คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [SF] Suicidal King - Part 1
Suicidal King
วันนี้ยังคงเป็นอีกวันที่เครื่องบิน LBN ดำดิ่งลงสู่ภาคพื้น
แบคฮยอนนอนขดตัวนอนกอดเข่าอยู่บนเตียงขนาดหกฟุต ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกดภายในช่องอกที่กำลังพรากเขาจากความเป็นไปสู่ความตาย แต่มันไม่ใช่ความตายชนิดที่ว่าหายสาบสูญไปจากโลกโดยไม่หลงเหลือความรู้สึกหรือจิตวิญญาณใดๆทิ้งไว้เลย ในทางกลับกัน แบคฮยอนเจ็บปวดเหมือนคนกำลังเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต จากนั้นเขาก็จะตาย แต่การตายของเขากินเวลาแค่ระยะสั้นไม่ถึงกี่วินาที ก่อนที่เขาจะกลับมามีชีวิตใหม่ เพื่อที่จะทรมานจนตายอีกรอบ
แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ มันก็แค่การอุปมาอุปมัยเพื่อให้เห็นภาพของความรู้สึก
บยอนแบคฮยอนเป็นนักศึกษาวัย 17 ปี ...ไม่สิ อันที่จริงเขาเป็นเพียงอดีตนักศึกษาผู้ที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขามีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนฝูงทีรักใคร่ มีผู้คนมากมายรายล้อม แต่ทุกอย่างกลับถูกริดรอนไปในชั่วยามแห่งการกระพริบตา หลังจากที่เครื่องบิน LNB สายการบินเอเชียไลน์ ทะยานจากน่านฟ้าลงสู่พื้นหญ้าด้วยความเร็วที่ไม่อาจคาดได้ว่ากี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แน่นอนว่าไม่มีผู้โดยสารคนใดรอดชีวิตจากเที่ยวบินท้านรกนั้นมาได้ ฉะนั้นจึงหมายรวมถึง พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานชายตัวเล็กๆอีกสองคนของเขา ที่จำต้องสังเวยเลือดเนื้อให้กับความวิปริตของธรรมชาติ ที่จู่ๆก็บันดาลพายุร้ายปั่นปวนนกเหล็กที่ไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วลำนั้น ให้เสียหลักตกลงกระแทกพื้นโลกตามกฏแห่งแรงโน้มถ่วง
ทว่านอกจากกฏแรงโน้มถ่วงแล้ว มุนษย์เราก็ยังต้องรู้จักกฏสำคัญอื่นๆอีก อย่างเช่น... Action = Reaction
แบคฮยอนรู้สึกว่าแรงสะท้อนจากการตกของเครื่องบินลำนั้นช่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน แม้เรื่องราวจะผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว แต่รีแอคชั่นยังคงส่งผลต่อเนื่อง ยังคงมีมือที่มองไม่เห็นจับเขาโยนสู่เบื้องบน ก่อนที่แรงที่นิวตันค้นพบ จะดึงเขาลงมากระทบพื้นเบื้องล่าง
แบคฮยอนยังคงตายซ้ำซากทุกวัน ยิ่งระลึกได้ว่าตัวเองเป็นเหตุผลของการตีตั๋วบินกลับเกาหลีของครอบครัวในเที่ยวนั้น เขาก็ยิ่งตายพร่ำเพรื่อ มันเริ่มจากบริบทรอบกายเปลี่ยนไป จากห้องนอนกลายเป็นห้องโดยสารของสายการบินเอเชียไลน์ จากนั้นพื้นก็จะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจนไม่อาจทรงกายเอาไว้ได้ ทุกอย่างหมุนเหวี่ยงราวห้องจำลองสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง จากนั้นก็วูบ...ตกลงไปยังพื้นที่ต่ำกว่าระดับเดิมเป็นพันๆไมล์ แบคฮยอนจะถูกอัดด้วยเสียงกรีดร้องจากจินตนาการ จากความร้อนที่ห่อรอบกายจนเหงื่อพุ่งพลั่ก หัวใจเต้นเกินอัตราปกติ เนื้อตัวชาแต่เจ็บระนาวไปทั่วทุกรูขุมขน การหายใจกระชั้นชิดจนเหมือนคนเป็นไฮเปอร์ ความรู้สึกที่ไต่ใกล้สู่ระดับความตาย หรือหากจะเอ่ยง่ายๆก็คือจวนเจียนจะขาดใจ
พอแตะระดับสูงสุดของความทรมานแล้ว ชายหนุ่มจึงคลายอาการลงจนเป็นปกติ จากนั้นไม่นานเขาก็จะเข้าสู่วงจรเดิมใหม่อีกครั้ง
นี่คือกิจวัตรประจำวันของบยอนแบคฮยอน หลังจากที่ความสูญเสียทำตัวเป็นโจรขโมยทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา
. . . . . . . . . .
ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่นักแข่งสิงห์สนามกลายเป็นคนกลัวการขับรถ
บางทีมันอาจจะเริ่มต้นที่เปลวไฟลูกใหญ่ที่พุ่งพวยในวันหนึ่งกลางฤดูร้อน
“ไม่เอาน่าชานยอล เราไม่ควรจะดื่มกันตอนนี้”
เจ้าของชื่อทาบนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากอวบอิ่มชองคนรัก “เงียบซะสาวน้อย เรากำลังจะไปสวรรค์กันนะ” ว่าแล้วเขาก็หักพวงมาลัยจอดรถตรงที่ห้ามจอด เพื่อที่จะข้ามฝั่งไปซื้อเบียร์ในมินิมาร์ท
ปาร์คชานยอลฮัมเพลงโปรดที่ดังลอดมาจากหูฟังบีทส์ที่เขายกขึ้นมาครอบหูขณะกดล็อคประตูรถที่ติดตั้งระบบกันขโมยอย่างแน่นหนา เพราะนี่คือออดี้ R8 V10 สีม่วงกำมะหยี่ที่เขารักสุดดวงใจ
ชายหนุ่มเดินเลือกขนมขบเคี้ยวบนเชลฟ์ ด้วยความกระตือรือร้นในคุณค่าแห่งวันหยุดที่เขากำลังจะใช้มันไปพร้อมกับหญิงสาวที่ผู้ชายทั้งเมืองยอมแลกไตกับการได้เดทกับเธอ
มือใหญ่วางเบียร์สี่กระป๋องกับขนมอีกสามห่อลงบนเคาท์เตอร์ชำระค่าสินค้า แคชเชียร์ยิ้มหวานเกินจำเป็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซอร์วิสมายด์หรือความหล่อเหลาของลูกค้าหนุ่มกันแน่
ตอนนั้นเองที่ชานยอลรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางที่ทรงอำนาจมากพอดู ทว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเพลง Counting stars ของ OneRepublic ที่หูฟังสีแดงดึงเขาออกจากโลกภายนอก
กระนั้นเขาก็อ่านปากของพนักงานสาวที่หันหน้าไปทางกระจกร้านได้ว่า ‘เยซู...’
ชานยอลมองตามไปยังนอกร้าน วินาทีนั้นเขารู้ซึ้งได้ถึงพระเจ้าตามที่หญิงสาวได้กล่าวพระนาม
มันเป็นช่วงเวลาที่เหลือเชื่อ เบียร์กระป๋องสุดท้ายที่ยังอยู่ในอุ้งมือกลิ้งหลุดไป... ไม่มีอะไรที่ปาร์คชานยอลไขว่คว้าเอาไว้ได้ แม้แต่หญิงสาวที่เขารัก หรือกระทั่งรถแข่งที่เขามีแพสชั่นต่อมันอย่างแรงกล้า
บนถนนฝั่งตรงข้ามมีรถสองคันที่ดูโดดเด่นเหนือสิ่งอื่นใด เห็นได้ชัดว่ามันนัวเนียกันอย่างเผ็ดร้อนท่ามกลางอากาศอบอ้าว คันหนึ่งมีท่าทางอ่อนแรง ผู้สังเกตการณ์คนอื่นคงคิดว่ามันหมดแรงจะต่อสู้ มีแต่ชานยอลเท่านั้นที่รู้ว่ามันไม่ได้ฮึดสู้มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที เพราะมันก็แค่จอดอยู่เฉยๆบนทางเลียบฟุตบาท แต่รถตกมันคันนั้นต่างหากที่เข้ามาพุ่งชนมันเอง
เบนซ์สีดำสนิทลากเกี่ยวออดี้สีม่วงกำมะหยี่ของเขาไปด้วยความเร็วที่ชวนหวาดเสียว ทะยานไปไร้ทิศทาง แต่สุดท้ายมันก็ถูกดักหน้าด้วยขอบปูนกั้นเลนส์ถนนพร้อมด้วยเสาไฟฟ้าสูงชะลูด
Take that money
Watch it burn
Sink in the river
The lessons I learned
เขาได้ยินเสียงเพลงท่อนสุดท้าย แทนที่จะได้ยินเสียงตู้มแห่งการระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลวไฟลุกท่วมรถ จนเขาลืมไปแล้วว่ามันเคยเป็นสีอะไรมาก่อน
ถ้าเขาไม่ทิ้งเธอไว้
ถ้าเขาพาเธอออกมาด้วย
ถ้าเขา...
. . . . . . . . . .
“คุณคิดยังไงถึงไปเช่าบ้านที่มีคนตายอย่างนั้น”
คำถามจากรุ่นพี่ร่วมอาชีพเป็นเสมือนน้ำที่ไหลผ่านตะแกรงตาถี่ ไม่มีแม้ซักคำที่คนฟังซึมซับรับเอาไว้
ปาร์คชานยอลเดาะลิ้นแตะเพดานอ่อนในช่องปาก เขาค้นพบรสชาติอ่อนๆของลูกอมกลิ่นมิ้นต์ที่เพิ่งกินไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว “ผมต้องคิดยังไงด้วยหรือ?”
“หมายความว่าไง? ต้องคิดยังไง? ผมสิต้องเป็นฝ่ายถามว่าคุณคิดได้ยังไง”
“นั่นสิ แล้วผมควรคิดยังไงละ?”
“อย่างน้อยคุณก็ควรจะกลัว”
“กลัว? โอเค...แล้วผมจะรับไว้พิจารณา” ตัดบทเพียงเท่านั้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่อย่างคนสุขภาพดีจะเปิดประตูและก้าวออกไปนอกรถ ทิ้งให้สารถีจำเป็นที่ถูกผู้ใหญ่ในที่ทำงานไหว้วานให้มาส่งรุ่นน้องผู้มีอิทธิพล นั่งส่ายหัวเอือมระอาอยู่คนเดียว
ปาร์คชานยอลมองบ้านสีขาวปลอดสไตล์ยุโรปเบื้องหน้าด้วยแววตาไร้อารมณ์สะท้อน ที่พักชั่วคราวแห่งนี้ไม่มีแรงจูงใจอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการอยู่ไกลตัวเมืองและเงียบสงบเหมาะแก่การเดินหันหลังให้กับดาวเคราะห์โลก
กดออดข้างรั้วซักพักเจ้าของบ้านก็ชะเง้อใบหน้าออกมาดูลาดเลา แม้จะมองเห็นจากระยะไกลพอสมควร แต่ผิวขาวราวไม่เคยต้องแสงแดดของเจ้าของบ้านก็สะดุดตาผู้เช่านัก ชานยอลคิดในใจว่านั่นมันขาวซีดเสียยิ่งกว่าพระเอกหนังแวมไพร์ชื่อดังระดับโลกเสียอีก ที่แตกต่างคงเป็นความนวลเนียนและไร้ไรขนเหนือริมฝีปากสีอ่อนเหมือนอย่างที่พระเอกคนนั้นมี
“ผมปาร์คชานยอลครับ!” ชายหนุ่มตะโกนแสดงตัวอย่างสุภาพ แน่นอนว่าผู้ทำสัญญาเช่าอย่างถูกกฏหมายมีสิทธิ์ได้รับการปฏิบัติที่ดีตามเม็ดเงินที่จ่ายมัดจำไป
แบคฮยอนรีบเดินมาเลื่อนรั้วให้ ท่าทางอ่อนเพลียราวกับจะเป็นลมเพียงแค่ออกแรงปลดกลอนเรียกร้องความรู้สึกเวทนาจากคนลอบมองอยู่ห่างๆ ชานยอลรู้ดีว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่จะรู้สึกเช่นนี้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เขาก็รู้สึกเช่นนั้นไปแล้ว
“สวัสดีครับ” เจ้าของบ้านที่ดูเหมือนจะอายุยังน้อยยิ้มทักทาย เป็นรอยยิ้มมารยาทที่โค้งหยักเพียงแค่ริมฝีปากเท่านั้น
“สวัสดี” ชานยอลทักตอบและสะบั้นคำลงท้ายว่าครับลง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเด็กกว่าเขาอยู่มากโข “อยู่บ้านคนเดียวหรอเรา?”
“ครับ” ตอบสั้นก่อนจะเริ่มเดินนำเข้าไปยังข้างใน
ชานยอลเดินตาม เขามองแผ่นหลังเล็กบางนั่นบ่อยกว่าทิวทัศน์ของที่พำนักใหม่เสียอีก ระบบความรู้สึกของเขาไม่ซับซ้อนอะไร หลายคนมองว่าแป็นจำพวกหนุ่มเย็นชาไร้อารมณ์ ไม่ก็ขวางโลก เพราะเขาไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือกับคนรอบข้าง แต่จริงๆเขาก็แค่มองเห็นความรู้สึกของตัวเองชัดเจน เขาไม่โกหกและฝืนใจทำอะไรเพื่อที่จะกลมกลืนไปกับสังคม
และตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มเจ้าของบ้านไม่ใช่คนที่เขาจำต้องออกห่าง หรืออึดอัดที่จะเสวนาด้วย
“นายอายุเท่าไหร่?”
“คุณจำเป็นต้องรู้ด้วยหรือ?”
ชานยอลกระตุกยิ้ม ...เข้าใจดีว่าคนทั้งโลกไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นมิตรกันทุกคน แต่ไอ้เจ้าหนุ่มตัวขาวนี่ทำเอาเขาอยากเป็นมิตรเสียจริงให้ดิ้นตาย
“นายพูดกับคนเช่าอย่างนี้ทุกคนเลยรึไงกัน”
“คุณเป็นคนแรก”
“ที่นายพูดแย่ๆใส่?”
“เปล่า ที่มาเช่าบ้านหลังนี้”
. . . . . . . . . .
ตีสองในชานเมืองเงียบสงบ แต่ไม่เชิงสงัด
ปาร์คชานยอลยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง พลางครุ่นคิดถึงวิธีการเปลื้องชนักที่ปักหลังเขาตั้งแต่เดือนที่แล้วให้หลุดพ้นไป เขายังจำกลิ่นเหม็นไหม้และสาบเนื้อที่เป็นตอตะโกได้เป็นอย่างดี ราวกับว่าเหตุการณ์สยองขวัญนั้นเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ อย่างน้อยก็วันนี้ หรืออย่างมากก็เมื่อวาน
เขาชั่งใจว่าควรจะตายเสียเดี๋ยวนี้เลยดีไหม? แต่เขาไม่มีอุปกรณ์อะไรที่เอื้อต่อการตายเลย เขาจำเป็นต้องมีมีด เชือกหนาแน่นซักเส้น หรือบางทีก็น้ำยาล้างห้องน้ำสองชนิดขึ้นไป
ชานยอลวางหนังสือว่าด้วยโครงสร้างของหลักมนุษยธรรมลงบนหัวเตียง ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นล้มตัวนอนอย่างจริงจัง
ทว่าการจริงจังในการนอนประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเสียเพียงไหน แต่เสียงกุกกักที่ดังมากจากชั้นสองก็พลัดพรากความพยายามของเขาไปจนสูญสิ้น
เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น?
ชานยอลครุ่นคิดเมื่อเสียงเตียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเดินไปยังแหล่งกำเนิดของเสียงเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับสถานที่สุดท้ายที่เขาเลือกจะปลิดปลงทุกองค์ประกอบของชีวิต
ประตูไม่ได้ล็อคจากข้างใน ชานยอลจึงบิดมันอย่างช้าๆโดยไม่ลืมขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน
“เจ้าหนู เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
ไร้คำตอบใด
“เฮ้! นายต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?!” อีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
แต่นอกจากเสียงสั่นสะเทือนของเตียงนอนกับเสียงหายใจหอบถี่จนน่ากังวล ก็ไม่มีเสียงใดอีกที่เล็ดลอดออกมาจากห้องนั้น
ชานยอลบันดาลความเป็นห่วงสถานการณ์ สุดท้ายเขาก็ดันประตูเข้าไป...
เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านสวมเพียงบ็อกเซอร์ขาสั้นกุดตัวเดียวเท่านั้น แถมมันยังเป็นสีขาวกลืนไปกับเนื้อหนังจนแทบจะเหมือนคนแก้ผ้าอยู่รอมร่อ
“เอ่อ...มี...อะไรให้ช่วยมั้ย?” คนที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตถึงกับหน้าร้อนผ่าว ความรู้สึกเก้อเขินกลับมามีบทบาทหลังจากความเศร้าหมองครอบคลุมพื้นที่มานานถึงหนึ่งเดือนเต็ม
แบคฮยอนนอนงอตัวเป็นกุ้งหันหลังให้ชานยอล คนตัวเล็กหอบสะท้าน อยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้
ที่แน่ๆ คืออยากจะพูดให้เคลียร์ว่าเขาไม่ได้กำลังทำอะไรวิตถารอย่างที่ไอ้โย่งไร้มารยาทนั่นกำลังคิด
ชานยอลกลอกตาขึ้นฟ้า พยายามจะไม่มองผิวข้างแก้มของหนุ่มน้อยที่แดงเปล่งปลั่งทั้งยังชุ่มเหงื่อ เอาเป็นว่าเขาเข้าใจว่าฮอร์โมนกับวัยรุ่นนั้นเป็นของคู่กัน ถึงไอ้เด็กนี่จะดูไร้เดียงสายังไง แต่ก็หนีเรื่องพันธุ์นี้ไม่พ้นอยู่ดีสิน่า
“โทษทีฉันไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท เชิญทำต่อตามสบายเลยเจ้าหนู” เขาทิ้งท้ายเชิงหยอกล้อ ก่อนจะก้าวถอยออกไปยืนหลังขอบประตู เผลอทิ้งสายตาไปที่สะโพกมนอีกครั้ง แล้วมือใหญ่ก็ดึงประตูให้ปิดลง
“ร้อนแรงไม่ใช่เล่น” ชานยอลพูดขำๆกับตัวเองขณะเดินกลับห้อง เขาพยายามนึกถึงตัวเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน แน่นอนว่าเขาไม่เคยช่วยตัวเองจนเตียงสั่นไปถึงชั้นหนึ่งของบ้านอย่างที่ไอ้เจ้าหนูตัวขาวนั่นทำ
. . . . . . . . . . .
รุ่งเช้าอากาศมัวหมอง
ไม่ใช่เพราะสภาพท้องฟ้าหรืออุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ แต่เป็นเพราะเจ้าของบ้านที่ไม่ให้ความร่วมมือใดๆทั้งสิ้นกับผู้อยู่อาศัย
“นายชื่ออะไร?”
“....”
“บยอนแบคฮยอนใช่มั้ย ฉันเหมือนเห็นแวบๆในสัญญา”
“...”
“นี่ไอ้หนู ฉันแก่กว่านายคราวพ่อ ไอ้เรื่องเมื่อคืนน่ะไม่เห็นต้องอายเลย แมนๆคุยกัน”
“...”
“โอเคฉันจะไม่ล้อก็ได้ แต่นายช่วยส่งเนยนั่นให้หน่อยสิ” เขาหมายถึงกระปุกเนยที่อยู่ทางขวามือของเด็กหนุ่ม
แบคฮยอนยังคงนิ่งเฉยขณะรอขนมปังเด้งขึ้นมาจากเครื่องปิ้ง เขาไม่สนใจว่าผู้ชายนิสัยไม่ดีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะมีเนยทาขนมปังหรือเปล่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว
“นี่ไอ้หนู ฉันพูดกับนายดีๆนะ”
เหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง
“อย่ามาเรียกผมแบบนั้น! ผมไม่ใช่เด็ก!”
ชานยอลกระตุกยิ้มเมื่อเขากวนประสาทคนตรงหน้าสำเร็จ นึกชอบใจผิวแก้มแดงระเรื่อ เพราะมันช่างน่ามองเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด
“โทษที ลืมไปว่านายไม่เด็กแล้ว” เขาจงใจใช้น้ำเสียงยียวนและสายตาที่จ้องลึกเหมือนรู้ทัน “โตเป็นหนุ่ม แถมยังกลัดมันซะด้วย”
แบคฮยอนหยิบกระปุกเนยขึ้นมา ก่อนจะขว้างใส่ศีรษะของชานยอลเต็มแรง
“คุณมันไอ้เฮงซวยที่สมองคิดแต่เรื่องสืบพันธุ์!”
ชานยอลหัวเราะในลำคอขณะมองตามสะโพกของเด็กหนุ่มที่กำลังเดินกระแทกเท้าหายขึ้นไปยังชั้นสอง เขาลูบบริเวณที่รู้สึกเจ็บแปลบเบาๆ ก่อนจะเปิดกระปุกสีเหลืองและทาเนยลงบนขนมปังที่เป็นอาหารง่ายๆสำหรับเช้าวันนี้
. . . . . . . . . .
เบียร์สองกระป๋องกับยาฆ่าแมลงเพียงพอแล้วสำหรับการตายของเขา
ชานยอลคิดวางแผนฆาตกรรมตัวเองในระหว่างที่หยิบของที่ซื้อมาจากมินิมาร์ทใส่เข้าไปในตู้เย็น พอจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินถือขวดนมจืดเข้าไปในห้องนั่งเล่น
“ว่าไงไอ้หนู ฉันซื้อนมมาง้อนายด้วย” ชานยอลโยนขวดสีขาวใส่หน้าตักของเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา
แบคฮยอนสะดุ้งเพราะความเย็นของขวดนม ร่างเล็กเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง “อย่าเรียกผมว่าไอ้หนู”
“อ่ออีหนู ฉันซื้อนมมาให้เธอด้วย” กวนประสาทก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆเจ้าของบ้าน “ถ้าไม่อยากให้ฉันเรียกแบบนั้นก็บอกชื่อมาซักทีสิ”
“บยอนแบคฮยอน” เด็กหนุ่มบอกปัดสีหน้ารำคาญ ทำท่าจะลุกหนีแต่ชานยอลก็ฉุดข้อมือบางเอาไว้
“ฉันชานยอล” เขาแนะนำตัวและพยายามเป็นมิตรอย่างถึงที่สุด แต่คนอายุน้อยกว่าไม่คิดเช่นนั้น
“นั่งลงก่อนสิ เราควรจะคุยกันดีๆนะ”
แบคฮยอนมองคนพูดด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ทว่าสุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยอมนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง ด้วยหวังว่า ‘เราควรจะคุยกันดีๆนะ’ จะเป็นเรื่องจริง
แต่มันก็ไม่
“ก้นนายสวย”
แบคฮยอนสติแตกครั้งแล้วครั้งเล่ากับผู้อยู่อาศัยคนใหม่ที่ทำตัวปากหมาใส่เขาไม่หยุดหย่อน เด็กหนุ่มบิดข้อมือออกจากกอบกุมแข็งแรงและทรงตัวลุกขึ้น แต่ชานยอลก็ดึงรั้งไว้จนคนตัวเล็กเสียหลักตกลงสู่ตักร้อนของชานยอลตามที่เจ้าของตักหมายมั่นเอาไว้
“ฉันมีประกันชีวิตวงเงินสูงลิบลิ่ว ถ้านายทำตัวดีๆ บางทีเงินนั่นอาจจะเป็นของนายนะเจ้าหนู” ชานยอลพูดในสิ่งที่แบคฮยอนไม่เข้าใจและไม่อยากจะเข้าใจ
“ฉันไม่ได้อยากจะมีเซ็กซ์กับนายหรือทำตัวหัวงูใส่” อันที่จริงก็มีคิดบ้างอะนะ
“...”
“ก็แค่...” เขาชะงักเพื่อหยุดคิด กลืนน้ำลายหนึ่งทีแล้วพูดต่อ “เราควรจะอยู่กันอย่างสันติ เป็นมิตร พูดคุย หยอกล้อ แต่ทำไมนายถึงได้ชอบตัวผยองอยู่เรื่อย ฉันอายุมากกว่าและสามารถเป็นพี่ชายให้นายได้”
“ผมไม่ต้องการ” แบคฮยอนเถียงทันควัน “ที่คุณพูดมันก็มีส่วนถูก คุณมาอย่างเป็นมิตรแถมยังมีกลิ่นอายของแหล่งพักพิงที่ผมสามารถเฮฮาด้วยได้ แต่มันจำเป็นด้วยหรอที่ผมต้องตอบสนองคุณ”
“...”
“ขอโทษด้วยที่ผมไม่ใช่คนแฮปปี้กับชีวิตที่พร้อมจะไหลตามน้ำไปกับใครก็ได้ ...ผมไม่มีสิทธิ์มีความสุขอีกแล้ว”
“...”
“ผมไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข”
แบคฮยอนพูดยากๆคล้ายกับปรัชญา แต่แปลกที่ชานยอลเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วและถ่องแท้ เขาพอจะเดาได้ว่าเด็กหนุ่มได้ตกลงไปในหลุมบ่อที่ลึกราวหยั่งถึง และเขาเองก็หมดปัญญาจะฉุดรั้งคนตัวเล็กขึ้นมา เพระเขาได้ตกลงไปในหลุมที่ลึกกว่า หลุมแห่งความรู้สึกผิด หลุมแห่งการนึกโทษตัวเองที่เก็บเกี่ยวพลังใจมหาศาลไปจากเขาจนหมดสิ้น
เขากำลังจะฆ่าตัวตายภายใน 24 ชม.นี้
เมื่อความจริงข้อนั้นผุดพรายขึ้น ชานยอลจึงปล่อยร่างบนตักให้เป็นอิสระ แบคฮยอนรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่ป่วนปั่นจิตใจของชายหนุ่ม
. . . . . . . . . .
ตีหนึ่งอากาศเย็นเฉียบ สายลมพัดแรงให้ไหวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย
ชานยอลเปิดตู้เย็นและหยิบเบียร์ออกมาทั้งสองกระป๋อง เขาเปิดฝากระป๋องแรกออก ก่อนจะยกซดฟองเบียร์และน้ำสีอำพันให้ไหลลงบาดลำคอจนรู้สึกร้อนผ่าว
เมื่อของเหลวกลิ่นแอลกอฮอล์พร่องไปมากกว่าครึ่ง เขาก็ออกแรงหักหัวสเปรย์ยาฆ่าแมลงกระป๋องใหญ่ ก่อนจะกรอกมันลงไปในกระป๋องเบียร์แทน
ร่างสูงเดินจ้ำขึ้นไปยังดาดฟ้าที่อยู่บนชั้นสาม บ้านหลังนี้ออกแบบให้เป็นสไตล์ยุโรป ทันสมัยเหมือนอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกย่อสัดส่วน
เขาเปิดเบียร์กระป๋องใหม่และจิบมันไปตลอดทาง รสชาติขมกรีดลิ้นกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำ กระนั้นสติก็ยังครบถ้วน
ชานยอลเคาะกระป๋องอะลูมิเนียม เมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านก็อยู่บนดาดฟ้าเช่นเดียวกัน ร่างเล็กยืนชิดขอบปูนทำท่าคล้ายจะกระโดดลงไปได้ทุกขณะ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสั้นกุดที่เผยให้เห็นขานวลเนียนทั้งสองข้าง
“ไง” เขาทักทายด้วยเสียงที่เปล่งออกจากลำคอ คราวนี้เด็กหนุ่มยอมหันมามองแต่โดยดี
สายลมหวีดหวิวรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อบางตัวนั้นให้แนบลู่ไปกับเรือนร่างของแบคฮยอน พลันภาพที่ร่างเล็กนอนเปลือยกายหันหลังอยู่บนเตียงก็ผุดขึ้นมาในสมอง
ชานยอลกลืนน้ำลาย รู้สึกประทับใจกับทรวดทรงที่ชวนให้หลงใหลไม่รู้จบ
“มาโดดตึกตายหรอไอ้หนู” เขาล้อเล่นพลางก้าวขยับไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม
ใช้เวลาไม่นานก็เข้าประชิดบยอนแบคฮยอนได้สำเร็จ ความมืดและฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ชานยอลเลือกที่จะมองข้ามคราบน้ำตาบนแก้มของหนุ่มน้อย
“ความสูงแค่นี้ไม่ตายหรอก โดดลงไปอย่างน้อยก็ขาหัก หรืออย่างมากก็พิการ”
แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่นพร้อมพ่นลมหายใจอย่างรุนแรงเมื่อคนอายุมากกว่าตัดสินเขาตามความคิดโลกแคบของตัวเองเป็นรอบที่สอง เด็กหนุ่มหาทางหนีทีไล่ จากนั้นก็เริ่มก้าวหนี แต่คราวนี้ชานยอลไม่ยอมง่ายๆ
“อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนสิ” เขาว่าพลางจับต้นแขนนิ่มเอาไว้ อีกมือวางกระป๋องเบียร์ลงกับขอบปูน พวกมันไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าบยอนแบคฮยอนเลยแม้แต่นิดเดียว
ชั่ววินาทีนั้นชานยอลลืมไปแล้วว่าเขาจำเป็นต้องตาย...ตายหรือ?...เขาอยากกระสันจนขาดใจใต้ในอ้อมอกของเด็กคนนี้มากกว่า
“ผมไม่มีอะไรจะคุย” มือเล็กดันแผ่นอกกว้างออก กลิ่นเบียร์ทำให้เขานึกรังเกียจผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นหลายเท่าตัว
“ปล่อยผม”
“ไม่เอาน่า”
“ปล่อย! อ๊ะ!” ร้องเสียงหลงเมื่อถูกดันจนชิดขอบปูนและจับพลิกให้หันหน้าออกไปข้างนอก ชานยอลโอบเอวบางเอาไว้ จงใจใช้สิ่งนั้นของตัวเองถูไถกับเนินสะโพกอิ่ม
“คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้” แบคยอนเค้นเสียงลอดไรฟัน ใบหน้าร้อนผ่านจากความกระดากอายและโกรธเคือง
“โทษที แต่ฉันจะตายตาหลับได้ยังไงถ้ายังไม่ได้ลิ้มรสนายซะก่อน” ชานยอลพูดขำๆใกล้ใบหูที่แดงจัดของเด็กหนุ่ม แบคฮยอนพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด แต่พละกำลังของคนข้างหลังดูเหมือนจะมีมากมายเหลือเกิน
ชานยอลถกเสื้อของเด็กหนุ่มขึ้น ก่อนจะถกกางเกงขาสั้นลง
แบคฮยอนแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันที เมื่อรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายต้องการจะฉกฉวยสิ่งใดไปจากเขา
“ได้โปรด” กลัวขึ้นมาจับใจจนเสียงสั่น แม้ช่วงนี้เขาจะอยู่คนเดียวและมีทีท่าว่าจะโตเกินวัยไปกว่าเพื่อนๆที่มีผู้ปกครองคอยขนาบข้าง แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องพรรคนี้มาก่อน ไม่แม้แต่จะคิดภาพตัวเองที่ถูกกุมมือโดยใครซักคน
ชานยอลลูบทรวดทรงของคนในอ้อมกอดด้วยหัวใจที่สั่นหวิว แม้แบคฮยอนจะผอมบางจากการอดอาหาร แต่หนั่นเนื้อเฉพาะส่วนก็อวบอัดจนยากเกินกว่าที่เขาจะหักห้ามความรู้สึก
มือใหญ่กอบกุมจุดศูนย์รวมความอ่อนไหวของร่างเล็กเอาไว้ แบคฮยอนสะดุ้งวาบ รู้สึกหายใจติดขัดและแสบร้อนที่ต่อมน้ำตา
“คุณชานยอลครับ...ได้โปรดอย่าทำอะไรผมเลย” ร้องขออย่างที่ไม่เคยคิดจะเปล่งมันกับคนหยาบกระด้าง แบคฮยอนถูกครอบคลุมโดยความหวาดกลัวชนิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากร้องไห้เงียบๆ
มือสากอีกข้างเริ่มลงน้ำหนักไปตามสัดส่วนที่ชวนหลงใหล หนุ่มน้อยช่างน่ารักและหวานละมุนไปเสียทุกพื้นที่
“เซ็กซี่มากเด็กดี ฉันจะเริ่มแล้วนะ” ชานยอลให้สัญญาณ ก่อนที่เขาจะรูดรั้งของร้อนในมืออย่างหนักหน่วง แบคฮยอนสะอื้นไปพร้อมๆกับร่างกายที่ถูกย่ำยีโดยคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน
บางทีนี่อาจเป็นเวรกรรมที่เขาได้ทำไว้กับครอบครัวก็ได้
เป็นเพราะเดือนที่แล้วเป็นวันเกิดของเขา ทุกคนถึงได้บินมาเซอร์ไพรสเขาที่นี่
ใช่แล้ว...นี่คงเป็นการชดใช้กรรมอย่างหนึ่ง
. . . . . . . . . . .
การตายของชานยอลถูกเลื่อนไป เขาต้องมั่นใจเสียก่อนว่าทรัพย์สินและเงินจากประกันชีวิตทั้งหมดของเขาจะตกเป็นของแบคฮยอนทันทีหลังจากที่เขาปลิดปลงชีวิตตัวเองสำเร็จ
“คิดยังไงถึงได้ยกเงินจำนวนขนาดนั้นให้กับเด็กที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงอาทิตย์” คำถามมาจากรุ่นพี่คนเดิมที่พาเขามาส่งที่บ้านหลังนี้
ชานยอลมองคนที่เขาโทรเรียกให้ช่วยมาเคลียร์เรื่องทรัพย์สินด้วยสายตาครุ่นคิด เอาเถอะ เขาขี้เกียจจะเบี่ยงประเด็นแล้ว
“ผมเผลอไปมีอะไรกับเด็กนั่น”
รุ่นพี่ร่วมอาชีพถึงกับยกมือขึ้นปิดปากเหมือนพวกผู้หญิงเวลาที่ตกใจถึงขีดสุด ชานยอลส่ายศีรษะไล่ความปวดหันขณะยกน้ำขึ้นจิบ
ยอมรับว่ารู้สึกผิด แบคฮยอนบริสุทธิ์และเปราะบางเกินไปกับการกระทำที่ชั่วร้ายของเขา และเงินคงเป็นอย่างเดียวที่เขาจะชดใช้ให้ได้
“คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“ใช่ ผมบ้า” บ้าพลัง ใส่ไม่ยั้ง จำได้ว่าเมื่อคืนบ้านแทบจะสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง
“คุณไม่ควรจะทำแบบนั้นแม้ว่าเด็กจะสมยอมหรือไม่ก็ตาม”
คุกเห็นๆ...ชานยอลนึกขัน แต่ก็ช่างประไร คนจะตายจำเป็นต้องกลัวคุกด้วยหรือ?
“คุณน่าจะสงสารเด็กนั่นบ้าง เขาเพิ่งเสียครอบครัวไป”
“หือ?” เป็นครั้งแรกที่ชานยอลรู้สึกว่าคำพูดของคนตรงหน้าไม่ไร้สาระ “คุณหมายความว่าไง”
“ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าบ้านหลังนี้มีคนตาย”
“ตายที่บ้าน?”
“เปล่า ตกเครื่องบินตาย ที่เป็นข่าวดังเมื่อเดือนก่อนไง คุณจำไม่ได้หรอ?”
ชานยอลครุ่นคิดไปซักพัก แล้วเขาก็จำพาดหัวข่าวที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อเดือนที่แล้วได้ มันกินเนื้อที่หน้าหนึ่งไปแทบทั้งหมด
การตกอันน่าสยองขวัญของเครื่องบิน LBN เที่ยวบินที่ 351
“มีใครตายบ้าง” ชานยอลตั้งคำถาม เขาอยากจะเช็คว่ามีความหวังหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่
“ก็ทุกคนนั่นล่ะ มีแค่เด็กคนนี้คนเดียวที่ไม่ได้อยู่บนเครื่องในวันเกิดเหตุ”
ไม่มี... ไม่มีเศษซากความหวังใดสำหรับเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กเพียงนิดเดียวคนนั้น
‘ผมไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข’
ชานยอลไพล่คิดไปถึงคำพูดที่ฟังดูเจ็บปวดที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา ก่อนจะนึกไปถึงอาการนิ่งเงียบเหมือนยินยอมพร้อมใจของเด็กหนุ่มที่มีต่อเขา เมื่อคืนแบคฮยอนไม่ได้ขัดขืนเท่าที่ควร ...นั่นเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขด้วยหรือเปล่า?
ชานยอลรู้สึกปวดหนึบในหัวใจ
แน่นอนว่าถึงเขาจะเคยเป็นฆาตกรทางอ้อมด้วยการฆ่าผู้หญิงที่เขารัก แต่เขาก็ยังเป็นปุถุชนธรรมดาที่อ่านหนังสือว่าด้วยเรื่องของมนุษยธรรม เขาไม่ใช่คนเย็นชาไร้ความรู้สึก
ถ้าเขารู้ข้อมูลนี้ล่วงหน้า...ถ้าเขา
ถ้า...
เป็นอีกครั้งที่ชานยอลคิดว่า ‘ถ้าเขา...’
มีต่อพาร์ท 2
ช่วงนี้ยุ่งมากตามธรรมเนียมของการเปิดเทอม TT ฮือ
ความคิดเห็น