ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF,OS] chanbaek

    ลำดับตอนที่ #1 : [OS] welcome home - จบแล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 57






    Story : Welcome Home

    Note : เจอ ไฟล์ฟิคสั้นตอนเคลียร์โน้ตบุ้คเยอะมากก เกือบลืมไปแล้วว่าเคยแต่งเรื่องนี้ อยากลงเว็บแต่ไม่รู้จะเอาไปลงที่ไหนเลยเปิดบทความใหม่ จริงๆเรื่องสั้นก็เหมาะกับเรา เราสันหลังยาว เรารู้ตัวฮืออ T-T

     






     

     
     

    สำหรับผม...ความรักคือการได้กลับมายังบ้านหลังเดิมในทุกๆวัน

     

    . . . . . .

     

     



     

    เวลาแม่กับซองซูเอาท้องมาแตะกันนะ เราสองคนนี่ดิ้นขลุกขลักจนท้องแม่ตึงไปหมดเลย พวกแม่ทั้งเจ็บทั้งขำ ตอนเอาท้องแยกกันเรายิ่งดิ้นหนัก คิดแล้วก็น่าประหลาดเหมือนกันนะ คุณนายบยอนคนสวยของผมพูดด้วยรอยยิ้ม ยิ้มที่สุขใจจนเครื่องหน้าทั้งหมดยิ้มตามริมฝีปาก ผมเองฟังแล้วก็อมยิ้มตามไปด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่เล่าวีรกรรมขณะอยู่ในครรภ์ของผมกับปาร์คชานยอลหรอกครับ นับเป็นครั้งที่ร้อยเลยก็ว่าได้


     

    เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวของผมกับครอบครัวปาร์คสนิทกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะพวกคุณแม่เป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จบมาทำงานที่เดียวกัน ปลูกบ้านข้างเคียงกัน คุณแม่ของผมแต่งงานก่อน แต่สองเพื่อนซี้ก็บังเอิญตั้งท้องไล่เลี่ยกันเพียงไม่กี่สัปดาห์

     

    ผมกับชานยอลก็เลยเกี่ยวดองกันมาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก

     

     

    เวลาซองซูแพ้ท้องหนักๆทีไร เป็นตอนเดินอุ้ยอ้ายมาหาแม่ทู้กที พอเจอกันนั่นล่ะถึงจะหายคลื่นไส้ แม่ย้อนวันวานถึงเพื่อนรักพร้อมเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเรื่อยๆ นัยตาของแม่ยามเมื่อหวนสู่อดีตทรงสุขและอ่อนโยน

     

    สีนี้สวยไหมครับผมยื่นกระดาษฉลุขอบลายลูกไม้ในมือให้แม่ แม่รับไปและลูบไล้แผ่นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเบาๆ

     

    ไม่ถามชานยอลเขาละลูก

     

    ผมฟังคำถามของแม่แล้วเผลอจุดรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว รายนั้นยังไงก็ชอบสีนี้นี่แหละครับ ไม่ต้องถามผมก็รู้

     

    ถึงว่า ตอนเด็กๆล่ะชอบแย่งของเล่นกันเหลือเกิน

     

     

    ผมคิดตามแล้วก็อมยิ้มขำๆ จำได้ว่าเคยฝังรอยฟันไว้บนหัวไหล่ของเด็กผู้ชายตัวอ้วนแว่นหนา เพียงเพราะตกลงกันเรื่องของฝากจากฮ่องกงที่พวกแม่ๆซื้อมาไม่ได้  ชานยอลอยากได้นาฬิกาสีฟ้าน้ำทะเล แต่ผมเองก็อยากได้เหมือนกัน

     

     

    จำได้ว่าผมได้นาฬิกาเรือนนั้นมาครองสมใจ แต่พอตกดึกผมก็มุดรั้วเอาบันไดลิงไต่ขึ้นไปหาชานยอลถึงในห้อง เพื่อที่จะคืนนาฬิกาให้และลูบที่ศีรษะกลมๆของคนที่เอาแต่หลับไม่รู้สติ  ผมพร่ำพูดคำว่าขอโทษนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำให้นาฬิกาเรือนเดียวสร้างความบาดหมางให้เราสองคนได้ถึงเพียงนี้  ชานยอลพลิกตัวนอนตะแคงจนเหลือพื้นที่ว่างมากพอสมควรบนเตียงที่ปูด้วยผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์ คืนนั้นผมจึงไม่ได้กลับไปนอนที่บ้าน...

     

     

     

    แต่เขาก็อ้วยตุ้ยนุ้ยอยู่ได้ไม่นาน หนุ่มน้อยคนนั้นก็หล่อหาตัวจับยากทันทีในวัย 15 ขวบ

     

    เราเดินไปโรงเรียนด้วยกันทุกเช้า เรามักจะก้าวสั้นๆไปด้วยกัน แต่แล้วความยาวของฝีก้าวของปาร์คชานยอลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  หัวไหล่ที่มักจะอิงแอบเบียดกันไปตลอดทางกลับสูงขึ้นฮวบฮาบราวกับจะไม่หยุดยั้ง

    เผลอแป๊บเดียวหัวผมก็ถูไหล่เขาแทนเวลาที่เราเดินไปไหนมาไหนด้วยกัน

     

    ตอนอายุ 18 เราก็ไม่เดินเบียดกันแล้ว  เขาเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวนิ้วก้อยของผมเอาไว้ แล้วเราก็จะเดินไป-กลับจากโรงเรียนและบ้านด้วยท่าทางแบบนั้น โดยที่ชานยอลดึงกระเป๋าของผมไปถือไว้เอง

     

    น่าแปลกที่ไม่มีใครคารังคาซังกับเรื่องนี้ เราสัมผัสเนื้อตัวกันมากขึ้นโดยไม่มีข้อสงสัย ผมไม่เคยฉุกคิดเลยว่าเราเป็นอะไรกัน เพราะทุกครั้งที่ดวงตาเปล่งประกายและกลมโตของชานยอลสบมา ...ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าเราเกิดมาเพื่อที่จะเป็นแบบนี้ จากแรกเกิดไปจนสิ้นใจ เราเกิดมาเพื่อเคียงคู่กันไปเหมือนดาวศุกร์ที่เป็นคู่แฝดกับดาวโลก

     

     

     

     

     

    หวัดดี ใครบางคนโผล่ศีรษะขึ้นมาจากรั้วปูนเคลือบสีขาวนวล ผมตกใจและเผลอทิ้งตุ๊กตาพวงกุญแจเล็กๆลงบนโต๊ะหินอ่อนที่นั่งอยู่

     

    ตกใจหมดผมบ่นกับตัวการที่ยืนยิ้มแฉ่งอย่างไม่จริงจังนัก

     

    คุณแม่ไปไหนแล้วละ เมื่อกี้มองลงมาจากระเบียงยังเห็นอยู่เลย

     

    ฉันให้เข้าไปพักน่ะ เย็นมากแล้วผมตอบ ตอนนั้นเองที่เขากวักมือเรียกยิกๆ มืออีกข้างเท้าคางกับรั้วที่ไม่ได้สูงอะไรมากนัก

     

    นายก็ข้ามมาเองซี่ผมย้อนแย้ง แต่ขากลับลุกขึ้นและเดินไปหาปาร์คชานยอลที่เอาแต่กวักมือเรียกไม่ยอมหยุด

     

    ให้เขาว่าพลางเหยียดแขนเพื่อที่จะยื่นมือข้ามรั้วมายังอาณาเขตบ้านบยอน

     

    อะไร?”

     

    แบมือสิ ชานยอลยิ้มละไมในแบบที่ผมไม่อาจจะขัดใจเขาได้ ผมเอื้อมมือไปกางตรงหน้าของชายหนุ่ม แล้วกำปั้นที่กำแน่นของเขาก็ทาบทางบนฝ่ามือของผม ...ทว่ามันกลับไม่มีอะไร

     

    ลมหายใจของฉันเขาเฉลย ก่อนจะยิ้มทะเล้นแกมสะใจจนจมูกย่นและเห็นฟันแผงหน้าแทบทั้งหมด

     

    ตลกแล้วผมกำลังจะชักมือกลับ แต่มือแข็งแรงนั้นยื้อยุดเอาไว้ คราวนี้ใช้อีกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบบางอย่างออกมาและวางบนลงฝ่ามือของผมเป็นครั้งที่สอง ซึ่งมันก็เป็นครั้งที่สองเช่นกันที่ในมือของปาร์คชานยอลนั่นปราศจากสิ่งใด

     

    ความรักของฉันเขาพูดแล้วระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนว่ามันเฮฮาหนักหนา ผมเองที่ตอนแรกอยากจะรำคาญกับการเล่นไร้สาระในวัย 25 พอเห็นเขาหัวเราะดังลั่นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

     

    ปาร์คชานยอลเป็นแฮปปี้ไวรัส ชอบขำโอเว่อร์ มีบางคนบอกว่าเขาเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่ทำให้คนอื่นรำคาญ แต่สำหรับผม เขาคือแหล่งพลังงานขุมใหญ่

     

    จากนั้นเราทั้งคู่ก็หัวเราะให้กัน ด้วยเหตุผลง่ายๆ นั่นคือเขาแกล้งหยอกผมเล่นด้วยการให้อากาศเป็นของขวัญ

     

    เนิ่นนานจนกระทั่งชานยอลสูดลมหายใจเขาลึก เขายื่นมือมาโอบกอดผมผ่านม่านกำแพงที่ไม่แม้แต่จะมีสิทธิขวางกั้นความรู้สึก ที่เปี่ยมล้มในหัวใจของพวกเรา

     

    ฉันรักนาย

     

    เสียงทุ้มต่ำที่พยายามแล้วที่จะบีบให้ฟังดูออดอ้อนกระซิบแผ่วที่ข้างหู  ผมสูดลมหายจากซึมซับกลิ่นไอจากซอกคอหอมกรุ่นก่อนเงยหน้าเพื่อจะตอบรับเขาด้วยถ้อยคำที่ส่งตรงจากหัวใจ

     

    ฉันก็รักนาย

     

     

     

     

     

    เรายังจำภาพนั้นกันได้ติดตา ภาพวันที่ชานยอลต้องละทิ้งความฝันไปเพราะอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าและกระดูกสันหลัง

     

    มันเป็นความฝันเดียวของเขา คุณแม่ของชานยอลบอกผมทั้งน้ำตาตอนที่ผมเข้าไปหาที่บ้าน หลังรู้ว่าเขาประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจากการเล่นกีฬาที่โรงเรียน ...และนั่นทำให้ชานยอลจำต้องหันหลังให้กับการเดบิวต์ที่กำลังจะมาเยือนในอีกแค่ไม่กี่เดือนข้างหน้า

     

    ผมจะพยายามพูดให้ชานยอลเข้าใจนะครับแม่ ผมรับปากไปแบบนั้น ก่อนจะไขกุญแจสำรองเข้าไปในห้องนอนของเพื่อนสนิทที่สุดตั้งแต่ครั้งยังจำความได้

     

     

    และถึงจะบอกคุณนายปาร์คไปว่าจะช่วยพูดให้ชานยอลยอมรับความจริง แต่สิ่งที่เราทำคือกอดกันเอาไว้และร้องไห้ให้กับความฝันที่ได้ยุติลงก่อนวัยอันควร  ชานยอลสะอื้นฮักๆอยู่ในอ้อมแขนที่แทบจะโอบรอบกายเขาไม่มิดของผม  ผมมองเขาอย่างสงสารและเจ็บปวดใจจนน้ำตาไหลท่วมจากดวงตาสู่ดวงใจ  เขาเป็นคนมุ่งมั่น ภายใต้ความขี้เล่นมีแต่ความจริงจังซุกซ่อนอยู่  เขามีอีโก้ในแบบที่ศรัทธาในความสำเร็จ

     

    เขาร้องไห้สุดสาหัสเหลือเกินในคืนนั้น  โดยที่ผมมีปัญญาพอแค่กอดแน่นหนาจนแขนของเขาขึ้นจ้ำเขียวเมื่อเช้าวันใหม่มาเยี่ยมเยือน

     

     

     

     

     

     

    เราไปเวิร์คแอนด์ทาเวลที่อเมริกาด้วยกันตอนปีสอง  ลำบากด้วยกัน  ทะเลาะกัน  เห็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของกันและกัน  มันรุนแรงในบางครั้ง ...แต่ไม่เคยมีซักครั้งที่เรามองหน้ากันแล้วจะไม่อยากเห็นใบหน้านี้อีก  เขามีความหมายเสมอเมื่อยามที่ผมหายใจ

     

     

     

     

     

    สุดสัปดาห์ บางครั้งเราก็จะอิงแอบกันบนโซฟาที่บ้านของเขา ผมจะวางศีรษะเกยบนหัวไหล่กำยำที่มอบสัมผัสอบอุ่นใจ สองแขนกอดถังป๊อบคอร์นไว้ ส่วนชานยอลก็จะทำหน้าที่เลือกหนังที่เราจะดูร่วมกัน

     

    วีดีโอม้วนโปรดรองจาก About time คือวีดีโอที่ถูกอัดไว้สมัยประถม ผมตัวจ้อยเดียว เขาเองก็สูงไปมากกว่าผมไม่เท่าไหร่ วันนั้นชานยอลกระเตงกล้องวีดีโอไปทั่วสนามกีฬาที่ใช้จัดงานกีฬาสีประจำปีของโรงเรียน ผมลงวิ่งแข่ง เขาเป็นกองเชียร์ แต่ไม่ยอมไปเชียร์บนอัฒจรรย์

     

     มองกล้องหน่อยเร็วเสียงจากหลังกล้องดังขึ้นรบเร้า ส่งผลให้เด็กชายผิวขาวแก้มยุ้ยที่เป็นโฟกัสเดียวในภาพหันมามอง

     

    อย่ากวนกันซี่ จะแข่งอยู่แล้วนะ ปากบางแดงเรื่อนั่นพูดบ่น โชคดีที่เด็กชายแบคฮยอนจับจองลู่วิ่งเลนติดสนาม จึงพูดคุยกับตากล้องจำเป็นได้โดยไม่รบกวนผู้แข่งขันคนอื่นๆ

     

     

    ปรี๊ดดด

    เสียงหวีดแหลมของนกหวีดกรรมการดังเป็นสัญญาณให้นักกีฬาเตรียมตัว แบคฮยอนตัวน้อยในชุดสีเหลืองให้ความรู้สึกเหมือนลูกเจี๊ยบเตรียมออกวิ่ง

     

     

    ปรี๊ดดดด

    เสียงเดิมดังอีกครา ขาสั้นซอยถี่ๆเพื่อทะยานไปข้างหน้า พร้อมตากล้องข้างสนามที่อัดภาพไปด้วยวิ่งตามไปด้วย

     

     

    แสงแดดแรงจ้า ดวงตะวันเฉิดฉาย

     

    อาจเพราะขายาวกว่าหรือด้วยเหตุผลประการใดก็ตามแต่ สุดท้ายคนที่วิ่งเคียงขนาบกันไปก็เริ่มแยกห่าง ภาพของนักวิ่งตัวจ้อยเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อตากล้องวิ่งนำจนไปตั้งกล้องรอถึงเส้ยชัย

     

    แบคฮยอนยิ้มสุดริมฝีปาก ตาเรียวใสแป๋วที่หางตาตกอย่างน่ารักนั่นจดจ้องสูงขึ้นกว่าเลนส์กล้องวีดีโอ มองเลยไปยังคนที่ยืนกวักมือยิกๆเรียกให้มาหาอยู่ข้างหลัง

     

    ยิ้มทั้งปากทั้งตา แถมยังกางแขนเตรียมกอดกระชับกับอีกคนที่อ้าแขนรอรับอยู่ที่ปลายทาง

     

    จุดไคลแมกซ์ของหนังเก่าเรื่องนี้คือตัวเอกที่ได้เข้ากล้องอยู่คนเดียวนั้นดันล้มลงตอนเกือบถึงเส้นชัย ราวกับมีใครกดหรี่เสียง เมื่อตากล้องที่แหกปากเชียร์อยู่ตลอดการถ่ายทำนั้นสงบเงียบไป

     

     

    วินาทีสำคัญเกิดขึ้นทันทีที่เจ้าลูกเจี๊ยบซุ่มซ่ามลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและออกวิ่งอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางลงแม้เพียงองศาเดียว

     

    เด็กขาสั้นวิ่งดุ๊กๆมาจนถึงเป้าหมายก่อนจะหายไปจากจอภาพ แต่เสียงเนื้อหนังยามเมื่อสองร่างกระชับกอดนั้นดังชัดในคลิป รวมทั้งบทสนทนาหลังกล้อง

     

    ยิ้มทำไมนัก ทำเหมือนชนะไปได้

     

    อ้าว ฉันแพ้หรอ?”

     

    ใช่ ได้ที่โหล่เลย

     

    กล้องสั่นเมื่อถูกถอดออกจากขาตั้ง เบนสูงขึ้นนิดหน่อยและโฟกัสไปที่ใบหน้าชุ่มเหงื่อของลูกเจี๊ยบตัวเดิมอีกครั้ง แบคฮยอนชูสองนิ้วยิ้มร่า อีกมือยังไม่คลายออกจากมือของผู้บันทึกภาพ

     

    ทำไมเด็กในกล้องยังคงยิ้มแฉ่งแม้จะได้รับคำตอบไม่น่าภิรมย์? ...นั่นเคยเป็นปริศนาเมื่อกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

     

     

     

    แต่เมื่อยามที่เติบใหญ่ คำถามนั่นคลี่คลาย

     

    แบคฮยอนเอนตัวลงพิงอกแกร่งที่ซ้อนอยู่ข้างหลัง มือเรียวสวยหยิบป๊อบคอร์นงับเข้าไปในปาก โดยไม่ลืมหยิบอีกครั้งแล้วป้อนให้เจ้าของแผ่นอกที่ตนพิงพำนักอยู่

     

    ไม่รู้สึกว่าแพ้เลยคนตัวเล็กบอก

     

    แพ้อีกคนว่าขำๆ

     

    ไม่แพ้ วันนั้นไม่ได้แพ้

     

    “...”

     

    ไม่เคยแพ้เลยชานยอล ฉันไม่เคยแพ้เลย

     

    ความรักของเราไม่เคยแข่งขันกับคนอื่น ไม่เคยมีใครได้แทรกเข้ามา

    เป็นมิตรภาพบริสุทธิ์ดังเพชรแท้ กระจ่างใส กล้าแข็ง และทรงคุณค่า

     

     

     

     

     

     

     

    ผมเริ่มรู้หัวใจตนเองครั้งแรก เมื่อตอนที่เราวัดฝ่ามือกัน และสังเกตได้ว่ามันไม่เท่ากันอีกแล้ว

     

    มันเริ่มทิ้งห่างกันไป มือใหญ่นั่นเติบโตจนยาวกว่ามือประมาณหนึ่งข้อนิ้ว 

     

     

    วันนั้นเป็นอีกหนึ่งในวันที่ผมสูญเสียที่สุด ผมพลาดจากมหาลัยที่หวัง พลาดอย่างไม่อาจเริ่มต้นใหม่ได้อีกเป็นครั้งที่สอง

     

    มือที่อบอุ่นดั่งเช่นถุงน้ำร้อน เช็ดน้ำตา โอบกอด ลูบและเกาเบาๆที่แผ่นหลังของผม จากเดิมที่ผ่านผืนผ้า ก็กลายเป็นกรีดเกลี่ยบนผิวเนื้อเปลือยเปล่า

     

    ผมมองตากลมโตคู่นั้น สอบถามว่าเราจะต้องมานั่งเสียใจที่หลังกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้หรือเปล่า?

     

    พ่อแม่จะผิดหวังมั้ย? มิตรภาพของเราจะหายไปหรือไม่? แล้วถ้ามันหายไป จะทำอย่างไรกันดี?

     

    ชานยอลกระพริบตาเชื่องช้า รอยยิ้มของเขาบางเบา และเขาก็ทำให้ผมเชื่อใจได้เต็มร้อย ทั้งที่เราอายุเท่ากัน แถมไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่ไปมากกว่ากันซักเท่าไหร่  แต่ดวงตาของเขากระซิบข้อความสื่อมาน่าหลงใหล

     

    เขาบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เราเป็นหลุมหลบภัยของกันและกันมาเนิ่นนาน ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่เราจะรวมเป็นเชลเตอร์เดียวกัน

     

    เขาลูบไล้ผมด้วยสัมผัสไร้เดียงสา ดวงตาฉายแววขัดเขิน เราเอนใบหน้าแดงก่ำไปคนละทิศทาง โดยที่ฝ่ามือยังไม่ลดละไปจากร่างกายของกันและกัน

     

    การได้สัมผัสเขา เป็นเสมือนการรับเอาผ้าห่มอบอุ่นมาคลุมกาย

    และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ตราบเท่าปัจจุบัน

     

     

     

     

     

     

    อาทิตย์หน้าแล้วสินะ ผมพูดขึ้นเมื่อเราผละออกจากกันและยกแขนขึ้นมาเท้ากำแพงจากคนละฝั่ง

     

    ชานยอลกระพริบตาปริบๆตอนมองหน้าผม อือ...ตื่นเต้นจัง

     

    แหงสิ แต่งงานครั้งแรกนี่นาผมยิ้ม แล้วมือใหญ่ก็เริ่มเลื้อยมากุมมือผมไว้

     

    ขอบคุณนะแบคฮยอน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา รวมทั้งที่นายช่วยจัดการเรื่องงานแต่ง ของชำร่วยเอย การ์ดเอย ขอบคุณนายจริงๆ

     

    ขอบคุณทำไม เราเพื่อนกันผมยื้อมือกลับมา

     

    ฉันรักนายแบคฮยอน

     

    นายพูดมันไปแล้ว

     

    รักนาย

     

    ผมเพียงแต่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เราจะลาจากกันเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าที่วันนี้ขลิบแสงทองงดงาม

     

     

    ความรักคือการได้เดินทางตะลอนไปแสนไกล เพื่อเสาะหาบางสิ่งบางอย่างที่สามารถตอบคำถามที่ค้างคาในหัวใจได้ เดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขา ผ่านอุปสรรคนานับประการ เพื่อเสาะหา อะไรที่เติมเต็มสิ่งที่เราขาดหาย  จุดสำคัญคือกลับบ้านหลังจากเจอสิ่งนั้นแล้ว

    รัก...คือการเดินทางไป และเดินกลับมา

     

     

    กลับมาสู่สามัญ หลงจากหลงระเริงมาแสนนาน

     

    แบคฮยอนโน้มตัวลงเก็บกระดาษแข็งกลิ่นกุหลาบที่เขาเป็นธุระให้ชานยอลอีกเช่นเคยเพราะรายงั้นงานยุ่งบวกกับไม่มี เซ้นส์ด้านพวกนี้เท่าไหร่ แถมอีกคนที่ควรมาจัดการก็ง่วนกับธุระข้ามประเทศเพราะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงเก่ง

     

    การ์ดแต่งงานที่ลงนามเจ้าบ่าวปาร์คชานยอล กับเจ้าสาวชื่อไพเราะที่เขาไม่ค่อยอยากเอ่ยถึง

     

     

    แบคฮยอนยังคงยิ้มขณะลูบตัวอักษรสีทองบนเนื้อกระดาษ ...ชานยอลไม่ใช่ของเขา

     

     

    เราจูงมือกันออกเดินตามหาความหมายของความรักมาตั้งแต่เกิด จวบจนชานยอลจูงเขากลับมาที่บ้าน หลังจากวินาทีที่ชานยอลได้พบบางสิ่งที่เติมเต็มเขาได้อย่างแท้จริง

     

    ส่วนแบคฮยอนก็คืนสู่ที่พักอาศัยหลังเก่า อันเปี่ยมปรี่ด้วยความทรงจำ

    จากไป เพื่อกลับมา

     

     













     

    END

     

     

     

    ฉันโดนไฟช็อต นี่พูดจริงนะเนี่ย






     

     

    ©
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×