ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Daddy Rock Legs สะดุดรักคุณพ่อขาร็อค {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #11 : ϟ chapter 8.1 (special part)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.32K
      28
      23 พ.ย. 57

     

    DADDYROCKLEGS

     

    [CHAPTER8.1]

     

     

     

    ผ่านมานานแล้ว

     

     

    . . . . .

     

     

    อันที่จริงความบันเทิงของเด็กประถมวัยแปดขวบมันก็มีไม่ได้เยอะแยะซักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ไม่รู้ทำไม๊...ความบันเทิงของแบคฮยอนนั้นไซร้ ต้องไปคาบเกี่ยวกับไอ้พี่ชานยอลคนเท่แห่งหมู่บ้านโคกกะเทินแม่งซะทุกอย่างเลย

     

     

    ด้วยเหตุผลข้างต้น เด็กน้อยบยอนแบคฮยอนจึงคอยตามติดพี่ชายข้างบ้านประหนึ่งปลิงควายที่สร้างความรำคาญได้มากพอๆกับพวกยุงจังไรที่ชอบบินข้างหู

     

     

    “พี่เลี่ยอ่า ไปร้านเครื่องเขียนที่ตลาดเป็นเพื่อนหน่อย”

     

     

    เปรตตตตตตตสิ

     

     

    เจ้าของชื่อที่ยังขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ผ้าผมถึงกับหลุดสบถคำหยาบคาย นี่มันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่แสนจะมีค่าของเขาเลยนะเว้ย แล้วมันใช่เรื่องมั้ยที่ไอ้เด็กกระโปกลูกอาซ้อข้างบ้านต้องขึ้นมาปลุกเขาถึงบนห้องด้วยเหตุผลโง่ๆเนี่ย

     

     

    “อยากไปก็ไปเองดิวะ ง่วง! จะนอน!” ว่าแล้วก็ทำเสียงดังไปอย่างไม่นึกจะรักษาน้ำใจคนเด็กกว่า แต่พอเห็นมันเงียบไปเท่านั้นล่ะครับ ความรู้สึกผิดก็คืบคลานจนต้องยอมโผล่กบาลออกมาดู...เอาเถอะมึงชนะแล้วแบคฮยอน

     

     

    “ไปคนเดียวไม่เป็นไง๊” ถามเชิงบ่นกระปอดกระแปด เห็นไอ้เด็กตาตี่มันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงข้างๆเขา แก้มงี้กลมบ๊อก ผมหน้าม้าที่ตัดจนเต่อเลยคิ้วบางๆยิ่งทำให้เปี้ยนป๋ายเซียนตัวป่วนดูตลกไปกันใหญ่...เด็กบ้าอะไรหน้าตาโคตรเด๋อ

     

     

    “เป็น แต่กลัวไอ้เสือมันกัด” แล้วดูมันตอบ เสียงนี่หงอยยังกะจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ใครจิ้นไว้ว่าบยอนลูกแม่ฮุยเวอร์ชั่นมินิแม่งซ่าสั่นๆนี่ขอให้เปลี่ยนความคิดใหม่เสียบัดนาว ไอ้บยอนป๋ายตอนเด็กนี่งอแงงุ้งงิ้งกระตุ้งกระติ้งยังกะตุ๊ดลูกเจี๊ยบ ไม่รู้ใครเอาอะไรไปฝังหัว มันถึงได้เชื่อว่าตัวเองเป็นเด็กแสบเจ้าถิ่น โถๆๆ

     

     

    “ถ้ามันอยากกัดนัก ก็ให้มันกัดไปซักทีเหอะปะ” เผื่อไอ้หมาเฝ้าตลาดที่ชื่อเสือโคร่งจะได้เข็ดรสชาติตูดอ้วนๆของไอ้เด็กป๋ายจนเลิกตามราวีให้ภาระมันมาตกที่

    ปาร์คชานยอลซักที นี่แทบจะก้มลงไปกราบขอร้องหมาอยู่ละ

     

     

    “น้าพี่เลี่ยน้าา ไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ” ไม่พูดเปล่าครับ มือเล็กสองข้างยังสอดเข้ามาใต้ผ้าห่มแล้วเริ่มปฏิบัติการเอาอกเอาใจ คลึงๆทุบๆอยู่ที่หัวไหล่จนคนพี่คราง

    ฟินออกมาอย่างบอกไม่ถูก

     

     

    “เออตรงนั้นแหละ แรงๆหน่อย อ่าห์” ออกคำสั่งพลางตวัดเอาผ้าห่มออก จะได้ง่ายต่อการนวดคลายเส้น แบคฮยอนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่ากำลังถูกคนแก่กว่าหลอกใช้ ก็เดินเข่าเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้ขาเกี่ยวขึ้นมานั่งคร่อมบนแผ่นหลังกว้างแล้วระดมกำปั้นเล็กทุบไปที่กระดูกสะบักทั้งสองข้าง

     

     

    “เมื่อวานพี่เลี่ยไปซ้อมปิงปองมาหรอ” เด็กมือนิ่มถามเสียงเนือย คงเพราะแอร์ห้องเขาเย็นเกินไปละมั้ง เดาว่าอีกเดี๋ยวเปี้ยนป๋ายเซียนตัวแสบจะต้องคอพับเอาหน้ามาซบหลังเขาแน่ๆ

     

     

    “อือ อีกไม่กี่วันต้องไปแข่งแล้ว”

     

     

    “ที่โรงเรียนชายล้วนนั่นใช่มะ”

     

     

    “ช่ายย” ชานยอลตอบเสียงยานคาง อารมณ์ง่วงยังติดค้างอยู่ ยิ่งมีอะไรนุ่มๆยวบๆมานัวเนียแบบนี้ นับหนึ่งไม่ถึงสิบมีหวังได้เข้าฌานไปเฝ้าพระอินทร์อีกชัวร์ป๊าบ

     

     

    ซักพักไอ้แสบก็เริ่มเข้าสู่โหมดสโลว์โมชั่น กำปั้นไซส์มินิทำงานช้าลง จนในที่สุดป๋ายเซียนที่อายุน้อยกว่านักเรียนมัธยมต้นอย่างเขาอยู่หลายปี ก็ไถลตัวลงนอนแบนไปกับแผ่นหลังกว้าง ลำบากให้เขาต้องดึงลงมาและพลิกให้มันมานอนดีๆอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

     

     

    และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วชานเลี่ยก็ขี้เกียจจะนับ รู้เพียงแต่ว่าเขาชินเหลือเกินกับการที่เด็กตัวกะเปี๊ยกนี่เข้ามาปลุกและพลอยหลับไปด้วยกัน บยอนแบคฮยอนหรือเปี้ยนป๋ายเซียนเป็นน้องชายข้างบ้านตัวแสบของเขา เป็นลูกกระจ๊อก เป็นลูกสมุน แล้วก็ยังเป็นคนที่เขาไว้ใจและสนิทใจที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย

     

     

    “ป๋ายเซียนอ่า” พี่คนโตเรียกเบาๆเป็นการทดสอบสติสัมปชัญญะของน้องเล็ก เจ้าของชื่อไม่ตอบรับอะไร ศีรษะทุยเขยิบขึ้นมาหนุนที่แขนของชานยอล แก้มนุ่มวางนาบเข้ากับแผ่นอก

     

     

    “ไอ้แสบเอ๊ย...” ว่าเข้าให้อย่างนั้น ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยอีกคน

     

     

     

     

    กว่าจะได้สติก็ปาไปเกือบเที่ยง ไม่รู้แม่เข้ามาปิดแอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตื่นขึ้นมานี่ตัวเหนียวเป็นกาวด้วยกันทั้งคู่ คนน้องดูจะโอเคกว่าหน่อยเพราะอาบน้ำไปรอบนึงแล้วก่อนมาปลุกคนพี่ แต่คนพี่นี่เน่ามาตั้งแต่ซ้อมกีฬาเมื่อคืน หมักดองไว้กะจะทำปลาเค็ม

     

     

    “ทำไมชอบแก้ผ้าก่อนถึงห้องน้ำวะ ม่านก็ไม่ได้ปิด บ้านอื่นเขามองมาก็เห็นหมดพอดี” ชานยอลเอ็ดน้องชายเมื่อหันไปอีกทีไอ้เด็กแสบก็ล่อนจ้อนรอให้เขาพาไปอาบน้ำแล้ว ก็รู้อยู่หรอกว่าน้องมันยังเด็ก ไม่ได้มีอะไรน่าพิศมัยให้จดจ้อง แต่ก็กลัวมันติดเป็นนิสัยไง โตขึ้นไปขืนทำงี้ก็ชิบหายกันพอดี ...เออแต่จริงๆไอ้ป๋ายมันก็ผู้ชายเนอะ จะไปห่วงอะไรมากมาย เฮ้อออช่างเถอะขี้เกียจคิด

     

     

    ชานยอลหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่า ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ จนแบคฮยอนต้องรีบวิ่งตามไปต้อยๆ มาถึงก็ทำตัวเป็นนกรู้ เปิดน้ำใส่อ่างเสร็จสรรพ รู้หมดทุกซอกทุกมุมว่าเขาเก็บสบู่,แชมพู ไว้ตรงไหน แถมยังถือวิสาสะกระโดดลงอ่างคนแรกอีกต่างหาก

     

     

    ชานยอลมองหยดน้ำที่กระเซ็นออกมาเปียกพื้นข้างนอกแล้วถึงกับหงุดหงิด “ปิดม่านซักทีมันจะตายมั้ยห๊ะ!” ว่ากระทบไปอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลงมือแปรงฟันตรงอ่างล้างหน้า ปล่อยไอ้เด็กแสบมันตีน้ำป๋อมแป๋มเล่นเป็ดของมันไปคนเดียว

     

     

    พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยถึงได้ฤกษ์ตามลงไปแช่น้ำ แบคฮยอนเขยิบแบ่งพื้นที่ให้อย่างรู้งาน ก่อนจะแหวกกระแสน้ำมานั่งทับตักเขาเสียอย่างนั้น

     

     

    นี่มึงคิดว่าตัวเองเป็นสาวน้อยหน้าอกคัพซีหรอถึงได้ทำตัวแบบนี้เนี่ย นมก็แบน ตัวก็กะเปี๊ยกเดียว แต่ที่พีคสุดคือหน้าตามันครับ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย หน้าจืดอย่างนี้สามีก็คงหาไม่ได้

     

     

    ว่าแล้วนิ้วยาวก็วักปองสบู่ที่ลอยฟุ้งในอ่างขึ้นมาป้ายเบาๆที่แก้มอูมจนเป็นหนวดแมว ป๋ายเซียนหัวเราะคิกคักเพราะพอแก้มโดนรังแกแล้ว พี่ชายตัวดีก็เอาแต่ใช้นิ้วไชคอไม่หยุด เสียงแหลมปรี๊ดตามประสาเด็กเล็กทำเอาชานเลี่ยขำลั่นห้องน้ำ ส่งผลให้ไอ้ลูกแมวหกหนวดบนตักมันดิ้นพล่านๆ

     

     

    “เหวออ” ป๋ายเซียนร้องเสียงหลงเมื่อฟองสีขาวไหลเข้าปาก หน้าตาตอนขมฟองสบู่กระตุ้นต่อมฮาจนชานยอลงอตัวขำท้องคดท้องแข็ง จนแล้วจนรอดก็โดนเด็กแสบเอาคืนด้วยการยื่นหน้าขึ้นมาจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปาก และดันลิ้นเข้ามาเพื่อถ่ายทอดรสชาติย่ำแย่ของครีมอาบน้ำให้ได้รับรู้โดยทั่วกัน

     

     

    ชานเลี่ยชะงักค้างอยู่อย่างนั้น... ถึงเด็กมันจะไร้เดียงสา แต่เขาไม่ไร้เดียงสานะเว้ย!

     

     

    “ไปเลย ไปล้างตัวได้แล้ว” พอตั้งสติได้ ก็ดันเด็กแสบขึ้นจากหน้าตัก ป๋ายเซียนเห็นแก้มพี่ชายเป็นสีแดงก็ดึงเล่นเสียยกใหญ่ เจ้าของแก้มตอนแรกก็ไม่พอใจติดจะหงุดหงิด แต่พอหลังๆเห็นน้องมันยิ้มตลกดีก็เลยพาลให้แฮปปี้ไปด้วย จะว่าอารมณ์เอ็นดูเด็กก็อาจจะอย่างนั้น ก็นี่มันน้องนุ่งเห็นกันมาตั้งแต่ตัวเท่าฝ่าตีน ซึ่งความผูกพักมันก็เป็นรากฐานของอะไรหลายๆอย่าง อย่างเช่นความรู้สึกอิ่มเอมใจในตอนนี้

     

     

     

     

    “เดินช้าๆหน่อยดิ๊ ถ้าไอ้เสือโผล่มาจะวิ่งมาหากันทันได้ไง”

     

     

    ขู่เสียงขรึมเรียกให้ไอ้เปี๊ยกแสบมันหยุดเดินเร็วและวิ่งกลับมาเดินขนาบกันได้ในที่สุด

     

     

    ชานยอลยกยิ้มพอใจก่อนจะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆท่ามกลางสายลมเอื่อยเฉื่อยกลางเดือนมิถุนา น้องชายตัวเล็กทำตัวเป็นลูกไล่เกาะแกะเขาไม่ห่าง บางครั้งก็จะโม้เรื่องเกมขึ้นมาให้เขานึกขัน โถ ถือดียังไงมาอวดวะ เกมแต่ละเกมที่มันเล่นนี่เขาชิมลางมาตั้งแต่มันยังไม่โผล่หัวออกมาจากถุงน้ำคล่ำเลยมั้ง

     

     

    เดินต๊อกแต๊กเถียงกันไปกันมาซักพักก็ถึงร้านเครื่องเขียนท้ายตลาด ป๋ายเซียนยังทำตัวเป็นลูกน้องที่ดีด้วยการเปิดประตูให้ลูกพี่หัวโจกเข้าไปก่อน ชานยอลทักทายคุณป้าเจ้าของร้านตามมารยาทที่สั่งสมมาตั้งแต่ตาตุ่มยันไหปลาร้า ก่อนจะเดินนำน้องชายเข้าไปยังมุมปากกาตามที่ไอ้แสบมันบอกเกริ่นไว้ก่อนหน้า

     

     

    เนี่ย เดี๋ยวขึ้นป.3 ครูเขาก็ให้ใช้ปากกาแล้ว

     

     

    เข้าใจอารมณ์ช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนจากดินสอมาเป็นปากกาป่ะครับ สำหรับเด็กประถมกะโปกๆคนหนึ่งแม่งเป็นอะไรที่โคตรยิ่งใหญ่ ไอ้ป๋ายเขาก็ดูตื่นเต้นชิบหายวายวอด นี่ถ้าแดกปากกาได้คงทำไปละ

     

     

    “ปากกาแดงกับน้ำเงินมันต่างกันไงอะ” ป๋ายเซียนช้อนตาขึ้นมากระพริบปริบๆเป็นเชิงถาม แล้วดูดิมันเตี๊ยเตี้ย จะลองปากกาทั้งที ต้องเขย่งจนตัวสั่นไปหมด

     

     

    “ทำไมถามง่าวงี้อะ ปากกาแดงมันก็สีแดง ปากกาน้ำเงินก็สีน้ำเงินไง”

     

     

    “พี่เลี่ยแหละโง่ะป่ะ” อ้าววอนตีนซะแล้วเด็กนี่ ว่าแล้วก็ขอเบิ๊ดเหม่งมันซักที ไม่งั้นคืนนี้มีนอนละเมอ

     

     

    เจ้าตัวเล็กยกมือขึ้นมาปิดหน้าผากที่แดงเป็นปื้น ยื่นปากงอแงแต่ก็ไม่ได้งี่เง่า “หมายถึงใช้ต่างกันยางงายยย” พูดยานคางเสียงโทนต่ำกว่าปกติแถมยังเดาะลิ้นเล่นดังกุ๊กๆ จนคนพี่หลุดยิ้มเอ็นดู(เป็นรอบที่ล้านของวัน)

     

     

    “ก็หมึกน้ำเงินเอาไว้เขียนทั่วไป หมึกแดงส่วนมากเขาใช้ตีเส้น เขียนวงอะไรที่มันสำคัญๆ”

     

     

    “วงพี่เลี่ยได้ปะ”

     

     

    “เดี๋ยวโดน” ว่าแล้วก็เอาปากกาที่ติดมืออยู่เคาะหัวไอ้ตัวเล็กไปที ไอ้นี่มันมีแววเสี่ยวแต่เด็กเลยเว้ย

     

     

    ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็ครบถ้วนกระบวนความ ป๋ายเซียนตัวแสบได้ปากกาน้ำเงินมาสามแท่ง ปากกาแดงสองแท่ง แล้วก็ลิควิดยี่ห้อที่ถูกที่สุดในร้านมาหนึ่งแท่ง อ่อ อ้อนลูกพี่จนได้ยางลบหอมๆมาก้อนนึงด้วย เป็นรูปสับปะรดด้วย สวยด้วย (ขอให้ตบมือรัวๆให้นาง นางเห่อมากจริงๆ)

     

     

    ชานเลี่ยลอบยิ้มเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวเล็กมันเห่อยางลบราคาถูกของเขาจนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยังกะจับฉลากงานวันเด็กแล้วได้บ้านพร้อมที่ดิน คาดว่าถ้ามันแต่งงานกับยางลบได้มันคงให้แม่ไปสู่ขอถึงโรงงานแล้ว เด็กหนอเด็ก

     

     

    “เหวอออเสือๆๆ ไอ้เสือมาอะพี่เลี่ย”

     

     

    แรงกระตุกที่แขนเสื้อทำให้ชานยอลหันไปตามทิศที่ไอ้เด็กเตี้ยมันสะกิดบอก ก็ไม่มีอะไรมาก เสือโคร่งพันธุ์ทางเจ้าเก่าเจ้าเดิม จริงๆเขาก็ไม่ได้เป็นอริกับหมาแต่อย่างใด เดินผ่านมันแต่ละทีก็ไม่เคยมีปัญหา แต่กลับไอ้ป๋ายนี่ดิไม่รู้อะไรหนักหนา กลัวหมายังกะกลัวผี แล้วไอ้เสือก็เหมือนจะจับรังสีได้ว่ามีเด็กกลัว พอไอ้ป๋ายเดินผ่านทีไรมันเดินมากร่างใส่ทุกที

     

     

    “ฮื่ออ”

     

     

    “ฮื่อออ”

     

     

    นั่น หมาขู่คน คนขู่หมา...ชานยอลแทบอยากจะไปหาธงมายกให้สองสายพันธุ์แต่ไซส์ใกล้เคียงกัดกันอยู่รอมร่อ

     

     

    “พี่เลี่ยอย่าดันซี่

     

     

    “ก็เดินไปดิ มันไม่กัดหรอก”

     

     

    “ก็มาบังให้หน่อยซี่”

     

     

    ดูมันพูด นี่เห็นเขาเป็นตัวเองไรเนี่ย เป็นไม้กันหมาที่หล่อที่สุดในจักรวาลหรอ

     

     

    “พี่เลี่ยมันมาใกล้แล้ว!!” แบคฮยอนร้องเสียงหลง วิ่งไปหลบหลังคนตัวสูงกว่า สองแขนโอบรอบเอวพี่ชายข้างบ้านแน่น “เหวอๆๆออกไปนะ”

     

     

    ลูกชายตระกูลปาร์คขมวดคิ้วมุ่น พอจะไล่หมาดีๆ ไอ้เด็กข้างหลังก็เดี๋ยวดึงเดี๋ยวเย่อ ร้องงี๊ดๆไม่ได้เป็นภาษา ที่หมามันจะกัดก็เพราะยึกยักอย่างนี้นี่แหละ

     

     

    “ไป๊ ไปชิ่ว” ชานเลี่ยของน้องป๋ายปัดมือไล่เจ้าตูบด้วยอารมณ์เซ็งๆ แดดก็ร้อนนี่ต้องมายืนโบกมือล้อเล่นกับหมาเฝ้าตลาดนี่มันใช่เรื่องไหม

     

     

    “ไปซี่ ไปเลยไป” พอเห็นคนพี่ทำแล้วเจ้าเสือถอยหลังไปสองสามก้าว ไอ้เด็กแสบก็ทำมั่ง แต่ไม่รู้โบกมือไล่อีท่าไหน ถุงพลาสิกในมือถึงได้หลุดกระเด็นไปกองกับพื้น ไอ้เสือมันได้ทีก็เข้าตะครุบกัดถุงพรุนแล้วคาบเอาของในนั้นไปอย่างรวดเร็ว

     

     

    “เสือเอายางลบไปอะพี่เลี่ย!

     

     

    ชานยอลถึงกับเกาหัวแกรก ไอ้ยางลบนั่นมันก็แค่ไม่กี่วอน คงไม่คุ้มมั้งถ้าจะต้องลงทุนไปแย่งมาจากปากหมาเนี่ย “ให้มันไปเหอะ เดี๋ยววันหลังค่อยไปซื้อใหม่” ว่าแล้วก็ออกเดินอีกครั้ง เพราะไอ้เสือโคร่งตัวปัญหาพอได้ของกลาง(?)ปุ๊บ มันก็เดินไปนอนหมอบข้างเสาไฟฟ้าตามยถากรรมปั๊บ

     

     

    แบคฮยอนวิ่งไปเก็บข้าวของที่เหลือมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนสองขาสั้นจะวิ่งไปกระตุกแขนเสื้อคนเป็นพี่อีกครั้ง

     

     

    “ไปเอายางลบคืนมาให้หน่อย”

     

     

    ช้ะ ไอ้เด็กนี่...

     

     

    “จะบ้าไง๊ เอาคืนมาได้ก็เลอะน้ำลายหมาแล้ว”

     

     

    “เดี๋ยวล้าง”

     

     

    “มันกัดเละแล้วมั้ง”

     

     

    “เดี๋ยวให้หม่าม๊าประกอบใหม่ให้ นะๆ พี่เลี่ยไปเอาคืนมาให้หน่อยนะ”

     

     

    ลูกตื๊อไอ้ตัวเล็กเล่นเอาชานยอลปวดขมับ ไอ้เขาน่ะไม่กลัวหมาก็จริง แต่หมากัดอ่ะกลัว...งงมั้ย

     

     

    “งั้นเดินกลับไปซื้อใหม่กัน” เป็นการแก้ปัญหาที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในสามโลก เผลอๆโคนันยังคิดไม่ได้แบบเขาเลยด้วยซ้ำ...ถุย

     

     

    “ไม่เอา จะเอาก้อนนั้น!” ป๋ายเซี่ยนเริ่มขึ้นเสียงแล้วครับ นั่น มีกระทืบเท้าเป็นออบชั่นเสริม ปากเบะไม่เกรงใจหน้าตา คิดว่าน่ารักมากมั้งนั่น

     

     

    แล้วเคราะห์ก็ซ้ำกรรมก็ซัดมาที่พู่ชานเลี่ยแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็พอเขาไม่ยอมทำตามบัญชา ไอ้ตัวเล็กมันก็งัดความใจกล้าเขาไปลุยเดี่ยวถึงถิ่นมะหมา และด้วยความที่เขาเป็นพี่มัน ครั้นจะให้ยืนดูน้องชายอยู่เฉยๆก็ดูจะหอสระเอียไม้โทเหี้ยไปหน่อย ก็เลยต้องจำใจเดินตามมันไปด้วย เห็นไอ้เสือนอนหลับอยู่ข้างเสาไฟที่มันฉี่รดเป็นประจำ(หมาห่าอะไรนอนทับเยี่ยวตัวเอง) มันคายยางลบแล้ว แต่ก็ยังวางอยู่ข้างปาก ฉะนั้นโอกาสที่จะเอาคืนมาได้ก็พอจะมีเปอร์เซ็นต์สูงเป็นครึ่งต่อครึ่ง ถ้าเกิดว่าไอ้เสือมันไม่ได้สติตื่นขึ้นมางับมือเขาซะก่อนอะนะ

     

     

    ป๋าเซียนพอเห็นอีกคนตามใจก็ยิ้มแป้นแล้นจนหน้าบานเป็นกระด้ง เดินอ้อมไปอยู่ข้างหลังหมา ขณะใช้สายตาส่งกำลังใจให้พี่ชายแสนดีที่กำลังย่อตัวลงเก็บยางลบบนพื้น

     

     

    ช้าๆ...ใจเย็นๆ...รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง

     

     

    หมับ!

     

     

    แม่งเอ๊ยยิ่งกว่าถูกหวยใต้ดินรางวัลที่หนึ่ง!! ชานเลี่ยมองซากยางลบสีเหลืองในมือด้วยความปลื้มปิติอย่างหาที่สุดไม่ได้ พ่อครับ แม่ครับ ลูกชายคนนี้ทำสำเร็จแล้วครับ!

     

     

    แต่ความสุขมักมาพร้อมความทุกข์ขนาดบิ๊กเบิ้มกว่าเสมอ...

     

     

    ไอ้ป๋ายเซียนตัวแสบดูเหมือนจะดีใจจนเกินจะเอื้อนเอ่ย มันก็เลยทำอับปรีย์จัญไรด้วยการกระโดดชูมืออย่างมีความสุข ...ซึ่งมึง...มึงกระโดดเหยียบหางหมา

     

     

    เต็มๆเลย...เต็มแบบ...เต็มส้นตีน เต็มแบบไม่อาจอธิบายเป็นตัวอักษรได้

     

     

    นับหนึ่งไม่ถึงสาม ไอ้เสือโคร่งหมาคุมถิ่นก็เบิกตาโพลง กรีดร้องเอ๋งงงง ยาวๆ ด้วยความตกใจระดับสิบแต้มผสมผสานกับความเจ็บปวดระดับล้านแต้มเศษ ...บรรลัยแล้วครับกูคราวนี้

     

     

    ไอ้เสือคำรามเสร็จก็ทรงตัวลุกขึ้นยืนสี่ขาอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นเอง ไอ้เสือผู้เจ็บหางก็แปรสภาพเป็นสัตว์ป่าแสนดุร้าย มันกระโจนเข้าใส่ปาร์คชานยอลที่ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

     

     

    คือมันเร็วมาก เร็วเชี่ย เร็วยิ่งกว่าจะใช้คำว่าฉับพลัน

     

     

    ชานยอลอาศัยความว่องไวในฐานะนักกีฬาของโรงเรียนหมุนตัวหนีรัศมีอันตราย จากนั้นคมเขี้ยวชุ่มน้ำลายของไอ้เสือโคร่งซุปเปอร์หมามหากาฬแห่งความดุก็ตะบันเนื้อตูดเขาอย่างรวดเร็ว

     

     

    บอกคำเดียวเลยว่า...เหี้ย

     

     

    เจ็บแบบซี๊ดดดดดดดดดดดดส์!! ถ้าหันหลังไม่ทัน พนันเลยว่าเขาต้องเป็นหมันแน่แล้ว

     

     

    “พี่เลี่ย!!” มึงจะมาเรียกอะไรตอนนี้!! มันสายไปแล้วว้อยยไอ้เปี้ยนป๋าย! เพราะมึงแท้ๆ เพราะมึงแต่เพียงผู้เดียวที่อ้อนซื้อยางลบ ทำยางลบตก แถมยังตบท้ายด้วยการเหยียบหางหมาไปหนึ่งทีแรงๆ

     

     

    สารภาพมาเหอะว่ามึงเกลียดกูอ่ะแบค สารภ๊าพพพ!!!

     

     

    ถ้าไอ้เสื้อมันกัดอย่างเดียว ครั้งเดียว ก็ยังพอทน แต่นี่มันสะบัดไง มันกัดไม่ปล่อยตามสัญชาตญาตไง

     

     

    “อ๊ากกกก!!” อย่าเรียกว่าแหกปากเลยครับ ให้เรียกว่าควายคำรามตอนถูกเชือดจะใกล้เคียงกว่า แต่ก็เพราะเสียงร้องของผมนี่แหละครับที่ทำให้พวกผู้ใหญ่สนใจและเข้ามาช่วยได้ทันท่วงที

     

     

    “พี่เลี่ยมีแดงๆไหลมาด้วยอะ” ไอ้เด็กป๋ายทำเสียงสั่นตอนชี้มาที่กางเกงของพี่ชาย ชานยอลใช้มือคลำดูที่บั้นท้ายก็พบหยาดเลือดไหลปริ่มลงมาจากกางเกงขาสั้นยันตาตุ่ม ประหนึ่งหญิงสาวมีปจด.แต่ลืมพกผ้าอนามัย

    เวรกรรมอะไรของกู๊ววววววว

     

     

    ปาร์คชานยอลน้ำตาคลอปากสั่น สุดท้ายก็ได้แต่กร่นด่าในใจเหมือนเดิมเพราะมึงแท้ๆเลยไอ้เด็กเหี้ย!!!’

     

     

    . . . . . .

     

     

     

     

    “ดูแลบ้านดีๆนะ ดูแลน้องด้วย”

     

    นั่นคือคำฝากฝังอันยิ่งใหญ่นักสำหรับเด็กมัธยมต้นผู้ไร้ประสบการณ์แม้กระทั่งการหุงข้าวเอง

     

     

    ชานยอลมองแม่ตัวเองสลับกับภาระที่เขาต้องดูแลอยู่ซักพัก จนคนที่รู้ตัวว่าเป็นภาระเบะปากเดินหนีไปจากบริเวณรัศมีของสองแม่ลูก

     

     

    “จะโกรธอะไรน้องนักหนาล่ะ ก็รู้อยู่ว่าน้องมันไม่ได้ตั้งใจ...เนี่ยแม่กับฮุยไม่อยู่ก็หาโอกาสเคลียร์กันซะนะ”

     

     

    ปาร์คชานยอลหน้าง้ำ อยากจะโพล่งออกไปว่า แม่ลองมาโดนหมากัดตูดดูมั้ย แต่กาลเทศะก็มีมากพอ นี่ตั้งแต่เกิดเรื่องมา เขาก็ห่างจากป๋ายเซียนเด็กตาตี่นั่นมาเลย จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ งอนก็ไม่เชิง แต่ก็หงุดหงิดนั่นละ ก็ไอ้แผลที่ก้นมันทำให้เขาใช้ชีวิตลำบาก ไปโรงเรียนก็นั่งเก้าอี้ไม่ถนัด จนโดนเพื่อนล้อว่าเป็นริซซี่ดวงทะเวล ไหนจะแพ้ปิงปองนัดสำคัญกับโรงเรียนคู่แข่งอีก แม่งโคตรของโคตรบรรลัย

     

     

    “เอาเถอะ ยังไงก็เป็นเด็กดีนะ เดี๋ยวแม่ซื้อขนมมาฝาก” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนมือนุ่มจะลูบลงบนกลุ่มผมของลูกชาย ชานยอลหดคอกลับมาตามประสาเด็กแตกหนุ่มที่เขินกับการแสดงความรักของพ่อแม่ คุณนายปาร์คยิ้มเอ็นดูก่อนจะออกไปขึ้นแท็กซี่ที่จอดรอไว้ซักพักหนึ่งแล้ว

     

     

    จริงๆก็ห่วงลูก แต่เรื่องเที่ยวมันก็สำคัญ โชคดีนะปาร์คชานยอล อิ____อิ

     

     

    พออยู่กันสองคน คนพี่ก็เดินผ่านคนน้องไปเหมือนมองไม่เห็น แบคฮยอนนั่งกอดเข่าหน้าเศร้าอยู่บนโซฟา ในขณะที่ชานยอลเดินลงฝีเท้าดังๆขึ้นไปยังชั้นสอง

     

     

    แบคฮยอนแอบมองตามพี่ชายตาละห้อย อยากจะกลับไปเล่นด้วยเหมือนเดิม แต่อีกฝ่ายคงเกลียดเขาไปแล้ว

     

     

    พอถึงมื้อเย็น อาม่าตระกูลปาร์คก็ใช้ให้ไอ้เจ้าตัวเล็กขึ้นไปตามพ่อหูกางตัวแสบที่เอาแต่เล่นเกมไม่ยอมลงมากินข้าวกินปลา แบคฮยอนเดินต้วมเตี้ยมไปจนถึงหน้าห้องของชานยอล ทว่าก็ไม่กล้ายกมือเคาะจึงได้แต่ยืนเฉยๆปล่อยให้เวลาผ่านไป จนกระทั่งอีกฝ่ายกระชากประตูเปิดออกมาพอดี ทั้งคู่จึงได้ยืนสบตากันอยู่ตรงนั้น

     

     

    “พี่เลี่ย อาม่าให้ลงไปกินข้าว”

     

     

    “...” ไร้สัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... ชานยอลมองเจ้าตัวจ้อยด้วยหางตา ก่อนจะเดินเฉียดไหล่น้องแล้ววิ่งลงบันได้ไป

     

     

    เปี้ยนป๋ายเซียน(ตามที่แม่เรียก)หรือบยอนแบคฮยอน(ตามที่คนทั่วไปเรียก) ยืนกลั้นน้ำตาอยู่ตรงนั้น โลกของเด็กป.3 มันจะใหญ่อะไรหนักหนา โลกของแบคฮยอนมันยัดได้แค่สิ่งแวดล้อมไม่กี่อย่างกับคนไม่กี่คน มีป๊า มีม๊า มีเพื่อนสนิทที่โรงเรียน แล้วก็มีพี่เลี่ยสุดหล่อที่แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นที่กำบังหมา เป็นไอดอล เป็นลูกพี่ เป็นเพื่อนเล่นใจดีที่มักจะไปไหนมาไหนกับเขา

     

     

     แต่พี่เลี่ยไม่รักน้องป๋ายแล้ว พี่เลี่ยโกรธที่น้องป๋ายทำหมากัดตูดพี่เลี่ย

     

     

    เฮ้ออ เรื่องแม่งแซดจนสามารถตีพิมพ์ลงหนังสือศาลาคนเศร้าได้เลยนะเนี่ย

     

     

     

     

     

    มื้อเย็นผ่านไปอย่างน่าพะอืดพะอมนักสำหรับเด็กน้อยทั้งสองคน อาม่าทำไชโป๊วผัดไข่กับอาหารจีนน้ำมันเยิ้มอีกสองจาน แถมยังถอดฟันปลอมวางไว้ให้เห็นต่อหน้าอีก เล่นเอาชานยอลอ้วกแทบพุ่ง เห็นไอ้ป๋ายที่นั่งตรงข้ามกันเอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา ดูก็รู้ว่ากินกับข้าวไม่เป็นซักอย่าง แถมยังแอบมองเขาอยู่บ่อยๆ คงคิดว่าเขาไม่เห็น

     

     

    กินเสร็จอาม่าก็ขึ้นห้องไปงีบพักผ่อน ทิ้งจานชามไว้ให้หลานชายล้าง ชานยอลเก็บจานไปวางที่ซิงค์ พอป๋ายเซียนจะช่วย คนพี่ก็รีบทำทุกอย่างให้เร็วขึ้นจนคนน้องช่วยไม่ทัน ป๋ายเซียนจึงได้แต่ยืนเก้ออยู่ข้างอ่างล้างจาน ระดับความสูงที่พ้นขอบอ่างมานิดเดียวทำให้ชานยอลนึกเอ็นดูจนอยากจะอุ้มน้องขึ้นมาโอ๋ แต่พอคิดถึงความผิดเรื่องไอ้เสือโคร่งก็ทำให้เขาพาลโกรธขึ้นมาอีก

     

     

    กระดิ่งรถไอติมที่ดังกรุ๊งกริ๊งอยู่หน้าบ้านเรียกให้ชานยอลวางมือจากจานที่กำลังล้างอยู่อย่างรวดเร็ว สองขารีบวิ่งออกไปขวางตัวรถ ก่อนจะเดินไปเกาะถังทำความเย็นแล้วชี้รสไอศกรีมที่อยากได้

     

     

    “แล้วไม่ซื้อให้น้องคนนั้นด้วยหรอ” คนขายพยักเพยิดหน้าเข้าไปในตัวบ้าน เด็กที่หลบมุมอยู่ตรงนั้นจึงรีบผลุบหายเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว

     

     

    “ไม่อะครับ” ชานยอลตอบพลางยักไหล่

     

     

    ป๋ายเซียนเกาะประตูแอบมองอยู่ไกลๆทำไมเขาจะไม่รู้ แต่เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ... ก็ทำไมต้องสนใจด้วยเล่า ก็แค่น้องชายข้างบ้านตาตี่ๆทิ่สัยไม่ดีคนหนึ่งก็เท่านั้น

     

     

    เดินเข้าบ้านมาก็เจอไอ้ตัวเล็กยืนดักทางอยู่ ป๋ายเซียนเรียก “พี่เลี่ย” แล้วก็แบมือยื่นให้ตรงหน้า

     

     

    “...” ไม่ตอบแต่เลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่า มีอะไร? แบมืออย่างนั้นจะขอกินหรือยังไง

     

     

    “ให้ตี”

     

     

    “ตีทำไม”

     

     

    “จะได้หายกัน” คนตัวเล็กพูดอย่างไร้เดียงสา หางตาตกที่ปกติก็ดูเศร้าอยู่แล้ว คราวนี้มาพร้อมน้ำตาที่ขังคลออยู่

     

     

    ชานยอลอมไอติมค้างไว้อย่างนั้น ไม่แม้แต่จะกลืนลงไปจนมันละลายเป็นน้ำหวานๆ แบคฮยอนเบื้องหน้าเขาตัวเล็กนิดเดียว แถมกำลังจะร้องไห้อีก เขาควรจะทำยังไงดีนะ? ...ดูเหมือนว่าชานยอลจะคิดนานไปหน่อย เพราะไอ้เจ้าป๋ายที่รอฟังคำตอบอยู่มันใจไม่ดีจนต้องยกคอเสื้อขึ้นมาคลุมถึงหัวแล้วเริ่มปล่อยเสียงสะอื้นฮักๆให้ได้ยิน คนเป็นพี่ใจแกว่งกับเสียงอู้อี้นั่นจนต้องยอมเดินไปนั่งคุกเข่าแล้วรวบเด็กขี้แงเข้ามากอดด้วยแขนข้างเดียว อีกข้างใช้ถือไอติมไว้และปล่อยให้มันละลายเหมือนภูเขาน้ำแข็งในฤดูร้อน

     

     

    “ป๋าย” เรียกเบาๆด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน น้องในอ้อมกอดดูน่าทะนุถนอม มันยิ่งทำให้เขาปฏิบัติตัวไม่ถูก แต่จนแล้วจนรอดชานยอลก็ได้สติดึงเสื้อเจ้าตัวเล็กที่ปิดหน้าปิดตาอยู่ลงมา ริมฝีปากอดไม่ได้ที่จะจูบปลอบขวัญที่ขมับอย่างรักใคร่ มันอาจจะดูตุ๊ดที่เขาทำตัวหลงและโอ๋น้องตัวเองเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ชานยอลก็ไม่รู้เหมือนกันเขาเพียงแต่อยากทำแบบนี้กับน้องชายข้างบ้านของเขา

     

     

    “ดีกันนะพี่เลี่ย” ขอคืนดีด้วยการกอดคอซบใบหน้าลงกับซอกคออีกคนอย่างออดอ้อน ชานยอลกะจะก้มลงไปบอกว่าหายโกรธแล้ว แต่องศาและทุกๆอย่างมันดันพลาดไปหมด

     

     

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกัน ทว่ามันก็เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจอันไร้เดียงสาของป๋ายเซียน ชานเลี่ยรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต เขายึดไหล่น้องชายแน่น และความคึกคะนองตามวัยก็ทำให้เขาสอดลิ้นเข้าไป

     

     

    แต่มันก็เพียงแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น ชานยอลรีบสะบัดออกเหมือนต้องของร้อน แบคฮยอนช้อนตามองคนอายุมากกว่าด้วยสายตามึนงง

     

     

    วินาทีนั้นมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป แบคฮยอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไอติมรสสตรอว์เบอร์รี่หยดติ๋งลงบนพื้น ในบ้านมีแค่พวกเขาสองคน ไม่สิ ยังมีอาม่าอีกคนที่เอนหลังอยู่ในห้องส่วนตัว ชานยอลรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกอากาศกลางเดือนมิถุนายนเล่นงาน มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ และตอนนั้นเองที่เขานึกอยากถอนคำพูดที่ว่าเปี้ยนป๋ายเซียนหน้าตาไม่น่ารักเอาเสียเลย

     

     

    “พ...พี่เลี่ย” ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ชานเลี่ยคนเดียวที่รู้สึกแปลกๆ ไอ้แสบเองก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป

     

     

    โดยสิ้นเชิง...

     

     

     

     

    ความเปลี่ยนแปลงยังผลมาจนถึงวันหนึ่งในฤดูหนาว

     

     

    “อาป๋ายลื้อเอาแตงโมไปให้บ้านนั้นเค้าหน่อยซี่” เสียงมารดาบังเกิดเกล้าดังขึ้นระหว่างที่เปี้ยนป๋ายเซียนกำลังเล่นเกมแข่งรถพอดี หนุ่มน้อยควงจอยสติ๊กในมือแทนพวงมาลัยเมื่อมาถึงช่วงโค้งหักศอก ภาพรถแข่งสีแดงเพลิงในจอขูดขีดไปกับแนวถนนจนเกิดประกายไฟลุกท่วมทั้งสี่ล้อ ความเมามันส์กำลังหยดติ๋ง ...แต่ความหงุดหงิดของคุณนายแม่ฮุยก็กำลังจะหยดติ๋งแล้วเช่นกัน

     

     

    “อาป๋าย!!” ตวาดแว้ดจนเจ้าของชื่อสะดุ้ง กระนั้นความแสบซ่าของเด็กชายวัย 12 ปี ก็ทำให้ป๋ายเซียนไม่เกรงกลัวมารดาซักเท่าไหร่

     

     

    “แป๊บนึงดิม๊า วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวแข่งตานี้เสร็จแล้วจะไปให้”

     

     

    คนเป็นแม่ถึงกับส่ายหัวเอือมระอา ตั้งแต่ขึ้นป.6 มานี่ไอ้เจ้าลูกชายตัวดีก็ติดเกมยิ่งกว่าหมาติดเก้ง เล่นมันอยู่นั่นล่ะ เล่นจนการเรียนเละเทะ บางวันก็โดดเรียนจนโดนสารวัตรนักเรียนไล่จับมาส่งห้องปกครอง ลำบากพ่อแม่ต้องหยุดร้านไปฟังอาจารย์รายงานพฤติกรรมลูกชายให้ได้อายเล่นๆ ก็เข้าใจว่าเด็กมันกำลังหัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังซ่าได้ที่ แต่ถ้าวันนี้มันไม่เอาแตงโมไปให้เพื่อนบ้าน มันตาย

     

     

    “หนึ่ง” ในเมื่อลูกยังนิ่งก็ต้องมีการเคาท์ดาวน์

     

     

    “สอง”

     

     

    “โอเคไปแล้วๆ ม๊าอะ!” แบคฮยอนรีบวางเครื่องเล่นในมือโดยไม่รอให้หม่าม๊านับถึงสาม ซึ่งแน่นอนว่าจะมาพร้อมฝ่ามือพิฆาตรปราบชีวี ฤทธานุภาพบอกเลยว่าช็อตเดียวอยู่(ไอซียู)

     

     

    “เลี้ยวอยู่รอเอาจานคืนมาเลยนะ เขาจะล่ายม่ายต้องเอาอะไรมาให้อีก” กำชับพลางยื่นจานใส่แตงโมให้พ่อลูกชายตัวดี ปีนี้ป๋ายเซียนโตขึ้นมาก อีกนิดจะสูงเท่าคนเป็นแม่แล้ว และไอ้การโตขึ้นนี่มันก็ละลายความน่ารักน่าเอ็นดูไปจนแทบไม่เหลือ แต่ก่อนนะติดแม่ ติดพี่ชายข้างบ้านแจ เดี๋ยวนี้นอกจากเกมก็ไม่เห็นมันติดอะไร อ่อลืมไป มันติด 0 กับติดรอมผ.ด้วย เด็กเวร =___=

     

     

     

     

    ใช้เวลาไม่นานแบคฮยอนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วที่แสนคุ้นเคย นี่ถ้าวางไว้หน้าบ้านได้ไม่ต้องรอเอาจานกลับ ป่านนี้เขาวิ่งแจ้นไปเล่นเกมต่อแล้ว

     

     

    ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะไม่อยู่ อยู่แต่ลูกชายเจ้าของบ้าน... แบคฮยอนมองพี่ชายที่โตกว่าเขาอยู่หลายปีโดยไม่กระพริบตา ลืมไปแล้วว่าเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มันเหมือนกับว่านานโคตรป๊าโคตรม๊า ทั้งที่บ้านอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ฝีก้าว

     

     

    “ม๊าให้เอาแตงโมมาให้อะ” แจ้งเจตจำนงค์ ก่อนจะพูดต่อเมื่อนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวพี่เลี่ยเปลี่ยนจานให้ด้วยดิ ม๊าให้เอาจานกลับเลย”

     

     

    คนโตกว่ามองผลไม้สีแดงฉ่ำนิ่ง ซักพักก็เลื่อนรั้วให้อีกคนเข้ามา แบคฮยอนชั่งใจ ใจหนึ่งอยากรีบกลับไปเล่นเกมต่อ แต่อีกใจก็อยากเข้าไป เพื่อฟลุ๊คพี่เลี่ยชวนกินแตงโมด้วย สุดท้ายความขี้ตะกละก็ชนะไปใสๆ คนตัวเล็กยิ้มแหยขณะเดินตามพี่ชายตัวโตเข้าไปในบ้าน

     

     

    นานแล้วที่ไม่ได้เข้ามา ทั้งที่เมื่อก่อนพกกางเกงในตัวเองเดียวมานอนค้างอาทิตย์ละแทบห้าวันได้ จะว่าไปที่นี่ก็เหมือนเดิมทุกอย่าง มีโต๊ะไหว้บรรพบุรุษของอาม่าพี่เลี่ย มีชั้นวางตุ๊กตาของพี่ยูรา(ที่ตอนนี้ย้ายไปเรียนโรงเรียนสตรีที่โซลเรียบร้อย) มีโซฟาที่ป๋ายเซียนชอบนอนเล่น แล้วก็มีนาฬิกาโบราณที่เสียงแม่งโคตรหลอนประสาท

     

     

    คิดๆดูแล้วก็ฮาปนเครียด ก็ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์งอนง้อขอคืนดีจนพลาดจูจุ๊บกันไปในวันนั้น เขาก็รู้สึกวิปริตแปรปรวนทันใดอังกอร์กับพี่ชายข้างบ้านจนไม่กล้าจะสู้หน้า มันเป็นความรู้สึกที่ชวนขนลุก แบบว่า อี๋...มันไม่ใช่อะ ไม่ใช่ในที่นี่หมายถึง ไม่ใช่ไม่ชอบ มันก็เลยอี๋ตัวเองไง ก็ในวิชาสุขศึกษาผู้ชายมันต้องคู่กับผู้หญิงนี่หว่า ถึงไอ้โด้มันจะเคยบอกว่าผู้ชายเอาตุ๊ดเป็นยอดมนุษย์อุลตร้าแมนก็เถอะ แต่พี่ชานเลี่ยก็ไม่ใช่ตุ๊ดป่าววะ นี่ก็แมน นั่นก็แมน ...เหยไปกันใหญ่

     

     

    “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมาหาเลยนะ ติดเพื่อนอะดิ” แล้วดูพี่เลี่ยทำหน้าตาประกอบคำพูด ยังกะคนแก่ผ่านโลกมาซักหกสิบปีทั้งที่อายุมากกว่าเขาไม่เท่าไหร่ ป๋ายเซียนพยักหน้าแทนคำตอบ จริงๆไอ้ติดเพื่อนกับติดเกมมันก็ส่วนหนึ่งใหญ่ๆอ่ะนะ แต่ไอ้การไม่กล้ามาเจอหน้าพี่เลี่ยนี่มันก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่แบบว่าไม่เอ่ยถึงไม่ได้

     

     

    “แล้วม.1 เล็งไว้ยังว่าจะเข้าโรงเรียนไร” ถามพลางส่งแตงโมมาให้ ป๋ายเซียนที่นั่งอยู่บนโซฟายื่นมือไปรับมางับเข้าปากอย่างว่าง่าย ปล่อยให้คำตอบนั้นสลายหายไปกับมวล CO2 ในอากาศ จริงๆก็นึกไว้แล้วแหละว่าจะเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ชานเลี่ย ก็อีกฝ่ายแม่งโคตรไอดอลมหากาพย์มาตั้งแต่นี่ยังเป็นเด็กออกเสียงรอเรือยังไม่ชัด

     

     

    “เล่นเกมกันปะ?”

     

     

    “เกมอะไร?” แบคฮยอนหลุดพูดเป็นประโยคแรกหลังจากที่เท้าสัมผัสพื้นบ้าน

     

     

    “แข่งพ่นเม็ดแตงโม ใครไกลกว่าชนะ”

     

     

    “แหวะ พี่เลี่ยสกปรก” แกล้งหยะแหยงไปแบบไม่จริงจังอะไรนัก เพราะเขาเองก็กางเกงในหน้าเอหน้าบี จะไปรังเกียจอะไรกับอีแค่เมล็ดแตงโม ชานยอลหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกตอนร้องแหวะของไอ้เด็กแสบ

     

     

    คนเป็นพี่เขยิบเข้าไปนั่งใกล้คนเป็นน้องจนขาข้างหนึ่งขึ้นไปซ้อนอยู่บนตักอุ่นๆของเปี้ยนป๋ายเซียน

     

     

    “แต่ก่อนล่ะมาเช้ามาเย็น พอติดเกมแล้วก็หายหัว” เหน็บเข้าให้หนึ่งดอก แต่ตัวไม่ยักออกห่างเหมือนคำพูดตัดรอนนั่น มือใหญ่สอดไปโอบเอวน้องอย่างแนบเนียน มืออีกข้างเล่นลูกผมที่ปรกหน้าผากมนอย่างเพลินมือ

     

     

    “ก็พี่เลี่ยโตแล้วการบ้านเยอะนี่”

     

     

    “ใครบอก”

     

     

    “...”

     

     

    “น่ะเงียบ คิดเอาเองตลอด” ว่าแล้วก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะพอกพูนความรู้สึกผิดในใจของป๋ายเซียนได้ชะงักงัน

     

     

    “โตขึ้นเยอะเลยนะ” ชานยอลว่าพลางดันเจ้าตัวเล็กจนแผ่นหลังไปติดกับที่วางแขนของโซฟา ร่างกายสูงโปร่งแทรกไปตรงหว่างขาทั้งสองข้าง

     

     

    “จริงปะ ฮื่อ..อย่าแกล้งซี่” แบคฮยอนย่นคอหนีเมื่อถูกพ่นลมใส่ สัมผัสชวนจั๊กจี้ปลุกขนอ่อนให้ลุกซู่ไปทันร่าง ชานยอลได้ทีก็เอาใหญ่ ฮอร์โมนปลุกความทะลึ่งจนกล้าดีขึ้นไปคร่อมน้องเอาไว้ทั้งตัว

     

     

    “หนัก” แบคฮยอนผินหน้าแดงๆไปมองทางอื่น ใครจะไปกล้าสบดวงตากลมโตที่แสนจะขี้เล่นของพี่เลี่ยกันล่ะ!

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    “อะ...อะไร”

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    “อะไรเล่า!” ถามเสียงดังเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกวนประสาท ชานยอลเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ แบคฮยอนรีบหลับตาปี๋

     

     

    “ปากเลอะแน่ะ” พูดพร้อมกวาดก้านนิ้วยาวลงบนริมฝีปากสีชมพูอ่อน นานพอดูกว่าอีกฝ่ายจะกล้าลืมตาขึ้นมาบ่นอุบอิบ “โด่ นึกว่าจะทำเหมือนในละคร”

     

     

    “ทำอะไร?” แกล้งถามไปหน้าซื่อตาใส แผ่นอกโดนไอ้ตัวเล็กดันออกจนตอนนี้ทำได้เพียงแค่นั่งเบียดเท่านั้น

     

     

    “จุ๊บจุ๊บไง”

     

     

    “ก็เคยทำไปแล้วนี่”

     

     

    ด้วยประโยคนี้เอง ที่ทำให้สองพี่น้องพากันนั่งไทม์แมชชีนนึกย้อนไปถึงอดีต พลันหน้าของป๋ายเซียนก็ร้อนผ่าว ...ผ่านมานานแล้ว แต่รสชาติไอศกรีมกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ที่พี่เลี่ยกินในวันนั้นยังติดลิ้นเขาอยู่เลย

     

     

    “จะเบียดทำไมเล่า!” พอเขินก็พาลผลักไหล่พี่ชายข้างบ้านไปหนึ่งทีแรงๆ

     

     

    “ก็จะทำเสียงดังทำไมเล่า!” คนพี่ยอกย้อนด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน จนคนน้องต้องมุ่ยหน้า จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ชานยอลตกอยู่นภวังค์แห่งการเติบโตเงียบๆ เช่นเดียวกับน้องชายข้างบ้านตัวแสบ เป็นช่วงเวลาแห่งการคิดทบทวนและเผื่อแผ่ไปยังอนาคตอันใกล้จนถึงไกลลิบ ตอนนี้ทั้งชานยอลกับแบคฮยอนต่างก็โตพอแล้วที่จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ทว่าความรักอาจจะดูไกลเกินเอื้อมสำหรับเด็กอ่อนประสบการณ์ไปซักหน่อย เจ้าตัวเล็กจึงทำเพียงแค่ลอบแอบมองใบหน้าของไอดอลวัยเด็กที่เป็นเสมือนเพื่อนเล่นมาตั้งแต่เขาอายุยังน้อย ชานยอลเป็นคนที่เขาชอบที่สุด เป็นคนที่เขาอยากเลียนแบบที่สุด เป็นคนที่อยากเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังที่สุด

     

     

    ป๋ายเซียนรู้สึกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว และตอนนี้ยังเพิ่มความรู้สึกใจสั่นเข้าไปอีกข้อด้วย

    “พี่เลี่ย”

     

     

    “อะไร?”

     

     

    “โตขึ้นไปแต่งงานกันนะ”

     

     

    ชานยอลหัวเราะลั่นเสียงดังที่สุดเท่าที่เคยหัวเราะมาก่อน ไอ้เด็กแสบเจ้าของคำถามเลยอ้าปากกลั้วเสียงหัวเราะตาม สุดท้ายคำถามนั้นก็กลายเป็นเพียงมุกตลกที่กลบเกลื่อนเรื่องเพี้ยนๆอย่างเช่นกินแตงโมในฤดูหนาวไปซะเสียสนิท

     

     

    อันที่จริงแบคฮยอนก็ไม่ได้ขำอะไรมากมาย แต่นอกจากแสร้งขำ เขาก็ไม่รู้จะแสดงท่าทีอะไรออกมา ในเมื่อชานยอลแสดงออกชัดว่าต้องการให้สิ่งที่เขาพูดเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น

     

     

    “บ้าบอ” คนพี่แซวแล้ววางมือลงบนกลุ่มผมนุ่ม ...และนั่นคืออริยาบทสุดท้ายของชานยอลที่แบคฮยอนในวัย 12 ขวบพอจะจำได้ เพราะวันถัดไปชานยอลก็ย้ายบ้านออกไปแล้ว ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ใช่เจี๊ยบแฟนฉันที่จะบ้าบิ่นวิ่งตามรถของอีกฝ่ายให้ฉากสุดท้ายมันดราม่าน้ำตาท่วม

     

     

    นอกจากจะไม่ดราม่าแล้ว ป๋ายเซียนยังเจ็บแค้นอยู่ลึกๆในก้นบึ้นของจิตใจ เพราะอีกวันนึงโรงเรียนมัธยมเดียวกันกับที่ชานยอลเรียนอยู่ ก็ประกาศว่าเขามีสิทธิ์เข้าเรียนชั้นม.1 ทว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อชานยอลลาออกไปโดยไม่บอกกล่าวกันซักคำ

     

     

    การจากลาเป็นไปอย่างห่วยแตกในความคิดของเด็กหนุ่ม แบคฮยอนก็เลยจัดหมวดหมู่การมีตัวตนในความทรงจำของชานยอลไปในทางลบ จนกระทั่งวันที่ได้พบกันอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อาป๋าย นี่พี่ชานเลี่ยนะ จำพี่เขาล่ายมั้ย ที่เคยอยู่บ้านข้างๆเรางาย”

     

     

    แบคฮยอนมองผู้ชายตรงหน้านิ่งนาน คนๆนี้เองน่ะหรือที่จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาในฐานะคู่สมรส

     

     

    “ไม่ไหวมั้งม๊า หน้าก็แต่งเต็มยิ่งกว่ากะเทยสีลมซอยสี่ แล้วดูเสื้อผ้าดิจะอลังการงานโอท้อปไปไหน”

     

     

    “ก็พี่เค้าเป็นนักร้อง ก็ต้องแต่งเยอะหน่อยซี่” คุณนายฮุยเจ้าของร้านปาท่องโก๋ชื่อดังพยายามกระซิบอธิบายให้คุณลูกชายเข้าใจถึงที่มาที่ไปของเสื้อผ้าหน้าผมคุณลูกเขย

     

     

    “ถ้าจะต้องแต่งงานกับไอ้เพี้ยนนี่ ผมยอมให้ปลวกแทะเสาบ้านตามที่อาม่าสาปแช่งไว้ดีกว่า” โว๊ยย ไอ้นี่ก็จะต้องเสียงดังไปจนเขาเอาปืนมายิงหัวเลยมั้ยยังไง

     

     

    ด้วยความที่ทนหมั่นไส้คำพูดหมาๆของคนปากเสียมานานจนเกินจะเพิกเฉย บวกกับความหงุดหงิดที่สั่งสมมาจากอากาศร้อนจัดและตารางงานโคตรจะแน่นเอี๊ยด ปาร์คชานยอลคุณพ่อลูกสองจึงง้างฝ่าเท้า ยันไปเต็มๆก้นของเปี้ยนป๋ายเซียนที่เขาเคยเอ็นดูในวัยเด็ก

     

     

    ตู้ม!!

     

     

    น้ำกระจายเป็นวงกว้าง และเรื่องวุ่นๆก็เริ่มต้นที่ตรงนั้น

     

     

     

     

     

    End and Begin (again)

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×