คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ϟ chapter 1 : 100%
DADDYROCKLEGS
[CHAPTER1]
ฉายาป๋าแบคนี่ไม่ได้ใช้เงินซื้อมานะเหวยยย
. . .
ผมวางกระเป๋าเดินทางที่จัดเตรียมไว้แล้วอย่างดีลงบนพื้นใกล้ประตู ก่อนจะโน้มตัวลงเพื่อสวมถุงเท้า
นี่เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ที่บ้านของตัวเอง และแน่นอนว่าเป็นวันแรกที่ผมจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของไอ้ปาร์คชานยอล ร็อคเกอร์อันดับหนึ่งของเกาหลีใต้
“หนายย ให้ม๊าตรวจดูความพร้อมก่อนลื้อจะปายเป็งสะใภ้บ้านนั้นก่อนสิ” เสียงแหลมๆงิ้วๆที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมหันไปยิ้มตาหยีให้อาม๊าคนสวย ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงให้อาม๊าได้จับหมุนสำรวจความพร้อมก่อนออกจากบ้านอย่างที่ชอบทำเป็นประจำในทุกๆเช้า แต่ครั้งนี้ไม่ได้จับหมุนอย่างเดียว อาม๊ายังตะปบจับนั่นจับนี่ไปทั้งตัว จนผมต้องดิ้นหนีด้วยความจั๊กจี้
“ฮ่าๆๆ ม๊าทำไรเนี่ย”
“ก็สำรวจลื้องาย ตูดก็หย่าย ไหล่ก็หนา บึบบับปายท๊างตัวแบบนี้ อาชางยอลอีต้องชอบแน่ๆ เชื่อม๊าซี่”
“ม๊าอ่ะ! นี่ผอมจนกระดูกจนแทงเนื้อออกมาแล้วเหอะ อ้วนที่ไหนกัน มั่วแล้ว”
“ก็ที่ตัวลื้องาย อ้วงท้วงสมบูรณ์เหมือนเด็กในฉลากซีอิ๊วขาวเลย”
“อาม๊า!!” โอ๊ย บยอนแบคฮยอนอยากจะกรี๊ด
“เลี้ยวตอนนอน ลื้อก็อย่าเผลอเอาขาไปพาดอาชางยอลอีล่ะ ขาลื้อมันหย่าย หนักเป็งตังหยังงั้น เดี๋ยวอาชางยอลอีได้ขาดอากาศหายใจตาย ชักแหง่กๆ ลื้อล่ายเป็นม่ายผัวตายกันพอลี”
“โหยม๊าอะ!!! อั๊วไปแล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว คอยดูนะ อั๊วไปอยู่นั่นจะไม่กลับมาเยี่ยมม๊าเลย!” ผมแกล้งบ่นประชดประชันด้วยสีหน้าน้อยใจ เกิดมาไม่มีใครรักใครเมตตา อนาถาเหมือนหมาไร้ที่อยู่ เหมือนยูไม่มีไอ เหมือนไผ่ขาดสไปร์ทฮอร์โมน (ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะเว่อร์ไปทำไม)
อาม๊าใช้มือกรีดคอปกเสื้อโปโลของผมจนคมกริบ ก่อนจะตบเบาๆทำเหมือนไล่ฝุ่น “พูดเลี้ยวก็อย่าคืนคำนา ไม่ต้องกลับมาหรอก ลื้อกิงข้าวทียังกะช้างสาร สงสารป๊ากับม๊าบ้าง นั่งทนดูลื้อกินมูมมามทีไร กิงม่ายลงทู้กกที”
“ม๊าอ่ะ! อั๊วไปจริงๆแล้วนะ! ไจ้เจี้ยน”
“รีบๆเอาตัวอ้วงๆของลื้อออกจากบ้านไปเลยอาป๋าย บ้านจะล่ายเบาๆ”
ผมขมวดคิ้วทำแก้มป่องเหมือนงอนซะเต็มประดา ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินทางมาถือไว้แล้วเดินออกจากประตูบ้านทันที ม๊านะม๊า!มาว่าผมอ้วนได้ไง นี่ผมอ้วนหรอ! ผมอ้วนตรงไหน! ออกจะผอมเยี่ยงนางแบบวิกตอเรียซีเคร็ทขนาดนี้! แล้วนี่อะไร ซิกแพ็คครับซิกแพ็ค หูยม๊านี่ไม่เข้าใจวัยสะรุ่นเลย
ผมเดินหงุดหงิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากบ้าน พอเหลือบไปเห็นรถของคยองซูเพื่อนรักจอดรออยู่ข้างรั้ว ก็รีบจ้ำขึ้นไปนั่งยังเบาะข้างคนขับทันที
“ไงมึง เคป่ะ”
“ก็เค” ผมว่าอย่างนั้นก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าเดินทางไปยังเบาะหลัง แล้วความรู้สึกบางอย่างก็แวบเข้ามา ถึงการแต่งงานครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องจริงจังก็เถอะนะ
แต่ว่า...อีกกี่วันกันนะถึงจะได้กลับมาเยี่ยมป๊ากับม๊าอีก
“แป๊บนะมึง” ผมหันไปขัดจังหวะทันก่อนที่คยองซูจะกดปุ่มสตาร์ทเครื่อง จากนั้นก็รีบกระโดดลงจากรถก่อนใส่เกียร์หมาวิ่งแจ้นกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งทันที
ภาพที่เห็นคืออาม๊าที่ทำปากเก่งขับไล่ไสส่งผมอยู่เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ตอนนี้กำลังนั่งร้องไห้กระซิกๆอยู่ในอ้อมกอดของอาป๊า เป็นภาพที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆนะครับ คนอย่างแม่ฮุยเสียน้ำตาเนี่ย ว่าแล้วผมก็ค่อยๆย่องไปทางด้านหลังของโซฟา ก่อนจะใช้สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบกอดบุพการีทั้งสองเอาไว้ อาม๊าสะดุ้งออกจากอกของอาป๊าอย่างรวดเร็ว พร้อมทำสีหน้าเลิ่กลั่ก
“เลี้ยวนี่กลับมาทำมาย ลืมของหรอ ลื้อนี่ใช้ม่ายล่ายเลย”
ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับ เพียงแค่ฉีกยิ้มมองหน้าผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่ผมรักที่สุดในชีวิตนิ่งนาน ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มของอาม๊า ที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมก็ไม่เคยเบื่อและรังเกียจที่จะหอมลงไปแรงๆเลยซักครั้ง
“อั๊วไปแล้วนะอาม๊า ม๊ากับป๊าดูแลกันดีๆนะ วันงานเดี๋ยวอั๊วให้คยองซูมารับ”
“อืออ ลื้อไปเถอะ อยู่นานกว่านี้ ม๊าลื้ออีจะปล่อยโฮเอานา” อาป๊าพูดขำขัน ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะรวบผู้ให้กำเนิดทั้งสองมากอดอีกครั้ง
“ปายอยู่นู่นก็อย่าลื่ออย่าซง อย่าทำให้อั๊วเสียหน้าล่ะเข้าใจมั้ย รักษาตัวลีๆล้วย กว่าพวกอั๊วจะปั๊มกังจงได้ลื้อออกมานี่มันไม่ใช่ง่ายๆเลยนะรู้ม้ายย” ม๊าพูดเสียงอู้อี้ในอ้อมแขน
ผมกอดป๊ากับม๊าอยู่นาน จนคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆแล้ว
“อั๊วขอบคุณป๊ากับม๊า ขอบคุณที่ให้อั๊วมีชีวิต มีขา มีแขน มีอวัยวะครบ 32 ส่วนเรื่องแต่งงาน อั๊วไม่เคยโกรธป๊ากับม๊าเลยที่ตัดสินใจแบบนั้น อาจจะมีเคืองบ้างนิดหน่อย แต่...แต่...แต่อั๊วก็รักป๊ากับม๊ามากๆนะ ขอบคุณที่ลางานไปดูอั๊วร้องเพลงในงานโรงเรียนทุกปี ขอบคุณที่เลี้ยงอั๊วมา”
“อาป๋าย”
“แล้วอั๊วจะโทรหานะ” ผมเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินยิ้มกว้างขวางออกมาจากบ้านที่แสนอบอุ่นของเรา
ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา ป๊ากับม๊าทำให้ผมรู้ว่าครอบครัวคือสถาบันที่งดงามที่สุด และผมก็เชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอด เพราะนับตั้งแต่ลืมตาดูโลกจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ป๊ากับม๊าจะคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ เราสามคนก้าวผ่านเรื่องดี เรื่องร้าย ด้วยความรักความเข้าใจและการให้โอกาส ฉะนั้นต่อให้มีอุปสรรคหนักหนาสาหัสซัดมาขนาดไหน บยอนแบคฮยอนคนนี้ไม่มีวันยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’
. . . . .
ผมถอนหายใจออกมาเป็นสิบๆครั้ง ขณะทอดสายตาออกไปยังวิวทิวทัศน์นอกรถคันหรูของเพื่อนรัก ตึกรามบ้านช่องที่เริ่มจัดวางแบบติดกันจนแน่นขนัดทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เราเคลื่อนเข้ามาในตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อย
“ไหวป่ะเนี่ยถามจริง?” คนขับที่คงทนรำคาญเสียงพ่นลมหายใจของผมไม่ไหว เอ่ยปากขึ้นทำลายบรรยากาศเงียบเชียบ(ถ้าไม่นับเสียง ‘เฮ้อ~’ ของผมอ่ะนะ)
ผมถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวพิงเบาะเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“ไม่รู้ว่ะ อธิบายไม่ค่อยถูก นี่กูก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงเลย กับตัวพ่อกูก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก ยังไงมันก็เกลียดกู กูก็เกลียดมัน แฟร์ๆอยู่แล้ว แต่กับเด็กอีกสองคนอ่ะดิมึง”
“...”
“กูจะเลี้ยงเขายังไง กว่าจะแต่ง กว่าจะอยู่กินพอเป็นพิธีซักสองสามเดือน กว่าจะหย่า กูจะทำตัวเป็นพ่ออีกคนให้เด็กสองคนนั้นยังไง ถึงกูจะเลวนะเว้ยมึง แต่แบบ...มึงเข้าใจป่ะ กูก็ไม่ได้บ้าขนาดจะตั้งตัวเป็นพ่อเลี้ยงใจร้าย รังแกเด็กได้ลงคอหรอกนะเว้ย”
คือคุณเข้าใจมั้ย? ผมก็แค่ไม่อยากมีปัญหากับเด็กอ่ะครับ ไม่ใช่ว่าผมมีเชื้อสายนางสาวไทยหรอกนะ ปกติเห็นเดินๆอยู่ ยังอยากตบหัวแม่งให้คว่ำซะด้วยซ้ำ แต่ในกรณีนี้ ไหนๆก็เป็นอริกับคนพ่อแล้ว ผมขอผูกมิตรกับลูกไว้ดีกว่า ไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่ม
“อือออ...สรุปว่าที่มึงกังวลก็คือ กลัวจะเป็นแม่ที่ดีให้ลูกไม่ได้?”
“พ่อครับมึง กูเป็นพ่อ”
“เออนั่นแหละ สรุปคือมึงกังวลเรื่องเด็กถูกมั้ย?”
ผมพยักหน้าเบาๆ ไอ้คยองซูยิ้มทำหน้าชิวเหมือนว่าทุกอย่างช่างเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนหลอกควายสบายดีจังหลอกกี่ครั้งก็ยังเป็นควาย ก่อนจะหักรถเลี้ยวเข้าไปจอดหน้า Toy Store ในอีกสามกิโลเมตรถัดมา
“กูกะว่าเด็กไม่น่าเกินสิบขวบเพราะเจ้าบ่าวมึงยังเอ๊าะๆอยู่ ซึ่งเด็กที่ไหนก็ต้องชอบของเล่นด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เชื่อกูแล้วรุ่งนะครับเพื่อนแบค” ไอ้คุณโด้กล่าวพลางแสยะยิ้มมั่นหน้าสุดไรสุด
จ่ะ...ขอให้มันจริง -_-
“ลูกมึงนี่ผู้หญิงผู้ชาย?” ไอ้โด้หันมาถามระหว่างที่พวกเรากำลังลากรถเข็นไปยังมุมของเล่นสำหรับเด็ก 3+
“เออนั่นดิ ชื่อฮุนนี่กะอินจัง แม่งชายหรือหญิงวะ” เหี้ยแล้วไงกูจะไปรู้มั้ยเนี่ยว่าเด็กมันเพศไหน ซื้อๆแม่งไปให้หมดเลยละกัน บาบ้งบาบี้ร์ ตุ๊กตาหมา ตุ๊กตาแมว ตุ๊กตาเมือกหอยทาก ตุ๊กตาสาปพระเพ็งอะไรก็ซื้อๆแม่งไปนั่นแหละ
วินาทีนั้นอะไรคว้าได้ผมคว้าหมดอ่ะครับ(แต่สายตาสแกนราคาก่อนทุกชิ้นนะ)
“เฮ้ย!!อันนั้นแพงไป มึงเก็บเลยๆ” ผมหันไปเบรกไอ้เพื่อนโด้ทันที ก่อนที่มันจะหยิบเซ็ตโมเดลดราก้อนบอลโยนลงมาในรถเข็น ...ไอ้ห่า ของถูกๆมีให้เลือกตั้งเยอะตั้งแยะ นี่ก็ล่อซะกล่องพรีเมี่ยมเลยนะมึง
ไอ้โด้ยักไหล่ทำหน้าซังกะตายในความขี้งกของผม ก่อนที่เราสองคนจะเข็นรถเข็นไปเคลียร์บิลที่จุดชำระเงิน
ผมมองบรรดาตุ๊กตาปัญญาอ่อนในรถเข็นด้วยความกังวลใจ หวังว่าแผนการเอาใจลูกเลี้ยงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอให้ไอ้เด็กแฝดสองคนนั่นไม่มีสันดานกระหร่องก๊องกระหลั่วกั๊วเหมือนพ่อมันนะ สาธุ๊!!
. . . . .
“คิดถึงคุณพ่อแบคสุดหล่อกันมั้ยครับเด็กๆ^^” ผมยิ้มกว้างท่ามกลางสวนดอกไม้แห่งคฤหาสน์ตระกูลปาร์ค ก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งแล้วอ้าแขนรอรับเด็กแฝดชายหญิงหน้าตาน่ารักสองคนที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาด้วยความดีใจ
“เย้!คุณพ่อสุดหล่อของน้องฮุนนี่กลับมาแล้ว ฮุนนี่คิดถึงคุณพ่อม้ากกมากค่ะ~!” เด็กหญิงห้าขวบตัวขาวจั๊วะ หน้าตาจิ้มลิ้มวิ่งมาถึงก็กระโดดกอดคอผมแนบแน่น ก่อนจะระดมจุ๊บไปทั่วทั้งใบหน้า
“แล้วอินจังล่ะครับ คิดถึงคุณพ่อแบคบ้างมั้ยเอ่ย” ผมหันไปถามพลางยิ้มให้กับเด็กน้อยอีกคนที่อายุเท่ากัน แต่เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาเข้มคมคาย มีแววว่าโตขึ้นจะหล่อเหมือนพ่อ
“ผมก็คิดถึงคุณพ่อครับ แต่ผมไม่อยากแสดงออกมาก ผมอยากแมนและเข้มแข็งเหมือนพ่อแบคครับ!
“ให้มันได้อย่างนี้สิชายชาติทหาร! แต่ว่าตอนนี้มาให้พ่อกอดให้ชื่นใจหน่อยเร็ว” ผมว่าอย่างนั้น ก่อนจะดึงลูกชายคนเก่งเข้ามากอดไปพร้อมๆกับลูกสาวอีกคน
“คิคิ แล้วคุณพ่อแบคซื้ออะไรมาฝากน้องฮุนบ้างเอ่ย มีบาร์บี้มั้ยคะ คิคิคิ”
“ผมอยากได้รถถัง! เอาที่มีปืนใหญ่ด้วย!”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องแย่งกันครับ ป๋าแบคสุดหล่อมีของมาฝากทุกคนอยู่แล้วอาฮร้า”
อ่า...ครอบครัวสุขสันต์
ลูกฮุนนี่กะอินจังของคุณพ่อแบคฮยอน
โอ้ชีวิต...มันช่างเพอร์เฟคอะไรเช่นนี้
“ตื่นว้อย!!!!”
เฮือก!
ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ๆก็มีฝ่ามืออรหันต์โบกเข้าให้กลางหน้าผาก ลูกแฝดทั้งสองในมโนภาพสลายหายไป กลายเป็นไอ้เพื่อนโด้ที่กำลังถลึงตาดุแทนเสียอย่างงั้น
เกิดอะไรขึ้นกับอินจังและฮุนนี่??
“จะนอนห่าไรนักเนี่ย ถึงบ้านผัวมึงแล้วว้อย!”
ผมประมวลผลอยู่ซักพัก ...ห่าเอ๊ย กูก็ฝันซะดิบดี
“อ้าวหรอ ถึงแล้วหรอ แล้วมึงจะเข้าไปกับกูป่ะ”
“ไม่อ่ะ กูส่งมึงแค่นี้ละกัน กูมีงานต้องรีบกลับไปเคลียร์ต่อ ยังไงคืนนี้มึงก็โทรมาละกันนะ” พล่ามจบเพื่อนตัวเล็กแต่ตาโต๊โตเป็นนีโม่ภาคกลับก็ดึงผมเข้าไปกอดทันที ถึงมันจะเป็นการกระทำที่เก้ๆกังๆเพราะเราไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ชอบกอดชอบหอมกันอยู่เป็นกิจวัตร แต่ผมแม่งโคตรรรรรซึ้งชิบหาย เฮ้ยเพื่อนโด้กูรักมึงว่ะ เปลี่ยนมาแต่งกับมึงนี่ทันมั้ย
ร่ำลากันอยู่ได้ซักพัก ไอ้โด้ก็ถีบผมลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะขับซีวิคสีดำของมันออกไปอย่างรวดเร็ว (เมื่อกี้มึงยังรักกูอยู่เลยอีเฮี้ย)
พอมาถึงขั้นนี้คนเรามันก็ต้องยอมรับชะตากรรมอ่ะครับ ว่าแล้วผมก็กำสายกระเป๋าแน่น สูดหายใจเข้ารวบรวมความกล้าหาญ ก่อนจะกดกริ่งข้างรั้วด้วยนิ้วที่สั่นระรัว
กดไปก็พยายามสะกดจิตตัวเองไปด้วย ...อย่ากลัว...อย่าเกร็ง... บยอน แบคฮยอนออกจะเก่งกาจ หล่อเหลา เลิศเลอ เพอร์เฟ็คซะขนาดนี้ จะต้องกลัวไปไย?? นี่ป๋าแบคร้อยศพ(ยุง)เลยนะเว้ย
พอคิดได้อย่างนั้นผมก็กดรัวเลยครับ กริ๊งๆๆๆกระดิ่งแทบแตก
แล้วนี่ผมต้องรอคนมาเปิดรั้วอีกนานมั้ยครับ คนใช้ไม่มีรึไง บ้านก็ออกจะใหญ่โตโอฬาร หรือคนในบ้านแม่งเป็นโรคหูน้ำหนวก?? คือมึงจะหนวกไปแล้วนะครับ กูกระหน่ำกดออดขนาดนี้ มึงไม่ได้ยินเลยหรือยังไง
ปิ๊นๆๆๆ!!!
ในระหว่างที่ผมกำลังรอคนมาเปิดประตูรั้วด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะหงุดหงิด อยู่ดีๆก็มีเสียงแตรดังขึ้นจากข้างหลัง ผมรีบหันไปมองก่อนจะหรี่ตาเพ่งไอ้รถสีแดงตัวการของเสียงแตรดังลั่นสนั่นซอยที่ตอนนี้จอดอยู่ใกล้จนเกือบจะเกยตูดผมอยู่แล้ว
คนขับลดกระจกรถ ก่อนจะชะโงกหน้าออกมาแหกปากโวยวาย
“ไม่ซื้อประกันเว้ย!! เครื่องกรองน้ำบ้านกูก็มีแล้ว ถอยไปเลยมึง เกะกะกูจะเข้าบ้าน”
ผมรู้สึกช็อค...นี่กูดูเหมือนคนขายเครื่องกรองน้ำมากขนาดนั้นเลยหรอ? ไอ้ถุงจากช็อปตุ๊กตานี่เหมือนบรรจุภัณฑ์เครื่องกรองน้ำ?
“นี่พูดไม่เข้าใจช้ะ?”
ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ซึ่งผมเดาได้ว่าอายุไม่เกิน 18 (ดูจากชุดนักเรียนที่มันใส่อยู่) เดินอาดๆลงมาจากรถ ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมก็หมุนคอแล้วครับ วอร์มร่างกายพร้อมไฝว้เต็มที่ ไอ้เด็กนี่รู้จักป๋าแบคน้อยไปซะแล้ว
“กูบอกว่าอย่าขวางประตู!” ไอ้เด็กดำคล้ำเหมือนโดนของผลักไหล่ผมหนึ่งที เล่นเอาอารมณ์ผมขึ้นหนักกว่าเก่าเลยทีนี้
“แล้วน้องแม่งเป็นใครวะ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งพี่ หะ หะ หะ เห้อมมม?” ผมกัดฟันถามกลับอย่างใจเย็น นี่ถือว่าเด็กกว่าหรอกนะ ถึงยอมเล่นแค่ขั้นตักเตือน นี่ถ้ามวยรุ่นเดียวกันผมซัดแม่งปากฉีกไปแล้ว
“น้อง? อย่างกูหรอน้องมึงห๊ะไอ้เตี้ย!”
ฉึกเข้ามาดอกที่หนึ่ง!
“อ้าว พูดงี้ก็สวยดิวะ เห็นงี้พี่ 185 นะครับน้อง”
“อะไร? น้ำหนัก?”
ฉึกเข้ามาดอกที่สอง!
ด้วยความที่ไม่ไหวจะทนแล้ว ผมจึงผลักอกมันไปหนึ่งที่แรงๆจนแม่งเซถอยหลังไปหลายก้าว ทั้งยังไม่ลืมจ้องตาใส่ไอ้เด็กนั่นด้วยมาดราชสีห์พร้อมขย้ำเหยื่อ
หึหึ เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับเจ้าป่าแบคฮยอน
“หึ นี่ขู่หรอ? โถ กูนึกว่าลูกหมา มึงบอกมาเลยดีกว่าว่าแก๊งค์ไหนส่งมึงมา”
ผมถกแขนเสื้อตั้งแต่มันด่าผมลูกหมาแล้วครับ ไม่สนใจแก๊งค์ห่าเหวอะไรที่มันพูดถึงแล้วทั้งนั้น วินาทีนี้มันต้องออกหมัด!!
กางขาให้ได้องศา เหวี่ยงแขนสองทีตามตำรากระบวนท่าไอ้หหนุ่มหมัดเมา จากนั้นก็ปล่อยหมัดไปให้สุดแขน!!
ฮ..ฮะ..เฮ้ย!
‘คิม จงอิน เกรด10’
กำปั้นของผมค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะค่อยๆลดลงเหมือนเดิม
“นี่น้องคือคิมจงอิน?”
“เออดิวะ จะบอกมาได้ยังว่าแก๊งค์ไหนส่งมึงมา!”
“แก๊งค์ไปรษณีย์ส่งกูมามั้งไอ้ซัส!”
ผมจ้องหน้าดำๆนั่นสลับกับชื่อที่ปักไว้บนหน้าอกเสื้อนักเรียน ให้ตาย นี่ลูกชายผมจริงๆน่ะหรอ
อินจัง....
อินจังลูกชายในฝัน...
“อิเหี้ยเอ๊ย!!!” ผมว๊ากออกมาดังลั่นด้วยความคับแค้นต่อโชคชะตา กรี๊ดดด นี่อ่ะนะลูกคนแรกของกู
“อ้าวนี่มึงด่ากูเหี้ยหรอ! บอกมาซะดีๆว่ามึงเป็นใคร!” จงอินถลาเข้ามากระชากคอเสื้อผมอย่างแรง ซึ่งแรงนางก็เยอะชิบหาย ดึงขึ้นมาซะเท้ากูลอยไม่ติดพื้นแล้วเนี่ย!
“ปล่อย!”
“ไม่ปล่อย! จนกว่ามึงจะบอกมาว่ามึงเป็นใคร?!!!”
“แค่กๆๆ กูก็พ่อมึงไงเว้ย!”
จงอินยอมปล่อยผม แต่ดูเหมือนอารมณ์แม่งจะมาเต็มมากกว่าเก่า ไอ้เด็กเกรดสิบจ้องผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะกล้าขุดเอาบุพการีมันมากล่าวเล่น
“นี่มึงล้อพ่อกูหรอ อ๋อออนี่เล่นถึงพ่อ”
“ไม่ใช่อย่างงั้นเว้ยน้อง นี่แมนๆคุยกันเลยนะ...กูอ่ะพ่อมึง”
“ขึ้นเลยมึง กูขึ้นเลย มึงพูดอีกทีดิ กูให้โอกาสมึงอีกที”
ผมสูดหายใจเข้าลึก นี่ตกลงจะไม่เข้าใจกันจริงๆใช่ป่ะ ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่า…
“กูอ่ะ พ่อมึง!!”
ผลั๊วะ!!
หมัดเดียวเลยครับ หมัดเดียวจริงๆ
ลูกอินจังซัดมาหมัดเดียวเท่านั้น สติผมก็ดับวูบไปทันที ไม่รู้เรื่องเหี้ยอะไรอีกเลย
จังหวะที่ผมกำลังหลับตาลงไป ผมก็ได้มีโอกาสสบตากับตุ๊กตาบาร์บี้หัวทองที่เลือกซื้อมาเองกับมือ มันกลิ้งหลุนๆจากถุงช้อปปิ้งลงมานอนประสานสายตากับผมบนพื้นถนน นังตุ๊กตาฝรั่งยิ้มเยาะ สีหน้าของนางเหมือนจะอยากแสดงความยินดีกับชะตากรรมของผมเสียเหลือเกิน
เดาได้เลยว่าถ้าอีตุ๊กตานี่พูดได้ นางก็คงจะพูดว่า...
‘บายค่ะมึง'
แล้วผมก็สลบเหมือดไปในที่สุด (นี่แค่ลูกคนแรกนะครับ มันยังมีอีกคน -_-)
60%
9/10/14
สัมผัสเย็นเฉียบบนผิวแก้มทำให้ผมค่อยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“ซี้ดดด” ทันทีที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าทำงานเป็นปกติ ความเจ็บปวดที่แก้มซ้ายก็แล่นริ้วซัดเปรี้ยงเข้าเต็มๆเบ้า ประหนึ่งถูกตอปิโดพุ่งทะลุร่าง เจ็บจนผมต้องเบ้หน้าและยกมือขึ้นมาแตะสำรวจผิวเนื้อตรงนั้นเบาๆ
ปรากฏว่ามันบวมเป่งเลยครับ แล้วทำไมบวมวะ?
เดี๋ยวนะ…
“ก็ผมจะไปรู้ได้ไงว่าไอ้แคระนี่มันเป็นเมียใหม่คุณ”
“ก็เลยซัดเข้าให้?”
“ก็มันเสือกกวนตีนก่อนเองนี่หว่า”
ผมมองปาร์คชานยอลกับคิมจงอินที่กำลังเถียงกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สลับกันไปมา จากนั้นภาพเก่าๆเริ่มทะลักทะล้นเข้ามาในหัว...
กู-โดน-เด็ก-ต่อย-ครับ-พี่-น้อง!!
“คุณชานยอลคะ คุณแบคฮยอนฟื้นแล้วค่ะ” แม่บ้าน(มั้ง?)ที่ทำหน้าที่ประคบน้ำแข็งให้ผม แทรกกลางบทสนทนาของสองพ่อลูกเพื่อแจ้งให้ทราบว่าผมได้สติดีแล้วทุกประการ
ไอ้ชานยอลพยักเพยิดให้สตรีคนเดียวในบ้านถอยออกไป ก่อนที่เราทั้งสามคน โจทก์(ป๋าแบคสุดหล่อ ผมเองอ่ะครับ) จำเลย(ไอ้อินจังเด็กดำ) และผู้พิพากษา(ศาลปาร์ค) จะเริ่มเคลียร์กันอย่างยุติธรรม
“ลูกมึงซัดกูเต็มๆหน้าเลยเนี่ย ดีนะไม่เข้าเบ้าตา ไม่งั้นกูกลายเป็นวนิพกพเนจรไปเรียบร้อยแล้ว!”
“ก็มึงพูดไม่รู้เรื่องนี่หว่าไอ้เตี้ย!”
“มึงดิผลักไหล่กูก่อน!”
“ก็มึงขวางทางเข้าบ้านกูอ่ะ!”
“อิเด็กหอยโข่ง มึงนั่นแหละผิด!!”
“พอๆๆ!!!” ไอ้ชานยอลแทรกกลางปล้องก่อนที่จะมีเทศกาลแดกหัวกันเกิดขึ้น ผมกับไอ้เด็กดำจึงหุบปากและเอาแต่จ้องกันอย่างอาฆาตแค้น
“ไอ้ชานยอล มึงจัดการลูกมึงให้กูเดี๋ยวนี้เลย! ถึงกูกับมึงจะไม่ถูกกัน แต่เรื่องนี้มึงต้องคืนความยุติธรรมให้กับกู!”
ไอ้ร็อคเกอร์หูกางถอนหายใจ ทำหน้าเก๊กเข้มก่อนจะตวัดตากลมดุจ้องลูกชายของตัวเองนิ่ง “จงอิน ขอโทษแบคฮยอนซะ”
มันต้องให้ได้อย่างนี้สิ ถือว่ายังพอมีความยุติธรรมอยู่บ้าง!
“ไม่!” ไอ้อินจังแผดเสียง
“ฉันบอกให้แกขอโทษแบคฮยอนไง!!”
นั่น! มันต้องโหดอย่างนั้น
“ถ้าผมไม่ขอโทษ แล้วคุณจะทำไม?”
โดนเล่นแน่ไอ้อินจัง โดนท่าไม้ตายแน่แก!
จัดมันเลยเว้ยไอ้ปาร์ค จัดมัน!!
“ก็ไม่ทำไง”
ใช่ ก็ไม่ทำไง นั่นน ท่าไม้ตายเด็ดมาก...หนาวเลยสิมึง
...เฮ้ย!!
“ขึ้นไปนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่หรอ” ชานยอลพูดเสียงอ่อนลง ก่อนที่จงอินจะเดินชนไหล่ผมขึ้นไปบนชั้นสอง
“เฮ้ยเดี๋ยวดิวะ!!” ผมหมุนตัวกะจะตามไปเอาเรื่องไอ้ดำให้ถึงที่สุด แต่…
“จะโวยวายอะไรนักหนา น่ารำคาญ!”
ผมหันควับไปทางไอ้ร็อคเกอร์หูกางทันที “ก็เพราะมึงสอนลูกยังงี้ไง มันถึงได้เป็นอันธพาล ต่อยคนไปทั่วแล้วคิดว่าตัวเองไม่มีความผิดเนี่ย!!”
ไอ้ชานยอลทำหน้าเหม็นเบื่อ กลอกตาสามร้อยหกสิบองศาก่อนจะพูดแบบช้าๆชัดๆ “กูจะสอนลูกยังไงมันก็เรื่องของกู อย่าคิดจะเรียกร้องสิทธิ์อะไรในบ้านหลังนี้ทั้งนั้น เพราะมึงมันก็แค่คนนอก”
“ไอ้...”
“ทนได้ก็ทนไป ทนไม่ได้ก็ไสหัวออกไปซะสิ ไม่เห็นยาก” ว่าแล้วก็เดินสะบัดตูดขึ้นชั้นสองไปพร้อมกีตาร์คู่ใจ ทิ้งให้ผมยืนฟึดฟัดอยู่คนเดียว
โอ๊ยยย!! ผมรู้สึกเหมือนไมเกรนจะกำเริบ หอบหืดจะขึ้นคอ ไส้ติ่งจะอักเสบ
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!! ฝากไว้ก่อนเหอะไอ้พวกขี้เหร่!!”
แม่งเอ๊ยป๋าแบคอยากจะกรี๊ด!!
ผมกระโจนเข้าใส่โซฟาแล้วดิ้นเร่าๆเพื่อระบายความแค้นใจ เหมือนที่ชอบทำเวลาอยู่ที่บ้าน ...ฮือๆๆ มันว่าผมเป็นคนนอกอ่ะ ฮือออ คนหล่อไม่ยอม
“อุ๊ยตายว้ายกรี๊ดปู๊ดปี๊ดป๊าด! นี่ตัวอะไรมาชักกระแด่วอยู่ในบ้านเนี่ย”
ผมหยุดการกระทำน่าอับอาย ก่อนจะหันไปทางต้นเสียง ซึ่งทีแรกผมก็นึกว่าเขาคุยกับผมอะนะครับ แต่พอหันไปมอง เห็นเขาคุยกับกล้องไอโฟนอยู่
“หมดเวลาสนุกแล้วค่ะเพื่อนๆชาวโซเชียลแคม วันนี้ฮุนนี่ต้องขอลาไปก่อนนะคะ เดี๋ยวอีกแป๊บจะมาสอนวิธีการแต่งหน้าไปดูคอนซุปเปอร์จูเนียร์น้าา อ๊ะๆ สงสัยใช่มั้ยว่าต่างจากการแต่งหน้าไปดูคอนบิ๊กแบงยังไง ก็ต้องอดใจรอกันไปก่อนนะจ๊ะ ณ จุดๆนี้ แล้วเดี๋ยวจะมาเฉลยค่ะ สำหรับตอนนี้ก็ต้องกล่าวคำ ซา หวาด ดี ค่าา”
=________=
เด็กนี่เรียกแทนตัวเองว่าไงนะ
ฮุนนี่ใช่มั้ย?
อิเหี้ยเอ๊ย!!!
ผมน้ำตาตกใน ทำใจอยู่ได้ซักพัก ก็ฝืนใจฉีกยิ้มเป็นมิตรไปให้ลูกสาว(?)คนเล็กที่กำลังเก็บไอโฟนสามล้านเอสเข้ากระเป๋าสะพาย มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยถุงกระดาษจากข้าวของแบรนด์เนมต่างๆ
“สวัสดีครับเซฮุน”
“โนๆๆ จริงๆแล้วชื่อหนูต้องออกเสียงว่า ฮุนด์นี่ย์ แล้วคนที่เรียกหนูว่าฮุนด์นี่ย์ มีคนเดียว นั่นก็คือมัมมี่ แต่เขากลับไป The United State of America กับพวกโมเดลลิ่งแล้ว ซึ่งถ้าคุณแบคกี้ออกเสียงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรียกหนูว่าฮุนนี่เฉยๆก็ได้ค่า”
=_______=
“อ่อ ครับๆ ฮุนนี่ แล้วฮุนนี่รู้จักชื่อพี่ได้ยังไงครับเนี่ย”
“ฮุนนี่ค่อนข้างจะทันข่าวสารนี้ดนึง แต่คุณแบคกี้ก็ไม่ต้องวอรี่อะเบาท์ฮุนนี่นะคะ ฮุนนี่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมค่ะ ไม่เหมือนอินจัง คึคึคึ” ฮุนนี่จีบปากจีบคอพูด จริงๆหน้าตาก็น่ารักอยู่หรอก ...แต่แบบ...มันไม่ใช่อ่ะจอร์จ มันไม่เวิร์คเลยอะซ่าร่าห์
“น้องฮุนอย่าเรียกว่าแบคกี้เลยครับ เรียกพี่แบคฮยอนหรืออย่างอื่นแทนได้มั้ย” เรียกแบคกี้คือขนลุก คือไม่ไช่ คือไม่เอา
“เกรงว่าจะไม่ได้อ่ะนะคะ”
“โอเคครับ ไม่ได้ก็ไม่ได้ แบคกี้ก็แบคกี้ครับ” กูยอมมึงเพราะสายตาอำมหิตเถอะ แม่งก็จะต้องโหดสัดรัสเซียกันทั้งบ้าน กูล่ะเพลียย
ฮุนนี่อยู่คุยกับผมได้ซักพักก็ตีปีกพั่บๆ ขึ้นไปรีวิวการแต่งหน้าลงโซเชียลแคมที่ห้องนอนของตัวเองต่อ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พักหายใจหายคอกับความเพี้ยนของครอบครัวปาร์ค ฮุนนี่ก็แหกปากตะโกนเรียกให้ผมขึ้นไปช่วยถือกล้องให้ถึงในห้อง
“สวัสดีเพื่อนๆชาวโซเชียลแคมนะคะ อย่างที่สัญญากันไว้ ฮุนนี่พาเพลินจะมาสอนวิธีแต่งหน้าไปคอนซุปเปอร์จูเนียร์อปป้าให้เพื่อนๆได้ลองทำตามกันดูไม่เสียหายค่า อันดับแรกนะคะ เราก็ต้องเคลียร์ผิวกันก่อนค่า งานผิวต้องมา ต้องจัดให้โบ้ม”
มือขวาผมถือกล้องไอโฟนที่ติดเลนส์แบบพิเศษไว้ ส่วนมือซ้ายถือถาดสะท้อนแสงให้อิน้องฮุน
“สำหรับรองพื้น ฮุนนี่เลือกใช้เป็นตัวรองพื้นสุดฮิตของเพื่อนๆห้องโต๊ะเครื่องแป้งอะนะคะ ก็จะเป็นตัวนี้ค่ะ เรฟลอนฝาดำ เบอร์ 0.12 ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่สีผิวของแต่ละคนอ่ะนะคะ ณ จุดๆนี้ ฮุนนี่เป็นคนหน้ามันนิดนึง ขอลงแบบแมทๆ วิธีการเกลี่ยให้เนียนเป๊ะก็ไม่อยากและก็ไม่ง่าย ขึ้นอยู่กับลีลาและทักษะค่ะ แปรงที่ฮุนนี่ใช้ก็จะเป็นแปรงของบ็อบบี้บราว์ประกายแบล็คนะคะ หรือจะใช้แปรงหัวแข็งที่แถมมากับสี TOA ก็ดีไม่แพ้กันค่า”
-____-
“ไฮล้งไฮไลต์เอาแบบวาวๆมีมุกกระแทกตากระแทกใจอปป้ากันไปเลยทีเดียว เทรนด์เกาหลีเราก็จะเน้นฉ่ำๆนี้ดนึงงง ก็เอาให้ฉ่ำโบ๊ะกันไปเลย ถ้าวาวไม่พอ ฮุนนี่แนะนำน้ำมันพืชในห้องครัวก็เอาอยู่ค่า”
มึงครับ...
“จากนั้นก็แต้มทินท์เบาๆที่โหนกแก้ม เกลี่ยไปอะไรไป 3@*&^hey $#@$%^&(*คุคุ คริคริ %^&&w&()HG บลาๆๆๆๆ”
-___-
-____________-
=______________________=
ฮุนนี่ครับ...
ฮุนนี่
อิเหี้ยน้องฮุน เสร็จซักทีสิว้อย กูเมื่อย!!
“กล้องอย่างแกว่งสิคะ กล้องอย่าแกว่ง เดี๋ยวแม่ตีมือหัก”
ผมไม่เคยคิดเลย 24 ปีที่เกิดมา ...ไม่เคยคิดเลยจริงๆ
ไม่คิดเลยว่ากูต้องมาถือกล้องถ่ายตุ๊ดแต่งหน้าเนี่ย!!!TOT
ทันทีที่ลาจากฮุนด์นี่ย์สกุลโอมาได้ ผมก็วิ่งเข้าห้องนอนทันทีก่อนจะรีบอาบน้ำอาบท่า พออาบเสร็จก็กระโจนขึ้นไปนอนแผ่หลาไถหน้าลงกับเตียงด้วยความรวดเร็ว ซักพักน้ำตาก็เอ่อมาปริ่มที่ขอบด้วย...บ้าจริง กระซิกๆ
นี่แค่วันแรกเองนะเนี่ย ฮรืออ ป๋าแบคสุดหล่อก็อ่วมชิบหายไปถึงไหนต่อไหน หน้าก็บวม แขนก็ล้า ขาก็ใหญ่ TT สาบานได้ว่าเพิ่งมาอ้วนวันนี้ ไม่ได้อ้วนมาตั้งแต่เกิดเลยจริงๆ
ด้วยความอัดอั้นตันใจอันหาที่สุดไม่ได้ ผมจึงคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายถึงคยองซู ก่อนจะแหกปากระบายความในใจเรื่องมีลูกเป็นคนป่าเถื่อนกับตุ๊ดติ๊งต๊องให้มันฟัง ร่ายยาวประมาณสามวาสี่ศอก พอเม้าท์จบก็โทรไปเซย์ฮัลโหลป๊ากับม๊าต่อทันที
‘ไงอาป๋ายโทรมาซะดึกเชียว ลื้อมีอาราย’
“ก็ไม่มีหรอกม๊า ก็คิดถึงอ่ะ โทรหาไม่ได้หรอ”
‘งั้งแค่นี้น้า เปลืองตังค์’
“โหม๊า อย่าเพิ่งดิ!”
‘เลี้ยวลื้อมีอาราย ริบๆพูก อั๊วจาปายนอนเลี้ยว’
“ม๊าอ่า อย่าเพิ่งวางสายอั๊วน้า...ก็ไม่มีอะไรหรอก อั๊วก็แค่จะโทรมาบอกว่าอั๊วสบายดี บ้านหลังใหญ่มากเลยม๊า วันนี้อั๊วยังเดินสำรวจไม่ทั่วเลย”
‘แล้วอาชางยอลกะลูกชายอีล่ะ?’
ผมยื่นโทรศัพท์ให้ออกห่างจากปากไปสามกิโลเมตร ก่อนจะพูดจากใจจริงว่า...เหี้ยม้ากกกก อีอินจังนี่สร้างแลนมาร์กบนหน้าดิฉันเลยค่ะ เต็มๆเบ้า
แต่ด้วยความกลัวว่าม๊าจะไม่สบายใจ ผมก็เลยต้องฝืนใจพูดในสิ่งตรงกันข้าม
“ก็ดีอ่ะม๊า ก็เข้ากันดี ม๊าไม่ต้องเป็นห่วงนะ คุณชานยอลน่ารักมากๆเลย”
‘ทำไมเรียกอีอย่างน้านล่ะ อีอายุมากกว่าลื้อ ลื้อต้องเรียกอีว่าอาเฮียซิ เรียกพี่ก็ล่าย’
“เฮ้ออ ม๊านี่นะ ...ครับๆ พี่ชานยอลน่ารักมากกกเลยครับ ม๊าไม่ต้องห่วงนะ
แล้วเมื่อกี้อั๊วคุยกะคยองซูแล้ว เดี๋ยววันงานประมาณเจ็ดโมง มันจะเข้าไปรับม๊าเข้าโซลนะ ม๊าแต่งตัวสวยๆเลย บอกอาป๊าเอาแบบหล่อๆด้วย”
‘ล่ายๆ อั๊วนอนละนะ พรุ่งนี้ต้องปายเปิกร้านแต่เช้า’
“คร้าบบ ฝันดีครับคนสวยของน้องป๋าย จุ๊บ”
ผมจูบราตรีสวัสดิ์บุพการี ก่อนจะกดตัดสาย
เฮ้อ...รู้สึกขึ้นสบายใจขึ้นมาหน่อยนึง หน่อยนึงจริงๆครับ เพราะแผลที่โดนต่อยแม่งเริ่มปวดขึ้นมาอีกละ -_-
“เฮ้ย!!”
ผมร้องอย่างตกใจ เมื่อหันไปเห็นไอ้คุณชายเจ้าของบ้านยืนอยู่ข้างเตียง ตอนที่กำลังเอื้อมไปวางโทรศัพท์บนตู้ไม้
ปาร์คชานยอลกอดอกทำหน้านิ่ง ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงมาข้างผมที่นอนอืดเป็นพะยูนอยู่ เล่นเอาผมกลิ้งไปอีกฝั่งแทบไม่ทัน
“เข้ามาทำห่าไร ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!” ผมออกปากไล่พร้อมจ้องตามันเขม็ง ...เอ่ออ แต่ว่าตอนที่มันลบเครื่องสำอางสไตล์สโมคกี้ดำประหนึ่งชนเผ่าอียิปต์ออกแล้ว มันก็ดูเป็นผู้เป็นอยู่นะ ก็ถือว่าหน้าตาดีใช้ได้ แต่ก็แน่นอนว่าน้อยกว่าผมอยู่หลายขุม
“นี่ห้องกู” มันพูดชิวๆพร้อมบิดขี้เกียจ ก่อนจะเริ่มเลื้อยตัวเหยียดแขนขาเข้ามานอนระรานพื้นที่ผม
“ฮ...เฮ้ย อะไรเนี่ย!” ผมแหกปากลั่นเลยครับทีนี้ เฮ้ยแม่งกอดไมวะ!
“ทำหน้าที่เมียหน่อยดิ ขอหอมที”
ไม่พูดเปล่าครับ ริมฝีปากหยุ่นๆนั่นยัง...ยัง...จุ๊บลงมาบนแก้มผมอีก!!
กรี๊ดดดดด !! น้องเทาช่วยป๋าด้วย!
ผมเช็ดแก้มตัวเองแรงๆ “ไอ้บ้า!! ไหนว่าเกลียดกูนักไง โอ๊ยยี๋ รังเกียจว้อย!”
ไอ้ชานยอลยิ้มขำๆ “ก็เกลียด แต่คนเราก็มีเซ็กซ์โดยไม่จำเป็นต้องรักก็ได้นี่หว่า”
“มีเซ็กซ์!!!!” กรี๊ดดดดดด ดีออกกล้าพูดมาได้เยี่ยงไร! ดิฉันรับไม่ได้! ดิฉันรุก!
“เออ มึงถอดเสื้อเลยเร็ว ขอมันๆนะคืนนี้”
คือเคยเป็นป่ะครับ ช็อคแบบหนัก พูดไรไม่ออก ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ...ไอ้...
“ไอ้หน้าด้าน!! ไอ้สันดานเสีย! ปล่อยเดี๋ยวนี้!!” ผมดิ้นหนัก ทั้งถีบขา ทั้งสะบัดแขน ไอ้ชานยอลหัวเราะกิ๊กๆกั๊กๆเหมือนว่าเป็นเรื่องสนุก มันพยายามจับแขนผมไว้ครับ พอดิ้นหลุดก็จับใหม่ จับได้ก็หัวเราะคิกคักยังกะสนุกสนานเสียเหลือเกิน
“ว้อยยปล่อยสิวะ!!”
“หึ ทีเมื่อกี้ยังบอกว่ากูน่ารักอยู่เลย แล้วเรียกกูว่าอะไรนะ พี่ชานยอลใช่มั้ย?”
“ไอ้มั่ว! อย่ามามั่วนะ ปล่อยดิเว้ย!”
ไอ้ชานยอล ไอ้ร็อคเกอร์บ้า ไอ้คนสองบุคลิก! ตอนปกติก็โหดจัง เก๊กจัง พอขึ้นเตียงมันเป็นยังงี้หรอวะ!!
“เฮ้ยเร็ว ขอหอมที ไม่หอมนอนไม่หลับ”
ผมขมวดคิ้วมุ่น ถลึงตาใส่มันอย่างอาฆาตแค้น “อย่ามาปัญญาอ่อน คนห่าไรไม่ได้หอมชาวบ้านเขาแล้วนอนไม่หลับ!”
ไอ้ชานยอลตอบหน้าตาย “ก็กูไง”
ผมอึ้งกับมหากาพย์ความหน้าด้านของมัน เมื่ออยู่ดีๆมันก็อาศัยช่วงชุลมุนยื่นหน้าเข้ามา คราวนี้หอมแก้มผมเข้าไปฟอดใหญ่
เสียงดังฟอดดดดเลยอ่ะ ...งื้อออ T-T
ผมเม้มปากแน่น เบนสายตาหนีโดยอัตโนมัติ เดาได้เลยว่าตอนนี้หน้าต้องแดงมากๆๆๆๆๆแน่เลย ฮืออ
“หึ”
“...” หึบิดามึงสิอิสัด
“ไปไม่เป็นเลยสิมึง” ไอ้ชานยอลพูดอย่างเป็นต่อ ก่อนจะยอมปล่อยผมออกจากอ้อมแขน แน่นอนว่าผมรีบกลิ้งไปแทบสุดขอบเตียง ต้องเว้นระยะห่างไว้มากๆครับ ไอ้บ้านี่ชักไว้ใจไม่ได้ใหญ่แล้ว
ปาร์คชานยอลยืดตัวไปปิดโคมไฟหัวเตียง ก่อนที่ทั้งห้องจะมืดสนิทและบรรยากาศก็เริ่มโปรยปรายไปด้วยความเงียบงัน
ผมนอนลืมตาโพลงในความมืด สัมผัสที่แก้มยังทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวไม่หาย ไอ้บ้านั่นคิดยังไงอยู่ดีๆก็มาหอมกันหน้าตาเฉย สงสัยจะสนุกที่เห็นผมทำตัวไม่ถูกแน่ๆ...แม่งนิสัยแย่วะ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือผมนอนไม่หลับครับ TT ที่ก็แปลก เตียงก็ไม่คุ้น คิดถึงป๊ากับม๊าอีกต่างหาก รู้สึกเหมือนตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้
หมับ!
จู่ๆมือปลาหมึกก็เลื้อยเข้ามาท่ามกลางความมืดมิด ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้จากทางด้านหลัง
“ทำไมต้องกอดวะเนี่ย! นอนดีๆไม่ได้รึไง!” ผมเค้นเสียงโวยวาย ไอ้ชานยอลเงียบไปซักพัก ก่อนจะตอบกลับมาเสียงอู้อี้
“ก็มึงตัวนิ่ม”
ก็
มึง
ตัว
นิ่ม...
ก็อยากจะเขินอยู่หรอกนะ แต่แม่งหลอกด่ากูอ้วนป่ะวะเนี่ย? เอาเป็นว่าช่างแม่งละกัน ขัดขืนไปก็เสียพลังงานเปล่า นี่ผมก็เริ่มง่วงมากละด้วย หนังตาหนักประมาณเจ็ดร้อยกิโลได้
ง่วง ง่วง ง่วงง...
แล้วหลังจากนั้นผมก็หลับสนิท ประหนึ่งอิคุณปาร์คใช้ชุดเครื่องนอนโตโต้
100%
10/10/14
ซีมี
#คพขร
ความคิดเห็น