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นก็ควรจะตอบกันบ้าง คนรอมันจะเป็นบ้าอยู่แล้วเข้าใจมั๊ย

                “ก็ถือของเต็มมือเลย เปิดอ่านแต่พิมพ์ตอบไม่ได้” ปาร์คจองซูชี้ไปที่ถุงซุปเปอร์ที่วางพักไว้บนเก้าอี้สาธารณะข้างๆ ของสดจำนวนหนึ่งอัดอยู่ในถุง

                “ซื้อมาเผื่อทำอะไรให้ฮีชอลทานตอนกลางวัน เดี๋ยวจะเพิ่มเวลามาหา กลัวโดนคนอื่นแย่งไป”

                “” ได้ยินเข้าอย่างนั้นร่างบางก็ถึงกับพูดไม่ออก ถ้าถามว่ารู้สึกดีมั๊ยก็พูดได้เลยว่ามาก ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผู้ชายสติไม่ค่อยดีคนนี้ขยันเข้าหา ขยันแทคแคร์เค้านักทั้งที่คิมฮีชอลไม่ใช่คนน่ารักเอาซะเลย เป็นคนอื่นคงหนีหายไปตั้งแต่โดนเมินใส่ครั้งแรกแล้ว

                “ทั้งดื้อทั้งด้านเลยนะคุณเนี่ย” แทนคำขอบคุณในแบบของฮีชอลล่ะมั้ง

                “หล่อด้วยนะ” ก็มันเป็นซะแบบนี้

               

                “ยังไม่ตอบเลย ว่าฮีชอลเริ่มชอบผมบ้างรึยัง”

                “ไม่อยากตอบ” เจ้าของใบหน้าสวยเลิกคิ้วตอบอย่างกวนๆ ไม่รู้ว่าตัดสินใจดีรึยัง เหตุผลก็หาไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าใจไปทางไหน ก็บอกได้เลยว่าชี้ไปที่คนข้างหน้า

     

                “จนกว่าจะถามอย่างอื่นบ้าง”

     

                “อย่างเช่น

     

     

                “เป็นแฟนกันมั๊ย”

     

                “เป็น” ปาร์คจองซูพยักหน้าทันที ทำเอาคนถามอยากจะกัดลิ้นตาย

                “ไม่ได้ถาม! หมายถึงว่าให้จองซูเป็นคนถามต่างหาก”

                “ซับซ้อนจังเลยอ่ะ” บทจะซื้อบื้อก็ซื้อบื้อหรือแกล้งกันนะปาร์คจองซู

                “คนจีบต้องเป็นฝ่ายขอไง ขอดิ”

                “ได้ ฮีชอล เป็นแฟนกันมั๊ย”

                “…อือ เป็น”

                ประโยคถามตอบสั้นๆที่ได้ข้อสรุปง่ายดายเหลือเกิน ถามว่าโรแมนติกมั๊ยก็คงจะห่างไกล แต่ถามว่าเขินมั๊ย มองหน้ากันก็รู้เลยว่ามาก นึกตลกที่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่มัดมือชก แต่บทสรุปก็เฉลยอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนทั้งคู่ให้เห็นชัดๆแล้ว

     

                “ถ้าเหนื่อยก็ต้องพัก ถ้าอยากมีแฟนน่ารักต้องชื่อจองซู”

                “ปาร์จองซู!!

                เห็นอนาคตเลยว่าฮีชอลคงต้องเหนื่อยใจไปอีกนาน

     

     

    FIN

     

     

     

     

    |

     

    |

     

    (Siwon’s special)

     

     

     

     

                “ฮยอกแจ เห็นซีวอนมั๊ย”

                “ไปประชุมบอร์ดครับพี่ เห็นว่ามีระดับเอ็มดีมาดูงานจากต่างประเทศ”

                “อ๋อ” รางบางลากเสียงยาว ไอ้ที่ไลน์มีระริกระรี้อยู่เมื่อวานคงเป็นประชุมนัดนี้ล่ะมั้ง หลังจากนกจากเด็กใหม่ฝ่ายบัญชี อยู่ดีๆเกิดเปลี่ยนสเปคไปชอบหนุ่มใหญ่ซะอย่างนั้น

                “งั้นพี่ฝากงานให้มันหน่อยล่ะกันนะฮยอกแจ”จะได้ออกไปกินข้าวกับจองซูซักที

                “ได้ครับ”

     

     

                Meeting room

     

                “มีเอ็มดีจากสาขาฝั่งไทยจะมาดูงาน ฝากด้วยล่ะกันนะคุณซีวอน”

    “ได้ครับ ไม่มีปัญหา” พนักงานฝ่ายมาร์เก็ตติ้งหนุ่มไฟแรงก้มหัวให้ผู้บริหารอย่างน้อบน้อม

     

    “How do you do?"

    “How do you do? I’m Choi Siwon.” รอยยิ้มเป็นมิตรที่ถูกหยิบยื่นให้หวังสร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน

    "Mr.Choi, nice to meet you ” มือหนายื่นไปข้างหน้าเพื่อเชคแฮนด์ตามมารยาท

    “It’s ok to call me Siwon, just Siwon, and you?”

     

    “Ok Mr.siwon, I’m Sorrayuth”

     

     

     

     

     

    END

     

     

     

     

     

     

     

     

    จบโหดมาก

                เราขอโทษจริงๆสำหรับซีวอน55555555 ห้ามตัวเองไม่ได้ มือไม้สั่นไปหมด รู้สึกว่าอาการมุขเสี่ยวเล่นสดของพี่จองซูเบาไปเมื่อเจอยุทธ์วอน ร้องไห้5555

                ฟิคระบายอารมณ์บ้าๆช่วงนี้ พลอตไม่มีก็ช่างมันเถอะ ชอบพี่จองซูเสี่ยวๆ นึกอยากแต่งตอนดูคอน พี่ทึกร้อง lost stars เท่มากๆ เท่โคตรๆ หล่อสุดในปฐพี เหมาะสมเป็นพระเอกฟิคโรแมนติก

                แล้วดูออกมาเป็นฟิคแบบนี้…  

                ยังไงขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนาาา

                #Stranger83linefeatsiwon

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×