ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF,OS] chanbaek

    ลำดับตอนที่ #8 : [SF] Suicidal King - Part 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.83K
      49
      1 ก.ย. 57




    Suicidal King









    วันนี้ยังคงเป็นอีกวันที่เครื่องบิน LBN ดำดิ่งลงสู่ภาคพื้น

     

     

    แบคฮยอนนอนขดตัวนอนกอดเข่าอยู่บนเตียงขนาดหกฟุต ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกดภายในช่องอกที่กำลังพรากเขาจากความเป็นไปสู่ความตาย แต่มันไม่ใช่ความตายชนิดที่ว่าหายสาบสูญไปจากโลกโดยไม่หลงเหลือความรู้สึกหรือจิตวิญญาณใดๆทิ้งไว้เลย ในทางกลับกัน แบคฮยอนเจ็บปวดเหมือนคนกำลังเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต จากนั้นเขาก็จะตาย แต่การตายของเขากินเวลาแค่ระยะสั้นไม่ถึงกี่วินาที ก่อนที่เขาจะกลับมามีชีวิตใหม่ เพื่อที่จะทรมานจนตายอีกรอบ

     

     

    แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ มันก็แค่การอุปมาอุปมัยเพื่อให้เห็นภาพของความรู้สึก

     

     

    บยอนแบคฮยอนเป็นนักศึกษาวัย 17 ปี ...ไม่สิ อันที่จริงเขาเป็นเพียงอดีตนักศึกษาผู้ที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขามีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนฝูงทีรักใคร่ มีผู้คนมากมายรายล้อม  แต่ทุกอย่างกลับถูกริดรอนไปในชั่วยามแห่งการกระพริบตา หลังจากที่เครื่องบิน LNB สายการบินเอเชียไลน์ ทะยานจากน่านฟ้าลงสู่พื้นหญ้าด้วยความเร็วที่ไม่อาจคาดได้ว่ากี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง

     

     

    แน่นอนว่าไม่มีผู้โดยสารคนใดรอดชีวิตจากเที่ยวบินท้านรกนั้นมาได้ ฉะนั้นจึงหมายรวมถึง พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานชายตัวเล็กๆอีกสองคนของเขา ที่จำต้องสังเวยเลือดเนื้อให้กับความวิปริตของธรรมชาติ ที่จู่ๆก็บันดาลพายุร้ายปั่นปวนนกเหล็กที่ไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วลำนั้น ให้เสียหลักตกลงกระแทกพื้นโลกตามกฏแห่งแรงโน้มถ่วง

     

     

    ทว่านอกจากกฏแรงโน้มถ่วงแล้ว มุนษย์เราก็ยังต้องรู้จักกฏสำคัญอื่นๆอีก อย่างเช่น... Action = Reaction

     

     

    แบคฮยอนรู้สึกว่าแรงสะท้อนจากการตกของเครื่องบินลำนั้นช่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน แม้เรื่องราวจะผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว แต่รีแอคชั่นยังคงส่งผลต่อเนื่อง ยังคงมีมือที่มองไม่เห็นจับเขาโยนสู่เบื้องบน ก่อนที่แรงที่นิวตันค้นพบ จะดึงเขาลงมากระทบพื้นเบื้องล่าง

     

     

    แบคฮยอนยังคงตายซ้ำซากทุกวัน ยิ่งระลึกได้ว่าตัวเองเป็นเหตุผลของการตีตั๋วบินกลับเกาหลีของครอบครัวในเที่ยวนั้น เขาก็ยิ่งตายพร่ำเพรื่อ มันเริ่มจากบริบทรอบกายเปลี่ยนไป จากห้องนอนกลายเป็นห้องโดยสารของสายการบินเอเชียไลน์ จากนั้นพื้นก็จะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจนไม่อาจทรงกายเอาไว้ได้ ทุกอย่างหมุนเหวี่ยงราวห้องจำลองสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง จากนั้นก็วูบ...ตกลงไปยังพื้นที่ต่ำกว่าระดับเดิมเป็นพันๆไมล์ แบคฮยอนจะถูกอัดด้วยเสียงกรีดร้องจากจินตนาการ จากความร้อนที่ห่อรอบกายจนเหงื่อพุ่งพลั่ก หัวใจเต้นเกินอัตราปกติ เนื้อตัวชาแต่เจ็บระนาวไปทั่วทุกรูขุมขน การหายใจกระชั้นชิดจนเหมือนคนเป็นไฮเปอร์ ความรู้สึกที่ไต่ใกล้สู่ระดับความตาย หรือหากจะเอ่ยง่ายๆก็คือจวนเจียนจะขาดใจ

     

     

    พอแตะระดับสูงสุดของความทรมานแล้ว ชายหนุ่มจึงคลายอาการลงจนเป็นปกติ จากนั้นไม่นานเขาก็จะเข้าสู่วงจรเดิมใหม่อีกครั้ง

     

     

    นี่คือกิจวัตรประจำวันของบยอนแบคฮยอน หลังจากที่ความสูญเสียทำตัวเป็นโจรขโมยทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา

     

     

     

     

    . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่นักแข่งสิงห์สนามกลายเป็นคนกลัวการขับรถ

     

     

    บางทีมันอาจจะเริ่มต้นที่เปลวไฟลูกใหญ่ที่พุ่งพวยในวันหนึ่งกลางฤดูร้อน

     

     

     

    “ไม่เอาน่าชานยอล เราไม่ควรจะดื่มกันตอนนี้”

     

     

    เจ้าของชื่อทาบนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากอวบอิ่มชองคนรัก “เงียบซะสาวน้อย เรากำลังจะไปสวรรค์กันนะ” ว่าแล้วเขาก็หักพวงมาลัยจอดรถตรงที่ห้ามจอด เพื่อที่จะข้ามฝั่งไปซื้อเบียร์ในมินิมาร์ท

     

     

    ปาร์คชานยอลฮัมเพลงโปรดที่ดังลอดมาจากหูฟังบีทส์ที่เขายกขึ้นมาครอบหูขณะกดล็อคประตูรถที่ติดตั้งระบบกันขโมยอย่างแน่นหนา เพราะนี่คือออดี้ R8 V10 สีม่วงกำมะหยี่ที่เขารักสุดดวงใจ

     

     

    ชายหนุ่มเดินเลือกขนมขบเคี้ยวบนเชลฟ์ ด้วยความกระตือรือร้นในคุณค่าแห่งวันหยุดที่เขากำลังจะใช้มันไปพร้อมกับหญิงสาวที่ผู้ชายทั้งเมืองยอมแลกไตกับการได้เดทกับเธอ

     

     

    มือใหญ่วางเบียร์สี่กระป๋องกับขนมอีกสามห่อลงบนเคาท์เตอร์ชำระค่าสินค้า แคชเชียร์ยิ้มหวานเกินจำเป็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซอร์วิสมายด์หรือความหล่อเหลาของลูกค้าหนุ่มกันแน่

     

     

    ตอนนั้นเองที่ชานยอลรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางที่ทรงอำนาจมากพอดู ทว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเพลง Counting stars ของ OneRepublic ที่หูฟังสีแดงดึงเขาออกจากโลกภายนอก

     

     

    กระนั้นเขาก็อ่านปากของพนักงานสาวที่หันหน้าไปทางกระจกร้านได้ว่า เยซู...

     

     

    ชานยอลมองตามไปยังนอกร้าน วินาทีนั้นเขารู้ซึ้งได้ถึงพระเจ้าตามที่หญิงสาวได้กล่าวพระนาม

     

     

    มันเป็นช่วงเวลาที่เหลือเชื่อ เบียร์กระป๋องสุดท้ายที่ยังอยู่ในอุ้งมือกลิ้งหลุดไป... ไม่มีอะไรที่ปาร์คชานยอลไขว่คว้าเอาไว้ได้ แม้แต่หญิงสาวที่เขารัก หรือกระทั่งรถแข่งที่เขามีแพสชั่นต่อมันอย่างแรงกล้า

     

     

    บนถนนฝั่งตรงข้ามมีรถสองคันที่ดูโดดเด่นเหนือสิ่งอื่นใด เห็นได้ชัดว่ามันนัวเนียกันอย่างเผ็ดร้อนท่ามกลางอากาศอบอ้าว คันหนึ่งมีท่าทางอ่อนแรง ผู้สังเกตการณ์คนอื่นคงคิดว่ามันหมดแรงจะต่อสู้ มีแต่ชานยอลเท่านั้นที่รู้ว่ามันไม่ได้ฮึดสู้มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที เพราะมันก็แค่จอดอยู่เฉยๆบนทางเลียบฟุตบาท แต่รถตกมันคันนั้นต่างหากที่เข้ามาพุ่งชนมันเอง

     

     

    เบนซ์สีดำสนิทลากเกี่ยวออดี้สีม่วงกำมะหยี่ของเขาไปด้วยความเร็วที่ชวนหวาดเสียว ทะยานไปไร้ทิศทาง แต่สุดท้ายมันก็ถูกดักหน้าด้วยขอบปูนกั้นเลนส์ถนนพร้อมด้วยเสาไฟฟ้าสูงชะลูด

     

     

    Take that money

    Watch it burn

    Sink in the river

    The lessons I learned

     

     

    เขาได้ยินเสียงเพลงท่อนสุดท้าย แทนที่จะได้ยินเสียงตู้มแห่งการระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลวไฟลุกท่วมรถ จนเขาลืมไปแล้วว่ามันเคยเป็นสีอะไรมาก่อน

     

     

    ถ้าเขาไม่ทิ้งเธอไว้

    ถ้าเขาพาเธอออกมาด้วย

    ถ้าเขา...

     

     

     

     

    . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    “คุณคิดยังไงถึงไปเช่าบ้านที่มีคนตายอย่างนั้น”

     

     

    คำถามจากรุ่นพี่ร่วมอาชีพเป็นเสมือนน้ำที่ไหลผ่านตะแกรงตาถี่ ไม่มีแม้ซักคำที่คนฟังซึมซับรับเอาไว้

     

     

    ปาร์คชานยอลเดาะลิ้นแตะเพดานอ่อนในช่องปาก เขาค้นพบรสชาติอ่อนๆของลูกอมกลิ่นมิ้นต์ที่เพิ่งกินไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว “ผมต้องคิดยังไงด้วยหรือ?”

     

     

    “หมายความว่าไง? ต้องคิดยังไง? ผมสิต้องเป็นฝ่ายถามว่าคุณคิดได้ยังไง”

     

     

    “นั่นสิ แล้วผมควรคิดยังไงละ?”

     

     

    “อย่างน้อยคุณก็ควรจะกลัว”

     

     

    “กลัว? โอเค...แล้วผมจะรับไว้พิจารณา” ตัดบทเพียงเท่านั้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่อย่างคนสุขภาพดีจะเปิดประตูและก้าวออกไปนอกรถ ทิ้งให้สารถีจำเป็นที่ถูกผู้ใหญ่ในที่ทำงานไหว้วานให้มาส่งรุ่นน้องผู้มีอิทธิพล นั่งส่ายหัวเอือมระอาอยู่คนเดียว

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลมองบ้านสีขาวปลอดสไตล์ยุโรปเบื้องหน้าด้วยแววตาไร้อารมณ์สะท้อน ที่พักชั่วคราวแห่งนี้ไม่มีแรงจูงใจอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการอยู่ไกลตัวเมืองและเงียบสงบเหมาะแก่การเดินหันหลังให้กับดาวเคราะห์โลก

     

     

    กดออดข้างรั้วซักพักเจ้าของบ้านก็ชะเง้อใบหน้าออกมาดูลาดเลา แม้จะมองเห็นจากระยะไกลพอสมควร แต่ผิวขาวราวไม่เคยต้องแสงแดดของเจ้าของบ้านก็สะดุดตาผู้เช่านัก ชานยอลคิดในใจว่านั่นมันขาวซีดเสียยิ่งกว่าพระเอกหนังแวมไพร์ชื่อดังระดับโลกเสียอีก ที่แตกต่างคงเป็นความนวลเนียนและไร้ไรขนเหนือริมฝีปากสีอ่อนเหมือนอย่างที่พระเอกคนนั้นมี

     

     

    “ผมปาร์คชานยอลครับ!” ชายหนุ่มตะโกนแสดงตัวอย่างสุภาพ แน่นอนว่าผู้ทำสัญญาเช่าอย่างถูกกฏหมายมีสิทธิ์ได้รับการปฏิบัติที่ดีตามเม็ดเงินที่จ่ายมัดจำไป

     

     

    แบคฮยอนรีบเดินมาเลื่อนรั้วให้ ท่าทางอ่อนเพลียราวกับจะเป็นลมเพียงแค่ออกแรงปลดกลอนเรียกร้องความรู้สึกเวทนาจากคนลอบมองอยู่ห่างๆ ชานยอลรู้ดีว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่จะรู้สึกเช่นนี้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เขาก็รู้สึกเช่นนั้นไปแล้ว

     

     

    “สวัสดีครับ” เจ้าของบ้านที่ดูเหมือนจะอายุยังน้อยยิ้มทักทาย เป็นรอยยิ้มมารยาทที่โค้งหยักเพียงแค่ริมฝีปากเท่านั้น

     

     

    “สวัสดี” ชานยอลทักตอบและสะบั้นคำลงท้ายว่าครับลง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเด็กกว่าเขาอยู่มากโข “อยู่บ้านคนเดียวหรอเรา?”

     

     

    “ครับ” ตอบสั้นก่อนจะเริ่มเดินนำเข้าไปยังข้างใน

     

     

    ชานยอลเดินตาม เขามองแผ่นหลังเล็กบางนั่นบ่อยกว่าทิวทัศน์ของที่พำนักใหม่เสียอีก ระบบความรู้สึกของเขาไม่ซับซ้อนอะไร หลายคนมองว่าแป็นจำพวกหนุ่มเย็นชาไร้อารมณ์ ไม่ก็ขวางโลก เพราะเขาไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือกับคนรอบข้าง แต่จริงๆเขาก็แค่มองเห็นความรู้สึกของตัวเองชัดเจน เขาไม่โกหกและฝืนใจทำอะไรเพื่อที่จะกลมกลืนไปกับสังคม

     

     

    และตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มเจ้าของบ้านไม่ใช่คนที่เขาจำต้องออกห่าง หรืออึดอัดที่จะเสวนาด้วย

     

     

    “นายอายุเท่าไหร่?”

     

     

    “คุณจำเป็นต้องรู้ด้วยหรือ?”

     

     

    ชานยอลกระตุกยิ้ม ...เข้าใจดีว่าคนทั้งโลกไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นมิตรกันทุกคน แต่ไอ้เจ้าหนุ่มตัวขาวนี่ทำเอาเขาอยากเป็นมิตรเสียจริงให้ดิ้นตาย

     

     

    “นายพูดกับคนเช่าอย่างนี้ทุกคนเลยรึไงกัน”

     

     

    “คุณเป็นคนแรก”

     

     

    “ที่นายพูดแย่ๆใส่?”

     

     

    “เปล่า ที่มาเช่าบ้านหลังนี้”

     

     

     

     

    . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    ตีสองในชานเมืองเงียบสงบ แต่ไม่เชิงสงัด

     

     

    ปาร์คชานยอลยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง พลางครุ่นคิดถึงวิธีการเปลื้องชนักที่ปักหลังเขาตั้งแต่เดือนที่แล้วให้หลุดพ้นไป เขายังจำกลิ่นเหม็นไหม้และสาบเนื้อที่เป็นตอตะโกได้เป็นอย่างดี ราวกับว่าเหตุการณ์สยองขวัญนั้นเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ อย่างน้อยก็วันนี้ หรืออย่างมากก็เมื่อวาน

     

     

    เขาชั่งใจว่าควรจะตายเสียเดี๋ยวนี้เลยดีไหม? แต่เขาไม่มีอุปกรณ์อะไรที่เอื้อต่อการตายเลย เขาจำเป็นต้องมีมีด เชือกหนาแน่นซักเส้น หรือบางทีก็น้ำยาล้างห้องน้ำสองชนิดขึ้นไป

     

     

    ชานยอลวางหนังสือว่าด้วยโครงสร้างของหลักมนุษยธรรมลงบนหัวเตียง ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นล้มตัวนอนอย่างจริงจัง

     

     

    ทว่าการจริงจังในการนอนประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเสียเพียงไหน แต่เสียงกุกกักที่ดังมากจากชั้นสองก็พลัดพรากความพยายามของเขาไปจนสูญสิ้น

     

     

    เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น?

     

     

    ชานยอลครุ่นคิดเมื่อเสียงเตียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเดินไปยังแหล่งกำเนิดของเสียงเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับสถานที่สุดท้ายที่เขาเลือกจะปลิดปลงทุกองค์ประกอบของชีวิต

     

     

    ประตูไม่ได้ล็อคจากข้างใน ชานยอลจึงบิดมันอย่างช้าๆโดยไม่ลืมขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน

     

     

    “เจ้าหนู เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

     

     

    ไร้คำตอบใด

     

     

    “เฮ้! นายต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?!” อีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

     

     

    แต่นอกจากเสียงสั่นสะเทือนของเตียงนอนกับเสียงหายใจหอบถี่จนน่ากังวล ก็ไม่มีเสียงใดอีกที่เล็ดลอดออกมาจากห้องนั้น

     

     

    ชานยอลบันดาลความเป็นห่วงสถานการณ์ สุดท้ายเขาก็ดันประตูเข้าไป...

     

     

    เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านสวมเพียงบ็อกเซอร์ขาสั้นกุดตัวเดียวเท่านั้น แถมมันยังเป็นสีขาวกลืนไปกับเนื้อหนังจนแทบจะเหมือนคนแก้ผ้าอยู่รอมร่อ

     

     

    “เอ่อ...มี...อะไรให้ช่วยมั้ย?” คนที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตถึงกับหน้าร้อนผ่าว ความรู้สึกเก้อเขินกลับมามีบทบาทหลังจากความเศร้าหมองครอบคลุมพื้นที่มานานถึงหนึ่งเดือนเต็ม

     

     

    แบคฮยอนนอนงอตัวเป็นกุ้งหันหลังให้ชานยอล คนตัวเล็กหอบสะท้าน อยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้

     

     

    ที่แน่ๆ คืออยากจะพูดให้เคลียร์ว่าเขาไม่ได้กำลังทำอะไรวิตถารอย่างที่ไอ้โย่งไร้มารยาทนั่นกำลังคิด

     

     

    ชานยอลกลอกตาขึ้นฟ้า พยายามจะไม่มองผิวข้างแก้มของหนุ่มน้อยที่แดงเปล่งปลั่งทั้งยังชุ่มเหงื่อ เอาเป็นว่าเขาเข้าใจว่าฮอร์โมนกับวัยรุ่นนั้นเป็นของคู่กัน ถึงไอ้เด็กนี่จะดูไร้เดียงสายังไง แต่ก็หนีเรื่องพันธุ์นี้ไม่พ้นอยู่ดีสิน่า

     

     

    “โทษทีฉันไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท เชิญทำต่อตามสบายเลยเจ้าหนู” เขาทิ้งท้ายเชิงหยอกล้อ ก่อนจะก้าวถอยออกไปยืนหลังขอบประตู เผลอทิ้งสายตาไปที่สะโพกมนอีกครั้ง แล้วมือใหญ่ก็ดึงประตูให้ปิดลง

     

     

    “ร้อนแรงไม่ใช่เล่น” ชานยอลพูดขำๆกับตัวเองขณะเดินกลับห้อง เขาพยายามนึกถึงตัวเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน แน่นอนว่าเขาไม่เคยช่วยตัวเองจนเตียงสั่นไปถึงชั้นหนึ่งของบ้านอย่างที่ไอ้เจ้าหนูตัวขาวนั่นทำ

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    รุ่งเช้าอากาศมัวหมอง

     

     

    ไม่ใช่เพราะสภาพท้องฟ้าหรืออุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ แต่เป็นเพราะเจ้าของบ้านที่ไม่ให้ความร่วมมือใดๆทั้งสิ้นกับผู้อยู่อาศัย

     

     

    “นายชื่ออะไร?”

     

     

    “....”

     

     

    “บยอนแบคฮยอนใช่มั้ย ฉันเหมือนเห็นแวบๆในสัญญา”

     

     

    “...”

     

     

    “นี่ไอ้หนู ฉันแก่กว่านายคราวพ่อ ไอ้เรื่องเมื่อคืนน่ะไม่เห็นต้องอายเลย แมนๆคุยกัน”

     

     

    “...”

     

     

    “โอเคฉันจะไม่ล้อก็ได้ แต่นายช่วยส่งเนยนั่นให้หน่อยสิ” เขาหมายถึงกระปุกเนยที่อยู่ทางขวามือของเด็กหนุ่ม

     

     

    แบคฮยอนยังคงนิ่งเฉยขณะรอขนมปังเด้งขึ้นมาจากเครื่องปิ้ง เขาไม่สนใจว่าผู้ชายนิสัยไม่ดีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะมีเนยทาขนมปังหรือเปล่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว

     

     

    “นี่ไอ้หนู ฉันพูดกับนายดีๆนะ”

     

     

    เหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง

     

     

    “อย่ามาเรียกผมแบบนั้น! ผมไม่ใช่เด็ก!

     

     

    ชานยอลกระตุกยิ้มเมื่อเขากวนประสาทคนตรงหน้าสำเร็จ นึกชอบใจผิวแก้มแดงระเรื่อ เพราะมันช่างน่ามองเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด

     

     

    “โทษที ลืมไปว่านายไม่เด็กแล้ว” เขาจงใจใช้น้ำเสียงยียวนและสายตาที่จ้องลึกเหมือนรู้ทัน “โตเป็นหนุ่ม แถมยังกลัดมันซะด้วย”

     

     

    แบคฮยอนหยิบกระปุกเนยขึ้นมา ก่อนจะขว้างใส่ศีรษะของชานยอลเต็มแรง

     

     

    “คุณมันไอ้เฮงซวยที่สมองคิดแต่เรื่องสืบพันธุ์!

     

     

    ชานยอลหัวเราะในลำคอขณะมองตามสะโพกของเด็กหนุ่มที่กำลังเดินกระแทกเท้าหายขึ้นไปยังชั้นสอง เขาลูบบริเวณที่รู้สึกเจ็บแปลบเบาๆ ก่อนจะเปิดกระปุกสีเหลืองและทาเนยลงบนขนมปังที่เป็นอาหารง่ายๆสำหรับเช้าวันนี้

     

     

     

     

    . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    เบียร์สองกระป๋องกับยาฆ่าแมลงเพียงพอแล้วสำหรับการตายของเขา

     

     

    ชานยอลคิดวางแผนฆาตกรรมตัวเองในระหว่างที่หยิบของที่ซื้อมาจากมินิมาร์ทใส่เข้าไปในตู้เย็น พอจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินถือขวดนมจืดเข้าไปในห้องนั่งเล่น

     

     

    “ว่าไงไอ้หนู ฉันซื้อนมมาง้อนายด้วย” ชานยอลโยนขวดสีขาวใส่หน้าตักของเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา

     

     

    แบคฮยอนสะดุ้งเพราะความเย็นของขวดนม ร่างเล็กเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง “อย่าเรียกผมว่าไอ้หนู”

     

     

    “อ่ออีหนู ฉันซื้อนมมาให้เธอด้วย” กวนประสาทก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆเจ้าของบ้าน “ถ้าไม่อยากให้ฉันเรียกแบบนั้นก็บอกชื่อมาซักทีสิ”

     

     

    “บยอนแบคฮยอน” เด็กหนุ่มบอกปัดสีหน้ารำคาญ ทำท่าจะลุกหนีแต่ชานยอลก็ฉุดข้อมือบางเอาไว้

     

     

    “ฉันชานยอล” เขาแนะนำตัวและพยายามเป็นมิตรอย่างถึงที่สุด แต่คนอายุน้อยกว่าไม่คิดเช่นนั้น

     

     

    “นั่งลงก่อนสิ เราควรจะคุยกันดีๆนะ”

     

     

    แบคฮยอนมองคนพูดด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ทว่าสุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยอมนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง ด้วยหวังว่า เราควรจะคุยกันดีๆนะจะเป็นเรื่องจริง

     

     

    แต่มันก็ไม่

     

     

    “ก้นนายสวย”

     

     

    แบคฮยอนสติแตกครั้งแล้วครั้งเล่ากับผู้อยู่อาศัยคนใหม่ที่ทำตัวปากหมาใส่เขาไม่หยุดหย่อน เด็กหนุ่มบิดข้อมือออกจากกอบกุมแข็งแรงและทรงตัวลุกขึ้น แต่ชานยอลก็ดึงรั้งไว้จนคนตัวเล็กเสียหลักตกลงสู่ตักร้อนของชานยอลตามที่เจ้าของตักหมายมั่นเอาไว้

     

     

    “ฉันมีประกันชีวิตวงเงินสูงลิบลิ่ว ถ้านายทำตัวดีๆ บางทีเงินนั่นอาจจะเป็นของนายนะเจ้าหนู” ชานยอลพูดในสิ่งที่แบคฮยอนไม่เข้าใจและไม่อยากจะเข้าใจ

     

     

    “ฉันไม่ได้อยากจะมีเซ็กซ์กับนายหรือทำตัวหัวงูใส่” อันที่จริงก็มีคิดบ้างอะนะ

     

     

    “...”

     

     

    “ก็แค่...” เขาชะงักเพื่อหยุดคิด กลืนน้ำลายหนึ่งทีแล้วพูดต่อ “เราควรจะอยู่กันอย่างสันติ เป็นมิตร พูดคุย หยอกล้อ แต่ทำไมนายถึงได้ชอบตัวผยองอยู่เรื่อย ฉันอายุมากกว่าและสามารถเป็นพี่ชายให้นายได้”

     

     

    “ผมไม่ต้องการ” แบคฮยอนเถียงทันควัน “ที่คุณพูดมันก็มีส่วนถูก คุณมาอย่างเป็นมิตรแถมยังมีกลิ่นอายของแหล่งพักพิงที่ผมสามารถเฮฮาด้วยได้ แต่มันจำเป็นด้วยหรอที่ผมต้องตอบสนองคุณ”

     

     

    “...”

     

     

    “ขอโทษด้วยที่ผมไม่ใช่คนแฮปปี้กับชีวิตที่พร้อมจะไหลตามน้ำไปกับใครก็ได้ ...ผมไม่มีสิทธิ์มีความสุขอีกแล้ว”

     

     

    “...”

     

     

    “ผมไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข”  

     

     

    แบคฮยอนพูดยากๆคล้ายกับปรัชญา แต่แปลกที่ชานยอลเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วและถ่องแท้ เขาพอจะเดาได้ว่าเด็กหนุ่มได้ตกลงไปในหลุมบ่อที่ลึกราวหยั่งถึง และเขาเองก็หมดปัญญาจะฉุดรั้งคนตัวเล็กขึ้นมา เพระเขาได้ตกลงไปในหลุมที่ลึกกว่า หลุมแห่งความรู้สึกผิด หลุมแห่งการนึกโทษตัวเองที่เก็บเกี่ยวพลังใจมหาศาลไปจากเขาจนหมดสิ้น

     

     

    เขากำลังจะฆ่าตัวตายภายใน 24 ชม.นี้

     

     

    เมื่อความจริงข้อนั้นผุดพรายขึ้น ชานยอลจึงปล่อยร่างบนตักให้เป็นอิสระ แบคฮยอนรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่ป่วนปั่นจิตใจของชายหนุ่ม

     

     

     

     

    . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    ตีหนึ่งอากาศเย็นเฉียบ สายลมพัดแรงให้ไหวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย

     

     

    ชานยอลเปิดตู้เย็นและหยิบเบียร์ออกมาทั้งสองกระป๋อง เขาเปิดฝากระป๋องแรกออก ก่อนจะยกซดฟองเบียร์และน้ำสีอำพันให้ไหลลงบาดลำคอจนรู้สึกร้อนผ่าว

     

     

    เมื่อของเหลวกลิ่นแอลกอฮอล์พร่องไปมากกว่าครึ่ง เขาก็ออกแรงหักหัวสเปรย์ยาฆ่าแมลงกระป๋องใหญ่ ก่อนจะกรอกมันลงไปในกระป๋องเบียร์แทน

     

     

    ร่างสูงเดินจ้ำขึ้นไปยังดาดฟ้าที่อยู่บนชั้นสาม บ้านหลังนี้ออกแบบให้เป็นสไตล์ยุโรป ทันสมัยเหมือนอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกย่อสัดส่วน

     

     

    เขาเปิดเบียร์กระป๋องใหม่และจิบมันไปตลอดทาง รสชาติขมกรีดลิ้นกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำ กระนั้นสติก็ยังครบถ้วน

     

     

    ชานยอลเคาะกระป๋องอะลูมิเนียม เมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านก็อยู่บนดาดฟ้าเช่นเดียวกัน ร่างเล็กยืนชิดขอบปูนทำท่าคล้ายจะกระโดดลงไปได้ทุกขณะ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสั้นกุดที่เผยให้เห็นขานวลเนียนทั้งสองข้าง

     

     

    “ไง” เขาทักทายด้วยเสียงที่เปล่งออกจากลำคอ คราวนี้เด็กหนุ่มยอมหันมามองแต่โดยดี

     

     

    สายลมหวีดหวิวรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อบางตัวนั้นให้แนบลู่ไปกับเรือนร่างของแบคฮยอน พลันภาพที่ร่างเล็กนอนเปลือยกายหันหลังอยู่บนเตียงก็ผุดขึ้นมาในสมอง

     

     

    ชานยอลกลืนน้ำลาย รู้สึกประทับใจกับทรวดทรงที่ชวนให้หลงใหลไม่รู้จบ

     

     

    “มาโดดตึกตายหรอไอ้หนู” เขาล้อเล่นพลางก้าวขยับไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม

     

     

    ใช้เวลาไม่นานก็เข้าประชิดบยอนแบคฮยอนได้สำเร็จ ความมืดและฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ชานยอลเลือกที่จะมองข้ามคราบน้ำตาบนแก้มของหนุ่มน้อย

     

     

    “ความสูงแค่นี้ไม่ตายหรอก โดดลงไปอย่างน้อยก็ขาหัก หรืออย่างมากก็พิการ”

     

     

    แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่นพร้อมพ่นลมหายใจอย่างรุนแรงเมื่อคนอายุมากกว่าตัดสินเขาตามความคิดโลกแคบของตัวเองเป็นรอบที่สอง เด็กหนุ่มหาทางหนีทีไล่ จากนั้นก็เริ่มก้าวหนี แต่คราวนี้ชานยอลไม่ยอมง่ายๆ

     

     

    “อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนสิ” เขาว่าพลางจับต้นแขนนิ่มเอาไว้ อีกมือวางกระป๋องเบียร์ลงกับขอบปูน พวกมันไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าบยอนแบคฮยอนเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    ชั่ววินาทีนั้นชานยอลลืมไปแล้วว่าเขาจำเป็นต้องตาย...ตายหรือ?...เขาอยากกระสันจนขาดใจใต้ในอ้อมอกของเด็กคนนี้มากกว่า

     

     

    “ผมไม่มีอะไรจะคุย” มือเล็กดันแผ่นอกกว้างออก กลิ่นเบียร์ทำให้เขานึกรังเกียจผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นหลายเท่าตัว

     

     

    “ปล่อยผม”

     

     

    “ไม่เอาน่า”

     

     

    “ปล่อย! อ๊ะ!” ร้องเสียงหลงเมื่อถูกดันจนชิดขอบปูนและจับพลิกให้หันหน้าออกไปข้างนอก ชานยอลโอบเอวบางเอาไว้ จงใจใช้สิ่งนั้นของตัวเองถูไถกับเนินสะโพกอิ่ม

     

     

    “คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้” แบคยอนเค้นเสียงลอดไรฟัน ใบหน้าร้อนผ่านจากความกระดากอายและโกรธเคือง

     

     

    “โทษที แต่ฉันจะตายตาหลับได้ยังไงถ้ายังไม่ได้ลิ้มรสนายซะก่อน” ชานยอลพูดขำๆใกล้ใบหูที่แดงจัดของเด็กหนุ่ม แบคฮยอนพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด แต่พละกำลังของคนข้างหลังดูเหมือนจะมีมากมายเหลือเกิน

     

     

    ชานยอลถกเสื้อของเด็กหนุ่มขึ้น ก่อนจะถกกางเกงขาสั้นลง

     

     

    แบคฮยอนแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันที เมื่อรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายต้องการจะฉกฉวยสิ่งใดไปจากเขา

     

     

    “ได้โปรด” กลัวขึ้นมาจับใจจนเสียงสั่น แม้ช่วงนี้เขาจะอยู่คนเดียวและมีทีท่าว่าจะโตเกินวัยไปกว่าเพื่อนๆที่มีผู้ปกครองคอยขนาบข้าง แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องพรรคนี้มาก่อน ไม่แม้แต่จะคิดภาพตัวเองที่ถูกกุมมือโดยใครซักคน

     

     

    ชานยอลลูบทรวดทรงของคนในอ้อมกอดด้วยหัวใจที่สั่นหวิว แม้แบคฮยอนจะผอมบางจากการอดอาหาร แต่หนั่นเนื้อเฉพาะส่วนก็อวบอัดจนยากเกินกว่าที่เขาจะหักห้ามความรู้สึก

     

     

    มือใหญ่กอบกุมจุดศูนย์รวมความอ่อนไหวของร่างเล็กเอาไว้ แบคฮยอนสะดุ้งวาบ รู้สึกหายใจติดขัดและแสบร้อนที่ต่อมน้ำตา

     

     

    “คุณชานยอลครับ...ได้โปรดอย่าทำอะไรผมเลย” ร้องขออย่างที่ไม่เคยคิดจะเปล่งมันกับคนหยาบกระด้าง แบคฮยอนถูกครอบคลุมโดยความหวาดกลัวชนิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากร้องไห้เงียบๆ

     

     

    มือสากอีกข้างเริ่มลงน้ำหนักไปตามสัดส่วนที่ชวนหลงใหล หนุ่มน้อยช่างน่ารักและหวานละมุนไปเสียทุกพื้นที่

     

     

    “เซ็กซี่มากเด็กดี ฉันจะเริ่มแล้วนะ” ชานยอลให้สัญญาณ ก่อนที่เขาจะรูดรั้งของร้อนในมืออย่างหนักหน่วง แบคฮยอนสะอื้นไปพร้อมๆกับร่างกายที่ถูกย่ำยีโดยคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน

     

     

    บางทีนี่อาจเป็นเวรกรรมที่เขาได้ทำไว้กับครอบครัวก็ได้

     

     

    เป็นเพราะเดือนที่แล้วเป็นวันเกิดของเขา ทุกคนถึงได้บินมาเซอร์ไพรสเขาที่นี่

     

     

    ใช่แล้ว...นี่คงเป็นการชดใช้กรรมอย่างหนึ่ง

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    การตายของชานยอลถูกเลื่อนไป เขาต้องมั่นใจเสียก่อนว่าทรัพย์สินและเงินจากประกันชีวิตทั้งหมดของเขาจะตกเป็นของแบคฮยอนทันทีหลังจากที่เขาปลิดปลงชีวิตตัวเองสำเร็จ

     

     

    “คิดยังไงถึงได้ยกเงินจำนวนขนาดนั้นให้กับเด็กที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงอาทิตย์” คำถามมาจากรุ่นพี่คนเดิมที่พาเขามาส่งที่บ้านหลังนี้

     

     

    ชานยอลมองคนที่เขาโทรเรียกให้ช่วยมาเคลียร์เรื่องทรัพย์สินด้วยสายตาครุ่นคิด เอาเถอะ เขาขี้เกียจจะเบี่ยงประเด็นแล้ว

     

     

    “ผมเผลอไปมีอะไรกับเด็กนั่น”

     

     

    รุ่นพี่ร่วมอาชีพถึงกับยกมือขึ้นปิดปากเหมือนพวกผู้หญิงเวลาที่ตกใจถึงขีดสุด ชานยอลส่ายศีรษะไล่ความปวดหันขณะยกน้ำขึ้นจิบ

     

     

    ยอมรับว่ารู้สึกผิด แบคฮยอนบริสุทธิ์และเปราะบางเกินไปกับการกระทำที่ชั่วร้ายของเขา และเงินคงเป็นอย่างเดียวที่เขาจะชดใช้ให้ได้

     

     

    “คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

     

     

    “ใช่ ผมบ้า” บ้าพลัง ใส่ไม่ยั้ง จำได้ว่าเมื่อคืนบ้านแทบจะสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง

     

     

    “คุณไม่ควรจะทำแบบนั้นแม้ว่าเด็กจะสมยอมหรือไม่ก็ตาม”

     

     

    คุกเห็นๆ...ชานยอลนึกขัน แต่ก็ช่างประไร คนจะตายจำเป็นต้องกลัวคุกด้วยหรือ?

     

     

    “คุณน่าจะสงสารเด็กนั่นบ้าง เขาเพิ่งเสียครอบครัวไป”

     

     

    “หือ?” เป็นครั้งแรกที่ชานยอลรู้สึกว่าคำพูดของคนตรงหน้าไม่ไร้สาระ “คุณหมายความว่าไง”

     

     

    “ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าบ้านหลังนี้มีคนตาย”

     

     

    “ตายที่บ้าน?”

     

     

    “เปล่า ตกเครื่องบินตาย ที่เป็นข่าวดังเมื่อเดือนก่อนไง คุณจำไม่ได้หรอ?”

     

     

    ชานยอลครุ่นคิดไปซักพัก แล้วเขาก็จำพาดหัวข่าวที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อเดือนที่แล้วได้ มันกินเนื้อที่หน้าหนึ่งไปแทบทั้งหมด

     

     

    การตกอันน่าสยองขวัญของเครื่องบิน LBN เที่ยวบินที่ 351

     

     

    “มีใครตายบ้าง” ชานยอลตั้งคำถาม เขาอยากจะเช็คว่ามีความหวังหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่

     

     

    “ก็ทุกคนนั่นล่ะ มีแค่เด็กคนนี้คนเดียวที่ไม่ได้อยู่บนเครื่องในวันเกิดเหตุ”

     

     

    ไม่มี... ไม่มีเศษซากความหวังใดสำหรับเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กเพียงนิดเดียวคนนั้น

     

     

    ผมไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข

     

     

    ชานยอลไพล่คิดไปถึงคำพูดที่ฟังดูเจ็บปวดที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา ก่อนจะนึกไปถึงอาการนิ่งเงียบเหมือนยินยอมพร้อมใจของเด็กหนุ่มที่มีต่อเขา เมื่อคืนแบคฮยอนไม่ได้ขัดขืนเท่าที่ควร ...นั่นเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขด้วยหรือเปล่า?

     

     

    ชานยอลรู้สึกปวดหนึบในหัวใจ

     

     

    แน่นอนว่าถึงเขาจะเคยเป็นฆาตกรทางอ้อมด้วยการฆ่าผู้หญิงที่เขารัก แต่เขาก็ยังเป็นปุถุชนธรรมดาที่อ่านหนังสือว่าด้วยเรื่องของมนุษยธรรม เขาไม่ใช่คนเย็นชาไร้ความรู้สึก

     

     

    ถ้าเขารู้ข้อมูลนี้ล่วงหน้า...ถ้าเขา

    ถ้า...

     

     

    เป็นอีกครั้งที่ชานยอลคิดว่า ถ้าเขา...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    มีต่อพาร์ท 2

    ช่วงนี้ยุ่งมากตามธรรมเนียมของการเปิดเทอม TT ฮือ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×