ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    'Neck' n 'Neck' { chanbaek }

    ลำดับตอนที่ #4 : - c h a p t e r : 3 -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.85K
      7
      3 ก.ค. 57










     

    ตารางฝึกเป็นไปอย่างทารุณที่สุดในสามโลก

     

     

    ผมต้องตื่นขึ้นมาวิ่ง 8 กิโลเมตรบนลู่วิ่งที่ปรับความชันแบบไต่เนินเขา ถูกควบคุมอาหาร และบังคับให้ฝึกทักษะการต่อสู้

     

     

    ผมเป็นปรปักษ์กับพวกเขาทุกนาที ผมเอาแต่คิดว่าทำไปทำไม? ผมต่อต้าน ผมรังเกียจ

     


     

    แต่สุดท้ายบทลงโทษของการช่างสงสัยก็จบลงด้วยเรื่องบนเตียงอีกเช่นเคย แอดวานซ์หน่อยก็ช็อตไฟฟ้าและถีบตกสระน้ำจนหัวกบาลเหม็นอับไปด้วยกลิ่นคลอรีน

     


     

    เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ทำให้ผมแทบบ้า เหนื่อยจนหลับสนิททุกคืน แต่เช้ามืดก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาทรมานร่างกายอีกครั้ง ...แต่ถึงแม้ว่าจะเจ็บใจเจ็บกายแค่ไหน ทว่าทุกทีที่ส่องกระจก ผมก็พบว่าตัวเองไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้ น้ำตาจะปริ่มอยู่ที่ขอบ แต่มันก็ไม่ยอมไหลลงมาเพราะว่าผมหาคำตอบไม่ได้ว่าผมจะเสียใจไปทำไม ...พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ผมรับรู้อะไรเลย

     

     

     

    “วันนี้ทำได้ดี” ชานยอลเอ่ยชม(?)พลางเท้าแขนลงบนไหล่ของผมที่นั่งกินมื้อกลางวันอยู่คนเดียวบนโต๊ะอาหาร ก็เมนูเดิมๆ เนื้อม้าอัดกระป๋อง วิตามินรวมเพื่อโด๊ปร่างกาย กับพวกไฟเบอร์เทียมที่รสชาติแย่เหมือนกินหญ้าสดๆ

     

     

    “ยังคิดหนีอยู่อีกรึเปล่า” เขาถามแล้วใช้สองแขนคล้องคอผมไว้จากทางด้านหลัง และเป็นเพราะว่าเขายืนอยู่ เงาของเขาก็เลยปกคลุมผมเอาไว้จากแสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านผืนผ้าม่าน

     

     

    ผมวางช้อนกับกระป๋องเปล่ากระแทกโต๊ะดังโครม “ทุกลมหายใจ!” ผมตอบตามจริง ผมเกลียดที่นี่ เกลียดเขา เกลียดตัวเองที่งี่เง่าทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งเหมือนควายที่ถูกสนตะพายไม่มีผิด

     

     

    ชานยอลหัวเราะเสียงแหบในลำคอ เขาเดินอ้อมเก้าอี้มานั่งคร่อมหน้าตักของผมเอาไว้ น้ำหนักที่ทิ้งลงมาเล่นเอาหน้าขาชาดิก

     

     

    ผมดิ้นพร้อมดันเขาออก แต่ร่างกายแข็งแกร่งนั้นยังคงทะนงอยู่ตำแหน่งเดิม ชานยอลเกลี่ยปอยผมไปทัดไว้ที่หลังหูให้ผม นิ้วอุ่นพรมสัมผัสอ้อยอิ่งก่อนจะบีบติ่งหูของผมแน่น

     

     

    “ฉันจะให้รางวัลสำหรับการเป็นนักสู้ที่ดี” เขาว่าอย่างนั้น ก่อนที่ผมจะรู้สึกเหมือนมีแม็กซ์เจาะลงไปที่ปลายหู เสียงกรึ๊บนั้นดังก้องในความรู้สึก

     

     

    “คุณทำอะไรน่ะ!?” ผมถามตาขวาง ปัดมือเขาออกและใช้มือคลึงที่ปลายหูของตัวเอง มันมีวัตถุหนึ่งเจาะลงไป ...ตุ้มหู?

     

     

    “สวยดี” เขาว่า จากนั้นก็ลุกออกไปนั่งเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร ผมยังคงคลึงติ่งหูที่ชาหนึบอยู่อย่างนั้น ความสงสัยทำให้ผมหยิบช้อนบนโต๊ะขึ้นมาส่องดูเงาสะท้อนของสิ่งแปลกปลอมที่เพิ่งเจาะลงบนร่างกาย

     


     

    สิ่งที่เห็นคือจิวสีเงินและมีเพชรแวววาวเม็ดเล็กๆประดับอยู่ตรงกลาง เมื่อเบี่ยงองศาการมองมันจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินบ้าง สีแดงบ้าง 


     

     

    พอรู้แล้วว่าเป็นอะไร ผมก็วางช้อนลง มองไปยังทางเจ้าของจิวที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วยแววตาใคร่สงสัย

     

     

    ชานยอลจุดยิ้มบางแต่ดวงตาเย็นชาไม่เปลี่ยน เขาผายมือเชิญให้ทานอาหารต่อ แต่ผมไม่อยากกินร่วมโต๊ะกับเขา

     

     

    “ผมอิ่มแล้ว ขอตัว”

     

     

    “นั่งลงถ้านายอยากรู้อะไรมากกว่านี้”

     

     

    “???”

     

     

    “วันนี้เราจะมีตติ้งกัน แน่นอนว่านายมีสิทธิ์ตั้งคำถาม”

     

     

    ข้อเสนอของเขาหอมหวานน่าดู ผมจึงกระแทกตัวลงบนเก้าอี้อีกครั้ง  ไม่นานจงอินกับเซฮุนก็เดินเข้ามา พวกเขาสองคนไม่มีส่วนร่วมในการฝึก นานๆครั้งถึงจะโผล่มาช่วยฝึกบางทักษะให้ผม แต่ก็ลงเอยด้วยการมีปากมีเสียงร่ำไป เซฮุนชอบทำตัวเย็นชาและดูถูก ในขณะที่จงอินก้าวร้าว บ้าพลัง

     

     

    ส่วนปาร์คชานยอลก็ทั้งเผด็จการ ทั้งข่มขู่  และสุดท้ายบยอนแบคฮยอน สิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวในบ้านที่ยอมจำนนและเหนื่อยหน่ายกับชีวิตในแต่ะวันจนแทบบ้าตาย

     

     

     

     ทั้งสามคนไม่ได้กินอาหารกระป๋องรสชาติห่วยเหมือนกับผม พวกเขากินอาหารในตำนานอย่างเช่นสปาเก็ตตี้ ไก่อบ เนื้อย่าง


     

    ผมนึกว่าของพวกนี้สูญพันธุ์ไปแล้วซะอีก

     

     

    “มีอะไรจะถามหรอสเมิร์ฟ”

     

     

    ทันทีที่เซฮุนถามแบบนั้น จงอินก็หัวเราะจนน้ำชาที่เพิ่งกินเข้าไปกระฉอกออกจากปาก ผมจ้องเซฮุนเขม็ง คิดไม่ออกว่าตัวเองเหมือนสเมิร์ฟเตี้ยๆนั่นตรงไหน จะไม่แปลกใจเลยถ้าเขาเรียกผมว่าเคนธีรเดช

     

     

    “ขอบคุณสำหรับฉายา” ผมชี้หน้าเขา “นายมันผีจูออนจอมผยอง ส่วนนายก็ปลาแห้งตากแดดจนไหม้”

     

     

    “...”

     

     

    “และปาร์คชานยอล คุณมันไอ้หูบิน”

     

     

    จงอินลุกพรวดขึ้นมาหวังจะต่อยผม ผมรีบเลื่อนเก้าอี้หลบหมัดที่พุ่งเข้ามาอย่างฉิวเฉียด พวกเขาก็แบบนี้ ด่าว่าคนอื่นได้สารพัด แต่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอนโดนสวน

     


     

    “แน่จริงอย่าหลบดิวะ!” จงอินคำราม

     

     

    “แน่จริงก็ต่อยให้มันโดนสิ อ่อนเองแล้วอย่ามาโทษ” ผมแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนอย่างกวนประสาท  ถึงการขู่กรรโชกและทำร้ายร่างกายจะทำให้ผมยอมจำนนบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าตลอดไป พวกเขาฝึกผมให้เชื่องไม่ได้ มันไม่ใช่สันดานของผม

     

     

    “จงอิน..นั่งลง” หัวหน้าทีมยุติสงครามขนาดย่อมด้วยคำสั่งนั้น เจ้าของชื่อชี้หน้าคาดโทษผม ก่อนจะยอมนั่งลงแต่โดยดี

     

     

    “ส่วนนาย ถ้าเปิดโอกาสให้แล้วจะไม่ถามอะไร ก็ออกไปฝึกซะ”

     

     

    ผมเม้มปาก กลอกตาเหมือนว่าเบื่อหน่าย “โอเคงั้นคำถามแรก ทำไมทั้งองค์กรถึงมีคนแค่นี้”

     

     

    “เพราะจำนวนคนมีผลต่อความลับเสมอ เราทำงานกันแบบลับๆ และที่สำคัญคนที่ฉันเลือกก็มีทักษะครอบคลุมทุกอย่างแล้ว”

     

     

    ตาคมปรายไปที่ผีจูออน “เซฮุนชำนาญด้านไอที พูดได้ทุกภาษา”

     

     

    ผมแสร้งปรบมือชื่นชม “เก่งจัง! สงสัยตอนเด็กๆแม่จิ๋มให้กินวุ้นแปลภาษา”

     

     

    เซฮุนก็แค่มองค้อน เขาไม่ใช้กำลังกับผมเหมือนอย่างที่จงอินชอบใช้หรอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรังแกผมหรอกนะ เขาก็แค่รังเกียจที่จะแตะต้องโดนผมก็เท่านั้น

     

     

    “ส่วนจงอินถนัดการต่อสู้ทุกรูปแบบ ประสาทสัมผัสไว”

     

     

    ผมเบ้ปาก “แต่ความอดทนต่ำ”

     

     

    ซ่า!

     

     

    แล้วน้ำเย็นเฉียบก็สาดเข้ามาเต็มหน้าด้วยฝีมือของปลาแห้งตากแดดจนไหม้ ...เห็นมั้ยล่ะว่าเขามันความอดทนต่ำจริงๆ

     

     

    ผมใช้มือลูบหน้าที่ฉ่ำแฉะก่อนจะถามคำถามที่สอง “แล้วทำไมต้องเป็นผม? จะบอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมพูดได้แค่ภาษาบ้านเกิด ใช้คอมพิวเตอร์ห่วยแตก ต่อสู้ไม่ชำนาญ และการศึกษาไม่ซึมเข้าหัว!

     

     

    “สงสัยลีลาเด็ด”

     

     

    ผมหันควับไปทางเซฮุน ไอ้จูออนนี่จะดูถูกกันจนวันตายเลยใช่มั้ย!

     

     

    “นายมีดีกว่าที่คิด” ชานยอลพูดนิ่งๆ “เมื่อถึงเวลานายก็จะรู้เอง”

     

     

    “เวลา? เวลาอะไร?”  แปดโมงเช้าวันอังคารรึไง มีอะไรก็บอกสิ!

     

     

    “ฉันจะบอกอีกทีหลังจากที่ผลงานนายดีขึ้นกว่านี้” เขาหมายถึงผลการฝึกทักษะต่างๆ ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมไปทางปาร์คชานยอลที่นั่งนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้งนายแบบ

     

     

    เอาล่ะ...โชว์ฝีมือกันหน่อยเป็นไง

     

     

    ผมกวักมือเรียกเขาอย่างท้าทายก่อนจะตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้ ชานยอลกระตุกหัวคิ้วหรี่ตามองผมคล้ายว่าสมเพช

     

     

    “มาดวลกันสิหูบิน เลิกคิดว่าบยอนแบคฮยอนเป็นแค่หมูในอวนซักที”

     

     

    เซฮุนกลั้วหัวเราะ ทำสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะกล้าท้าทายอำนาจมืดแบบนี้

     


     

    ผมตั้งการ์ดและกระโดดโหยงเหยงเป็นการวอร์มร่างกายระหว่างที่รอให้หัวหน้าองค์กรจอมเก๊กยอมรับคำท้า ชานยอลนิ่งอยู่ซักพักก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขายาวสองข้างก้าวมายังผมช้าๆ

     


     

    ผมยังถือคติเดิม...ออกหมัดก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง

     


     

     

    ปั่ก!

     

     

    ชานยอลใช้ฝ่ามือรับหมัดผมเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขาแช่ค้างไว้ซักพักก่อนจะใช้มือใหญ่โตรวบมือผมเอาไว้ บิดอย่างแรงจนกระดูกลั่น

     


     

    “โอ๊ย!!” ผมร้องอย่างเจ็บปวด  ไม่ทันได้ทำอะไรต่อก็ถูกดึงเข้าไปปะทะอกแกร่ง ชานยอลฉีกเสื้อผมออกจนขาดวิ่น จากนั้นก็ผลักผมออกไป

     

     

    ผมเซจนเกือบล้ม ตาถลึงมองเขาอย่างโกรธแค้น

     

     

    “ย๊า!!” ผมพุ่งเข้าไปหวังจะเตะตัดกลางลำตัวของคนเก๊กโหด แต่แล้วเขาก็จับข้อเท้าของผมได้ และทำแบบเดียวกันกับข้อมือ นั่นคือบิดอย่างแรงจนผมรู้สึกเหมือนกระดูกได้แตกออกจากกันเป็นร้อยๆส่วน

     

     

    ชานยอลดึงขาผมขึ้นสูง ส่งผลให้ร่างกายส่วนบนร่วงลงกระแทกพื้นแข็ง จากนั้นเขาก็ดึงกางเกงออกและปาทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

     

     

    ทั้งตัวจึงเหลือแค่กางเกงชั้นใน

     

     

     

    จงอินตบโต๊ะชอบอกชอบใจเป็นพิเศษที่ได้เห็นผมแพ้ราบคาบ  ชานยอลเตะก้นผมเบาๆเหมือนจะหยอกล้อก่อนจะเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม

     

     

    สุดท้ายผมก็ได้แต่นอนโป๊กุมข้อเท้าเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ...ฮึ่ย ถ้ามีโอกาสผมเอาคืนไอ้หูบินนั่นสาหัสแน่ๆ!

     

     

    “เลิกเพ้อฝันว่าจะเอาชนะฉันได้แล้ว” เขาพูดขณะเหล่มองผมด้วยหางตา มือยกน่องไก่ขึ้นมากัด ก่อนจะโยนกระดูกลงมาตรงพื้นที่ผมนั่งอยู่

     

     

    “ไปฝึกซะ และอาทิตย์หน้าอย่าให้ฉันถอดเสื้อผ้านายได้แม้แต่ชิ้นเดียว”

     

     

     

     

     

     

    30%






     


     

    “ฉันเกลียดเจ้านายแกที่สุดในโลกเลย! เกลียดๆๆๆๆๆ เกลียด!!

     

     

    “...”

     

     

    “มีทางไหนที่ฉันจะเอาชนะหมอนั่นได้บ้างนะ แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ”

     

     

    “...”

     

     

    “ถามทำไมไม่ตอบเล่า!

     

     

    “...”

     

     

     

    โอเค...โอเคว่าหมีแพนด้าพูดภาษาคนไม่ได้



     

    ผมพรูลมหายใจก่อนจะเลิกซักไซร้ไอ้เจ้าหมีตัวเท่ารถถังที่เป็นเพื่อนเพียงตัวเดียวของผมในยามนี้ แต่สงสัยว่าไอ้ด้าจะคิดต่าง มันน่าจะเห็นผมเป็นทาสรับใช้มากกว่ามิตรสหาย เพราะชานยอลมอบหน้าที่เลี้ยงมันให้กับผม เก็บขี้ ให้อาหาร อาบน้ำ ...ทุกอย่างเหมารวมมาที่บยอนแบคฮยอน!

     

     

     

    “แบคฮยอน!!


     

     

    นั่นไง เรียกใช้กันอีกละ



     

    ผมทำเป็นหูทวนลม เดาว่าอีกเดี๋ยวคุณหัวหน้าทีมก็จะเดินปั้นหน้ายักษ์มาหาเรื่องผมอีก


     

     

    “แบคฮยอน!


     

     

    ว่าไงน้องสาว พี่ไม่ได้ยินหรอกจ่ะเบเบ้

     

     

     

    และผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งกระชั้นเข้ามา ผมถือสายยางสำหรับอาบน้ำไอ้ด้าพันธุ์ดุไว้แน่น ...มาเลยปาร์คชานยอล มาอาบน้ำกับแพนด้าน่าเกลียดของนายซะ



     

    “แบคฮยอน!

     

     

    เสียงเรียกครั้งสุดท้ายดังขึ้นข้างหลัง ผมยิ้มกริ่มและหันไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว กะว่าจะทำเป็นตกใจฉีดน้ำใส่เขาแล้วค่อยขอโทษที่หลัง ประมาณว่าไม่ได้ตั้งใจนะมือมันไปเอง

     

     

     

    ว่าแล้วผมก็หันขวับ กดหัวสายยางให้น้ำแรงถึงขีดสุด

     

     

     

    ซู่!!

     

     

    หึหึ น้ำแรงดันสูงพุ่งไปข้างหน้า ส่งผลให้ทั้งตัวเปียกปอนยังกะลูกหมาตกน้ำ


     

     

    เปียกเต็มๆ! ...ผมเนี่ยเปียกเต็มๆเลยไอ้เหี้ยยยย!

     

     

     

    แม่งไอ้หูบินนั่นเสือกถือโล่เหล็กมาบัง น้ำเลยสะท้อนพุ่งกลับมาทางผมทุกหยาดหยด สะอาดหมดจดเหมือนสาวบริสุทธิ์ก็ไม่ปาน ...ฮืออออ ขอเอาคืนบ้างสิว้อย!


     

     

    ผมสะบัดหัวเพื่อไล่น้ำออก ตาก็จ้องปาร์คชานยอลที่ยืนหน้าตายอยู่อย่างโกรธเคือง

     


     

    “เรียกทำไม!

     

     

    เขาหลุดขำน้ำเสียงสมเพช มือใหญ่ทิ้งโล่ลงข้างตัวก่อนจะควักบ้างสิ่งจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตส่งมาให้ผม

     

     

    “ออกไปซื้อของตามรายการนี้ให้หน่อย”

     

     

    “ออกไป?” ผมก้มมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ สลับกับมองหน้าเขาอย่างสงสัย

     

     

    “ฉันพูดเข้าใจยากตรงไหน”

     

     

    “ก็ไม่ แต่คุณให้ผมออกไป ออกไปข้างนอกอ่ะนะ”

     

     

    ปาร์คชานยอลพยักหน้า....พระเจ้า!นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอนุญาตให้ผมออกไปจากบ้านผีสิงหลังนี้! ทั้งอาทิตย์ผมเพียรพยายามปีนกำแพงหนีไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไอ้หูบินนั่นมีอันต้องลากคอผมลงมาลงโทษอยู่ร่ำไป แต่ครั้งนี้ดันออกปากให้ผมออกไปเอง

     


     

    เฮ้ยมันบ้าว่ะ


     

    หวานหมูผมดิงานนี้ อั๊ยย่ะ แค่คิดก็สะดิ้ง อยากไปช้อปปิ้งที่พารากอน



     

    “โอเคไม่มีปัญหา” ผมรับปากหน้านิ่ง พอปาร์คชานยอลเดินจากไปแล้วผมก็เต้นแทงโก้เลยครับ อิสระเป็นของคนหล่อเสมอ


     

     

    ผมกำกระดาษในมือแน่นก่อนจะก้าวเท้าเดินไปตามทางมุ่งสู่โลกภายนอก ก่อนจากกันผมก็ไม่ลืมหันไปโบกมือให้ไอ้ด้าอ้วนกลมที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่าหนึ่งอาทิตย์



     

     

    เฮ้!ไอ้เพื่อนยาก เราคงต้องจากกันแล้วล่ะ

     

     

    โชคดีนะพ่อเทพบุตร รักษาตัวด้วย

     

     

    มันไม่ได้ตอบมาหรอกครับ แต่ผมอ่านสายตามันออก มันคงอยากจะบอกผมแบบนั้นจริงๆ

     

     


     


     

    พวกเรา Let’s go!


     

    ผมลิงโลดออกมาผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้างอย่างอัตโนมัติ ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีทองผ่องอำไพ เฮ้ยเราจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน!!

     

     

     

    เอาเถอะ ผมจะรอให้เดินออกมาจากบ้านนั้นได้ซักสามกิโลก่อนแล้วค่อยหาลู่ทางหลบหนี ด้วยความที่ไร้บ้านมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมชำนาญผังเมืองเป็นพิเศษ ผมรู้หมดอ่ะครับว่าตรงไหนมีกล้องวงจรปิด ตรงไหนมีทางลัด และตรงไหนเป็นทางตัน

     


     

    เรียกได้ว่าเป็นนกรู้ในเรื่องนี้กันเลยทีเดียว ระยะทางห่าเหวอะไรผมกะได้สบายๆจากเมืองหลวงไปจนถึงเมืองข้างเคียง ประหนึ่งมีเบิร์ดอายวิว

     

     

     

     

    ซักพักสองขาก็พาร่างมาถึงตรอกที่คุ้นเคย ผมล้วงมือควานหาเศษเงินในกระเป๋า

     

     

    ในนั้นมีแบงค์ใหญ่แบงค์เล็กอยู่ประมาณแปดหมื่นสองพันวอน (ขโมยมาตอนจงอินวางกระเป๋าทิ้งไว้ แต่มันไม่รู้ตัวครับ สงสัยรวยจัด)

     


     

    อ่ะนะ มากพอจะซุกตัวอยู่ในโรงแรมหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยต่อรถไปกบดานต่างจังหวัด รอซัก 2-3 เดือน ค่อยกลับเข้ามาทำมาหากินที่นี่ใหม่ ป่านนั้นชานยอลก็คงมีเด็กปั้นคนใหม่ที่ดีกว่าผมแล้ว ลากันทีนังหูบินพิฆาตแบคทีเรีย

     

     

     

    ว่าแล้วผมก็หันหน้ามองซ้ายขวาเพื่อเช็คว่ามีคนตามมาหรือเปล่า พอทางสะดวกผมก็รีบย่ำเข้าไปในโรงแรมแคปซูลที่เคยมาพักเมื่อหลายปีทีแล้ว




     

    “หนึ่งคืน” ผมบอกความประสงค์พร้อมวางเงินห้าพันวอนลงบนเคาท์เตอร์  อาแปะแก่ๆเจ้าของที่นี่รับเงินไป ก่อนจะโยนคีย์การ์ดใส่หน้าผมเต็มๆ

     

     

    สัด มารยาทดีเป็นศรีแก่ตัว

     

     

     

    เอาเถอะเราจะไม่เรื่องมากในยุค 3014 ... พอรู้เลขห้องอะไรเสร็จสรรพ ผมก็แบกร่างที่ยังชื้นจากน้ำที่ เอ่อ ฉีดใส่ตัวเอง เข้าไปยังห้องเลขตอง 999

     

     

     

    คับแคบประหนึ่งนอนในโลงศพ ห้องแม่งเล็กจนสงสัยว่านี่ผมอ้วนหรือวิศวะกรมันออกแบบห้องมาเท่าจิมิมดจริงๆวะ ถ้าตดทีนี่เหม็นไปสามวันอ่ะ

     

     

     

    ผมถอนหายใจทิ้งยาวๆก่อนจะเอนตัวลงนอนบนเตียงที่น่าอึดอัด โชคยังดีที่มีช่องแอร์เล็กๆตรงปลายเท้า ทำให้ผมไม่รู้สึกแย่มากซักเท่าไหร่

     

     

     

    ผมนอนมองกำแพงที่อยู่ห่างตัวไปไม่ถึงเมตรด้วยความนิ่งสงบ รู้สึกว่าตัวเองเริ่มตกตะกอนและครุ่นคิดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับมาทั้งอาทิตย์

     

     

     

    พลันทั้งร่างก็ร้าวระบม มันเหมือนเวลาที่เราเป็นแผลแต่เราไม่รู้ตัว ถ้าไม่มองมันก็ไม่เจ็บ แต่พอตาเหลือบไปเห็นเท่านั้นแหละ แม่งเจ็บจี๊ดดดดมาถึงเซลล์สมอง

     

     

     

    ผมกำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่ ยิ่งคิดว่าตัวเองไปโดนอะไรมาบ้าง ร่างกายก็เริ่มเจ็บตามจุดต่างๆตามแต่ประสบการณ์ที่ได้รับมา ผมยกมือขึ้นลูบท้อง เมื่อหวนคิดไปถึงกระสอบทรายหนักๆที่ฟาดเข้ามาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตอนที่ผมพูดว่าจะไม่ฝึกอะไรอีกแล้ว

     

     

     

    จมูกได้กลิ่นสาบไหม้เมื่อคิดไปถึงตอนที่ถูกช็อตไฟฟ้า แล้วก็ได้กลิ่นคลอรีนจากสระน้ำที่เคยโดนถีบลงไป  รู้สึกเจ็บที่ไหล่เพราะว่าชานยอลเคยใช้เล็บจิกมันและลากไปทั้งบ้าน เจ็บที่หัวเข่า คุณรู้มั้ยว่าผมล้มกระแทกลู่วิ่งทุกวันที่วิ่งไปถึงกิโลเมตรที่ห้า มันไม่ไหวจริงๆ แต่เขาก็บังคับให้ผมวิ่งไปจนกว่าจะถึงกิโลเมตรที่แปด

     

     

     

    ผมคิดถึงฉากที่ชานยอลใช้เซรุ่ม...

     

    อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปกุมที่อกข้างซ้าย ...ในนี้ของผมมันเจ็บที่สุดเลย





     

    ผมไม่ได้ตายด้านแบบคนพวกนั้นเสียหน่อย ผมมีหัวใจ แล้วทำไมผมจะไม่รู้สึกล่ะ




     

    สุดท้ายผมก็เลื่อนมือขึ้นมาหนุนแทนหมอน ผมโตพอจะยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง แต่มันจบลงแล้ว และจากนี้ไปมันจะไม่มีอีกแล้วกับความทรมานที่วัดค่าไม่ได้เหล่านั้น มันก็แค่ครั้งหนึ่งในชีวิต ก็แค่...ก็แค่ไม่เกิดขึ้นอีกเป็นหนที่สอง

     

     

    เปลือกตาเริ่มหนักหน่วง ผมกระพริบตาถี่ๆเพื่อดูดดึงหยดน้ำที่ซึมมาเอ่อตรงขอบตาให้ไหลย้อนกลับไป ...นอนซะแบคฮยอน พรุ่งนี้ยังมีภารกิจอีกมากให้ทำ


     

    พอคิดอย่างนั้นผมก็หลับตาสนิท ผ่อนความเกร็งในกล้ามเนื้อ ปล่อยให้ความง่วงทำงานได้อย่างเต็มที่


     

     

    แต่แล้วมันก็ยังมีห่วงหนึ่งที่ผมสะบัดไม่ออก ...ผมนึกขึ้นมาได้ว่าชานยอลมอบกระดาษให้แผ่นหนึ่งก่อนใช้ให้ผมออกมาข้างนอก



     

    เขาต้องการให้ผมซื้ออะไรกลับไปกันนะ?



     

    ว่าแล้วผมก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหยิบกระดาษเจ้าปัญหาออกมา

     

     

    แล้วฉันจะออกตามหา คิดถึงนายเสมอที่รัก

     

     

     

    มือที่จับกระดาษชาดิก จากนั้นก็ลามเรื่อยมาจนถึงใบหน้า รู้สึกชาราวกับว่าโดนสาปให้กลายเป็นก้อนหิน



     

    ผมกระพริบตาถี่ๆ แต่ข้อความในนั้นก็ยังคงเป็นข้อความเดิม พยายามคิดว่าเขาแค่กลั่นแกล้ง เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าผมซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่...ไม่มีทาง



     

    แต่ความคิดย้อนแย้งที่ว่าคนอย่างปาร์คชานยอลทำได้ทุกอย่างก็ทำให้ผมรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก



     

    หนี คือคำเดียวที่ก้องกังวานอยู่ในหัว




     

    ผมกระโจนออกจากห้องแคปซูล ทรุดตัวลงสวมรองเท้าลวกๆ ก่อนจะวิ่งออกทางประตูด้านหลังของโรงแรม

     


     

    ผมต้องหาที่ซ่อนตัวที่มิดชิดกว่านี้ เป็นความลับกว่านี้ ...หรือผมควรจะออกต่างจังหวัดภายในวันนี้เลยดีนะ??

     


     

    ในระหว่างผมที่กำลังสับสน ท้องฟ้าก็เริ่มมืดดำขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานพระจันทร์ก็คงขึ้นมาทำหน้าที่แทนดวงอาทิตย์ ...ผมควรจะเอายังไงกับชีวิตเฮงซวยนี่ดีนะ กัดลิ้นให้ติดเชื้อตายห่าไปเลยดีมั้ย?



     

    ไม่ดีหรอก ผมยังไม่อยากตาย



     

     

    ความต้องการดำรงอยู่ทำให้ผมสับขาวิ่งสี่คูณร้อย รถประจำทางไปต่างจังหวัดจะออกทุกๆหนึ่งชั่วโมง รอบที่ผมเล็งไว้คือหนึ่งทุ่ม ซึ่งผมมีเวลาอีกแค่สิบห้านาทีเท่านั้น เพราะถ้าไม่ทันและต้องรอรถเที่ยวต่อไป ก็แปลว่าความปลอดภัยของผมจะลดลง

     

    เอ๋วิ่งดีเอ๋วิ่ง!!!

     

     

     

     
     

    ปรี๊ดดด!

     

    เสียงนกหวีดที่ได้ยินประจำกันในท่ารถโดยสารทำให้ผมหยุดวิ่ง ...ถึงแล้ว!



     

    “แฮ่กๆๆ พี่ ตั๋วรถไปคยองกีเที่ยวหนึ่งทุ่มใบนึง”


     

    “รถเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง”

     

     

     

    เหมือนฟ้าผ่าลงตรงหน้า

     

    แต่แล้วสวรรค์ก็เปิดทางให้คนดี ... รถคันใหญ่แล่นมาจอดเทียบท่าที่ว่างเปล่า ผมอึ้ง คนขายตั๋วก็อึ้ง

     

     

    “สงสัยพี่เบลอ ขึ้นเลยๆ” คนขายตั๋วสแกนบัตรให้และต้อนผมขึ้นรถ


     

     

    กลิ่นแอร์และเบาะหนังทำให้ผมชื่นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องหมายการันตีว่าผมหนีไอ้หูบินสำเร็จแล้ว



     

    รอไม่นานคนก็ทยอยขึ้นมานั่งจนเต็มรถ ข้างๆผมเป็นเด็กผู้ชายอายุไม่น่าเกินสิบขวบ ผมยิ้มให้ แต่เด็กนั่นชูนิ้วกลางตอบ

     

    ขอบคุณ  -_-

     

     

     

    ผมนวดต้นคอคลายความเมื่อยล้าก่อนเอนหัวพิงกระจก เสียงเครื่องยนต์คำรามเป็นสัญญาณว่าล้อกำลังจะหมุน แล้วผมก็เคลิ้มหลับไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อากาศเย็นจัดจนผมสะดุ้งตื่น


     

    เด็กที่นั่งข้างผมหายไปแล้ว...



     

    ผมขมวดคิ้วมุ่นพร้อมชะโงกหน้าไปมองเบาะนั่งแถวอื่น ก่อนจะพบว่าผู้โดยสารหายไปเกือบครึ่งขบวน หายไปไหนกันนะ? ขอลงข้างทางอย่างนั้นหรอ?

     


     

    ทันใดนั้นเอง ชายแก่ๆที่นั่งเบาะถัดไปก็เกิดความผิดปกติ ผมจ้องเขาเขม็ง ร่างเหี่ยวๆนั่นกลายเป็นภาพซ่าๆเหมือนโทรทัศน์ขาดสัญญาณ ซ่าและพร่าเลือน จากนั้นก็สูญหายไปราวกับถูกดูดกลางอากาศ


     

     

    ผมขนลุกไปทั้งร่าง

     


     

    สองมือยกขึ้นขยี้ตา แต่แล้วผู้โดยสารคนอื่นๆก็เกิดปฏิกิริยาเดียวกัน นั่นคือซ่าเป็นภาพพิกเซล แล้วก็ดับหายไป



     

    ผมร้องอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองนอกรถ



     

    พระเจ้า!!! ข้างนอกมีแต่กลุ่มเมฆสีดำทะมึน รถมันลอยขึ้นฟ้ามาได้ไงวะ!!

     


     

    ผมเบนดวงตาที่เบิกจนแทบถลนกลับมายังตัวรถอีกครั้ง ปรากฏภาพสามหนุ่มนรกส่งมาเกิดยืนกอดอกจ้องหน้าผมตาเป็นมัน ในมือมีอาวุธที่ผมเกลียดที่สุดในโลกอยู่คนละเข็ม

     


     

    ชิบหายละกู แกล้งเป็นลมแล้วกันนะ

    คร่อก!

     

     

      

     

     

     

     

     

     

    100%

     

    TALK

    กระทิงแดงมาจ้างแบคฮยอนเป็นพรีเซนเตอร์ได้นะ

    นางเป็นตัวแทนของคนสู้ชีวิต

     

    ก็ไม่ต้องกลัวฟิคเรื่องนี้มาก อยากให้อ่านกันชิวๆ เป็นฟิคทางเลือกนะเลิฟยู

    มีอะไรขาดเหลือก็ตำหนิติเตียนเราได้ มีคำผิดก็ด่าเลยสะกิดแรงๆ5555

    ขอบคุณค่า -/\-

    #fic3014

     

     



     








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×