ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Second Plan {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #4 : - [ The Second Plan ] : chapter 3 -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.66K
      65
      9 พ.ย. 56


    The Second Plan




     

    -chapter 3-















     

     

    “เอาโทรศัพท์มาให้ฉันเดี๋ยวนี้!ผมตะโกนโวยวายทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะตัวในสุดของร้านนาบี  ซึ่งเป็นร้านอาหารขนาดกลางที่อยู่ในละแวกหอพักเจ้าหน้าที่ตำรวจ

     

    ปาร์คชานยอลยิ้มกวนประสาทส่งมาให้ เขาเสยผมที่ปรกหน้าผากไปทางข้างหลังด้วยท่าทีสบายๆก่อนจะพยักเพยิดให้ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา

     

    ผมถลึงตามองอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี  ตอนนี้หมอนี่รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเซฮุน บางทีเขาอาจจะรู้ว่าคนรักของผมอยู่ที่ไหนก็เป็นได้

     

    “ดีใจจังที่คุณมา”

     

     

    ชานยอลไม่ใช่คนเฟรนด์ลี่ เขาไม่มีไมตีจิตรที่จริงใจเลยซักนิด บุคลิกของเขามันจำพวกอาร์ทติสโลกส่วนตัวสูง บางอย่างบอกผมว่าเขามันประเภทถือตัว หยิ่งผยอง แต่ก็ฉลาดพอจะไหลลื่นไปตามสถานการณ์ รวมถึงการแสร้งเป็นมิตร  ดังนั้นผมจึงเกลียดรอยยิ้มที่เหมือนเอาปากกาเมจิกมาวาดแต่งของเขาเป็นอย่างมาก  มันไม่จริงใจเลย  มุมปากของเขาฉีกยิ้มขึ้นมา ยิ้มกว้างมากจนเห็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม

    แต่ให้ตาย...ดวงตาเขาแม่งโคตรเย็นชา!

     

     

    ต่างจากผมโดยสิ้นเชิง พวกคุณอาจจะคิดว่าผมงี่เง่า ขี้โวยวาย ...อ่ะนะ มันก็ใช่ ผมไม่ปฏิเสธหรอก ผมเป็นคนเปิดเผย แบบว่าไงล่ะ... อือ ก็ประมาณว่าตรงไปตรงมา ผมมีตัวตนเดียว นั่นก็คือผมอย่างที่พวกคุณเห็นนั่นแหละ อารมณ์ผมขึ้นๆลงๆ คิดอะไร ท่าทางก็จะแสดงไปตามความรู้สึกนึกคิดในตอนนั้น มีหลายครั้งที่ผมพยายามกดความรู้สึกเอาไว้ แต่สุดท้ายความเป็นผมก็มักจะเผยออกมาอยู่ดี 

    ผมเป็นผม เป็นแบคฮยอนมิติเดียว

     

     

    “ทำไมนายถึงใช้เบอร์นั้นโทรมา?”  ผมถามเขาเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ได้ตะคอกเหมือนประโยคที่แล้ว

     

    “คุณว่าวันนี้ฝนจะตกรึเปล่า” ชานยอลลดรอยยิ้มลงนิดนึง ตอนนี้เขาดูยียวน และในแววตามีอะไรบางอย่างเต้นระริกอยู่

     

    “นายมีโทรศัพท์นั่นได้ยังไง?”

     

    “ถ้าตกล่ะก็ ผมต้องเป็นหวัดแน่ๆเลย”

     

    อะไรบางอย่างที่ว่า ไม่ใช่ความใจดี ไม่ใช่ความอ่อนโยน

     

    เขาก็แค่กำลังตื่นเต้นและชอบใจ ที่เห็นว่าตัวเองอยู่เหนือผมไปอีกหนึ่งระดับ เขาคงคิดว่าตัวเองเป็นพญามังกร เพียงเพราะได้รู้บางอย่างที่ผมต้องการจะรู้

     

     

    “เอาโทรศัพท์มา!” ผมตบโต๊ะดังปังพร้อมขู่ตะคอก  แต่สิ่งที่ผู้หมวดปาร์คทำ มีเพียงหัวเราะหึหึ แล้วก็เรียกพนักงานมาจดเมนูอาหาร

     

    ชานยอลสั่งไก่ทอดซอสถั่วเหลือง ซุปกระดูกหมู พาจอน ซุนดูบู ข้าวเปล่าสองที่ และเครื่องเคียงของเขาไม่เอากิมจิ

     

     

    ผมสูดหายใจเข้าลึก การข่มอารมณ์โมโห มันฝืนใจมากๆราวกับถูกบังคับให้กินน้ำผักชีปั่นยังไงยังงั้น

     

     

    “เป็นคนเกาหลีซะเปล่า นายไม่ชอบกินกิมจิหรอ?”

     

    หมวดปาร์คเคาะนิ้วบนโต๊ะ เหมือนเขาจะเคาะเป็นจังหวะเพลงอะไรซักเพลง เพลง Boyfriend ของ Justin bieber มั้ง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

     

    “ผมไม่ชอบของหมักดอง” เขาว่า

     

    พอเขาเริ่มตอบตรงคำถาม ผมก็ถามคำถามที่ต้องการคำตอบแบบจริงจังอีกรอบ

     

    “นายใช้เบอร์นั่นโทรมาหาฉันได้ยังไงหรอ?”

     

    “คุณตอบผมมาก่อนสิ คุณคิดว่าไง? วันนี้ฝนจะตกมั้ย?”

     

    ผมมองเขา...ไม่ได้ถลึงตา ไม่ได้ข่มขู่อะไร

     

    ผมตัดพ้อ

    ใช่ ...น่าสมเพชนิดหน่อย แต่ผมก็ทำไปแล้ว 

     

     

    ผมอยากให้เขารู้ว่าเขาทำเกินไป การเอาความรู้สึกของผมมาล้อเล่นน่ะมันเกินไปจริงๆ  ถ้าเขาเป็นผมและอยู่ๆดีแฟนก็หายไป แถมแม่ของแฟนก็ยังมาถูกฆ่าตายแล้วล่ะก็ เขาคงไม่มีความสุขแน่ถ้าใครซักคนโทรหาเขาด้วยเบอร์ของคนรัก และตัดความหวังเขาดังฉับ ด้วยการเฉลยว่า ...เฮ้ นี่ฉันไม่ใช่แฟนนายหรอนะ พอดีว่าบังเอิญได้โทรศัพท์เครื่องนี้มาน่ะ

     

     

    “คุณดูน่ารักเวลาทำสีหน้าแบบนี้”

     

    “...”

     

    “จริงๆนะ ดูดีกว่าเวลาทำตัวกร่างเดินเชิดหน้าไปทั่วสน.”  หมวดปาร์คยิ้มๆ ทำเหมือนว่าคำพูดของเขามันจริงใจ  แหวะ...จริงใจตาย

     

    “ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ...ว่าเราจะไม่มีทางสนิทกันได้ด้วยวิธีแบบนี้!

     

    ร่างสูงยักไหล่  “เราอยู่ทีมเดียวกัน”

     

    “แต่นายกำลังทำให้ฉันปวดหัว!

     

    “การถามตอบ น่าจะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น ผมอยากสนิทกับคุณนะ อย่างน้อยคุณก็หัวหน้าผม”

     

    “อ๋อหรอ นี่นายเพิ่งรู้ตัวหรอว่าตัวเองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา”

     

    “ถามเลยก็แล้วกัน... คุณเป็นอะไรกับเจ้าของโทรศัพท์”

     

     

    คุณเคยเห็นมนุษย์กลายร่างเป็นปีศาจมั้ย?

    ชานยอลกำลังเป็นแบบนั้น  ตอนแรกเขายิ้มแย้ม แต่พอคำถามหลุดออกมา ท่าทางเขาก็กลายเป็นเหมือนปีศาจ เขาข่มขู่ผมจากทางสายตา

     

    เหมือนว่าตอนนี้ร้านนาบีกลายเป็นห้องสอบสวยแคบๆในสถานีตำรวจ  ส่วนผมก็กลายเป็นลู่หานที่ถูกสอบปากคำ ส่วนชานยอลก็กลายเป็นผมเมื่อตอนกลางวันของวันนี้

     

    “คุณเป็นอะไรกับโอเซฮุน”

     

    น้ำเสียงของเขาทำให้ผมกลัวนิดๆ

     

    “คุณกับเขาเป็นอะไรกัน”

     

    ไม่นิดล่ะ...กลัวมาก

     

    “บอกผมมา...คุณเป็นอะไรกับเขา”

     

     

    ผมกลืนน้ำลายลงคอ  ถ้าผมเป็นผู้ร้ายในห้องสอบสวนจริงๆแล้วล่ะก็ ผมก็เป็นผู้ร้ายที่รู้ข้อกฏหมายดีเลยล่ะ การสารภาพจะลดโทษให้เรากึ่งหนึ่ง ผู้ร้ายที่ฉลาดคือผู้ร้ายที่พูดความจริง

     

     

    “คนรัก...เป็นคนรัก”

     

    ผมว่าชานยอลรู้อยู่แล้ว เขาแค่ต้องการความชัวร์เท่านั้น

     

    “คุณรักเขา?”

     

    “ไม่ใช่ เรารักกัน”

     

    “พวกคุณรักกัน หรือคุณรักเขา?”

     

    “เรารักกัน! นี่นายต้องการจะสื่ออะไรกันแน่!

     

     

    ไม่ทันที่เราจะได้วางมวยกันอีกรอบ ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่งก็เดินเข้ามาถึงโต๊ะของเขา

     


     

     

    “ซื้อกุหลาบมั้ยจ๊ะพ่อหนุ่ม?”

     

    ผมกลอกตาเซ็งๆ ทำไมร้านถึงปล่อยให้คนพเนจรเข้ามาขายของกันล่ะเนี่ย

     

    ชานยอลปฏิเสธอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม  “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้วันหลังถ้าผมมากับแฟน ผมจะอุดหนุนนะครับ”

     

     

    โอ๊ย ยายแกคงต้องรอทั้งชาติเลยแหละ!

    ไอ้หมวดชานยอล ฉันขอแช่งให้แกขึ้นคาน!

     

     

    คุณยายหัวเราะเบาๆ มองผมสลับกับหมวดปาร์ค สายตาของหล่อนทำเอาผมอยากรู้อยากเห็น  มองแบบมีเลศนัยอย่างนี้หมายความว่าไง!

     

     

    “งั้นก็ไม่เป็นไรจ่ะ เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้” หญิงชราหอบกุหลาบที่เป็นหมันจากพวกเรากลับไป แต่ช่วงจังหวะออกเดิน แกก็พลาดท่าล้มคะมำลงกับพื้น

     

    “อ๊ะ!” ผมอุทานอย่างตกใจ ก่อนจะพุ่งไปช่วยพยุงร่างมอมแมมของเธอ

     

    ช่วงที่เนื้อสัมผัสเนื้อ เหมือนว่าผมถูกฟาดด้วยแส้ มันเปรี๊ยะๆเลยล่ะ

     

     

    หญิงชราผู้ขายกุหลาบหันมามองผมด้วยแววตาตระหนก  “ระวัง!

     

    ผมขนลุกซู่  ระวัง? ระวังอะไร?

     

    “เจ้ากำลังจะเสียคนรัก”

     

    “...”

     

    “คนที่เจ้ารัก.. เจ้าจะต้องเสียเขาไป”

     

    “....”

     

    “ภายในเจ็ดวัน!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ไม่เอาน่าผู้กอง มันก็แค่คำพูดลอยๆของผู้หญิงแก่หง่อมคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

    ชานยอลวางมือลงบนมือที่วางไว้บนโต๊ะของผม  ตอนนี้อาหารมาเสิร์ฟครบหมดแล้ว แต่ผมกลับกินอะไรไม่ลง

     

    “นายไม่เข้าใจหรอก” ผมพูดเรียบๆพลางชักมือกลับ

     

    “ผมไม่คิดเลยนะว่าตำรวจอีโก้สูงอย่างคุณจะเชื่อคำทำนายอะไรแบบนั้น”

     

    “ฉันไม่เคยเชื่อ ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนหรอก ศาสตร์พวกนี้ไร้สาระ...”

     

    “...”

     

    “แต่ถ้าแฟนของนายหายตัวไปเหมือนฉันล่ะก็ เป็นนาย นายก็คงอดจะใจหายไม่ได้หรอก”

     

    “...”

     

    “ผู้หญิงคนนั้นหมายความว่าเซฮุนจะตายภายใจเจ็ดวันอย่างนั้นหรอ”

     

     

    ผมช้อนตามองหมวดปาร์ค อยู่ดีๆน้ำตาผมมันก็รื้นขึ้นมา

    ยอมรับเลยว่าผมโคตรกลัว

     

     

    หมวดปาร์คกวักมือให้ผมไปนั่งฝั่งเดียวกับเขา และร่างกายของผมมันก็ตอบสนองคำสั่งของเขาอย่างง่ายดาย โดยการเดินต้อยๆไปนั่งแหมะอยู่ข้างคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้า

     

     

    ชานยอลคีบไก่ทอดใส่ปากผม แล้วผมก็รับมันมาเคี้ยวโดยไม่ปริปากบ่นอะไรซักคำ พอกลืนลงคอน้ำตาก็ไหล

     

    เขาตักแกงเต้าหู้ขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนและป้อนมันให้ผม  ผมกินข้าวทั้งน้ำตา  มันน่าตลกที่ผมมานั่งร้องไห้ให้เขาโอ๋เป็นเด็กแบบนี้

     

    แล้วผมก็ไม่เข้าใจการกระทำของหมวดปาร์คเลยซักนิด เขามาทำดีกับผมขนาดนี้เพื่ออะไรนะ?

     

     

    พอข้าวหมดจาน เขาก็ส่งน้ำมาให้ผมดื่ม ผมดื่มจนหมดแก้ว ก่อนจะนั่งเงียบๆ รอให้ชานยอลเป็นฝ่ายกินมื้อเย็นในส่วนของเขาบ้าง

     

     

    เส้นผมของเขาเป็นสีน้ำตาล ไม่ได้รับการจัดทรงด้วยเจล เขาหวีผมรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ แล้วเวลาที่เขายกมือขึ้นเสยผมที่ดูยุ่งๆ มันค่อนข้างเป็นการกระทำดูดีมาก

    ตัวของเขาก็สูง สูงพอๆกับเสาไฟฟ้าประจำสน.อย่างคริสอู๋

     

     

    “มองอะไร?”

     

    ผมรีบหันหน้าไปทางอื่น “เปล่า”

     

    “ผมเห็นคุณมอง”

     

    “มองไม่ได้รึไงกันเล่า!

     

    ชานยอลหัวเราะเบาๆ เขาคีบไก่ทอดให้ผมอีกชิ้น แต่ผมอิ่มแล้ว

     

     

    “ก็เหมือนพวกผู้หญิงที่ยอมรับว่าคนอื่นสวยนั่นแหละ บางที่ผู้ชายอย่างเราก็มีมุมนั้นเหมือนกัน”

     

    “คุณกำลังยอมรับว่าผมหล่อหรอ?”

     

    ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่มันก็เป็นไปตามนั้นแหละ

     

    ชานยอลหัวเราะ เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด

     

     

    เขากินต่อจนหมด  พอเช็คบิลเสร็จเขาก็หันมาพูดกับผม

     

    “เราไปคุยกันต่อที่ห้องของผม  โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมไม่รู้ว่ายอมตกลงไปได้ยังไง แต่สุดท้ายผมก็เดินตามเขาออกจากร้านไปต้อยๆ  ร้านนี้อยู่ใกล้กับหอพักตำรวจ ผมว่าซักยี่สิบแปดก้าวก็น่าจะถึง

     

     

    “ช่วยด้วย!!! ช่วยลูกสาวของฉันด้วยคะ!! ใครก็ได้ช่วยที! ฮืออ”

     

     

    เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือทำให้เลือดตำรวจของเราพุ่งพล่าน ชานยอลกับผมหันมามองหน้ากัน ก่อนที่เขาจะวิ่งนำผมไปยังที่เกิดเหตุ

     

     

     

    ถัดจากหอพักตำรวจไปหนึ่งช่วงตึก มีชายท่าทางเหมือนเมายากำลังใช้มีดจี้คอตัวประกันที่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง

     

    พระเจ้า! กล้ามากไปมั้ย มาอาละวาดแถวย่านตำรวจเนี่ย!!

     

     

    “ถอยไป! ไม่ถอยกูแทงจริงๆนะเว้ย!! บอกว่าอย่าเข้ามาไง!” คนร้ายตวาดแล้วเหวี่ยงเด็กไปตามทิศทางการเคลื่อนที่ของเขา

     

    มีชาวบ้านมุงดูอยู่เป็นสิบ และก็มีพวกตำรวจคนอื่นๆยืนคุมเหตุการณ์อยู่ด้วย

     

     

    “ผู้กองบยอนครับ เอาไงดีครับ พวกผมตะล่อมมาสิบนาทีได้แล้ว คนร้ายไม่มีท่าทีอ่อนลงเลยครับ” พลตำรวจที่ไกล่เกลี่ยสถานการณ์อยู่เดินมาเล่าสถานการณ์ให้ผมกับชานยอลที่เพิ่งมาถึงฟัง

     

    ผมกระชับเสื้อวอร์มที่ใส่ทับเครื่องแบบหนึ่งครั้ง  “คนร้ายจะเอาอะไร?”

     

     

    “กรี๊ดดดดด!!” แม่ของเด็กกรีดร้องเมื่อเห็นว่าคมมีดกรีดเข้าเนื้อบางๆของลูกสาวของเธอ แผลคงไม่ลึกมาก แต่เด็กน้อยที่ตกใจกลัวก็ยิ่งร้องไห้จ้าเสียงดัง

     

     

    “เอาไงดี” ผมหันไปถามความเห็นหมวดปาร์คอย่างร้อนใจ  อีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  เขาไม่ตอบคำถามผม แต่ก้าวเข้าไปใกล้คนร้ายมากขึ้นหนึ่งก้าว

     

     

    “ถอยไป! แกอยากให้เด็กนี่ตายหรวะ!!

     

    ผมรีบดึงชานยอลออกมาทันที เพราะกลัวว่าเด็กจะได้รับอันตราย

     

    ชานยอลปัดมือผมออก เขาเดินเข้าไปอีกครั้ง  ท่าทีของเขาสงบนิ่ง มีอำนาจ เหมือนมนตรา...เขาดูเหมือนตำรวจที่มีความชำนาญในการเกลี้ยกล่อม

     

     

    “นายต้องการอะไร?” เขาถามโทนเสียงปกติ แต่สองมือยกมือมาปรามกลางอากาศ เหมือนจะกล่อมให้คนร้ายใจเย็นๆ

     

    “อย่าเข้ามานะเว้ย!

     

    “อยากได้อะไรก็บอกมาสิ”

     

    คราวนี้คนร้ายหันปลายมีดมาทางผม “มึง! ไอ้ผู้กองบยอน!

     

     

    เหมือนถูกแรงอัดจากรถบัมพ์  ผมจำได้แล้วว่าเขาคือใคร

     

     

    “คังจองวู” ผมเผลอครางออกมาอย่างลืมตัว

     

    ชานยอลที่เห็นท่าทางตกใจของผมหันมามองเหมือนต้องการความกระจ่าง

     

     

    ผมเม้มปาก  รู้สึกใจหาย

     

     

    “กูจะทำให้มึงจำวันนี้ไปจนตาย!! เด็กนี่จะต้องตายเพราะมึง!!

     

     

    ผมจ้องตาคนร้าย  ตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ มันเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น

     

    “เอาฉันไป ...เอาฉันไปแทน”

     

     

    ผมก้าวเดินไปให้อยู่ตำแหน่งเดียวกับชานยอล  พยายามไม่สนใจสายตานับสิบคู่ของชาวบ้านที่พุ่งตรงมา  และสายตาของแม่เด็กที่เป็นกังวลและสงสัย

     

     

    “คังจองวู เอาฉันไปแทนเถอะ” ผมต่อรองอีกครั้ง  แต่คนร้ายเหวี่ยงเด็กอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบ เด็กแน่นิ่งไป พร้อมเสียงกรี๊ดกร๊าดของผู้มุงดู

     

     

    ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ  ผมกระพริบตาไม่ได้  และมันคงเป็นจุดประสงค์ของจองวูอยู่แล้ว ...เขาไม่อยากให้ผมพลาดช็อตไหนไปแม้แต่ช็อตเดียว

     

     

    เขาเป็นคนร้ายคดียาเสพติดที่ถูกผมจับกุมเมื่อหลายปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้กองเลยด้วยซ้ำ

     

    เขามีลูกชายที่ยังเล็กอยู่คนหนึ่ง  ตอนนั้นเขาคุกเข่าอ้อนวอนว่าถ้าผมปล่อยเขาไป เขาสัญญาว่าจะไม่กลับไปยุ่งกับยาเสพติดอีก

     

     

    แต่ผมก็จับเขา ...เขาเป็นคนผิด

    ความเป็นตำรวจบอกให้ผมใจแข็ง 

     

     

    สุดท้ายผมก็ลากเขาเข้าตาราง

     

     

    มันนานมาแล้ว  คดีของเขาไม่หนักหนาเท่าไหร่  เขาคงถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อเร็วๆนี้

     

     

    “ขอร้องล่ะ เปลี่ยนตัวเด็กเป็นฉันเถอะ” ผมเดินลึกเข้าไปเกินกว่าตำแหน่งการยืนของชานยอลแล้ว  หมวดปาร์คจับเสื้อของผมเอาไว้ เหมือนว่าเตรียมจะดึงผมกลับออกไปทุกเมื่อ

     

    “อย่าเข้ามา!!” คนร้ายเหวี่ยงเด็กที่หมดสติไปแล้วมาบังตัวเองไว้  เด็กเหมือนตุ๊กตาด้ายขาด เพราะเธอไม่เหลือสติใดๆ

     

     

    เหมือนมีมือมาบีบที่หัวใจ  ถ้าผมไม่ได้เป็นตำรวจ  ถ้าตอนนี้ไม่ติดว่าต้องช่วยเด็ก  ผมคงนอนกับพื้นแล้วร้องไห้งอแงออกมาแล้ว

     

     

    “มึงทำลูกของกูตาย!! กูจะทำให้มึงได้รับบทเรียน!! กูจะสอนมึงเอง!

     

    เข่าผมทรุดลงกระแทกพื้น แต่ผู้หมวดปาร์คเข้ามาพยุงไว้  “ลูกนาย..ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ”

     

    “มึงขังกูไว้! เพราะมึง! กูก็เลยไม่ได้อยู่ในวาระสุดท้ายของลูก เพราะมึงคนเดียว!!

     

     

    ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร  แต่ถ้าให้เดา  ลูกของจองวูคงจะประสบอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเสียชีวิต ในระหว่างที่คนเป็นพ่อยังชดใช้ความผิดอยู่ในคุก

     

     

    ผมไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย...

    ผมควรจะทำยังไงดี??

     

     

    “ทะ..ถ้างั้น ถ้าเป็นแบบนั้น นายก็ต้องเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่สิ  นายจะฆ่าเด็กต่อหน้าแม่ของเธอหรอ! ได้โปรดจองวู! คนที่นายสมควรฆ่าคือฉัน เอาฉันไปแทนเถอะนะ ปล่อยเด็กออกมาเถอะ  ฉันขอร้อง” ผมพยายามเกลี้ยกล่อม ก่อนจะหันไปมองผู้หมวดปาร์ค  อ้อนวอนให้เขาปล่อยมือออกจากชายเสื้อของผม

     

     

    ผมคิดดีแล้ว คราวนี้ผมตัดสินใจแล้ว

     

     

    จองวูมีท่าทีลังเล  ผมก้าวเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีก  ยื่นมือไปขอตัวเด็ก พร้อมส่งสายตาเว้าวอน

     

    ได้โปรด...

     

     

    “นะ...แล้วนายถ้านายฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่ว่าอะไรเลย”

     

    ผมขยับเข้าไปจนประชิดตัวคนร้าย ยื่นมือข้างหนึ่งแตะลงบนตัวเด็ก  จองวูจ้องผมเขม็งด้วยดวงตาแดงก่ำจากฤทธิ์ของยาเสพติด

     

     

    เขาปล่อยตัวเด็กให้ล่วงหล่นสู่พื้นคอนกรีต ก่อนจะตวัดเอาผมไปจี้เป็นตัวประกันแทน

     

    “ผู้กอง!!” พลตำรวจร้องอย่างตกใจ เมื่อผมเข้าสู่อุ้งมือคนร้ายเป็นที่เรียบร้อย

     

    ผมส่งสายตาให้หมวดปาร์คมารับเด็กไป  ร่างสูงมีท่าทีสงบนิ่ง

     

     

    แล้วคำถามที่เขาถามผมในร้านอาหารก็ได้รับคำตอบ...

    คำถามที่ว่าวันนี้ฝนจะตกไหม?

     

     

    ของเหลวจากฟากฟ้าโปรยปรายลงมา  พวกชาวบ้านจึงวิ่งไปสังเกตสถานการณ์ใต้ตึกที่อยู่ห่างไปอีกหลายเมตร

     

    บริเวณนี้จึงเหลือเพียงผม คนร้าย หมวดปาร์ค พลตำรวจอีกสามคน และแม่กับลูกสาว

     

     

    จองวูรัดคอผมอย่างแรงด้วยความแค้นเคืองที่ปะทุตลอดในหัวใจของเขา  กำปั้นหนักๆจากมือที่ไม่ได้ถือมีดทุบลงบนหลังของผมหลายต่อหลายมัด

     

     

    เขาคงแค้นใจมาก

     

     

    “เอารถมาให้ฉัน!!” คนร้ายตะโกนบอกเงื่อนไข  แต่หมวดปาร์คนิ่ง  พลตำรวจอีกสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ผมจึงคิดให้เขา

     

    “เอารถมาเถอะ”

     

    “แต่ผู้กองครับ!” พลตำรวจตะโกนตอบมาแข่งกับสายฝนที่ตกลงมาหนักเรื่อยๆ

     

     

    ผมเม้มริมฝีปากแน่น ปลายมีดกดลงมาจนผมรู้สึกได้ แต่คิดว่าเลือดคงยังไม่ออก ...มั้ง

     

     

    “เอารถมา!!” จองวูคำรามอีกครั้ง  ผมพยายามบอกให้เขาใจเย็นๆ

     

    “ใจเย็นนะจองวู พวกเราต้องดูอาการเด็กก่อน  หมวดปาร์ค ช่วยเอาเด็กไปที” ผมมองชานยอลที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่

     

     

    ผมส่งสายตาบอกให้เขาช่วยอุ้มเด็กไปคืนแม่

     

     

    ชานยอลจึงเดินเขามาใกล้พวกเรามากขึ้น  เขาเฉยชา  เย็นเยียบกว่าน้ำฝนที่ตกลงมาในตอนนี้ซะอีก

     

     

    เขาก้าวเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเพราะช่วงขาที่ยาวทำให้มาถึงตัวเด็กอย่างรวดเร็ว

     

     

    ผมคิดว่าเขากำลังย่อตัวลงช้อนตัวเด็ก  แต่ไม่เลย

     

     

    มันเกิดขึ้นเพียงชั่ววินาที  ผมไม่ทันได้หายใจเลยด้วยซ้ำ...

     

     

    ผลั่ก!!

     

     

    ขาแข็งแรงเตะที่สีข้างของคนร้าย ก่อนที่ชานยอลจะดึงแขนที่คนร้ายใช้รัดคอผมอยู่ให้คลายออก ก่อนที่เขาจะบีบท่อนแขนนั้นอย่างแรงจนผมได้ยินเสียงกระดูกลั่น

     

    จองวูมือสั่นจนทำมีดตก และจังหวะนั้นเองที่ชานยอลสวนเข่ากระแทกเข้าไปที่ท้องน้อย เสยหมัดไปที่ปลายคางดังผั๊วะ

     

     

    คนร้ายกระเด็นไปนอนหมดท่าบนพื้นเปียกแฉะ ชานยอลใช้ปลายเท้าเตะให้คนร้ายนอนคว่ำหน้า ก่อนจะคุกเข่าไปใส่กุญแจมืออย่างง่ายดาย

     

    จองวูคำรามเสียงดังอย่างคับแค้น หมวดปาร์คจึงใช้สันมือทุบต้นคอเขาอย่างแรง

     

     

    “พอได้แล้วชานยอล!!” ผมวิ่งเขาไปดึงร่างสูงให้ลุกขึ้น ก่อนที่เขาจะลงมืออะไรไปมากกว่านี้  แต่เรื่องเลวร้ายก็ยังไม่ยอมจบ จองวูพลิกตัวนอนหงายก่อนจะใช้เท้าเตะหน้าแข้งของหมวดปาร์คอย่างแรง ทำให้ชานยอลเดือดดาลขึ้นมาอีก  เขาผลักผมออก ก่อนจะเตะไปที่ท้องคนร้ายสามทีจนครางร้องโอดครวญและนอนตัวงอ

     

     

    “ฉันบอกให้พอได้แล้ว!! ปล่อยเขาไป!! อย่าทำอะไรเขาอีก เขาเจ็บปวดมามากพอแล้ว!!

     

     

    คราวนี้ชานยอลหันมามองผม  สายตาของเขาราวกับว่ามีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในนั้น

     

     

    “ฟังนะผู้กอง นี่มันไม่ใช่ความผิดของคุณ!!

     

    “...”

     

    “การรู้สึกผิดไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจ  ถ้าตำรวจจะต้องรู้สึกผิดที่ทำในเรื่องที่ถูกต้อง บ้านเมืองจะมีตำรวจไปทำไม!!

     

    “ปาร์คชานยอล!”

     

    “การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรพวกเรา แต่มันขึ้นอยู่กับสามัญสำสึกของพวกเขาเอง!! ผู้ร้ายจะคิดได้หรือไม่ได้มันก็เรื่องของเขา! เรามีหน้าที่แค่จับคนผิดเข้าคุก!

     

    “...”

     

    “คุณทำถูกแล้ว...เข้าใจที่ผมพูดมั้ย”

     

     

    แล้วผมก็เข้าสู่อ้อมกอดของผู้หมวดชานยอลอย่างรวดเร็ว

     

     

    นายตำรวจสามคนช่วยกันพยุงคนร้ายไปที่สน. แม่ของเด็กเข้ามาดูอาการลูกสาว ก่อนที่พวกชาวบ้านจะช่วยกันโทรเรียกรถพยาบาล

     

     

    ส่วนผมก็ยืนร้องไห้อยู่กับอกที่แข็งแกร่งและอบอุ่น

     

     

    “ฮือออ”

     

    “อย่าร้องไห้สิ”

     

    “ฮึก ฮือออ ลูกชายเขาตาย เรื่องไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ฮืออ” ผมสะอื้นให้ปาร์คชานยอลลูบแผ่นหลังเพื่อปลอบประโลม

     

     

    ฝนตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆจนเสียงของมันกลบไซเรนรถพยายาล

     

     

    ชานยอลกอดผมแน่นขึ้น  เขาคงเป็นพ่อมดแปลงร่างมาแน่ๆ  เขาปัดเป่าความทุกข์ใจที่กัดกินจิตวิญญาณของผมให้บรรเทาลงได้

     

     

    “ตำรวจเป็นอาชีพที่ใจร้ายนะผู้กอง...”

     

    “....”

     

    “ผมก็ใจร้าย คุณก็ใจร้าย  เราต้องใจร้ายพอจะยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง คุณจะใจอ่อนให้ผู้ร้ายไม่ได้”

     

     

    ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีน้ำตาเข้ม  ชานยอลยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มแรกที่ผมคิดว่ามันไม่จอมปลอม

     

     

    “อย่าร้องไห้สิ...เอาเป็นว่า ถ้าเป็นกับคุณ ผมจะแกล้งทำตัวว่าเป็นคนใจดีก็แล้วกัน”

     

     

    แล้วไอ้ผู้หมวดปาร์คก็หัวเราะเหมือนชอบใจที่ได้เห็นผมร้องไห้ เขาโยกตัวผมไปมาเหมือนปลอบเด็ก  ก่อนจะทำแบบเดียวกับที่ผู้กองอู๋ทำ  คือการบังคับให้ผมขึ้นไปเหยียบบนหลังเท้าของเขา  แล้วพาผมก้าวไปยังหอพักตำรวจที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

     

     

    ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี...เอาเป็นว่า

    ผมจะมองเขาใหม่ก็แล้วกัน

     

     

     

     


     

     

     























     

    -จบตอนที่ 3-

     

     

     

     

     

     

     

     

    Talk



     


     

    บันดาลลงบนได บันทึกให้จำจงดี
    รื่นเริงบันเทิงมี บันทึกลั่น สนั่นดัง


     




     

    See’me
    #แผนสอง





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×