คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ♥ chaper 3 : สระ อา 50%
คำว่าชอบ...พูดยาก...แต่อยากบอก
ชานยอลหมุนกาย 360 องศา เพื่อสำรวจตัวเองหน้ากระจก แล้วเขาก็พบว่า นอกเหนือจากคำว่าเดอะเบสต์ แอพโซลูท เพอร์เฟ็คแล้ว ก็ไม่มีคำไหนเหมาะจะบรรยายความเป็นเขาไปได้มากกว่านี้อีก
จมูกก็สันเป็นคม เส้นผมก็ทำไฮไลต์ กระเป๋าก็ค็อกโคดาย กางเกงก็ลีวายส์ โอ้! ปาร์คชานยอลช่างเลิศเลอที่สุดในปฐพี!
หลังจากชมตัวเองไปพอหอมปากหอมคอแล้ว มือหนาก็ขยับเนคไทให้หลวมกว่าเก่า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความใจกล้าหน้าด้านอีกครั้ง
ใช่! เขากำลังฝึกซ้อมสารภาพความในใจกับแบคฮยอนอยู่
“ผมรักคุณ”
ไม่ๆ...ฟังดูเร็วไป เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ครั้งเอง
“ผมชอบคุณ”
วู้...ฟังดูไม่สมเหตุสมผล
คิดสิปาร์คชานยอล สมองระดับไฮคลาสอย่างนายต้องคิดคำเจ๋งๆได้อยู่แล้ว!
“คือว่าฉันชอบนายมาก เพราะว่านายหน้าตาพอใช้ได้และมีกระดูกเชิงกรานใหญ่เหมาะแก่การทำพันธุ์ หนำซ้ำยังวงสวิงเวลายกลังโค้กของนาย ยังดูอึดถึกทน เมื่อวิเคราะห์องศาแล้ว มันช่างเป็นท่วงท่าที่เหมาะแก่การรองรับแรงกระแทกของฉันเป็นอย่างมาก ด้วยความจริงใจนี้ ฉันจึงนำดอกกุหลาบมาให้นาย”
นั่น...มันต้องอย่างนั้น! ฟังดูเก๋กู้ดมากเลยทีเดียว
ชานยอลยิ้มกริ่มให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องพักวีไอพีไป เขาพร้อมแล้วที่จะไปบอกกับแบคฮยอนว่า ‘เราชอบนายมาก!’
แบคฮยอนเดินเข้าโรงงานมาด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อคืนเขากังวลเรื่องแม่กับเรื่องคริสจนนอนไม่หลับ หนำซ้ำยังห่วงอาการป่วยไข้บยอนฮานึลของน้องเล็กในบ้านอีกด้วย ที่บ้านของเขามีน้องๆอยู่อีกห้าคน ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นเด็กกำพร้าที่แม่ของเขาเก็บมาเลี้ยงด้วยกันทั้งสิ้น และแน่นอนว่า เขาเองก็มีสถานะไม่ต่างจากน้องๆคนอื่นๆ
มือเรียกยกขึ้นขยี้ตาด้วยความง่วงงุน ก่อนจะเดินไปตอกบัตรพนักงาน
‘ไม่พบบัญชีผู้ใช้’
แบคฮยอนจ้องตัวอักษรสีแดงบนจอ LED เล็กๆของเครื่องตอกบัตรอย่างงุนงง อะไรคือไม่พบบัญชีผู้ใช้? ร่างเล็กพยายามสแกนการ์ดอีกหลายที แต่ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม จนเขาต้องเงยหน้าถามพนักงานที่ทำหน้าที่เฝ้าเครื่องตอกบัตร
“เครื่องมันเสียหรอครับพี่?”
ได้ยินอย่างนั้น พนักงานสาวที่กำลังแต่งหน้าทาปากก็เงยหน้าขึ้นมาจากตลับแป้ง ก่อนจะชะโงกดูความผิดปกติของเครื่อง
“อ๋ออ มันไม่เสียหรอ แต่น้องโดนไล่ออกน่ะ”
แบคฮยอนหัวเราะเบาๆเพราะคิดว่ามันเป็นมุกตลก แต่สาวเจ้ากลับไม่มีแววขบขัน หนำซ้ำยังหันไปสนใจการแต่งหน้าต่อเสียอย่างนั้น
“โดนไล่ออก?” แบคฮยอนทวนคำพูดของพนักงานสาวอีกครั้ง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังโซนลำเลียงลังพร้อมส่ง ซึ่งเป็นที่ประจำในตอนเช้าของหัวหน้าแผนกขนส่งอย่างอู้อี๋ฟาน
“พี่ทำอย่างนี้มันไม่แมนเลยนี่หว่า” จะว่าพาลหรืออะไรก็ช่าง แต่แบคฮยอนก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันกับการที่เขาต้องถูกแกล้งให้ออกจากงานเพียงเพราะไม่ยอมมีเซ็กส์กับอีกฝ่าย แถมเมื่อผสมปนเปไปกับสภาวะความเครียดเรื่องที่บ้านและเอ็ฟเฟ็คจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แบคฮยอนยิ่งคุมตัวเองไม่ให้ปรี่เข้าไปหาเรื่องหัวหน้าไม่ได้เข้าไปใหญ่
จริงๆแล้วเขามันก็แค่เด็กอายุสิบแปดปี ถึงจะผ่านเรื่องร้ายๆมามากจนดูจะกร้านโลกกว่าเด็กวัยเดียวกันอยู่ซักหน่อย แต่สุดท้ายเด็กก็คือเด็ก วุฒิภาวะทางอารมณ์ของเขามันได้แค่นี้แหละ ไม่วิ่งไปต่อยหน้าเข้าให้ก็บุญแล้ว
คริสมองลูกน้องด้วยสายตางุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนความน้อยใจที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อวานจะทำให้เขาปรับสีหน้าและแววตาเป็นนิ่งเรียบ
“ไปขนลังตรงนู่นขึ้นกระบะรถหมายเลขสี่”
แบคฮยอนมองเจ้านายที่ชี้นิ้วออกคำสั่งด้วยอารมณ์โกรธที่โหมกระพือ “นี่พี่ยังมีหน้ามาสั่งผมอีกหรอ ไล่ผมออกแล้วยังสะใจไม่พออีกหรือไง!”
“ไปทำงาน” คริสไม่สนใจจะรับฟังอะไรทั้งนั้น เขาหวังเอาไว้ลึกๆว่าวันนี้แบคฮยอนจะต้องมาออดอ้อนขอคืนดี แต่สิ่งที่แบคฮยอนทำคือโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงและพูดจาก้าวร้าว?
“ไม่ทำ! พี่ทำกับผมอย่างนี้ได้ไง พี่มันทุเรศ!”
“ไปยกของ”
“พี่คริส!!”
“ฉันสั่งให้นายไปทำงาน!!”
ถึงกับเงียบกริบกันไปทั้งแผนก เมื่อหัวหน้าสัญชาติจีนขวัญใจสาวๆทั้งโรงงานคำรามลั่นออกมา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นคนใจเย็นอย่างคริสเกรี้ยวกราดเช่นนี้ได้
แบคฮยอนนิ่งเงียบไป ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกตวาดทั้งที่ตัวเองไม่ผิด ทำเอาอยากร้องไห้ แต่สายตาดุดันของอู๋ฟานก็บอกให้รู้เป็นนัยๆว่า ต่อให้เขาน้ำตาไหลเป็นสายเลือดก็จะไม่ได้รับการปลอบโยนหรือเห็นใจใดๆทั้งสิ้น
สุดท้ายคนตัวเล็กจึงจำใจเดินจ๋อยไปยกลังโค้กตามคำสั่งของหัวหน้าท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดที่แผ่ซ่านไปทั้งบริเวณ เพื่อนร่วมงานหลายคนเห็นน้องเล็กหงอยสนิทก็นึกสงสาร แต่ก็ไม่มีใครกล้าแหยมเดินเข้าไปชวนคุย เพราะไม่อยากผิดใจกับหัวหน้าคริส เป็นอันรู้ดีกันอยู่แล้วว่าสองคนนี้รักใคร่ชอบพอกันอยู่
พอได้ทำงานเรียกเหงื่อ เด็กน้อยแบคฮยอนก็ได้ทบทวนการกระทำของตัวเอง เขาแอบมองเจ้านายเป็นระยะๆ คริสไม่มองเขาเลย หนำซ้ำยังเรียกลูกน้องคนอื่นไปเป็นพาร์ทเนอร์ส่งของแทนเขาอีกด้วย
แบคฮยอนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก มันเป็นความรู้สึกที่ความเป็นเด็กในตัวเรียกร้องจะปล่อยน้ำตา แต่ความเป็นผู้ใหญ่ก็มาสกัดกลั้นไว้ให้ได้รู้สำนึก...
ไปวีนเขาก่อน ไปโวยวายใส่เขาก่อน ผิดเห็นๆเต็มประตู อย่าได้มีหน้าร้องไห้ออกมาเชียวแบคฮยอน
ร่างเล็กทำงานหนักจนถึงพักกลางวัน เห็นคริสขับรถกลับมาก็รีบหาจังหวะตามคนตัวสูงเข้าไปในห้องพักคนงานทันที
“พี่คริส...”
“...” เจ้าของชื่อปรายมองเพียงหางตา ก่อนที่จะไขล็อคเกอร์แล้วเอาหมวกแก้ปในนั้นออกมาใส่ แบคฮยอนรีบวิ่งไปกั้นตรงประตูเมื่อคริสทำท่าว่าจะหนีเขาไปอีก
“พี่คริส...ผมขอโทษ”
“ขอโทษทำไม?” หัวหน้าถามกลับเสียงเรียบ แววตาคมเฉยชาจนลูกน้องหวั่นใจ
“ผมพูดจาไม่มีเหตุผล ผมใส่ความพี่ ผมไม่ถามพี่ดีๆก่อน ผมใช้เสียงดังโดยไม่ได้ดูว่ามีคนอื่นๆอยู่ด้วย ซึ่งมันก็คงเหมือนการหักหน้าพี่ต่อลูกน้องคนอื่น... ผมพูดพูดไม่ดีกับหัวหน้าตัวเอง...แล้ว...แล้วผมก็...ผมไม่ควรพูดแบบนั้นกับพี่ที่อายุมากกว่า“ แบคฮยอนร่ายความผิดของตัวเองด้วยน้ำเสียงจ๋อยระดับสิบ เป็นสภาวะยอมจำนนและศิโรราบแต่โดยดี ถ้าตอนนี้คริสให้เขาไปวิ่งรอบโรงงานเป็นการทำโทษเขาก็ยอมทำ
เจ้านายร่างสูงเงียบไปซักพักก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดออกมา มือหนาจับจูงให้คนตัวเล็กมานั่งบนม้านั่งในห้องพักคนงานด้วยกัน
“ขอโทษ...อย่าโกรธได้มั้ย?” แบคฮยอนช้อนตาใสขึ้นมองปลายคางของคนสูงกว่า คริสถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะวางมือแปะลงบนศีรษะกลมๆของเด็กรุ่นน้อง
“พี่เองก็ขอโทษที่ทำใจร้อนกับนายเมื่อคืน ขอโทษที่ไม่ถามเรื่องที่นายมาโวยวายเมื่อเช้า ขอโทษที่ทำให้เป็นกังวล...เอาล่ะ ตอนนี้ก็เล่ามาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น” คริสใช้น้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง แบคฮยอนดีใจเหมือนได้สิ่งมีค่ากลับคืนมาอีกครั้ง และเขาสัญญากับตัวเองในใจว่าจะไม่ทำให้คริสต้องโมโหอีก
“ผมโดนไล่ออก”
“ไล่ออก?”
“ใช่ ตอนแรกผมคิดว่าพี่เป็นคนทำเพราะโกรธผมเรื่องเมื่อคืน”
หัวหน้าคนงานได้ฟังแล้วก็เงียบไป จริงๆการปลดพนักงานออกเป็นเรื่องปกติของโรงงานอุตสาหกรรมอยู่แล้ว เมื่อพนักงานทำงานมาจนถึงเดือนที่ต้องเพิ่มอัตราจ้าง ก็จะมีการบีบให้ออกอย่างนี้เป็นประจำ แต่ที่น่าแปลกคือแบคฮยอนยังทำงานไม่ถึงค่าแรงขั้นสูง และการไล่ออกก็มักจะไล่เป็นชุดๆ แต่นี่แบคฮยอนโดนคนเดียว
“พี่ว่ามันแปลกๆ”
“ใช่มั้ยล่ะ พี่คริสอ่า...ผมควรทำไงดีล่ะทีนี้” แบคฮยอนยู่ปาก ทำหน้าหมดหวังได้อย่างน่ารัก จนคนมองใจเต้นตึกตัก ที่จริงแบคฮยอนก็ไม่ได้จัดว่าหน้าตาดีอะไรมากมาย แต่มันเป็นสเป็คพอดีๆในแบบที่ใครๆก็ชื่นชอบ แถมยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักซะด้วยสิ
คริสเก็บอาการก่อนจะตอบออกไป “เรื่องที่นายโดนไล่ออก พี่จะไปถามคุณลีให้ แต่พี่ว่านายออกจากงานนี้ไปก็ดีเหมือนกัน งานมันหนักจะตาย พี่ว่าต่อไปนี้นายก็ทำงานแค่ตอนกลางคืน ส่วนกลางวันก็อยู่บ้านพักผ่อนไป แบบนี้ดีไหม?”
“ไม่ดี...ขี้เกียจคิดแล้ว เหนื่อยจัง” แบคฮยอนถอนหายใจดังฮิ้งเป็นลูกหมาหมดแรง ก่อนจะคอพับคออ่อน เอียงศีรษะไปซบไหล่แกร่ง
“เอาไว้อ้อนตอนเย็นได้มั้ย เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานต่อแล้ว”
“ไม่ด้ายย อี๋ฟาน...เหนื่อยอ่ะอี๋ฟาน”
“รู้แล้วว่ายังไม่โต แต่ไม่ต้องอ้อนขนาดนี้ก็ได้” คนมันเขินน่ะรู้บ้างไหม
“ขอแค่สามวิฯก็ยังดี นับสิอี๋ฟาน” แบคฮยอนให้ข้อเสนอ ก่อนจะหลับตาพริ้ม คริสมองอย่างใจสั่น สามวินาทีมันน้อยไปเสียเหลือเกินกับการได้อยู่กับเจ้าของหัวใจ
“หนึ่ง”
“....”
“สอง”
“....”
คริสกลืนคำว่าสามลงไป เขานั่งเฉยๆเป็นหมอนให้แบคฮยอนได้หนุนอิงและถึงแม้ว่าเวลาพักจะน้อยลงไปจนไม่ได้กินข้าว เขาก็ไม่คิดจะสนใจใดๆแล้ว
หลังจากได้งีบจนสมใจแล้ว แบคฮยอนก็ทำเรื่องคืนยูนิฟอร์มก่อนจะขอตัวกลับไปตั้งหลักที่บ้าน ระหว่างทางเดินกลับ...เป็นอีกครั้งที่คนตัวเล็กสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอยย่างที่น่าขนลุก!
สาธุ! ครั้งนี้ขอให้เป็นผีจริงๆด้วยเถิด อย่าได้เป็นคนโรคจิตอย่างไอ้หูกางนั่นเลย เพี้ยงๆๆ!
แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเด็กดื้อซักเท่าไหร่ ชานยอลเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก่อนจะคว้าข้อมือเรียวมากุมหมับไว้
“ปล่อย!” แบคฮยอนสะบัดมือออกอย่างแรง ทั้งยังมองซ้ายมองขวาหาบุคคลตัวช่วย แต่ปาร์คชานยอลก็เลือกทำเลในการปรากฏกายได้ดีเหลือเกิน...ไม่มีใครอยู่แถวๆนี้เลยแม้แต่คนเดียว!
“อย่าเพิ่งเดินหนีได้มั้ย ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก” ชานยอลพยายามสกัดดาวรุ่งด้วยการพูดจาดีๆ พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบสุดชีวิต ทีแรกแบคฮยอนก็เดินหนีลูกเดียว แต่พอถูกตื๊อเข้ามากๆก็ชักรำคาญ
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา!!”
พอได้รับโอกาส ชานยอลก็รีบอ้าปากเตรียมจะโพล่งถ้อยคำที่เขาครีเอทมาเสียดิบดี “คือว่าฉัน...”
“คือว่าฉันอะไร?! รีบๆพูดได้มั้ยเนี่ย!” แบคฮยอนจิ๊ปากอย่างรำคาญ ไอ้ผู้ชายใส่เสื้อยืดแต่ผูกไทนี่มันต้องการอะไรจากเขากัน
ชานยอลอึกอัก ทั้งๆที่ซ้อมหน้ากระจกมาแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง คำสารภาพเหล่านั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะเปล่งออกมา
“คือนาย..”
“นายอะไร!!”
พอโดนจี้หนัก ชานยอลก็รนจนไดอะล็อกเละเทะ “นายนี่มันหน้าเหมือนปลาไหลไฟฟ้าใครกระดุกกระดิกเป็น ส่วนหุ่นก็ยังกะห่านดินกินหญ้าห่านฟ้ากินยุง! ตอนเด็กๆแม่ฉันชอบทำซุปข้าวโพดให้กิน แต่ตอนโตฉันชอบกินข้าวโพดที่เป็นป็อบคอร์น!”
“นี่นาย!!” แบคฮยอนจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ให้ตายเหอะ...สาบานเลยว่าถ้าคุยกันต่ออีกนิด รับรองว่าเขาได้อกแตกตาย
“เฮ้ยเดี๋ยวก่อน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะพูด! คือจริงๆแล้วฉันอยากจะบอกกับนายว่า..ฉันชอบ”
“....”
“ฉัน...ฉันชอบ ...ฉันชอบ ...ฉันชอบเที่ยวมันผิดหรือไง ก็ฉันรักในเสียงดนตรี!”
“...”
“เมื่อไรโดนจังหวะดี๊ดี หนึ่งสองสามสี่...”
แบคฮยอนถอนหายใจแทรกเสียงดัง ร่างเล็กเงยหน้าสบตาคู่กลมของชานยอลเขม็ง คราวนี้ไม่มีแววโกรธเคือง แต่มันเย็นชาผสมเอือมระอานิดๆ
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นบ้า เป็นโรคจิต หรือว่าว่างงานมากหรือจะยังไงก็ช่าง แต่ฉันอยากจะบอกให้นายรู้เอาไว้ว่าชีวิตของฉันมันเครียดแล้วก็เหนื่อยมากๆ มันเป็นเรื่องดีที่ความเป็นบ้าของนายจะทำให้นายไม่ต้องรับรู้ถึงความทุกข์เหมือนคนอื่นๆ แต่ฉันขอเถอะ ถึงนายจะไม่ทุกข์ แต่กรุณา อย่าเอาตัวเองมาเป็นสาเหตุของความทุกข์ของคนอื่น นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย?”
ปาร์คชานยอลฟังแล้วถึงกับจุก “โหย โคตรแรงเลยอ่ะ”
“ถ้าสำนึกแล้วก็แยกย้ายกันตรงนี้” แบคฮยอนตัดบท ก่อนจะรีบก้าวฉับๆหนีคนตัวสูงไป ใจจริงเขาก็รู้สึกว่าตัวเองพูดแรงไป อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรจะไปกล่าวหาว่าอีกฝ่ายมีความปกติทางจิต การกล่าวหาทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันดีสร้างความเจ็บปวดให้แก่จำเลยเป็นอย่างมาก ข้อนั้นเขารู้ดี เพราะตอนเด็กๆเขาเจ็บแสบไม่น้อยที่ถูกยัดเยียดข้อหาว่าเป็นเด็กใบ้ เด็กพิการ
อยากจะเดินกลับไปขอโทษ แต่สุดท้ายแบคฮยอนก็เลือกที่จะก้าวไปข้างหน้า และไม่แม้แต่จะหันมามองคนที่พูดออกมาเบาๆว่า ‘ฉันชอบนาย’
ระหว่างเดินผ่านคูคลองเส้นเล็กๆตรงปากซอยทางเข้าบ้าน แบคฮยอนก็เหลือบไปเห็นเด็กวัยรุ่นอายุประมาณเขาสองสามคนกำลังโยนอะไรซักอย่างลงไปในน้ำ ทีแรกเขาเองก็เพิกเฉย แต่พอได้ยินเสียงวัตถุน่าสงสารที่ถูกจับถ่วงน้ำร้องเห่าโฮ่งๆเขาก็รีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุทันที
“ชานยอล!!” แบคฮยอนตะโกนเรียกลูกหมาของเขาอย่างตกใจ พวกวัยรุ่นคึกคะนองพอเห็นเขาวิ่งตรงเข้ามาก็รีบแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางอย่างรวดเร็ว
แบคฮยอนมองเจ้าชานยอลอย่างเป็นห่วง ชานยอลน้อยผู้น่ารักของเขาว่ายน้ำเก่ง คงไม่จมน้ำแน่ๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือตลิ่งมันสูงมากจนเจ้าสี่ขาไม่สามารถตะกายขึ้นฝั่งมาได้
“หงิงๆๆ” สปิทซ์ตัวขาวส่งเสียงร้องมาขอความช่วยเหลือจากเจ้านาย เมื่อมันปีนขึ้นมาไม่ได้จนต้องลอยตัวอยู่ในน้ำป๋อมแป๋ม แถมน้ำยังหนาวจนพื้นบนเป็นน้ำแข็งอีกด้วย
“อยู่นิ่งๆสิชานยอล ยิ่งตะเกียดตะกายน้ำแข็งมันยิ่งแตก แกยิ่งโดนน้ำเย็นๆข้างล่างนะ” แบคฮยอนสั่ง ถึงจะรู้ว่าชานยอลฟังไม่ออกแต่เขาก็เป็นห่วงมันมากเหลือเกิน
คนตัวเล็กถอดรองเท้าเตรียมจะลงไปช่วยน้องหมาสุดที่รักของตัวเอง แต่วินาทีนั้นดันมีฮีโร่วิ่งมาดึงเขาเอาไว้ ก่อนจะกระโดดลงไปในน้ำด้วยความรวดเร็ว
ภาพเคลื่อนไหวดั่งสโลว์โมชั่น แบคฮยอนตาค้างตอนที่ชายหนุ่มที่เขากล่าวหาว่าเป็นโรคจิต ทะยานลงไปสู่ก้นเบื้องของน้ำคลองอันเย็นเฉียบ
เกือบหล่อ...เกือบหล่อแล้วจริงๆ
ตู้ม!!
“โอ๊ยยยย!!”
“ให้ตาย! นายนี่มันโง่หรือมันโง่กันแน่เนี่ย!” แบคฮยอนต่อว่าเสียงดุก่อนจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดบริเวณบาดแผลบนหน้าผากของร่างสูง
ชานยอลใหญ่ที่นั่งกอดชานยอลน้อยอยู่ทำหน้าสลด “ก็ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าในน้ำมันมีตอไม้อ่ะ อะ โอ๊ย เบาหน่อยสิ เจ็บนะเนี่ย!”
“หึ สมน้ำหน้า” แบคฮยอนแลบลิ้นใส่อย่างหมั่นไส้ คนบ้าอะไร อยู่ดีๆก็กระโจนลงไปไม่ดูตาม้าตาเรือ น้ำแข็งลั่นเปรี๊ยะทั้งคลอง แตกเป็นช่องให้ทะยานลงไปสู่น้ำเหลวข้างล่าง แถมยังเซ่อซ่าหัวไปฟาดตอใต้น้ำเข้าให้อีก...โง่จริงๆ!
คิดแล้วก็ขำ ฮ่าๆๆๆ
“ตลกนักรึไง” ชานยอลที่กอดเจ้าสุนัขพันธุ์เจแปนนิสสปิทซ์แน่น ช้อนตามองแบคฮยอนอย่างงอนๆ
“ก็ตลกน่ะสิถามได้ แล้วก็ปล่อยเจ้าชานยอลมาได้แล้ว ฉันจะเอามันไปเป่าไดร์” แบคฮยอนยื่นมือมาขอน้องหมาสุดที่รักคืน แต่ร่างสูงขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย
“ไอ้ตัวนี้ชื่อชานยอลหรอ?”
“ได้ยินว่าไงก็อย่างนั้นแหละ จะถามทำไม เอามาเลย” แบคฮยอนถลึงตาดุใส่ฮีโร่ไม่เจียมตัว ที่ตอนนี้นั่งหนาวฟันขบกันดังกึกๆ
“ทำไมต้องชื่อชานยอลอ่ะ?”
“ก็มันเป็นชื่อที่ฉันเกลียด ชื่อนี้เหมาะแก่การเอามาตั้งชื่อหมาที่สุดแล้ว” แบคฮยอนตอบพร้อมๆกับที่อุ้มเจ้าสี่ขาให้มานอนหนุนตัก แล้วจัดการเอาไดร์เป่าผมมาเป่าให้คลายหนาว
ปาร์คชานยอลที่สั่นงกๆเพราะอุณหภูมินั่งถูมือไปมา “ทำไมต้องเกลียดด้วยล่ะ?"
แบคฮยอนมองใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเซียวเพราะความหนาวแวบหนึ่ง จริงๆคนๆนี้ก็ดูจะไม่มีพิษมีภัยอะไร “จะบอกให้ก็ได้... ก็ตอนที่ฉันเจ็ดขวบอ่ะนะ มีคุณนายคนนึงมารับเลี้ยงฉันต่อจากป้าที่เลี้ยงไม่ไหว แต่เขาก็เอาฉันไปให้ลูกชายเขาเลี้ยง เขาบอกว่าอยากให้ลูกชายทดลองอยู่กับเด็กก่อนจะไปเป็นครูสอนดนตรีสำหรับเด็กเล็ก”
แบคฮยอนเล่ายิ้มๆ เรื่องที่เจ็บปวดมากๆ มักจะถูกเวลาเยียวยาให้กลายเป็นเรื่องตลกร้ายได้เสมอ “ไอ้ฉันมันก็พูดไม่ได้เสียด้วยสิช่วงนั้น ก็เลยถูกลูกชายเขาไล่ตะเพิดออกมา อากาศตอนนั้นพอๆกับตอนนี้นี่แหละ หนาวโคตรๆ”
ชานยอลที่อึ้งไปตั้งแต่ฟังแบคฮยอนเล่าประโยคแรก รวบรวมสติก่อนจะถามออกไป “คนๆนั้นชื่อชานยอลหรอ?”
“อ่าฮะ ปาร์คชานยอล”
ความรู้สึกเหมือนมีชนักมาปักหลัง ชานยอลหลบตาไปทางอื่น ฟันที่ขบกันเพราะความหนาวอยู่แล้ว ตอนนี้เพิ่มความโกรธตัวเองเข้าไปอีกหนึ่ง ...แม่งเอ๊ยยย ไม่น่าเลยกู!!
“ล..แล้วทำไมตอนนั้นนายถึงไม่พูดล่ะ”
แบคฮยอนปิดไดร์เป่าผม ก่อนจะปล่อยน้องหมาสี่ขาให้เป็นอิสระ ซึ่งมันก็วิ่งมานอนบนตักคนตัวสูง ผู้ซึ่งช่วยชีวิตมันเอาไว้ทันที
“ก็ป้าที่เลี้ยงฉันมาเขาเป็นโรคจิตอ่อนๆน่ะ เขาไม่ชอบให้ฉันพูด ถ้าพูดก็จะถูกตี ตอนนั้นฉันก็เลยฝังใจ กลัวว่าถ้าพูดจะถูกทำร้าย”
ชานยอลรู้สึกหนักอึ้งที่หัวใจกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ เขาไม่กล้าสบตาคนตัวเล็กเลยแม้แต่นิดเดียว ความสำนึกในผิดบาปมันเกาะกุมจิตใจจนเขาอึดอัดไปหมด แบคฮยอนสอนให้เขารู้จักความรู้สึกผิด จากที่ไม่เคยตระหนักถึงการกระทำ แต่ตอนนี้เขาซึ้งแล้ว ซึ้งจนแทบร้องไห้
“ฉันขอโทษ”
แบคฮยอนยักไหล่เบาๆ “ช่างมันเหอะ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว”
ชานยอลอยากจะสวนออกไปว่าเขาไม่ได้ขอโทษเพราะทำให้แบคฮยอนหวนนึกถึงเรื่องแย่ๆ แต่เขาขอโทษที่เป็นสาเหตุของเรื่องแย่ๆนั่นต่างหาก
“เออว่าแต่นายชื่ออะไรอ่ะ” แบคฮยอนอ่อนลงให้ชานยอลมากเพราะเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมีจิตใจหวังดีที่จะช่วงเหลือสัตว์เลี้ยงของเขา และคนตัวสูงที่เขานึกว่าเป็นโรคประสาท ก็ทำให้เขานึกถึงป้าที่เคยเลี้ยงเขามาอีกด้วย คนที่เป็นโรคนี้มีจิตใจที่ซับซ้อน และจริงๆก็ช่างน่าสงสาร
ด้านชานยอล พอถูกถามก็ถึงกับเงียบไป...เอาแล้วไง จะให้โพล่งไปว่าชื่อปาร์คชานยอลก็ใช่ที โอ๊ย! คิดสิคิดๆๆๆ
“ฉันชื่อ...”
“...”
“ชื่อ...”
“ชื่ออะไรก็ว่ามาสิ เอ๊ะนี่ฉันชักจะรำคาญนายอีกแล้วนะ!”
ตอนนั้นเองที่ชานยอลเหลือบไปเห็นผลไม้ชนิดหนึ่งบนโต๊ะอาหาร “เชอร์รี่! ฉันชื่อเชอร์รี่!”
“เชอร์รี่?....นี่นายไม่มีชื่อเกาหลีหรอ” แบคฮยอนมองใบหน้าหล่อที่เลิ่กลั่กไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายบ้าอะไรชื่อเชอร์รี่!
“ฉะ..ฉันไม่มีชื่อเกาหลีหรอก ฉันเกิดแล้วก็โตที่นิวยอร์ก แล้วพอดีว่าแม่ฉันชอบกินเชอร์รี่มาก ฉันก็เลยชื่อเชอร์รี่” ชานยอลยิ้มโชว์ฟัน 32 ซี่ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มเกร็งๆ แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้ติดใจจะซักไซร้อะไรต่อ
“แล้วนี่หายหนาวแล้วใช่มั้ย? หายแล้วก็กลับบ้านนายไปป่ะ” คนตัวเล็กออกปากไล่ ตอนนี้มันใกล้เวลาเลิกเรียนของเด็กๆแล้ว ขืนมีใครมาเห็นคนตัวสูงนี่มีหวังถามไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ
ชานยอลทำหน้าเศร้าเหมือนน้อยใจ “ทำไมนายชอบไล่ฉันนักเนี่ย ไม่รู้เลยรึไงว่าฉันชอบนาย”
“ชอบ? ชอบฉัน?”
ร่างสูงสบตาเรียวรีด้วยแววจริงจัง... เอาวะ ไหนๆก็มาไกลขนาดนี้แล้ว
“ใช่! ฉันชอบนาย!”
ตุบ!
เสียงข้าวของหล่นลงพื้นทำให้คนทั้งสองหันไปมองต้นตอของเสียง
แบคฮยอนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“พี่คริส!!”
50%
จุ๊บๆ จิ๊บๆ แจ๊บๆ บ้ายบาย
ความคิดเห็น