ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Second Plan {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #17 : - [ The Second Plan ] : chapter 14

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.86K
      49
      25 ธ.ค. 56




     คริสอู๋กู้ระเบิด vs พิดนา -END part-

    จบในตอนนะจ๊ะ

     

    The Second Plan

    -chapter 14-













    [Special part] คริสอู๋กู้ระเบิด

     

    พาร์ทนี้พิมพ์ขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่า ตำรวจดีๆยังมีอยู่ในโลก

     

     

    ….

     

     

     

     

     

     



     

     




     

    ผมไม่ชอบเด็ก

    ผมเกลียดสิ่งมีชีวิตที่เดินเตาะแตะ พูดไม่ชัด ขี้แง และติดตุ๊กตา

    ผม เกลียด เด็ก!!

     

     

     

    “โตขึ้นพิดนาจะเป็นเจ้าสาวของฟานได้มั้ย?”

     

     

    โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงห้าขวบตรงหน้า!!

     

     

     

    แต่กระนั้น ผมก็ยัง...

     

    “ได้สิครับ ถ้าพิดนาโตขึ้นพี่ฟานจะเป็นเจ้าบ่าวให้นะ ฉะนั้นตอนนี้กลับบ้านไปได้แล้วครับ” ผมพูดด้วยรอยยิ้มประหนึ่งเทวดามาจุติ แต่ในใจผมแหกปากประมาณนี้ >.... กลับบ้านไปกินนมนอนได้แล้วโว๊ยย จะมาป้วนเปี้ยนอยู่ในสน.อีกนานมั้ยห๊ะ!?

     

     

    แค่พลาดจากการไปเคารพศพพ่อของแบคฮยอนที่โซลก็น่าเศร้าอยู่แล้ว นี่ผมยังต้องถูกส่งมาเฝ้าแผนกของหายซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความว่างงานและติ๊งต๊องที่สุดในสน.อีกด้วย 

     

     

    แผนกของหายที่มีแต่ของหาย ของที่เจ้าของจงใจทิ้ง ของที่ทำตกหายเพราะไม่ใส่ใจและไม่คิดจะมาเซ็นรับคืน....ผู้กองที่กำลังจะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นสารวัตรภายในปีนี้อย่างผมเนี่ยนะ ต้องมาเฝ้าแผนกง่อยๆแบบนี้!!

     

     

    แถมยังต้องมารับมือกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เรียกร้องจะเอาตุ๊กตาไปเป็นของตัวเองอีก

    มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย...

     

     

    “ไม่อยากกลับ...อยากได้แกะ”

     

    ผมมองสิ่งมีชีวิตที่ผมไม่ค่อยถูกโฉลกอย่างเซ็งๆ แต่ปากก็ต้องฝืนยิ้มกันต่อไป “ไม่ใช่แกะครับ มันคืออัลปาก้าต่างหาก เป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับอูฐ ซึ่งแกะก็คือแกะ อูฐก็คืออูฐ ถึงจะอยู่ในไฟลัมเดียวกันนั่นก็คือไฟลัมคอร์ดาตา แต่แกะก็คือแกะ อูฐก็คืออูฐ”

     

    “...อยากได้แกะ”

     

     

    ฟังที่พูดบ้างมั้ยเนี่ยห๊ะ...

     

     

    “ไม่ใช่แกะ แต่คืออัลปาก้า”

     

    “อยากได้แกะ...ฟานให้แกะพิดนานะ”

     

    “มันคืออัลปาก้า!

     

     

     

    แล้วผมก็เผลอเสียงดังออกไปจนได้....

    ตอนนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่า มันปัญญาอ่อนสิ้นดีที่มานั่งอธิบายเผ่าพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสองตระกูลให้เด็กอายุห้าขวบฟัง

     

     

    พิดนาก็แค่ลูกแม่ค้าที่เก็บตุ๊กตาตัวหนึ่งได้ และด้วยมโนสำนึกหรือจริยธรรมขั้นไหนซักขั้นที่ฝังอยู่ในซีรีบรัมเล็กๆ เธอก็เลยเอามันมาส่งที่แผนกของหาย เพื่อรอให้เจ้าของมารับคืน

     

     

    แต่กฏหมายมาตรา 1325 ระบุไว้ว่า... ถ้าของหายไม่มีเจ้าของมารับคืน ภายในระยะเวลาหนึ่งปี กรรมสิทธิ์ของหายจะตกเป็นของผู้เก็บได้

     

     

    พิดนาอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้มาก แต่เธอเพิ่งเก็บมันได้เมื่อห้าวันที่แล้ว ตามวันเวลาที่ลงบันทึก

     

     

    “ถ้าอยากได้มาก แล้วทำไมตอนเก็บได้ไม่เอาไปเลยล่ะ” ผมถามเด็กผู้หญิงที่กำลังทำหน้างอคอหักเป็นปลาทูแม่กลอง หลังจากที่ถูกผมขึ้นเสียงเข้าให้

     

    พิดนามองผมงอนๆ แต่ก็ใช่ว่าผมจะแคร์อะไร

     

    “ที่หลังเก็บได้ก็เอาไปเลยสิ นี่มันของทิ้งแล้วทั้งนั้น ตุ๊กตาเน่าๆแบบนี้ไม่มีใครเขาลืมหรอก เขาจงใจทิ้งต่างหาก”

     

     

    แล้วพิดนาก็เบะปาก..

     

     

    เอาแล้ว...

    เอาแล้วไง มึงเอ๊ย...

     

     

    “ฟานไม่มีหัวใจ”

     

     

    นั่น...ว่าไปนั่น

     

     

    “แกะมีหัวใจ แล้วแกะก็ต้องอยากเจอเจ้าของ พิดนาอยากให้แกะเจอเจ้าของก็เลยพาแกะมาที่นี่ แต่มันก็หลายวันแล้ว ถ้าเจ้าของไม่อยากเจอแกะแล้ว พิดนาก็จะเอาแกะไปอยู่กับพิดนา”

     

    “ไม่...”

     

    “ฮึก”

     

    “ไม่ใช่แกะ...”

     

    “ฮะ ฮึก”

     

    “...มันคืออัลปาก้าต่างหาก”

     

    “แง๊งงงง!!

     

     

     

    เหี้ยล่ะ...

    งานงอกแล้วกู

     

     

     

     

    ผมกุมขมับโดยอัตโนมัติ เมื่อเด็กตัวเล็กตรงหน้าร้องไห้จ้าเสียงดังลั่นแผนก ผมลงจากเก้าอี้มานั่งคุกเข่าตรงหน้าพิดนาก่อนจะใช้มืออุดปากเด็กไว้

     

    ก็ผม...ก็ผมปลอบเด็กไม่เป็น

    ทำไงดีล่ะครับ

     

     

     

    “โอ๊ย!” ฟันซี่เล็กฝังลงบนหลังมือจนจมไปทั้งซี่ ผมรีบสะบัดมือออก แล้วพิดนาก็แหกปากร้องไห้อีกระลอก

     

    “ฮืออออ ฟานใจร้าย แง๊งงง”

     

     

    ด้วยความที่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ผมก็เลยลุกขึ้น วิ่งไปยังชั้นเก็บของในแผนกและหยิบตุ๊กตาเจ้าปัญหาออกมาให้เด็กน้อยขี้แย ที่ผมชักอยากจะเอาปืนเป่ากระหม่อมไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไป

     

     

    พิดนารับอัลปาก้าหน้าตาบ๊องแบ๊วไปกอดแน่น ซุกหน้าลงกับเจ้าขนปุยไม่มีชีวิตจิตใจ ก่อนจะเงียบเสียงลง แต่ก็ยังคงสะอื้นแผ่วๆ

     

     

    ผมมองภาพตรงหน้าอย่างนึกโล่งอก  โชคดีที่มีตำรวจอยู่กันนิดเดียวในสน. ไม่งั้นป่านนี้ผมคงโดนรุมล้อแย่แล้ว

     

     

     

    “แล้วนี่พิดนาจะอยู่ที่นี่อีกนานมั้ยครับ?” ผมตะล่อมถาม  เด็กน้อยเอามือที่ว่างจากการกอดตุ๊กตาขึ้นมาปาดแก้มที่เลอะคราบน้ำตา แถมยังสูดน้ำมูกดังฟืดดด

     

    “พิด ฮึก นา จะอยู่กับแกะที่นี่”

     

     

    ผมตบหน้าผากดังป้าบเมื่อได้ยินอย่างนั้น  เด็กคนนี้กำลังแย่งเอาช่วงเวลาอันมีค่าของผมไป ผมอยากจะอยู่เงียบๆ รื้อแฟ้มมาดูคดีเก่าๆ หรือไม่ก็งีบหลับพักผ่อน

     

     

    อ่าา...ผมนึกวิธีดีๆออกแล้ว

     

     

    “เอางี้นะพิดนา พี่ฟานให้พันวอน แล้วพิดนาจะไปไหนก็ไปเลยนะ โอเคมั้ย”

     

    แบบว่า ไสหัวไปให้ไกลสุดมมุมโลกเลยนะคนดีของพี่ฟาน

     

     

     

    “ไม่เอา หม่ามี๊ไม่ให้รับเงินคนอื่นฟรีๆ”

     

    “สองฟันวอน”

     

    “ไม่เอา”

     

    “สาม”

     

    “ไม่”

     

    “อ่ะพี่ให้ห้าเลย”

     

    แล้วพิดนาก็ส่ายหน้าอีก....

     

     

    กูอยากจะบ้า!

     

     

     

    ผมถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะหันซ้ายหันขวา เมื่อไม่เห็นใครอยู่แถวนี้ จึงก้มลงกระซิบให้พิดนาได้ยินเบาๆ

     

     

    “เอางี้นะพิดนา... พี่ฟานจะให้ตุ๊กตาพิดนา”

     

    “จริงหรอ!!

     

    ผมทำปากจุ๊ๆ ให้เธอเงียบเสียง ก่อนจะพยักหน้า  “แต่พิดนาห้ามไปบอกใครนะ มันผิดกฏหมาย”

     

    เด็กน้อยรีบพยักหน้ารัวๆ  ผมลูบหัวเธอหนึ่งที ก่อนจะอุ้มเธอไปปล่อยข้างนอกสถานี

     

     

    “ขอบคุณมากนะฟาน แกะมีบ้านแล้ว แล้วพิดนาจะดูแลแกะอย่างดี...รักฟานนะ”

     

     

    เด็กแก่แดดส่งจูบให้ผมเป็นการตบท้าย ก่อนจะวิ่งร่ากลับไปยังทางเดิมที่เธอจากมา  ผมถอนหายใจอีกครั้ง.....เฮ้อออ หมดเคราะห์หมดโศกซักทีนะอู๋ฟาน

     

     

     

     

    แต่คุณเชื่อมั้ย....หลังจากที่ผมคิดอยากนั้น รถของตำรวจสายสืบที่จอดอยู่ข้างสน.ก็ระเบิด

     

     

     

    ตู้ม!!!

     

     

     

    แรงระเบิดมหาศาลทำให้ผมที่ยืนอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุพอสมควรถึงกับล้มลงกับพื้นและแสบร้อนไปทั้งตัว

     

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!!!

     

     

     

    พอได้สติผมก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปสมทบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่วิ่งลงมาจากสน. ชาวบ้านในระแวกนั้นกรูเข้ามามุงด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนตื่นตระหนก ก็เลยทำให้พวกเราทำงานลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะในวันนี้ วันที่ตำรวจกว่าครึ่งสน.ลากิจและเดินทางไปที่โซล

     

     

    ผมรีบวิ่งขึ้นไปยังสน.เพื่อหยิบอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น ตอนแรกผมกะจะหยิบวอสื่อสารลงมาด้วย แต่เพราะวันนี้คนน้อยและผมไม่รู้จะติดต่อกับใคร ผมก็เลยเก็บวอไว้ที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานเหมือนเดิม

     

     

    ผมลงมายังรถที่ไหม้เละเป็นจุลอีกครั้ง โชคดีที่เพลิงไม่ลุกลามมากจนเกินจะควบคุม  เจ้าหน้าที่ดับเพลิงฉีดน้ำเข้าไปไม่นาน ไฟที่แผดเผารถทั้งคันก็มอดลงอย่างรวดเร็ว

     

     

    รถตำรวจของเราไม่ใช่ไก่กานะครับ ที่ระเบิดไปน่ะมันแลมโบกินีที่เพิ่งได้รับช่วงต่อมาจากตำรวจทางหลวงที่โซลครับ คันล่ะเป็นพันล้าน

     

     

    ผมเห็นนายตำรวจไม่ถึงสิบคนที่เหลืออยู่ยืนหน้าซีด  ผมก็หน้าซีด  ผู้กำกับลีก็หน้าซีด...

     

     

     

    ตำรวจไม่เคยถูกหยามขนาดนี้มาก่อน

    คราวนี้ผู้ร้ายเล่นถึงถิ่น...

     

     

    ผมเอาแผงเหล็กกับเส้นพลาสติกสีเหลืองมากั้นประชาชนให้อยู่ห่างที่เกิดเหตุ ก่อนจะเดินไปรวมกับพลตำรวจที่เหลือ

     

    ผู้กำกับลีกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดที่กรามปูดโป่ง ก่อนจะสั่งเสียงดังฟังชัด

     

     

    “ทุกคนประชุมด่วน!!!

     

     

     

     

    แล้วการประชุมเฉพาะกิจก็เริ่มขึ้น ทุกอย่างเร่งรีบและจริงจัง ตอนนี้ดูเหมือนทุกความหวังจะพุ่งเป้ามาที่ผม  ผมยศใหญ่สุดในที่นี้(รองจากผู้กำกับ) แต่ผมยังหนุ่มกว่าและลงพื้นที่ได้มากกว่าผู้กำกับที่ปีนี้อายุก็เลยครึ่งศตวรรษมาแล้ว

     

     

    ในระหว่างที่เรากำลังวางแผนสกัดจับและแกะรอยคนร้าย ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาในสน.

     

     

    ด้วยความที่ผมอยู่ใกล้โทรศัพท์มากที่สุด หน้าที่รับสายจึงตกเป็นของผมไปโดยปริยาย

     

     

     

    เป็นยังไงบ้างครับ ของขวัญที่ผมส่งไปให้ถูกใจมั้ย?...ถ้ายังไม่ถูกใจก็เตรียมรับลูกที่สองภายในยี่สิบนาทีนี้ได้เลยนะครับ ผมฝังมันไว้ในสถานีนั่นแหละ หวังว่าจะหาเจอก่อนมันจะตู้ม!! ....อีกรอบนะครับ

     

     

     

    ปลายสายวางไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไร  ผมสั่งให้ลูกน้องแกะรอยที่มาของเบอร์โทรศัพท์  ก่อนที่พวกเราแบ่งกันเป็นสองทีม คือหนึ่ง..ทีมผู้กำกับลี ที่จะทำหน้าที่ค้นหาระเบิดก่อนที่มันจะทำงาน  กับสอง...ทีมของผม ที่จะทำหน้าที่ออกไปตามจับคนร้าย

     

     

    ผู้กำกับลีมองตาผมแน่วแน่ คล้ายจะบอกว่าเขาเชื่อใจในฝีมือและความสามารถของผม

     

     

    จากนั้นเราก็ลงมือปฏิบัติภารกิจ...โดยมีเวลาเพียงยี่สิบนาทีเป็นเงื่อนไข และมีชีวิตกับศักดิ์ศรีของตำรวจเป็นเดิมพัน

     

     

    ผมกับลูกน้องอีกสองคนขึ้นควบมอเตอร์ไซต์ โดยแยกกันไปคนละคัน เพราะวันนี้เรามีรถเพียงพอต่อจำนวนตำรวจที่เหลือน้อยอยู่น้อยนิด

     

     

    ผมบิดคันเร่งเต็มสตรีมขณะโลดแล่นไปบนเส้นทางสายคอนกรีต...

     

     

     

     

     

    ระเบิดลูกที่สองมีจริงแน่หรอ?

     

    เป็นไปได้หรือที่คนร้ายจะเอาระเบิดไปติดตั้งในสถานีตำรวจที่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 24 ชม. โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลย

     

    หรือว่าคนร้ายเพียงแค่ขู่สร้างสถานการณ์?

     

     

     

     

    แต่ถ้าไม่ล่ะ...

    ถ้าคนร้ายวางระเบิดเอาไว้จริงๆ ...แล้วคนร้ายจะติดตั้งมันไว้ที่ไหน?

     

     

    ที่ๆไม่มีคนสังเกต ที่ๆไม่น่าสงสัย ที่ๆไม่เป็นจุดสนใจ???

    ???

     

     

     

    มันจะต้องเป็น....

     

     

     

     

     

    “พิดนา!!!

     

    ผมคำรามลั่นภายใต้หมวกกันน็อค....

     

     

    ระเบิดจะต้องอยู่ในของหายซักชิ้นที่เอาเข้ามาในสน.โดยไม่ผ่านการตรวจสอบใดๆ  และของหายชิ้นล่าสุดก็คือตุ๊กตาตัวนั้น  ตุ๊กตาที่ผมเลี่ยงกฏหมายและส่งให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเพื่อปัดความรำคาญให้กับตัวเอง...

     

     

    ผม...

    ผมกำลังจะฆ่าประชาชน...

    ประชาชนที่บอกว่าโตขึ้นมาจะเป็นเจ้าสาวให้กับผม....

     

     

     

    ผมเลี้ยวรถกลับตรงทางโค้งแบบหักศอก  ลูกน้องสองคนหักรถตามมา ผมจึงรีบหยุดรถ ก่อนจะเปิดกระจกหมวกกันน็อคเพื่อออกคำสั่ง

     

     

    “นายสองคนไปจับผู้ร้ายตามแผน ไม่ต้องตามฉันมา!!

     

    “แล้วผู้กอง...”

     

    “ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น!! จับคนร้ายให้ได้ แล้วเจอกันที่สถานี!!” ผมแหกปากแข่งกับเสียงเครื่องยนต์รถโดยสารที่แล่นผ่านไปมา ก่อนที่ผมจะสตาร์ทเครื่องและมุ่งหน้าไปยังร้านชำเล็กๆที่อยู่สุดซอยของหมู่บ้านวอโรอิล

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ฟานฟาน!!

     

    พิดนาตะโกนเรียกชื่อผมอย่างตกใจ ก่อนจะวิ่งไปหลบหลังผู้เป็นแม่ ...คงจะกลัวว่าผมจะมาทวงตุ๊กตาคืน

     

    ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆนั่นล่ะครับ

     

     

     

    ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เพราะไม่มีเวลาจะมานั่งอธิบายกันแล้ว  ผมปรี่ไปที่พิดนา จับร่างเล็กๆแยกกับแม่ ก่อนจะดึงตุ๊กตาออกมาจากมือของเธออย่างรวดเร็ว

     

    “แกะของพิดนา!!” เด็กน้อยกรีดเสียงแหลมบาดแก้วหู เธอกระโดดเหยงๆหมายจะแย่งเจ้าอัลปาก้าคืนไป ผมเดินเฉียดร่างน้อยๆของพิดนาจนล้มก้นเจ้าเบ้า ก่อนจะกระซิบกับแม่ของพิดนาที่ยืนงงทำอะไรไม่ถูกอยู่ในร้าน

     

     

    “ข้างในมีระเบิดครับ ผมขอยืมเครื่องมือช่างด้วยครับ”

     

    คุณแม่แสดงสีหน้าตกใจก่อนจะรีบวิ่งไปค้นหากล่องเครื่องมือช่างมาให้ตามที่ผมขอ  ระหว่างนั้นพิดนาก็เริ่มงอแง เด็กน้อยไม่ยอมลุกขึ้นจากพื้น แต่เธอมองผมด้วยสายตาที่ผมอธิบายไม่ถูก

     

    แต่มันเจ็บมากนะ...ผมบอกได้แค่นั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมรับกล่องเครื่องมือมาจากคุณแม่ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปหาบริเวณกว้างที่ปราศจากผู้คน

     

    และสนามเด็กเล่นในตอนนี้ก็เหมาะสมที่สุด

     

     

     

    ผมทรุดตัวลงที่กลางลานสนามท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด  เหงื่อของผมไหลซึมออกมาราวกับสายฝนเมื่อตอนที่ผมใช้กรรไกรกรีดตรงท้องยัดนุ่นของเจ้าอัลปาก้า

     

     

    แล้วก็เป็นตามที่ผมคิดทุกประการ...

     

     

     

     

    มันไม่ใช่ระเบิดเวลา แต่เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรล ฉะนั้นถ้าลูกน้องสองคนของผมจับคนร้ายไม่สำเร็จ และคนร้ายกดรีโมท

    ผมก็คง....

     

     

     

     

    ไม่มีเวลา  ไม่มีวอสื่อสาร  ไม่มีกำลังเสริมใดใดทั้งสิ้น

     

     

    ในสนามเด็กเล่นมีเพียงแค่ผมคนเดียว

     

     

    ผมเงินเดือนโหดที่สุดรองจากผู้กำกับ  ผมกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นสารวัตรภายในปีนี้  ผมกำลังจะซื้อบ้านให้แม่  กำลังจะรับแม่ที่อยู่แคนาดามาอยู่ด้วยกันที่เกาหลี

     

     

    แล้วผมจะเอาชีวิตมาเสี่ยงทำไม??

     

     

     

    ด้วยความคิดวูบนั้นทำให้ผมลุกขึ้นยืน  ปล่อยระเบิดกับตุ๊กตาเน่าๆไว้บนพื้น

    ผมเดินออกมาจากสนามเด็กเล่น

     

     

     

    แล้วอยู่ดีๆพิดนาก็วิ่งเข้าไปหยิบมันขึ้นมากอด

     

     

    พิดนานั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น

     

     

     

    ผมควรจะ...ทิ้งเธอไว้...

    ไหม??

     

     

     

    ผมควรจะ...ควรจะ...ทำยังไงดีครับ

     

     

    แล้วสองขาก็พาร่างของผมไปหยุดยืนหน้าพิดนา ผมกระชากตุ๊กตาออกจากอกเธอ  เด็กน้อยร้องไห้งอแง  และคงยากที่จะปลอบหรืออธิบายอะไรในตอนนี้

     

     

    “ผิดคำพูด...ฮึก ก็แกะเป็นของพิดนาแล้ว”

     

    “ออกไปซะ!!” ผมตะคอกพร้อมมือที่ทั้งผลักทั้งดันร่างของเธอ

     

    “ฮือออ ไม่ไป! ฮืออ”

     

     

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไร ไม่ใช่ว่าชีวิตผมมีค่ากว่าชีวิตเด็กห้าขวบคนหนึ่ง หรือไม่ใช่เพราะเธอมีค่ามากกว่า

     

     

    ณ ตอนนี้ไม่ได้ว่ากันด้วยเรื่องของคุณค่า ไม่เกี่ยวว่าผมหรือเธอที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

    แต่มันเป็นเรื่องของหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

     

     

     

     

    “ไปซะ...”

     

    “ฮือออออ”

     

    “ถ้าไม่ออกไปก็ไม่ต้องมาเป็นเจ้าสาวของพี่ฟาน!! ไม่ต้องมาให้พี่ฟานเห็นอีกเลย!!!” ผมตวาดเสียงดัง จงใจใช้แววตาเด็ดเดี่ยวสั่งเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

     

    พิดนากลั้นสะอื้น ช้อนตามองผมด้วยความผิดหวัง ....แล้วเธอก็กำชายกระโปรงวิ่งออกไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    พระอาทิตย์ทำงานเต็มศักยภาพในบ่ายวันนี้

    ผมทิ้งตัวลงบนสนามและตั้งใจกู้ระเบิดอีกครั้ง ด้วยความสามารถด้านนี้ ที่บอกได้เลยว่าแทบติดลบ

     

    งานนี้ควรเป็นหน้าที่ของหน่วยสาท ของเจ้าหน้าที่ที่รู้เรื่องระเบิดโดยตรง  ไม่ใช่ผม...ผู้ซึ่งไม่เกี่ยวพันอะไรกับระเบิดเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    ผมกลั้นหายใจก่อนจะตัดสายสีดำเส้นแรก ถอดเข็มที่คิดว่ามันน่าจะเอาไว้รับสัญญาณ แล้วก็แยกชิ้นส่วนต่างๆออกจากกันด้วยมือที่สั่นเทิ้ม

     

     

    เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับระเบิดเลย ผมจึงกลัวมากและไม่รู้เลยว่าตัวเองทำพลาดหรือทำสำเร็จ แต่จนแล้วจนรอด ระเบิดก็ถูกแยกจนมองไม่เห็นเค้าเดิม

     

     

    ผมไม่รู้ว่าสำเร็จไหม  แต่ถ้ามันแยกยิบย่อยขนาดนี้แล้วยังระเบิดขึ้นมาได้ อานุภาพมันก็คงไม่ต่างจากกำปั้นของแบคฮยอน....ก็นะ มันไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าเดิมอีกแล้ว

     

     

     

    ผมปาดเหงื่อด้วยแขนเสื้อ ก่อนจะหยิบตุ๊กตาที่พิดนาเรียกมันว่าแกะ กลับสถานีกวางจู เพื่อนทำตามกฏอันว่าด้วยเรื่องของหาย ตามมาตราที่ 1323 และเมื่อครบกำหนดเวลา ตุ๊กตาตัวนี้ก็จะตกเป็นของพิดนาผู้เก็บทรัพย์สินได้ ตามมาตรา 1325

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผู้ร้ายถูกจับกุมได้ก่อนที่ผมจะมาถึง  สถานีตำรวจเละเทะ คงเพราะทุกคนช่วยกันรื้อหาระเบิด

     

    ไม่มีตำรวจคนไหนสบตาผมซักคน...

     

     

    ผมถูกผู้กำกับลีเรียกเข้าไปพบในห้องเป็นการส่วนตัว  และทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในห้องหนาวจัด ผู้กำกับก็ปาแฟ้มหนาๆใส่หน้าผมอย่างแรง

     

     

    “คุณหายหัวไปไหนมา!!

     

     

    ผมนึกเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ ผมพยายามใจเย็น ก่อนจะชูตุ๊กตาท้องแตกนุ่นทะลักให้เขาดู

     

     

    “ผมไปตามของหายครับ”

     

    “ผู้กองอู๋!!

     

    “แต่ผมอธิบายได้...”

     

     

    แล้วผู้กำกับก็ปาอีกแฟ้มใส่ผม คราวนี้ส่วนสันแฟ้มโดนหน้าผากผมเต็มๆ

     

     

    “คุณปล่อยให้ลูกน้องที่ไม่ชำนาญการไปเสี่ยงจับผู้ร้ายกันอยู่สองคน! ส่วนตัวเองก็งี่เง่าไปทำเรื่องไร้สาระอย่างนั้นหรอ!!

     

     

    ผมขี้เกียจจะเถียงอะไร...ก็เลยได้แต่ยืนลูบหน้าผากป้อยๆ เดาว่ามันต้องแดง และกลายเป็นสีเขียวช้ำภายในวันสองวันนี้

     

     

    “คุณจะต้องถูกสอบวินัย... เขียนรายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผมด้วย”

     

    “....”

     

    “อ่อ... เรื่องเลื่อนขั้นผมคงจะต้องพับโครงการไปก่อน และคุณจะได้พักผ่อนตามใจหนึ่งเดือน เอาบัตรตำรวจของคุณมา”

     

     

    ผมกำหมัดแน่นจนสั่น อยากจะทุบโต๊ะผู้กำกับซักทีสองที ...เขาจะสั่งพักงานผมและยึดบัตรตำรจอย่างนั้นหรอ

    ไม่มากไปหน่อยหรือยังไง

     

     

    แต่สุดท้ายแล้วผมก็ควักบัตรอันทรงเกียรติออกจากกระเป๋าสตางค์และวางมันลงบนโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชาการ  ผมโค้งให้เขาก่อนจะเดินออกมาจากห้องที่เย็นเหมือนห้องดับจิต

     

     

     

    ผมออกมาเก็บข้าวของที่จำเป็นที่โต๊ะทำงานลงไปในกระเป๋าเป้  ระหว่างนั้นไม่มีนายตำรวจเดินเข้ามาถามไถ่ ผมรู้ว่าพวกเขาก็คิดแบบเดียวกันกับผู้กำกับ...ผิดหวัง? หมดศรัทธา?  ดูถูก?

     

    ไม่รู้สิ...ก็คงอะไรประมาณนั้นนั่นล่ะ

     

     

     

    แล้วผมน้อยใจมั้ย?

    นั่นสิ...ก็ก้ำกึ่งมั้ง

     

     

     

     

    พอเก็บของเสร็จผมก็ออกมาจากสถานี  เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นร่างของเด็กหญิงพิดนายืนรออยู่

     

    ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่...

     

    เฮ้อออ  ต้องโดนเด็กด่าซ้ำอีกแล้วหรอเนี่ย

     

     

     

    ผมจงใจเดินเลี่ยงพิดนา ก่อนที่ร่างเล็กๆในชุดกระโปรงสีขาวที่ตอนนี้เลอะเทอะมอมแมมจะวิ่งมาดักหน้า และเรียกชื่อผมแบบไม่มีสัมมาคารวะอย่างที่เธอชอบเรียกเป็นประจำ

     

     

    “ฟาน...”

     

     

    ผมหยุดเดิน จงใจจะเลี่ยงไปอีกทาง  แต่เด็กน้อยก็พูดไม่หยุด

     

     

     

    “โตขึ้นพิดนาจะไม่เป็นเจ้าสาวของฟานแล้วนะ”

     

     

    เหอะน่า...รู้แล้วหรอกน่า

    อู๋ฟานคนนี้มันทำอะไรก็ผิดไปหมดทั้งนั้นนั่นแหละ

    ไม่อยากเป็นก็ไม่ต้องเป็น  จะไปไหนก็ไป

     

     

     

     

    “แต่พิดนาจะเป็นตำรวจ แล้วก็จะคอยช่วยเหลือเด็กๆเหมือนที่ฟานทำนะ พิดนาจะเป็นตำรวจที่เก่งแบบฟานให้ได้เลย!

     

    “...”

     

    “แม่เล่าให้พิดนาฟังแล้วว่าข้างในมีระเบิด แต่ว่าในหัวใจของพิดนามีความรักให้ฟานนะ”

     

     

    แล้วเธอก็ขำคิกๆคักๆอยู่คนเดียว

     

     

     

     

    ผมไม่รู้หรอกว่าที่ผมทำไปมันถูกต้องไหม

    ถ้าวันนี้ผมไปจับผู้ร้ายกับลูกน้อง ยึดรีโมทมาทำลาย ระเบิดก็จะไม่ทำงานอยู่ดี ...คือจริงๆแล้วมันก็มีหลายแนวทางที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้  แต่ผมเลือกที่จะมาหาเด็ก  เลือกที่จะมาเช็คก่อนว่าประชาชนของผมยังคงปลอดภัยดี

     

     

     

    “อย่าเสียใจนะที่ไม่ได้เป็นเจ้าบ่าวของพิดนา คิกๆๆ”

     

     

    เด็กน้อยยิ้มหวาน  ลำตัวเล็กๆของเธอปิดทับพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะลาลับของฟ้า กระนั้นแสงสีส้มก็ยังลอดผ่านมาเป็นลำแสงรอบร่างเล็กจ้อย

     

     

    ผมยิ้มให้เธอ ...เหมือนว่าทุกอย่างที่เป็นเสมือนหมอกม่านในใจได้จางหายไป

     

     

     

    จริงอยู่ บนโลกนี้มีคนเก่งอยู่เป็นแสนเป็นล้าน

     

     

    มีตำรวจที่แม่นปืน  มีตำรวจที่เปี่ยมด้วยไวพริบปฏิภาณ  มีตำรวจที่จับผู้ร้ายเก่งและได้ออกทีวีอาทิตย์ล่ะหลายๆครั้ง

     

     

    แต่ผมว่ามีน้อยเหลือเกินสำหรับตำรวจที่ปิดทองหลังพระ  ตำรวจที่ไม่รับเงินใต้โต๊ะ  ตำรวจที่ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อดำรงความถูกต้องและยุติธรรม

     

     

    ผมอาจจะไม่ใช่ตำรวจเหล่านั้น ผมยังไม่เพียบพร้อมพอจะเป็นตำรวจที่สมควรแก่การยกย่องว่า เป็น ตำรวจที่ดี

     

     

    แต่ต่อจากนี้... ผมจะพยายาม

     

     

     

    ผมโบกมือให้เด็กหญิงจอมแก่นที่โบกมือลาขอตัวกลับบ้านด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับเด็กซนๆคนหนึ่ง ก่อนที่ผมจะหมุนตัวกลับไปมองสถานีกวางจูที่อยู่เบื้องหลัง

     

     

    คุณเห็นป้ายที่ติดอยู่หน้าสน.นั่นไหม...

    ป้ายที่เขียนว่า

     

     

    บริการด้วยใจ รับใช้ประชาชน

     

     

     

    ทุกข์ร้อนอะไรก็มาหาพวกเรานะครับ ผมพร้อมจะช่วยเหลือพวกคุณเสมอ :)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    -จบตอน คริสอู๋กู้ระเบิด-

     

     

     

    ไม่มีอะไรจะพูด  แต่ก็รู้ใช่มั้ยว่ารัก

    เย่เฮ้ดด เสี่ยวจ๊าดด

     

    ไปล่ะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×