ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Second Plan {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #37 : - [ The Second Plan ] : chapter 29 -

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.66K
      41
      5 ก.พ. 57





    The Second Plan

    -chapter 29-




     

    คนเราตายแล้วไปไหน?

     

    ก็คงจะไปอยู่ในความทรงจำของคนที่รักเราล่ะมั้ง

     

    . . . . . . . . . . .

     











     

     

    “หายป่วยแล้วหรอคะสารวัตร?”

     

    ชองฮาริม ผู้หมวดคนสวยประจำสน.โซลเอ่ยทักผม ซึ่งแน่นอนว่าผมก็แค่ยักคิ้วส่งไปให้เหมือนในทุกครั้ง  อันที่จริงอาการไข้หวัดของผมยังกระท่อนกระแท่น แต่ผมก็ขี้เกียจจะพูดอะไร

     

     

    เมื่อได้คำตอบที่แปลได้ว่าผมไม่ได้ให้คำตอบแล้ว ชองฮาริมก็ยักไหล่ เบ้ปากให้กับความน่าหมั่นไส้ของผม ก่อนจะเดินกลับโต๊ะของเธอไป  ผมมองเธอเดินทิ้งสะโพกไปจนไกลสุดสายตา ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

     

     

     

    ตั้งแต่วันที่แบคฮยอนจากไป อะไรๆมันก็...

     

     

    ผมยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกหน้าผากอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แล้วก็พบว่าผมของผมมันเริ่มจะยาวเกินไปแล้ว

     

     

    มีตำรวจเข้ามาทำงานใหม่สามคน หนึ่งในสามย้ายมากจากแผนกของหาย  อีกสองเพิ่งสอบบรรจุเข้ามา อ่อ มีเด็กฝึกงานจากมหาวิทยาลัยอีกหนึ่งคนด้วย

     

     

    โต๊ะทำงานมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อให้พอดีกับจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น

     

     

    มีการอนุมัติงบประมาณสำหรับต่อเติมห้องน้ำ ห้องน้ำหญิงดำเนินการเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้เหลือแต่ห้องน้ำชาย

     

     

    ทีวีเครื่องใหญ่พัง เพราะถูกพวกคนเมาที่ถูกต้อนมาฝากขังเมื่อสองวันที่แล้วปาข้าวของใส่

     

     

     

    การเปลี่ยนแปลงในระดับที่ใหญ่กว่านี้น่ะหรอ?

     

     

    อือ ...อัฟกานิสถานเพิ่งจะได้มีตำรวจหญิงเป็นคนแรก

     

     

    มันฝรั่งยี่ห้อสตาร์คราฟที่ผมชอบกิน เลิกผลิตแล้ว

     

     

    โคอึนถอนตัวออกจากบิ๊กแบร์ ในข่าวบอกว่าเธอไปเรียนต่อ ส่วนซอรินก็ยังอยู่ในวงต่อไป ...บางทีพวกเธออาจจะติดต่อกันเหมือนเดิม หรือไม่ก็อาจจะแยกกันไปคนละทิศละทาง

     

     

    จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่จะคงเดิมอยู่ได้ในเวลาหลายเดือน  เพราะแค่วันเดียว ผมคนเราก็ยาวขึ้นประมาณ 0.35 มิลลิเมตรแล้ว และอย่างน้อยภายในสี่เดือนนี้ ...ฤดูหนึ่ง ก็จะต้องถูกเปลี่ยนไปป็นอีกฤดู

     

     

     

    ตั้งแต่ที่แบคฮยอนไม่อยู่

    อะไรๆมันก็เปลี่ยนไป แต่ก็คล้ายว่าจะมีบางสิ่งที่ยังเหมือนเดิม

     

     

     

    ผมมองเห็นตัวเองยืนหน้าโง่อยู่ในวังวนความเปลี่ยนแปลง  เหมือนว่าผมยืนอยู่ตรงแกนลูกโลก จากนั้นลูกโลกก็เหวี่ยงติ้วๆ ...ในขณะที่ผมยืนอยู่ที่เดิม

     

     

     

     

    มันเป็นอะไรที่..แบบว่า..น่ารำคาญ

     

     

    ตื่นขึ้นมา ทำงาน อยู่เวร กลับบ้าน นอนเหมือนตาย ...แล้วก็วนลูปกลับไปที่ตื่นขึ้นมา ทำงาน อยู่เวร กลับบ้าน นอนเหมือนตาย

     

     

    ผมขาดกิจกรรมหลายอย่างที่คนเราไม่สามารถทำคนเดียวได้ ก็นั่นแหละ มันก็มีเรื่องอย่างว่ารวมอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้โฟกัสจุดนั้น ผมหมายถึงเรื่องง่ายๆอย่างเช่น พูดคุยกัน  เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อีกฝ่ายรับรู้  ต่อมุขตลกๆให้เสียงหัวเราะดังลั่นบ้าน  หรือแม้กระทั่งเถียงกันเรื่องอาหารมื้อเย็น

     

     

    แน่นอนว่าเราไม่สามารถเถียงคนเดียวได้ เถียงกับตัวเองเรื่องอาหารงั้นหรอ?

     

     

    เฮ้ มื้อนี้ฉันว่าเรากินไก่ผัดซอสถั่วเหลืองกันดีกว่า

     

     

    น่าเบื่อจะตาย สั่งพิซซ่ามากินเถอะ

     

     

    โธ่ไอ้งั่งเอ๊ย! เมื่อวานก็เพิ่งกินไปไม่ใช่รึไง!’

     

     

    เหอะ แค่คิดก็อยากจะกลอกตาแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “โชคดีครับสารวัตร ผมกลับก่อนนะ”

     

     

    ตำรวจหลายคนทักเมื่อเดินผ่านโต๊ะทำงานผม ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากสถานี  ตอนนี้เลิกงานแล้ว  ต่างคนต่างก็ทยอยกลับบ้าน

     

     

    ส่วนผมก็เป็นเวรในวันนี้

     

     

    ผมมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ หลังจากที่แบคฮยอนไม่ได้รอผมกลับบ้าน  ผมกลายเป็นคนถีบซาเล้งรับซื้อขยะไปแล้ว...ไม่ใช่สิ ผมเปรียบเทียบน่าเกลียดไปหน่อย  เอาเป็นว่า ผมต้องการจะบอกว่า ผมกลายเป็นตำรวจที่รับซื้อเวรแทบทุกกะ โดยไม่ปริปากปฏิเสธ

     

     

    แต่ผมต้องการทำยังไงก็ได้ ที่จะได้อยู่ในสน.ต่อ ถึงเที่ยงคืน ...ถึงเช้า ...ยังไงก็ได้ทั้งนั้น

     

     

    ยังไงก็ได้ ที่ไม่ต้องอยู่บ้านนานเกินหกชั่วโมง ผมอยากกลับบ้านไปเพื่อนอนเท่านั้น

     

     

    บ้านของเราน่ากลัวเมื่อขาดสมาชิกไปหนึ่งคน และแบคฮยอนที่เปรียบเสมือนบ้านพักพิงของผม ก็ย้ายเข้าไปอยู่ในสถานบำบัดเป็นที่เรียบร้อย

     

     

     

     

     

     

     

    ฟ้าค่อยๆหม่นลงเรื่อยๆ ความมืดโปรยตัวลงมา แล้วแสงสว่างก็เริ่มจืดจางไป

     

    ผมย้ายไปนั่งยังโต๊ะสำหรับลงบันทึกประจำวัน  มีร้อยเวรสองคนนั่งอยู่ แล้วพวกเราสามคนก็สั่งให้เด็กฝึกงานออกไปซื้อมื้อเย็นเข้ามาให้

     

     

    ร้อยเวรชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่มันก็เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา  ผมหยิบปากกาขึ้นมา แล้วก็เริ่มหากระดาษแถวนั้นมาวาดรูปเล่น

     

     

    ผมวาดรูปแบคฮยอน

     
     

     

    แต่ผมวาดตาเขาโตเกินไป  ผมควรจะแก้มัน

     

     

     

    ใช่ เขาตาเล็กนิดเดียวเอง ประมาณนี้แหละ

     

     

     





     

    ผมคิดถึงเขา

     

     

    ผมอยากจะบอกเขาว่า ตั้งแต่ที่เขาจากไป ผมก็ป่วยบ่อยจนน่ารำคาญ เป็นหวัด เป็นไข้ เป็นบ้า เป็นคนสติแตก เป็นโรคโฮมซิค

     

     

     

    เป็นโรคคิดถึงบ้าน ...เมื่อไหร่บ้านจะกลับมา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    . . . . . . . .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    การรออีเมลจากเข้า ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม

     

    หลังจากได้รับอีเมลฉบับแรก ผมก็เฝ้ารออีเมลของเขาทุกวัน แต่มันก็มักจะถูกส่งมาหลังจากนั้นอีกหลายอาทิตย์

     

     

    พออ่านเสร็จ ผมก็มักจะส่งตอบไปในเมลส่วนตัวของเขาเสมอ แต่ผมเป็นคนบรรยายไม่เก่งเหมือนเขา  เขาเล่าเรื่องได้น่าอ่าน ตัวอักษรของเขามันไม่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะยาวเท่าไหร่ ก็ไม่มีบรรทัดไหนเลย ที่ผมรู้สึกรำคาญ

     

     

    ส่วนผมน่ะหรอ? ผมสอบตกเรื่องการเขียนเรียงความมาตั้งแต่อายุหกขวบ แล้วก็ได้คะแนนห่วยแตกชนิดชิบหายวายวอดตั้งแต่นั้นมา  เรียงความเรื่องสัตว์สงวนเมื่อตอนผมอายุ 18 ทำคะแนนได้ 3 เต็ม 10

     

     

    ซึ่งทำสถิติคะแนนสูงที่สุด จากทุกเรียงความที่ผมเขียนมา

     

     

     

     

    ผมพยายามจะพิมพ์ให้ได้มากที่สุด ...แล้วผมก็ค้นพบว่าตัวเองโคตรเหมือนเด็กหัดเขียนไดอารี่ กึ่งๆกับเด็กประถมที่เริ่มเขียนบันทึกความดีในแต่ละวัน

     

     

    แต่ผมพยายามแล้ว ไม่ใช่พยายามจะพิมพ์ ...คือผมหมายความว่า ผมพยายามมากแล้วที่จะไม่ร้องไห้ใส่แป้นพิมพ์

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    ผมไม่มีหัวครีเอทเรื่องหัวข้อเท่าคุณ แต่ผมคิดถึวคุณ เหมือนที่คุณคิดถึงผม

     

    เอ่อ คุณจะไม่ได่อ้านมันใช่ไหม? แต่เดี๋ยงคุณต้องได้อ่านแน่ ผมว่ามันต้องมีผู้เข้ารับการบำบัดซักคนที่แอบเอามือถือเข้าไปในสถานำบัด ฉะนั้น ยืมคนเหล่านั้นเอาแล้วกัน ถ้าคุณได้รับเมลส่วนตัวจากผม ยังไงช่วยตอบมาด่วย

     

    ผมรักคุณ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    เมลที่แล้วผมพิมพ์ผิดเยอะมาก เพราะว่าผมตื่นเต้นที่คุณติดต่อมา จริงๆนะ ไม่ใช่เพราะผมใช้แป้นพิมพ์ในโทรศัพท์ไม่เก่งหรอก

     

    อ่าใช่ ...ดูเหมือนว่าฉบับที่แล้ว ผมจะลืมแจ้งข่าวสำคัญกับคุณ

     

    ผมได้คุยกับแม่คุณแล้ว ผู้กองอู๋ขับรถพาท่านมาส่งที่บ้านพักของผมตอนเที่ยงคืนในวันอาทิตย์ที่เพิ่งผ่านมานี้  ผู้กองอู๋บอกว่า แม่ของคุณไปเซอร์ไพร์สคุณที่สน.กวางจู แต่ไม่เจอ เขาก็เลยอาสาพาแม่คุณมาหาผมที่โซล

     

    แต่คุณไม่ต้องรู้สึกแย่หรอก  แต่ความจริงมันก็ต้องรู้สึกบ้างน่ะนะ ใช่ ก็ต้องมีรู้สึกกันบ้าง  นี่คุณกำลังงงใช่ไหม? ช่างเถอะ เอาไว้ผมจะพยายามอธิบายมันอีกที ตอนที่เราได้พบกัน

     

    ผมบอกท่านเรื่องที่คุณติดยา ท่านดูเหมือนจะช็อคนิดหน่อย แต่ผมก็มองออกว่า ในดวงตาที่เหมือนกับคุณเป๊ะๆ มีแต่ความรักที่มอบให้คุณเท่านั้น

     

    แม่ของคุณจะกลับลอนดอนพรุ่งนี้ ไม่ต้องห่วง ผมจะไปส่งท่านที่สนามบินแล้วก็เทคแคร์อย่างดี

     

    ผมรักคุณ แม่คุณก็รักคุณ ไคก็รักคุณ ซิ่วหมิน จงแด ทุกคนรักคุณหมดเลย

    ปล.ยกเว้นผู้กองอู๋

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    ผมตัดผมแล้ว หล่อเชียว นี่ผมไม่ได้พูดเองนะ  คนร้ายคดีค้ามนุษย์ที่ผมจับได้เมื่อวานเป็นคนบอก

     

    จริงๆแล้วมีหลายเรื่องที่ผมอยากเล่าให้คุณฟัง  แต่ทีนี้พอเปิดคอมพิวเตอร์ ผมก็ลืมมันไปหมดแล้ว เอาเป็นว่า ผมจะส่งอีเมลหาคุณทุกครั้ง ที่มีเรื่องอะไรอยากบอกให้คุณรู้

     

    คุณคงไม่ว่าอะไร ถ้าผมจะส่งหาคุณทุกห้านาที

    รักคุณ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล จากปาร์คชานยอล

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    ผมเริ่มเอะใจที่คุณไม่ตอบมา นี่ไม่มีใครแอบเอาโทรศัพท์เข้าไปใช้ในสถานบำบัดจริงๆน่ะหรอ? 

    สาบานได้ว่าถ้าผมเป็นคุณ ผมจะตีสนิทกับเจ้าหน้าที่ทุกคน แล้วก็ขอเขาใช้โทรศัพท์มือถือ

    ผมไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอกนะ แต่คุณลองทำมันดูซักครั้งสิ

     

    ผมเพิ่มข้อความในหัวข้ออีเมลด้วย คุณสังเกตเห็นไหม  ผมว่ามันดูเก๋กว่าจะตั้งว่า หัวข้ออีเมล เฉยๆ หวังว่าคุณจะชอบ แล้วคราวหน้า ผมจะเพิ่มข้อความเข้าไปอีก

     

    อ่อ อีกเรื่อง ...ผมกำลังมองหาบ้านซักหลัง

     

    บ้านที่เหมาะกับผม แล้วก็เหมาะกับคุณด้วย  ผมอยากให้เรามีบ้านเป็นของตัวเอง ดังนั้นตอนที่คุณออกมาแล้วผมจะคืนบ้านเช่า แล้วเราก็จะย้ายเข้าไปในบ้านหลังใหม่

     

    รักคุณเสมอ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล ที่มีความหมายว่า หัวข้อของอีเมล

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    วันนี้เป็นอีกวันที่ผมคิดถึงคุณ แล้วก็คงจะเป็นเช่นนี้ไปทุกวัน

     

    มีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป คุณต้องช็อคแน่ถ้ารู้ว่าผู้หมวดไคกับจ่าโดตกลงที่จะรับเด็กมาเลี้ยง ที่ผมรู้ก็เพราะเราติดต่อกันตลอดเวลา เฉินลากผมเข้าร่วมกลุ่ม หล่อเฟี้ยวจนสาวเหลียวหลัง ในเฟสบุ้คด้วย เป็นกลุ่มลับเฉพาะของพวกเราสี่คน ไม่ต้องกังวลหรอก ผมเชิญคุณเข้าร่วมกลุ่มแล้ว ที่เหลือก็รอแค่ให้คุณตอบรับคำชวนเท่านั้นเอง

     

    แล้วเราก็ยังมีไลน์กลุ่มด้วย ผมไม่เข้าใจลูกทีมคุณซักเท่าไหร่  ในทุกๆวัน พวกเขาจะแย่งกันเปลี่ยนชื่อกลุ่ม ในหนึ่งวัน ชื่อกลุ่มถูกเปลี่ยนเป็นสิบๆครั้ง มีทั้ง  ไคหล่อสุด  เฉินเฉินสร้างอุโบสถ  ซิ่วหมินบินได้  ไคไคก็ไม่รักผม  จงอินอะเมซิ่ง   ล่าสุด ชื่อกลุ่มถูกเปลี่ยนเป็น แมนยูกู้อีจู้

     

    มีความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งความสัมพันธ์แปลกๆของผู้หมวดทีมคุณกับโดคยองซูทีมมังกร แล้วก็เรื่องที่ผู้กำกับสน.คุณ กำลังจะแต่งงาน

     

    มีข่าวดี แล้วก็มีข่าวร้าย  ข่าวร้ายก็คือ คุณไม่ได้อยู่ตรงนี้ และเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผมฟังเพลง I wish you were here ของ avril lavigne ที่กำลังทัวร์คอนเสิร์ตแถบเอเชียทีไร ผมก็มักจะคิดว่า มันคงดีมาก ถ้าสมมติว่าคุณอยู่ตรงนี้

     

    รักคุณที่สุด เท่าที่ปาร์คชานยอลคนนี้จะรักได้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล ที่ไม่ได้มีความหมายว่า สำเนาอีเมล

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    ขอโทษที่ผมไม่ได้ส่งอีเมลถึงคุณเลยในหกอาทิตย์มานี้  ผมเผลอกดลงชื่อออก จากนั้นก็จำรหัสผ่านไม่ได้ เพิ่งจะมาจำได้ก็วันนี้  

     

    ผมจะบอกว่า ผมดาวน์บ้านแล้วนะ เป็นบ้านในโครงการที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน  ผมเห็นว่าคุณชอบปั่นจักรยาน และถนนของหมู่บ้านโครงการนี้ ก็มีเลนส์ที่แบ่งไว้สำหรับคนขี่จักรยานโดยเฉพาะ  นี่เป็นเหตุผลหลักที่ผมตัดสินใจซื้อบ้าน

     

    เหตุผลรองก็มี แต่ผมลืมแล้ว เอาไว้ผมจะได้จะบอกอีกทีก็แล้วกัน  แต่มันสวยมากจริงๆ  อ่อใช่ เหตุผลรองก็คือ มันสวยมากๆนี่แหละ

     

    ดูเหมือนว่าผมกำลังจะถูกพิจารณาให้เลื่อนยศ หลังจากที่ผมฟอร์มทีมกวาดล้างยาเสพติดได้ดีเยี่ยมในสองเดือนมานี้  คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมมันจำพวกบ้าดีเดือด  ผมกัดไม่ปล่อย ผมไม่สนหรอกว่าใครจะใหญ่มาจากไหน

     

    เพราะผมเกลียดมัน ...ยาพวกนั้นโขมยคุณไปจากผม

    ผมอยากจะฆ่ามัน กดหัวกบาลไอ้ยาบ้าๆนั่นลงไปในชักโครก ผมคิดไม่ออกเลยว่า พ่อแม่ที่นั่งรอลูกกลับจากสถานบำบัดจะมีเจ็บปวดขนาดไหน

    ในขณะที่ผมต้องรอคุณอยู่ตรงนี้ แล้วก็รู้สึกเหมือนโลกจะถล่มลงมาในทุกๆนาที

     

    ผมรักคุณ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล จะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีเนื้อหาของอีเมล

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    ลูกทีมมีแผนจะแกล้งคุณ พวกเขาคุยกับผมในไลน์ เรื่องที่เราจะทำเซอร์ไพร์สในวันที่ไปรับคุณจากสถานบำบัด แต่มันเป็นแผนที่โหดเกินไป  ดังนั้น ผมจึงหักหลังพวกเขา แล้วขอแจ้งให้คุณทราบล่วงหน้าเอาไว้เลยว่า ก่อนที่คุณจะได้ออกมาซักหนึ่งอาทิตย์ คุณจะได้รับอีเมลจากลูกทีมไม่คนใดก็คนหนึ่ง ซึ่งผมเดาว่าคงจะเป็นจงแด เพราะถ้าอีเมลถูกส่งมาจากคิมจงอิน ความน่าเชื่อถือจะถูกติดลบ และคุณก็คงไม่เชื่อแน่ๆ

    อีเมลฉบับนั้นจะมีใจความสำคัญว่าผมตายแล้ว  แต่ได้โปรดเชื่อใจไว้เลย ว่าผมไม่มีทางตายที่อื่นๆแน่ๆ นอกจากตายในอ้อมอกของคุณ (ผมเสิร์ชกูเกิ้ลเพื่อหามุขเสี่ยวๆจำพวกนี้ อย่าได้คิดว่าผมครีเอทมันขึ้นมาเอง มันน่าอ้วกจะตาย)

    แต่เรื่องจริงจากใจของผมก็คือ การตายทุกรูปแบบล้วนทรมาน  ยกเว้นการที่เราอยู่ข้างๆกัน แล้วก็ค่อยๆแก่ตายไปตามอายุขัย

    ฉะนั้น ผมยังมีชีวิตอยู่ อยู่เพื่อแก่ตายไปกับคุณ

     

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ

    ทราบแล้วเปลี่ยน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หัวข้ออีเมล อันเป็นหัวข้อสุดท้าย

                   From : chanyeol-park@gmail.com

                   to : gagster_beakhyun@hotmail.com

     

    ผมกำลังกังวลเรื่องชุดที่จะใส่ไปรับคุณที่สถานบำบัด  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใส่ใจเรื่องเสื้อผ้า

    ผมควรจะใส่ชุดอะไรไปรับคุณในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ดี?

    คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะใส่เสื้อโปโลกับกางเกงยีนส์ ...อืออ หรือผมควรจะตัดสูท แต่ร้านจะตัดมันทันไหมในเวลาไม่กี่วัน

    คุณคิดว่าไง?

     

    รักคุณเหมือนที่โอลาฟรักฤดูร้อน ปอนชานยาร์ค

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แล้วผมก็เพิ่งมารู้ทีหลัง รู้เมื่อสามวันก่อนแบคฮยอนจะได้รับการปล่อยตัวจากสถานบำบัด

     

     

    จริงๆแล้วอีเมลของแบคฮยอนคือ gangster_baekhyun@hotmail.com

     

    แต่ผมพิมพ์ผิดเป็น gagster_beakhyun@hotmail.com  ตลอดเลย

     

    ดังนั้นอีเมลจึงไม่เคยส่งถึงแบคฮยอนเลยเป็นเวลาเกือบสี่เดือน

     

     

    เหี้ยเอ๊ยแม่ง...ชื่อเมียยังสะกดผิด!!


     

     

     

    ผมรีบโทรหาจงแด  แต่มันสายไปเสียแล้ว  จงแดส่งอีเมลไปแกล้งแบคฮยอนเป็นที่เรียบร้อย

     

     

    ผมรู้ว่าทุกคนก็แค่อยากแกล้งเซอร์ไพร์สให้เรื่องมันสนุกสนาน แต่ผมก็อดจะกลัวไม่ได้ว่าแบคฮยอนจะคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

     

     

    ผมคิดว่าถ้ารู้ความจริง คนที่แบคฮยอนจะโกรธคงไม่ใช่ลูกทีมเขาหรอก แต่เขาต้องโกรธผมอยู่แล้วล่ะ

    แล้วผมก็ง้อคนไม่เป็นด้วย

    ที่สำคัญ ผมขอให้ไม่มีเรื่องร้ายๆอะไรเกิดขึ้นกับเขา


     

    เพราะผมคิดภาพตัวเองไม่ออก ภาพที่จะต้องมีชีวิตต่อไป โดยไม่มีแบคฮยอน

     

     

     



































     

    40%










     

     

    ผมอยู่ในชุดที่สั่งตัดใหม่ทั้งตัวในวันศุกร์ที่ 18

     

    ผมหมุนตัวหน้ากระจกห้ารอบ และพร้อมออกจากบ้านตั้งแต่เวลาตีห้าครึ่ง

     

    ผมคิดว่าตัวเองคงจะเป็นคนแรกที่ไปยืนรอแบคฮยอนอยู่ที่ประตูรั้วของสถานบำบัด

     

     

     

     

     

    แต่ผิดคาด มีคนรออยู่ก่อนหน้าผมเกือบสิบคน

     

    ผมไม่ได้รู้สึกเซ็งที่พลาดจากอันดับแรก ตรงกันข้าม ...หัวใจที่เต็มไปด้วยความคิดถึงของพวกเขา ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงความสำคัญของ การให้โอกาส

     

    นอกจากการให้อภัยแล้ว ผมว่าการให้ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ก็คือการให้โอกาสนี่แหละ

     

     

    คนที่มารอรับมีทั้งคนสูงอายุ หญิงสาว เด็กตัวเล็กๆ หรือแม้กระทั่งคนรุ่นราวคราวเดียวกับผม ซึ่งก็คงเป็นคนในครอบครัวของผู้เข้ารับการบำบัด  พวกเขามีสีหน้ายินดีอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งพวกเขาก็จะชะโงกหน้ามองลอดเข้าไปในรั้ว แล้วก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาเป็นระยะๆ

     

    ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมคงมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาปนสมเพชอยู่หน่อยๆ นั่นอาจเป็นเพราะผมไม่เคยรู้สึกอินกับความรักเลยแม้แต่นิดเดียว บ่อยครั้งที่ผมดูถูกมัน ผมคิดว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างปัญญาอ่อน ที่จะนำพาเราไปสู่เซ็กซ์ก็เท่านั้น

     

    ไม่เคยมีใครอดทนเพื่อผม แล้วผมก็ไม่เคยอดทนเพื่อใคร

     

    มันคงฟังดูน้ำเน่า ถ้าผมจะพูดต่อว่า ...จนกระทั่งได้มาเจอกับแบคฮยอน มุมมองความรักของผมก็เลยเปลี่ยนไป

     

    อ่ะนะ ประโยคบรรทัดบนน้ำเน่าชวนกระดากปากไม่น้อย  เอาเป็นว่า ผมจะไม่พร่ำพรรณาตรงส่วนนั้นก็แล้วกัน

     

     

    สั้นๆก็คือ...ผมไม่เคยยอมแพ้ในตัวแบคฮยอน

     

    ฉะนั้น เขาจะพลาดพลั้งอีกซักกี่หนก็ช่างหัวเขา จะพลาดท่าไปทำเรื่องเลวๆชนิดบุพเฟ่ต์เลวได้ไม่อั้นก็ช่างเขาประไร

     

     

    หน้าที่ของผมก็มีแค่ยืนอยู่ตรงนี้ เตือนเขาเท่าที่จำเป็น  ห้ามเขาเท่าที่ห้ามได้ แล้วก็คอยช่วยประคองให้เขาลุกขึ้นมา  ผมจะทำให้เขารู้ว่า ความรักจะให้โอกาสเขาเสมอ ดังนั้น ถ้าเขาพลาดหมื่นครั้ง ผมก็จะให้โอกาสเขาหมื่นครั้ง

     

     

     

     

     

     

    ผมนั่งรอ ยืนรอ วิดพื้นรอ จนกระทั่งท้องฟ้าสีเทาเข้ม แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าที่เจือด้วยส้มอ่อนๆของแสงอาทิตย์

     

     

    จำนวนญาติที่มารอรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็เริ่มเบียดเสียดกัน ในขณะที่ประตูรั้วค่อยๆเลื่อนเปิด ในเวลา 9.00 น.

     

    บรรดาญาติแย่งกันต่อแถวลงชื่อเพื่อเซ็นรับบุตรหลานกลับบ้าน  ผมเองก็ต่ออยู่ประมาณตอนกลางของแถว

     

    หลังจากที่ญาติลงชื่อและแสดงเอกสารเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะอนุญาตให้เขานำอดีตผู้ติดยาเสพติดออกจากสถานบำบัดได้

     

    ผมมองไปรอบๆเพื่อหาร่างของบยอนแบคฮยอน  ทั้งที่ในตอนนี้เขาควรจะมายืนอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ และโบกไม้โบกมือให้ผม  แต่ทว่าผมกลับยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของเขา

     

     

    ผมกะว่าจะไลน์ถามสมาชิกทีมลูกหมาเรื่องการมารับแบคฮยอนในวันนี้ อันที่จริงเราคุยกันไปแล้วเมื่อคืน แต่จู่ๆพวกเขาก็เงียบไป ผมก็เลยว่าจะลองถามดูอีกรอบ

     

    แต่โทรศัพท์ของผมหายไป...

     

     

    ผมมองดูที่พื้นรอบตัว แต่ก็ไม่เจอมันตกอยู่แถวนี้  บางทีผมอาจจะทำหล่นตอนวิดพื้นอยู่หน้ารั้วสถานบำบัด

     

     

    สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินออกจากแถวเพื่อไปหาโทรศัพท์  ก่อนที่ผมจะพบมันตกอยู่ใต้ต้นไม้ คงเป็นตอนที่ผมเดินมานั่งรอตรงนี้ล่ะมั้ง

     

     

    แล้วเรื่องอัปยศก็คือ...ผมต้องต่อแถวใหม่อีกรอบ 

     

    คราวนี้ได้คิวสุดท้ายพอดิบพอดี ไม่ขาดไม่เกินอาเมน!

     

     

     

     

     

     

    ผมยืนรอจนเส้นเลือดขอดแทบจะโผล่ขึ้นมาที่น่อง และในที่สุด ผมก็ได้เซ็นชื่อลงบนเอกสารการรับตัวผู้เข้าบำบัด

    แม่งเป็นความรู้สึกที่โคตรวิน!

     

     

     

    “มารับใครครับ?” เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นมาถาม ผมก็เลยวางเอกสารที่เตรียมมาลงบนเคาท์เตอร์

     

    “ไม่มีผู้ป่วยชื่อนี้นะครับ” เขาบอกหลังจากที่อ่านเอกสารเสร็จ

     

    ผมดึงกระดาษมาจากมือของเจ้าหน้าที่ ก่อนจะไล่สายตาอ่าน เผื่อว่าเอกสารจะมีข้อผิดพลาดอะไรตรงไหน ....แต่มันก็ถูกต้องแล้วทุกประการ

     

     

    “ก็ตามนี้นะครับ ช่วยเช็คอีกทีได้ไหม?” คำพูดของผมฟังดูสุภาพใช่มั้ย แต่บอกไว้ก่อนเลยว่านอกจากรูปประโยคแล้ว ผมก็ไม่ใส่ใจจะประดิษฐ์น้ำเสียงให้สอดคล้องกับคำพูด

     

    ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็คงเริ่มรู้แล้วว่าผมไม่พอใจ  เขายกโทรศัพท์ตั้งโต๊ะขึ้นมากดต่อสาย ก่อนจะตามเจ้าหน้าที่อีกคนมาช่วยแก้ไขสถานการณ์

     

    ผมเดาว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ต้องเป็นอาสาสมัครชาวแอฟริกันที่ชื่อชาลีแน่ๆ เพราะสีผิวของเขาบ่งบอกเชื้อชาติได้เป็นอย่างดี

     

    “ผมมารับบยอนแบคฮยอน คนที่ช่วยคุณพิมพ์งานวิจัยอยู่บ่อยๆไงครับ” ผมพูดพร้อมจ้องตาชาลีเขม็ง  เขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ แล้วก็หลบสายตาไปทางอื่น

     

     

    “ผมมารับบยอนแบคฮยอนครับ!” ผมกระแทกเอกสารลงบนเคาท์เตอร์  ทำไมพวกเขาต้องอึกๆอักๆด้วย  มีอะไรก็เอาให้เคลียร์ไม่ได้รึไง  ผมรอแบคฮยอนมาตลอดสี่เดือน และผมก็ไม่ต้องการจะรอนานไปมากกว่านี้อีกแล้ว!

     

    “เราไม่มีผู้ป่วยชื่อนี้จริงๆครับ” ชาลีตอบกลับมา แต่เขาก็มีพิรุธจนผมแทบจะปรี่เข้าไปกระชากคอเข้าอยู่รอมร่อ

     

    ผมดึงรูปถ่ายสองนิ้วของแบคฮยอนที่ติดอยู่บนมุมขวาของเอกสารออกมา ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าชาลี เพื่อให้เขาเห็นชัดๆ

     

    “ผมมารับบยอนแบคฮยอน แบคฮยอนที่พิมพ์งานให้คุณ แบคฮยอนที่ไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรมในช่วงแรกๆ แบคฮยอนที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องชกต่อยในสถานบำบัด แบคฮยอนที่ชอบเข้าไปขโมยไก่ทอดกินในครัว ...ผม-มา-รับ-แบคฮยอน!” ผมเน้นเสียงในประโยคสุดท้าย ตอนนี้อารมณ์ผมเหมือนน้ำเดือด และถ้าผมยังไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ บางทีน้ำเดือดนี้ก็อาจจะสาดใส่หน้าชาลีก็เป็นได้

     

     

    “ขอโทษนะครับ...แต่เราไม่มู้ป่วยชื่อนี้ หน้าตาแบบนี้ จริงๆครับ”

     

    ผมเงื้อหมัดสุดแขน เป้าหมายก็คือใบหน้าดำทะมึนของเจ้าหน้าที่ผู้อิมพอร์ตมาจากแอฟริกา

     

     

    แต่แล้วผมก็หยุดกำปั้นเอาไว้... ไม่... ผมต้องไม่ใช้กำลัง เพราะถ้าผมทำอย่างนั้น เขาก็จะเรียกรปภ.มาลากตัวผมออกไป และผมก็จะไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่อีก

     

    ทางที่ดีผมควรจะสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็ค่อยหาทางแอบเข้าไปในอาคาร เพื่อตามหาแบคฮยอนด้วยตัวของผมเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น  ผมก็อยู่ในชุดภารโรงสีกรมท่า

    เป็นครั้งแรกที่ผมได้ใส่ชุดหมี ซึ่งมันไม่โอเคเอาซะเลย ขากางเกงสั้นเต่อ ตรงช่วงเอวหลวมโพรก แถมผมยังต้องสละสูทตัดใหม่ให้กับภารโรงตัวจริงไปด้วย

     

     

    ผมเลิกคิดเรื่องเสื้อผ้า ก่อนจะเดินเนียนๆเข้าไปในตึกพักสำหรับผู้เข้ารับการบำบัด

     

    ที่นี่ไม่โกโรโกโสอย่างที่คิด อย่างน้อยเตียงนอนก็เป็นเตียงเดี่ยว...โคตรโชคดีที่แบคฮยอนไม่ต้องนอนใกล้ชิดกับใคร

     

     

     

     

    ผมเดินตามหาเขาจนทั่ว ทว่าก็คว้าน้ำเหลวอยู่ร่ำไป จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายสอง

     

     

    “แกนี่มันซื่อบื้อจริงๆไอ้ยองแจ ไปให้พ้นๆหน้าฉันเลยไป!

     

    เสียงสบถต่อว่าดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม  คงจะเป็นผู้ป่วยมีปากมีเสียงกันธรรมดา  ผมได้ไม่สนใจพวกเขาและกำลังจะก้าวเดินต่อ ....แต่แล้วปลายเท้าของผมก็หยุดชะงักอยู่กับที่

     

    ยองแจ...

    บอมมี่ที่แบคฮยอนชอบเล่าถึงมีชื่อจริงว่ายองแจ

     

     

     

    “ยองแจ! เดี๋ยวก่อน!” ผมหันกลับไปตะโกนเรียกเขาเอาไว้ เจ้าของชื่อสะดุ้งเหมือนตกใจ ก่อนที่เขาจะมองผมด้วยสายตางุนงง

     

    “หวัดดียองแจ ...ฉันนึกว่านายมีกำหนดปล่อยตัววันนี้ซะอีก” ผมยกมือทักเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเนียนวาดแขนขึ้นโอบคอเขาเหมือนเพื่อนที่ซี้กันมานาน

     

    “โทษทีนะเพื่อน แต่มีเรื่องต้องคุยนิดหน่อย” จากนั้นผมก็ลากเขาเข้าไปในห้องนอนรวมที่ปราศจากผู้คน เพราะตอนนี้ถึงเวลาทำกิจกรรมนันทนาการแล้ว (ผมรู้จากเสียงประกาศตามสายน่ะนะ)

     

     

     

    “คุณเป็นใคร?” ยองแจมองผมด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงของใครซักคน ก่อนจะชี้ให้เขาดูที่ชุดของผม

     

    “ฉันหรอ?...ฉันก็เป็นภารโรงไง”

     

    “คุณไม่ใช่” เด็กน้อยยองแจเถียงทันควัน  แบคฮยอนเดาไว้ว่าหมอนี่น่าจะอายุประมาณ 19 แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะเด็กกว่านั้น

     

    “โอเค...ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”

     

    “คุณเป็นใคร แล้วมีอะไรจะพูดกับผมกันแน่?” ยองแจยิงคำถามใส่ผมสองดอก แต่ผมขี้เกียจจะแนะนำตัว ก็เลยตอบเขาแค่คำถามเดียว

     

    “มาตามหาแบคฮยอน ...บยอนแบคฮยอนที่เคยเป็นตำรวจ”


     

     

    เกิดความเงียบงันระหว่างผมกับเขา ยองแจนิ่งชะงักเหมือนถูกสาป เขานิ่งจนผมนึกว่าเขาจะสถาปนาตัวเองเป็นรูปปั้นสมัยกรีกโรมันไปซะแล้ว

     

     

     

    “ผู้ใหญ่ถามก็ตอบดิวะ” ผมใช้เท้าสะกิดยองแจที่ยืนอยู่ข้างเตียงเป็นการเร่งเร้าให้เขารีบตอบ

     

     

    “คุณเป็นใคร?”

     

     

    “จะอยากรู้ไปทำไม” ผมยักคิ้วใส่เขา ตอนนี้ผมรู้สึกชิวๆกว่าก่อนหน้า คงเป็นเพราะผมเจอบอมมี่แล้ว และผมก็เชื่อว่าว่าบอมมี่จะต้องพาผมไปหาแบคฮยอนได้แน่ๆ

     

     

    “ถ้าคุณไม่ตอบผม ผมก็จะไม่ตอบคุณเหมือนกัน”

     

     

    ผมกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มแสยะ...หึ แบคฮยอนนี่ฉลาดคบคนชะมัด เด็กห่าอะไร เล่นแง่ชิบหาย

     

     

    “ก็ได้ ถือว่าแฟร์ดี...ฉันปาร์คชานยอล อายุ 26 เป็นสารวัตรประจำอยู่ที่สน.โซลเขต3 พอใจรึยัง?”

     

     

    “...”

     

     

    “ที่นี้ก็ตอบมา...บยอนแบคฮยอนอยู่ที่ไหน”

     

     

    ยองแจมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขามีทีท่าอ่อนลงเหมือนรู้ว่าผมมีความสัมพันธ์อะไรกับแบคฮยอน บางทีอดีตผู้กองน้องหมาก็คงจะเล่าเรื่องของผมให้ยองแจฟัง เหมือนที่เขาเล่าเรื่องของยองแจให้ผมได้อ่านผ่านทางอีเมล

     

     

    “ว่าไง รีบตอบมาสิ”

     

     

    “...”

     

     

    “แบคฮยอนอยู่ไหน”

     

     

    “...ตายไปแล้ว”

     

     

    ผมหัวเราะเบาๆในลำคอ  “ฉันไม่ชอบฟังเรื่องตลก”

     

    แต่ไอ้เด็กเวรนี่ก็เล่าเรื่องตลกด้วยใบหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง “พวกเจ้าหน้าที่พยายามปิดเรื่อง ทำเหมือนว่าศูนย์บำบัดที่โซลเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่ใครจะตายยังไงก็ได้”

     

     

    “ฉันไม่ขำ”

     

    “แล้วใครใช้ให้คุณขำกันเล่า!”

     

     

    ทันทีที่โดนย้อนมาอย่างนั้น ผมก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง ตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของเด็กปากดี จนเท้าแทบจะลอยขึ้นมาจากพื้น

     

    “แบคฮยอนอยู่ที่ไหน!!

     

    ยองแจปัดมือผมออก ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหอบหายใจ และสุดท้าย เขาก็หันกลับมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง

     

     

    นับหนึ่งไม่ถึงสาม น้ำตาของเขาก็ร่วงแหมะลงมาอาบแก้ม

     

     

    “ทำไม...ทำไมเพิ่งมาถามหาเขาตอนนี้”

     

     

    “...”

     

    “ทำไมไม่มาก่อนที่เขาฆ่าตัวตายไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว!!

     

     

     

     

    ไม่...ผมไม่เชื่อ

     

    ผมผลักยองแจอย่างแรงจนเขาล้มลงไปนั่งพับเพียบบนพื้น แต่ผมไม่สนใจเขาหรอก เพราะเขาเป็นเด็กไม่ดี

     

    ...เขาพูดโกหก  แบคฮยอนไม่มีทางเชื่ออีเมลของจงแดหรอก  ไม่มีทางที่เขาจะตายที่อื่นที่ไม่ใช่ในอ้อมกอดของผม

     

    ไม่มีทาง!!

     

     

     

     

     

     

    ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่ยองแจก็ตะโกนขึ้นซะก่อน

     

    “เตียงสุดท้ายเป็นเตียงของพี่แบคฮยอน!

     

    ผมหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะเบนสายตาไปที่เตียงนอนเตียงสุดท้าย ซึ่งก็อยู่ทางซ้ายมือของผมพอดี

     

    ผมเดินไปที่เตียงนั่น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนฟูกนิ่ม

     

     

    เสียงร้องไห้ของยองแจกำลังทำให้ผมรำคาญ ...แบคฮยอนน่ะหรอตายไปแล้ว เหอะ กุเรื่องได้งี่เง่าสิ้นดี

     

    ใช่...งี่เง่ามากๆ

     

     

    ผมเอนตัวลงนอน แล้วอยู่ดีๆร่างกายก็หนาวสะท้านราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น

     

    แบคฮยอนไม่อยู่แล้วจริงๆหรอ?... เขาจากผมไปแล้วหรอ?

     

    ไม่หรอก เขาต้องมีชีวิตอยู่ เขายังอยู่ เขาไม่ได้จากไปไหน


     

     

    ในขณะที่ความคิดของผมกำลังตีกันจนสับสนวุ่นวาย มือที่สอดเข้าไปใต้หมอน ก็สัมผัสโดนวัตถุบางอย่าง

     

    ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะหยิบสิ่งนั้นออกมาดูให้ชัดๆ ...มันเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือคุ้นตา

     

     

    ใครก็ตามที่ได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนี้ ได้โปรดช่วยผมด้วย

    ที่สถานบำบัดมีบางอย่างผิดปกติ  ใครบางคนต้องการจะฆ่าผม  ฉะนั้น ถ้าหากว่าผมเกิดตายขึ้นมาจริงๆ ขอให้รู้ไว้เลยว่า ผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย ได้โปรดโทรบอกแม่ของผมด้วยที่เบอร์ 010 7567 XXX ช่วยบอกท่านให้มารับศพของผมหน่อย ศพของผมคงจะถูกฝังอยู่ที่ไหนซักแห่งในสถานบำบัดแห่งนี้

    ถ้าเป็นไปได้ ขอให้แม่ติดต่อตำรวจให้เข้ามาสืบเรื่องคนร้ายด้วย เพราะผมไม่ต้องการให้ใครตกเป็นเหยื่อของไอ้โรคจิตนี่อีกแล้ว และสุดท้าย...ฝากให้แม่นำศพของผมไปฝังไว้ที่เดียวกับหลุมศพของปาร์คชานยอลด้วย เขาป่วยเป็นโรคติดเชื้อในกระแสโลหิต ดังนั้น ผมควรจะไปอยู่ดูแลเขาใกล้ๆ  และถ้าชาติหน้ามีจริง ผมขอเกิดเป็นลูกแม่อีกนะครับ --- บยอนแบคฮยอน

      

     

     

    ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ  ผมสาบานได้ว่าผมไม่เชื่อ ...ไม่...มันไม่จริงหรอก

     

     

    เขาจะตายได้ยังไง ในเมื่อผมยังไม่ได้พาเขาไปดูบ้านใหม่ของเราเลย บ้านของเรามีสระว่ายน้ำด้วยนะ และถ้าเขาอยากจะเล่นน้ำขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมก็จะเป่าลมใส่สระยางให้เขาเอง

     

     

    ผมจะให้เขาเลือกว่าจะนอนฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาของเตียง ให้เขาเลือกเก้าอี้ประจำที่โต๊ะอาหาร ให้เขาเลือกว่าเราจะปลูกเห็ดพิษหรือกระบองเพชรไว้ที่สวนของเราดี

     

    แต่เขาก็จากผมไปแล้ว ...แบคฮยอนจากไป...โดยที่เขายังเข้าใจว่าผมป่วยตายไปแล้วอยู่เลย

     

    แย่ว่ะ...แย่มาก...แย่จนผมไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป

     

     

     

     

    ในขณะที่ผมกำลังสติแตก ยองแจก็เดินเข้ามาฉวยแผ่นกระดาษในมือของผมขึ้นไปอ่าน

     

     

    เขานิ่งไปซักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า...

     

    “ผมพอจะเดาได้ ว่าใครเป็นฆาตกร”

     

    ผมเงยหน้ามองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าสับสนระคนปวดร้าว ผมตั้งตัวไม่ทัน เพราะว่าทุกอย่างมันซัดเข้ามาพร้อมกันจนผมเลือกไม่ถูกเลยว่าควรเสียใจเรื่องไหนก่อนดี

     

    “ถ้าไม่อยากให้คนรักของคุณตายฟรี ก็รีบตามผมมา”

     

     

     

     

    ผมไม่มีเวลาให้คิดมากนัก สองขาพาร่างของผมวิ่งตามยองแจไป  แล้วสุดท้าย...เราก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าอาคารเล็กๆของสถานบำบัดที่กำลังปิดปรับปรุง

     

    “พาฉันมาที่นี่ทำไม?” 

     

    “เถอะน่า ตามมาเร็วๆก็แล้วกัน” ยองแจพูดแค่นั้น ก่อนที่เขาจะวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง

     

     

    ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลาที่ถูกยัดใส่กระป๋อง มันอึดอัด ปวดร้าว รู้สึกเหมือนถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก  ผมไม่ทันจะได้ทำใจเรื่องการตายของแบคฮยอนเลยด้วยซ้ำ แต่ ณ ตอนนี้ วินาทีนี้ ผมก็มาอยู่ที่นี่...เพื่อที่จะสืบคดีของเขา

     

     

     

    ผมได้ยินเสียงฝีเท้าปริศนาตามมาจากทางข้างหลัง แต่พอผมหันไปมอง มันกลับไม่มีอะไร

     

    “หยุดก่อน” ผมหันไปบอกกับเด็กหนุ่มที่เดินนำอยู่ข้างหน้า พรางทำสัญญาณมือกำชับให้เขาหยุดรอผม ก่อนที่ผมจะเดินย้อนกลับไปยังทางเดิม เพื่อดูให้แน่ชัด ว่ามีใครตามเรามาจริงๆ หรือว่าหูผมแว่วไปเอง

     

     

    ผมชะโงกหน้าเข้าไปตรวจสอบห้องทุกห้อง แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ  จากนั้นผมก็เดินกลับไปหายองแจอีกครั้ง

     

    ....แต่เขาหายไปแล้ว

     

     

     

    “ช่วยผมด้วย!! เสียงของเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นจากชั้นบน ทำให้ผมรีบวิ่งตามไปทันที

     

    ทว่ามีใครบางคนดักอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุด มันฟาดไม้ลงมาที่หัวของผม โชคดีที่ไม่โดนจังๆ แต่ก็เล่นเอาผมเซไปได้ไม่น้อย

     

    แต่ไม่ทันที่ผมจะได้สวนหมัดกลับไปบ้าง  ก็มีใครอีกคนเข้าชาร์จมาจากทางด้านหลัง มันโปะผ้าชุ่มๆเข้าที่จมูกของผม

     

     

    แล้วหลังจากนั้น...ผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

     

     



















     

    100%

     

     

     

    ความจริงแต่งจบแล้ว แต่หั่นครึ่งเพราะยาวเกินไป

    ติดตามตอนจบที่แช้ปหน้านะก๊ะ

     

    See’me

    #แผนสอง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×