ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Daddy Rock Legs สะดุดรักคุณพ่อขาร็อค {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #8 : ϟ chapter 6 : 120%

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.03K
      57
      26 ต.ค. 57

     

    DADDYROCKLEGS

     

    [CHAPTER6]

     

     

    I love you more than anything in the world

    ‘Love’ from your lovely son

    ผมรักพ่อกับแม่มากกว่าอะไรในโลก

    รัก จากลูกชายผู้น่ารักของพวกคุณ

     

    . . . . .

     

     

    หลังจากที่ผมเสนอความคิดเห็นออกไป ฮุนนี่ก็เดินไปนั่งไขว้ห้างหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อินจังเดินไปตากถุงเท้ากับคอมเพลสเซอร์แอร์ที่ระเบียง ส่วนไอ้คุณพ่อขาร็อคก็ยังนอนตายเป็นศพหมาขึ้นอืดอยู่เหมือนเดิม

    คงอยากเล่นกันมากจริงๆ

    ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง สำหรับความร่วมมือที่มอบให้กันเสมอมา

     ถุย -__-

     

     

    เฮ้ยหนุกนะเว้ย! มาเล่นกันเถอะๆผมตบฟูกเตียงดังปุเพื่อเรียกร้องความสนใจ ก่อนจะดึงให้ปาร์คชานยอลลุกขึ้นมานั่งดีๆ อีกฝ่ายยอมตื่นแต่ก็ปัดมือผมออก ทำหน้าแง่งอน จนผมต้องเอาไหล่แซะไหล่เป็นการง้อพอเป็นพิธี ปาร์คชานยอลเกาท้ายทอยเหมือนเขิน แต่ปากยังคงบ่นขมุบขมิบ

     

     

    น่ารักตาย กูอยากจะบ้า!

     

     

    พอคนพ่อยอมลุกขึ้นมานั่งดีๆแล้ว ฮุนนี่ที่หวงพ่อยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ในกางเกงก็รีบกระโจนขึ้นมานั่งบนเตียง คั่นผมกับไอ้ชานยอลไว้ทันที

     

     

    ผมกวักมือเรียกจงอินที่กำลังยกเท้าขึ้นเป่าแอร์ให้มาร่วมวง ซึ่งน้องดำก็ให้ความร่วมมือเช่นกันครับ คงเพราะเท้าแห้งเป็นที่น่าพอใจแล้ว

     

     

    ถึงไอ้คุณพ่อขาร็อคและลูกลิงทั้งสองจะชักสีหน้าไม่อยากเล่นแค่ไหน แต่ก็สู้ลูกตื้อของผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมลงทุนชักแม่น้ำหมดทุกสายในประเทศเกาหลีมาหว่านล้อมซะขนาดนี้ ซึ่งลูกอินจังคงรำคาญเลยเป็นคนแรกที่ตอบตกลง พอเห็นลูกชายที่ปกติหัวแข็งเหลือเกินยอมเล่น ไอ้ชานยอลก็เออออตามไปด้วย แล้วฮุนนี่จะเหลือหรอ เสร็จผมกันหมดล่ะงานนี้

     

     

    เรื่องหน้าตาดีมีไอคิวต้องยกให้บยอนลูกแม่ฮุยเลยจริงๆ แบบว่าต้องยอมเขาเลยอ่ะครับ

     

     

    ทำหน้าอย่างนั้นคิดว่าหล่อหรอคะอิแบคกี้?” น้องฮุนจีบปากจีบคอถาม สงสัยนางจะหมั่นไส้ท่าสะบัดศีรษะและปาดเจลเสยหน้าผากของผมเป็นแน่แท้

     

     

    ณ จุดๆนี้ คงต้องบอกน้องฮุนไปตามตรงว่า...

     

     

    ถึงแบคกี้จะไม่หล่อเท่าณเดชน์ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าหน้าคล้าย

     

    -____-

     

    =_____________=

     

     

    จะเล่นอะไรก็รีบเล่นเหอะ ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวแล้วอ้วกใส่หน้าใครบางคนแถวนี้”  จงอินพูดสรุปประเด็น แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมจงอินต้องอยากอ้วกใส่ฮุนนี่ด้วย ฮุนนี่ทำอะไรผิดหรอ? (มึงนั่นแหละอิลูกแม่ฮุย)

     

     

    พอตกลงปลงใจแล้วว่าจะเล่น เราสี่คนก็พากันย้ายถิ่นฐานไปประจำการบนพื้นห้องแทน เพราะเกมนี้ต้องมีการหมุนขวด ถ้าหมุนบนเตียงก็คงไม่ถนัดเท่าไหร่นัก ขวดที่ใช้ก็เป็นขวดไวน์ที่ไอ้ชานยอลมันเปิดกินไปจนหมดนั่นแหละครับ

     

     

    ส่วนลำดับการนั่งล้อมวงของเราก็เป็นดังนี้ครับ ด้านซ้ายมือของผมเป็นไอ้ชานยอล ขวาเป็นอินจัง ตรงข้ามเป็นฮุนนี่

     

     

     

     

    แล้วไอ้เกมปลาทูดักแด้นี่มันเล่นไงวะ?” จงอินถามออกมาหน้าตาย  เล่นเอาฮุนนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆตวัดสายตาไปจิกจ้อง

     

     

    โธ่อิโง่ เขาเรียก true or dare หรอกย่ะ เนี่ยก็หมุนขวดกลางวง เนี่ยๆๆ แล้วถ้าปากขวดชี้ไปที่ใคร คนนั้นก็จะต้องตอบคำถามที่คนฝั่งตรงข้ามถามมา 1 ข้อ แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ต้องทำอย่างอื่นแทน ซึ่งคนฝั่งตรงข้ามจะเป็นคนสั่ง เก็ทมั้ยคะอิโง่

     

     

    อินจังหรี่ตามาพร้อมไฝว้ แต่เพื่อไม่ให้เกิดสงครามทำลายฤกษ์ ผมจึงรีบเปิดเกมโดยการหมุนขวดเป็นคนแรก

     

     

    ขวดไวน์สีดำเหวี่ยงตัว 360 องศา หมุนทวนเข็มนาฬิกาติ้วๆ...แล้วก็...

     

     

    บิงโก!!

     

     

    จงอินเป็นคนตอบ ชานยอลเป็นคนถาม

     

     

    ผมภาวนาในใจ ...ขอให้พวกมึงเคลียร์เรื่องที่ทะเลาะกันคืนนั้นซักทีเถิ๊ดดด สาธุ!

     

     

    ไอ้ชานยอลจ้องลูกชายด้วยสายตาท้าทาย True or dare?”

     

     

    สายตาที่จงอินจ้องตอบกวนตีนแพ้กัน “True

     

     

    นั่น...เอาแล้วไงมึง

     

     

    ลูกกระเดือกไอ้ชานยอลขยับช้าๆ ก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอ่ยถาม “แกใช่มั้ยที่ขโมยเงินในลิ้นชัก

     

     

    วินาทีนั้นผมหันไปทางฮุนนี่  รู้อยู่หรอกว่าตัวการที่แท้จริงก็คือไอ้ตุ๊ดแสบที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนี่แหละ รายนั้นหน้าซีดเผือด หลบสายตาผมเป็นพัลวัน

     

     

    ผมรู้ว่าฮุนนี่เป็นคนขโมยเงินตั้งแต่ตอนที่โทรไปขอความช่วยเหลือเรื่องอินจัง  อีกฝ่ายโพล่งมาเองว่าเป็นคนไปรื้อลิ้นชักของไอ้ชานยอล แต่ก็เอาเถอะ เรื่องนี้ผมจะทำเป็นเงียบไว้ก่อนแล้วกัน

     

     

    ไอ้เด็กดำมีแววขุ่นเคืองในดวงตา เสียงที่ตอบแข็งกร้าว เปล่า

     

     

    โอ๊ยตาย ใจเย็นกันหน่อยได้มั้ยเนี่ยพ่อคุณทั้งหลาย

     

     

    โกหก! ถ้าแกไม่ได้เอาไปแล้วเงินมันหายไปไหน? เดินออกไปช้อปปิ้งที่สยามพารากอนหรือไง?”

     

     

    มันถามได้แค่ข้อเดียวไม่ใช่หรอ หมดโควต้าของคุณแล้วจงอินตอบกลับเรียบๆ บรรยากาศมาคุทำให้ผมกับฮุนนี่นั่งตัวแข็งทื่อ

     

     

    คิดถูกมั้ยวะเนี่ยชวนพวกมันเล่นเกมนี้เนี่ยยย

     

     

    ไอ้จงอินมองหน้าคนเป็นพ่ออย่างท้าทาย ก่อนจะหมุนขวดอีกครั้ง  ในใจผมภาวนาให้ปากขวดไปตกที่ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้พ่อลูกเลือดร้อน

     

     

    ผมยอมให้ฮุนนี่ถามว่าขี้แตกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เลยก็ได้เอ้า!

     

     

    แต่...แต่...

     

     

    โอ๊ย!! ชานยอลกับจงอินอีกแล้ว

     

     

    แต่คราวนี้ชานยอลต้องเป็นคนตอบ ส่วนอินจังเป็นคนถาม

     

     

    ไอ้หูกางชักสีหน้า ส่วนน้องดำยิ้มเป็นต่อ

     

     

    True or dare?

     

     

    หึ... True”

     

     

    ก็ดี

     

     

    ถามมาสิ

     

     

    ผมลุ้นแล้วก็กดดันเหลือเกินกับสายตาของจงอิน  แวบหนึ่งผมเห็นความเจ็บปวด

     

     

    คุณรักพวกเราหรือเปล่า ผมหมายถึงพวกเราที่ไม่ใช่ลูกของคุณจริงๆ

     

     

    ให้ตายสิ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เอาซะเลย ใครก็ได้เอาแบคฮยอน คูกิมิยะ ออกไปจากวงปลาทูกดักแด้นี่ที TOT

     

     

    ผมไม่ไว้ใจในคำตอบของชานยอล ถึงผมจะเคยบอกจงอินไปว่าชานยอลก็คงรักลูกเหมือนที่พ่อแม่คนอื่นรัก แต่พอมาตอนนี้ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ กับสิ่งที่คนเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างชานยอลจะตอบ

     

     

    ชานยอลเหมือนจะอึ้งไปซักพัก ก่อนจะยักไหล่ทำตัวสบายๆ ฉันเคยผูกเชือกรองเท้าให้แกตอนงานกีฬาสี จำไม่ได้รึไง?”

     

     

    นั่นมันหกปีมาแล้ว แล้วผมก็ไม่ได้ถามเพื่อให้คุณมาทวงบุญคุณด้วยจงอินสวนกลับด้วยความรวดเร็ว นัยตาดำเพ่งตรงไม่วูบไหว

     

     

    โอ๊ะโน๊โนโน อย่างนี้ไม่ดี โอ๊ะโน๊โนโน อย่างนี้สงสัยไม่ดี TOT

     

     

    ฮุนนี่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทันทีที่ได้ยินอินจังสวนมาแบบนั้น ฮุนนี่คงคิดว่าการที่ชานยอลตอบมาว่าเคยผูกเชือกรองเท้าให้ แปลว่ารัก แต่พอจงอินเอาเรื่องเวลามาเป็นเงื่อนไข ฮุนนี่ก็เลยไม่แน่ใจแล้วก็กลัวขึ้นมา

     

     

    สีหน้าไปไม่เป็นแล้วก็เม้มริมฝีปากแบบนั้น ทำให้ผมรู้เลยว่าฮุนนี่ต้องการความรักมากกว่าใคร

     

     

    เด็กคนนี้กลัวพ่อไม่รัก

     

     

    ไอ้ร็อคเกอร์จอมขี้เก็กถอนหายใจยาวเหยียด  เฮ้อออ พวกแกนี่มันยังไงเนี่ย คิดว่าฉันไม่รักหรอ?”

     

     

     

    คุณก็ตอบมาซักทีสิจงอินน้ำเสียงหงุดหงิดเหมือนใกล้หมดความอดทน ยิ่งทำให้ณเดชน์แบคเกร็งเข้าไปใหญ่ น้ำตาจะไหล หัวใจจะหยุดเต้น(อิเว่อร์)

     

     

    ชานยอลใช้มือเสยผมที่หน้าผาก แล้วก็เงียบไป ...โอ๊ยยย ไอ้บ้านี่เล่นตัวชะมัด ป๋าแบคจะทนไม่ไหวแล้วนะว้อยยย!!

     

     

     

    ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆจากจงอิน เสียงขบฟันด้วยความกังวลของเซฮุน แล้วก็เสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นของตัวเอง

     

     

     

     

    ไอ้ชานยอลอ้าปากจะพูดแล้ว...

    อ๊ากกกก กูตื่นเต้น!!

     

    ได้โปรดพูดว่าคำว่า รัก เพื่อความสงบสุขของมวลมนุษยชาติด้วยเถิดปาร์คชานยอล!!!

     

     

    คุณพ่อขาร็คอถอนหายใจยาวเหยียด  สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดมาตลอดระยะเวลาเป็นสิบๆปี

     

     

    จะวันนี้หรือวันข้างหน้า ฉันก็ยังเต็มใจผูกเชือกรองเท้าให้แกเหมือนเดิมนั่นแหละ จะคิดมากทำไม ถ้าไม่รักก็เอาไปปล่อยวัดแล้วสิ

     

     

    พวกเราเงียบกันไปซักพัก ก่อนที่ฮุนนี่จะฉีกยิ้มตาหยีจนเหมือนอาแปะตัวน้อยๆ แขนขาวโผเข้ากอดคุณพ่อที่นั่งอยู่ข้างกัน 

     

     

    ผูกเชือกรองเท้าให้อินจัง แล้วก็อย่าลืมผูกโบว์ให้ฮุนนี่ด้วยนะคะคุณพ่อขา  รักคุณพ่อขาที่สุดในโลกเลยย

     

     

    ผมหัวเราะออกมาเบาๆให้กับความขี้ประจบของฮุนนี่ ก่อนที่จะเผลอสบตากับชานยอลที่หันมาพอดี

     

     

    แปลกที่ผมรู้สึกขัดเขินจนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา แต่ก็พอจะรู้ตัวอยู่หรอกว่าชานยอลเองก็เบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขินหรือรำคาญสายตาของผมกันแน่

     

     

    จงอินยังมีท่าทีสงบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำสารภาพนั้น เป็นเรื่องจริงที่ว่าความรักไม่สามารถบอกกันด้วยคำพูด แต่พิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ ผมก็ได้แต่หวังว่าซักวันหนึ่งจงอินจะรับรู้ได้ว่าพ่อรักและห่วงเขามากแค่ไหน

     

     

    เกมเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนพวกเราจะเข็ดกับ True ก็เลยเลือกที่จะ Dare กันซะเป็นส่วนมาก ฮุนนี่สั่งให้ผมกินเหล้าไปสองแก้ว ผมสั่งให้ฮุนนี่ลองทำตัวแมน ซึ่งแม่งดูจะขืนใจแสนสาหัสเลยว่ะ ฮ่าๆๆๆ  ที่เด็ดสุดคือชานยอลสั่งให้จงอินเต้นแน่นอกถ่ายโซเชียลแคมคู่กับฮุนนี่

     

     

    ผมหัวเราะจนขำกลิ้งตอนที่ฮุนนี่กดแชร์แล้วมีคนมากดไลค์ภายในสองวินาทีดับอนาถเลยอ่ะตำนานอินจังแห่งแก๊งหมีควายคำราม โธ่ๆๆ

     

     

    เป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะสุดเสียงหลังจากย้ายออกมาจากบ้านอาป๊ากับหม่าม๊า ผมได้เห็นด้านน่ารักๆของชานยอล ได้เห็นความขี้อ้อนขี้ประจบคุณพ่อของฮุนนี่  แล้วก็ได้เห็นจงอินที่ถอดแบบออกมาจากพ่อของตัวเองเป๊ะ

     

     

    ผมคิดเรื่องนี้มาได้ซักพักหนึ่งแล้ว ผมได้ข้อมูลจากการสังเกตพฤติกรรมของคนในครอบครัวนี้อ่ะนะ

     

     

    ทุกอย่างของบ้านมีศูนย์กลางอยู่ที่ปาร์คชานยอล สิ่งที่ฮุนนี่เป็นและสิ่งที่อิงจังเป็น ล้วนมีต้นตอมาจากคนเป็นพ่อทั้งสิ้น แต่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่การรับรู้และเรียนรู้ของเด็กทั้งสองคน

     

     

    นี่ผมวิเคราะห์แบบจิตวิทยานะ ก็แค่คร่าวๆเฉยๆ

     

     

    เพราะว่าเด็กทั้งสองคนไม่มีแม่ ชานยอลก็เลยมีอิทธิพลมากกว่าปกติ แล้วก็คงปกครองบ้านด้วยอำนาจในแบบผู้ชาย พูดจาเสียงดังและบางครั้งก็ใช้กำลังแก้ปัญหา

     

     

    จงอินแสดงออกว่าไม่ชอบการกระทำของพ่อตัวเอง แต่เขากลับเลียนแบบชานยอลมาหมดทุกอย่าง เพราะลึกๆแล้วเขาเห็นว่าการใช้อำนาจของชานยอลสามารถแก้ปัญหาได้ ฉะนั้นจิตใต้สำนึกของจงอินจึงอยากเป็นแบบชานยอล

     

     

    ส่วนฮุนนี่ที่ดูจะรักพ่อของตัวเองและขี้ประจบมากกว่าจงอิน จริงๆแล้วต่อต้านการกระทำของพ่อตัวเองแบบสุดๆ เพราะว่าเขาไม่ชอบการใช้อำนาจและกำลังในแบบผู้ชาย ฮุนนี่ก็เลยมีพฤติกรรมไปคนละขั้วกับชานยอล นั่นก็คือเลียนพฤติกรรมแบบผู้หญิง หรือบางทีพฤติกรรมนี้อาจจะเกิดจากการที่ฮุนนี่พยายามเป็นเหมือนแม่เพื่อเรียกร้องความรักจากพ่อก็ได้ (หรือเป็นเพราะฮอร์โมนก็ไม่รู้อ่ะนะ -_-)

     

     

    ดังนั้นถ้าจะแก้ปัญหาทั้งหมด ก็ต้องเริ่มจากชานยอล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดพฤติกรรมของเด็กทั้งสองคน

     

     

    ถ้าหัวใจของชานยอลได้เติมเต็มในส่วนที่เคยขาดหาย บ้านนี้ก็จะเป็นบ้านขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

    เอิ่ม...นี่ผมโลกสวยเกินไปมั้ยเนี่ย -___-

     

     

    ความเป็นจริงมันอาจจะโหดร้ายกว่านั้นก็ได้ใครจะไปรู้....

     

     

     

    มาๆๆ รอบสุดท้ายแล้วนะผมเรียกทุกคนให้ประจำที่ ตอนนี้ก็ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ผมก็เริ่มกรึ่มๆจากฤทธิ์เหล้า ฉะนั้นควรจะปิดเกมซักที

     

     

    ผมอ้าปากหาวไปด้วยระหว่างรอขวดหยุดหมุน ก่อนจะปิดปากแทบไม่ทัน เมื่อเห็นว่าปากขวดชี้มาทางตัวเอง

     

     

    ไรวะ ป๋าแบคคนหล่ออีกแล้วหรอเนี่ย

     

     

    จงอินแลบลิ้นเยาะเย้ย จริงๆแล้วไอ้เด็กดำมันเด็กน้อยชิบหายเลยครับ เวลาไม่บ้าดีเดือดแม่งก็เด็กขี้แกล้งดีๆนี่เอง

     

     

    แหน่ะ ทำมาเป็นเล่นหูเล่นตา เดี๋ยวพ่อจับฟาด

     

     

    คนอย่างป๋าแบคใจอยู่แล้ว ถามมาเลยฮุนนี่ผมบอกไปอย่างไม่เกรงกลัว แต่ก็ดูเหมือนน้องฮุนจะไม่มีอะไรสงสัยในตัวผมซักเท่าไหร่

     

     

    อีกฝ่ายเคาะนิ้วกับริมฝีปาก กลอกตาคิดซักพัก  อืมมม...ถามว่าไรดีนะ

     

     

    มึงทำท่าคิดได้แบ๊วไปอ่ะ รีบๆถามเลยง่วง -_-

     

     

    อ่า ฮุนนี่ขอถามว่า  แบคกี้ช่วยตัวเองครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่

     

     

    พรืดดดดดดด!!

     

     

    ไอ้ชานยอลถึงกับน้ำลายพุ่งเพราะความแก่แดดของลูกสาว(?) มันจ้องมาทางผมอย่างกดดันเป็นนัยๆว่า ถ้าตอบเอ็งตาย!’

     

     

    บ้า...เด็กมันก็โตๆกันแล้วผมแกล้งพูด แต่ที่จริงแล้วก็โคตรอายชิบหาย ถามเหี้ยไรเนี่ยอิน้องฮุน!

     

     

    จงอินแก้มขึ้นริ้วเป็นสีแดง โอ๊ยยย อย่าแย่งกูเขิน กูเขินเองได้!!

     

     

    เร็วดิ รีบตอบมาเลย

     

     

    ผมกระพริบตาถี่ๆ รู้สึกหน้าร้อนหูร้อนไปหมด ไอ้เรื่องแบบนี้มันก็เคยนั้นแหละ บ่อยด้วย แต่ก็แบบ...

     

     

    อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!! เขิน!

     

     

    ส..สิบห้า

     

     

    โม้

     

     

    ฮ่วย เสือกรู้ทันอีก!

     

     

    เออ สิบสามเว้ย พอใจยัง!

     

     

    ฮ่าๆๆๆๆฮุนนี่หัวเราะอย่างสะใจที่แกล้งผมสำเร็จ  ส่วนจงอินก็กระแดะทำเป็นไม่ประสีประสา ส่วนไอ้ชานยอลก็ทำท่านับนิ้ว สงสัยจะเปรียบเทียบว่าครั้งแรกของผมกับมันใครเร็วกว่ากันมั้ง

     

     

    พอเกมจบเด็กสองคนก็ขึ้นไปตีหมอนไฝว้กันต่อบนเตียง ทิ้งให้ผมนั่งเฝ้าขวดเปล่าอยู่บนพื้นกับไอ้ชานยอลสองต่อสอง

     

     

    จู่ๆตำแหน่งการนั่งของผมกับไอ้ชานยอลก็แคบลงอย่างเนียนๆ  รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ปลายนิ้วก้อยเราเฉียดกับบนพื้นเย็นเฉียบ ผมรีบชักมือกลับ รู้สึกว่าบริเวณที่สัมผัสกันมันร้อนผ่าว

     

     

    ไอ้ชานยอลที่ชอบนักกับการเล่นกับความรู้สึก เหล่ตามาทางผม ก่อนที่จะจูบนิ้วก้อยของตัวเองเบาๆ ผมจิ๊ปากพลางทำหน้าขยะแขยง ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนเตียงที่ตอนนี้สองแฝดกำลังเล่นสงครามตีหมอนกันอยู่

     

     

    แล้วก็...

     

     

    ป๊าบ!!

     

     

    เฮ้ยกูเกี่ยวไรเนี่ยวะ =[]=!

     

     

    ผมลูบหัวตัวเองที่โดนหมอนข้างฟาดมาอย่างแรง  ไฟแค้นลุกโชนเลยครับทีนี้

     

     

    อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก พวกแกตาย!!

    ฮ่าๆๆ

    โอ๊ย!!

     

     

    ผมตีจงอินด้วยหมอนอย่างแรงจนมันวืดหงายท้องลงไปนอนแผ่บนเตียง คราวนี้ผมกับฮุนนี่ก็เล่นร่วมมือกันรุมสะกำมันอย่างเฮฮาปาจิงโกะ กว่าน้องดำจะลุกขึ้นมาแก้แค้นได้ก็โดนไปหลายดอกครับ

     

     

    ไอ้ชานยอลที่ตอนแรกนั่งดูเฉยๆสุดท้ายก็ถูกลากเข้ามาร่วมวงด้วยในที่สุด แต่ไอ้บ้านี่เป็นพวกอ่อนหัดทางการเล่นตีหมอนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ มันตีไม่ถูกใครเลย พลาดตลอด เหวอตลอด โดนรุมตลอด แล้วเวลามันโดนรุมทีไรก็เป็นอันต้องแหกปากร้องเสียงหลงจนพวกผมขำกันท้องแข็งอ่ะครับ

     

     

    พวกเราฟาดหน้าฟาดหัวกันอย่างเมามันจนสปริงเตียงลั่นเอี๊ยดๆ เดาได้เลยว่าชั้นห้องข้างล่างคงคิดว่าเราเป็นคู่แต่งงานที่เซ็กซ์จัดที่สุดในสามโลก

     

     

    ฟาดกันจนขนเป็ดหลุดออกมาจากหมอน ฝุ่นงี้เข้าหน้าเข้าปากจนสำลักกันไปคนละทีสองที ไอ้จงอินล็อคคอผมจากทางด้านหลังตอนผมไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะเรียกให้ไอ้ชานยอลกับฮุนนี่ช่วยกันรุมจั๊กจี้ผม ฮ่าๆๆ โอ๊ย พอๆๆ จี้ชิบหายจะขาดใจตายแล้วเนี่ย ฮ่าๆๆๆ!

     

     

    กว่าจะดิ้นหลุดมาได้เล่นเอาน่วมครับ ผมยังหัวเราะค้างอยู่ น้ำหูน้ำตาไหลจนแสบไปหมด

     

     

    ไอ้ชานยอลเริ่มมีสกิลในการตีหมอนที่ดีขึ้น มันวิ่งไล่ตีฮุนนี่อย่างบ้าคลั่ง ฮุนนี่ก็เลยชวนผมเข้าแก๊งค์เดียวกันเพื่อจะได้ต่อกรกับคุณพ่อขาร็อค ส่วนไอ้อินจังทำตัวเป็นวนิพกพเนจรครับ แม่งอยากจะตีใครก็ตี แถมชอบไปซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด  โผล่มาทีนี่เล่นเอาตกใจ

     

     

    พวกเราเปิดศึกกันชุดใหญ่ ล่อซะเสียงดังลั่นห้อง เดาได้ว่าอีกไม่นานเจ้าหน้าที่โรงแรมคงมาเคาะห้องพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ

     

     

    จนเวลาล่วงเลยมาจนเกือบเช้ามืด ทุกคนก็เริ่มหมดแรง ลงไปนอนหอบบนเตียงกันเป็นแถวๆ สภาพโคตรน่าสมเพชเวทนา

     

     

    ผมปล่อยให้พวกตระกูลปาร์คพักเหนื่อยก่อนจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ออกมาอีกทีฮุนนี่กับอินจังก็หลับกันไปหมดแล้ว

     

     

    สภาพหมอนเละเทะเกินกว่าจะเอามาหนุนนอนต่อ ไอ้ชานยอลก็เลยเสียสละตักของตัวเองให้ลูกชายทั้งสองคน จงอินจองหน้าขาข้างขวา ฮุนนี่จองข้างซ้าย แต่ดูเหมือนว่าเด็กทั้งสองคนจะไม่รู้ตัว เพราะถูกคุณพ่อดึงมานอนตักอย่างเนียนๆ

     

    ผมมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม จงอินเขยิบเข้าไปใกล้แฝดคนน้อง ทั้งคู่นอนขดเหมือนเด็กเล็ก แล้วใบหน้าก็แทบจะชิดกันอยู่แล้ว

     

     

    ผมเดินไปนั่งบนฟูกเตียงใกล้ๆกับเจ้าสาวหูกางขาโก่ง ด้วยความเมตตาที่เป็นอุดมการสากลซึ่งผมมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผมก็เลยใจดีถามออกไปว่า

     

     

    เมื่อยมั้ย?”

     

     

    อีกฝ่ายส่ายหน้าแทนคำตอบ

     

     

    เชอะ ไอ้ขี้เก็ก เดี๋ยวปั๊ดปล่อยให้ขาเป็นตะคริวแม่ง

     

     

    แต่ก็ช่างเถอะ ไหนๆป๋าแบคก็หล่อซะขนาดนี้แล้ว จะยอมช่วยแบ่งเบาภาระให้ก็ได้

     

     

    ว่าแล้วผมก็นั่งลงข้างๆไอ้ชานยอล ก่อนจะค่อยๆยกศีรษะของฮุนนี่ให้ย้ายมานอนที่ตักของตัวเองแทน

     

     

    ฮุนนี่ทำหน้าเหมือนรำคาญเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปหลับพริ้มเป็นเด็กทารกน่ารักน่าชังเหมือนเดิม

     

     

    หนักใช่เล่นนะเนี่ยผมบ่น หัวไอ้น้องฮุนนี่ใครเอาเหล็กไปฝังไว้วะ

     

     

    หึ เอาคืนมาเถอะน่า มึงไปนอนดีๆไป

     

     

    ผมทำลอยหน้าลอยตา “เรื่องอะไร ตอนนี้เซฮุนก็เป็นลูกกูเหมือนกัน  อย่ามายึดเป็นของตัวเองคนเดียวสิ

     

     

    หึ...

     

     

    หึไรนัก อยากโดนต่อยรึไง!

     

     

    หึ

     

     

    เอ๊ะไอ้นี่!

     

     

    จะหัวเสียทำไมนักหนา กูแค่อยากจะขอบใจ

     

     

    “...”

     

     

    ขอบใจนะ

     

     

    ผมหยุดนิ่งไปกับคำพูดนั้น ...ผมอยากหันไปมองหน้าคนพูด อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้ชานยอลกำลังทำสีหน้ายังไง ที่พูดออกมานี่จากใจจริงหรือก็แค่เจ้าชู้หมาหยอกไก่ไปเรื่อยก็เท่านั้น?

     

     

    ถึงเราจะไม่ชอบขี้หน้ากันซักเท่าไหร่ แต่กูก็ต้องขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มึงทำในวันนี้  แล้วก็ขอโทษที่เป็นเจ้าบ่าวที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่

     

     

    จ...เจ้าบ่าวมันกูต่างหากเล่า!” ผมแหวกลับไปทั้งที่ยังไม่กล้าหันไปมองหน้ามันตรงๆ ไอ้ชานยอลหัวเราะในลำคอเสียงหึหึอย่างที่มันชอบทำ ก่อนที่พวกเราจะปล่อยให้ความเงียบครอบงำบรรยากาศอย่างเชื่องช้า

     

     

    ภายใต้ความเงียบนั้น เสียงหัวใจผมดังชัด

     

     

    True or dare?

     

     

    ผมหันไปมองไอ้ชานยอลที่จู่ๆก็เกริ่มประโยคเกมขึ้นมา  อีกฝ่ายยักคิ้วกวนตีน

     

     

    ถามตามประสาเพื่อนเก่าน่ะ กูก็แค่อยากรู้ว่าช่วงที่จากกันไปมึงเป็นยังไงบ้าง

     

     

    ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจในจุดประสงค์ของมัน แต่ก็ไม่อยากเริ่มก่อน  มึงพูดก่อนสิ

     

     

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

     

     

    ผมหลุดหัวเราะให้กับการเริ่มเล่าเรื่องของไอ้ปาร์คชานยอลที่เริ่มประโยคเหมือนการเล่านิทาน ก่อนจะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ด้วยการนั่งฟังเงียบๆ

     

     

    มันก็เป็นอย่างที่เห็น แต่ว่ากูพยายามทำดีที่สุดแล้วนะ

     

     

    กูเข้าใจผมครางรับ ไอ้ชานยอลเงียบไปซักพักก่อนจะพูดต่อ

     

     

    กูรอให้แม่ของเด็กกลับมาอยู่

     

     

    “...”

     

     

    “....”

     

     

    “...หรอ

     

     

    อือ

     

     

    หวังว่าทุกอย่างจะเป็นแบบที่มึงคิดนะ เพื่อนเก่าอย่างกูเอาใจช่วย

     

     

    อ่าฮะ คราวนี้ก็เล่าเรื่องของมึงบ้างดิ

     

     

    กูหรอ?...อือก็ดี สบายดี

     

     

    แบคฮยอน คือไอ้เรื่องหนึ่งเดือน

     

     

    ไม่ต้องย้ำหรอกน่า หนึ่งเดือนเมื่อไหร่กูจะย้ายออกไปทันที

     

     

    คือกู...

     

     

    กูง่วงแล้ว นอนนะ ราตรีสวัสดิ์

     

     

    ผมรีบตัดบทก่อนที่ความรู้สึกปวดหนึบในใจจะรุกลามไปมากกว่านี้ ได้ยินเสียงชานยอลถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงให้ผมเอนศีรษะซบไปที่ไหล่กว้าง

     

     

    ขอบคุณผมพูดเสียงแผ่วเป็นครั้งสุดท้ายทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา แต่ถึงกระนั้นผมก็พอจะเดาได้ว่า ภาพของพวกเราสี่คนในตอนนี้ เป็นภาพครอบครัวที่น่ารักมากจริงๆ

     

     

    ผมอยากจะขอบคุณปาร์คชานยอลสำหรับคำสารภาพที่ตรงไปตรงมา ดีเสียอีกที่เขาพูดออกมาว่ากำลังรอผู้หญิงคนนั้นอยู่

     

     

    ขอบคุณที่เตือนให้ผมสำนึกและรู้ตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าการกระทำทั้งหมดของเขาจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อพันธะสัญญาของเราจบลง

     

     

    อยู่ดีๆผมคิดถึงตอนที่เรายังเป็นเด็กขึ้นมาอีกครั้ง คิดถึงตอนที่เราแอบเข้าไปขโมยฟันปลอมอาม่า คิดถึงตอนที่เราเดินไปโรงเรียนด้วยกัน คิดถึงทุกเรื่องที่เราทำก่อนที่ครอบครัวของชานยอลจะย้ายออกไป

     

     

     

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

     

     

     

    กูเคยชอบมึงมากเลยนะปาร์คชานยอล

     

     

     

     

    ให้ทายว่านิทานเรื่องมันจบยังไง?

     

     

    แต่ก็ช่างเถอะ จะเริ่มหรือจะจบยังไงมันก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะที่ผ่านๆมามันก็แค่อดีต ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันแล้ว ไม่รู้สึกแล้ว ไม่รู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

     

     

    60%

    #คพขร

    วันนี้ซีโคตรเป็นตัวปัญหา 5555555555555

    TTแงงง ขอโทษนะคะ

    จะพยายามให้ดีกว่านี้ถ้าคราวหน้าไปงานฟิคอีก

    รักะ

     




     

    “เชพบ๊ะ บ๊ะบ๊ะบ๊ะ! คุณชอบไหมคะ ไหมคะผู้ชาย ชอบหญิงตรงไหน  ไหนไหนไหนไหนไหน ไหนลองเผยใจบอกหน่อยเถิดหนา~

               

     

    เสียงทุ้มห้าวที่ถูกบีบให้แหลมเล็กบาดแก้วหูของน้องฮุนดังลั่นรถสปอร์ตส่วนตัวของไอ้ชานยอล ผมนั่งอุดหู อินจังนั่งหลับ(เป็นมนุษย์หนึ่งเดียวที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับใดใดในโลกนี้เลย แม่งหลับแล้วหลับเลย หลับเหมือนคนตาย -_-) ส่วนคนที่ดูจะมีเอ็ฟเฟ็คกับเสียงร้องของฮุนนี่มากที่สุด ก็หนีไม่พ้นไอ้ชานยอลที่ทำหน้าที่เป็นสารถี เดาได้เลยว่าเสียงของลูกสาวคงทำลายสมาธิการขับรถของคุณพ่อเป็นอย่างมาก

     

     

                “เซฮุน หุบปาก! ให้สองร้อยเลยหุบซักที!

               

     

    เชพบ๊ะ~ เอวยี่สิบหก อกยี่สิบห้า หน้าผากโหนกนูน บวกลบหารคูณคุณคงรู้ดี~

     

                อิน้องฮุน  อิเด็กกวนตีน เพราะนอกจากนางจะไม่หยุดร้องแล้ว นางยังมีการเพิ่มวอร์ลุ่มด้วยจ้า เอากับเขาสิ

     

                ชานยอลที่กำลังจะประสาทแดกในไม่ช้า ถึงกับเพิ่มข้อเสนอเป็นสองพัน แต่น้องฮุนนางยืนยันว่า...

     

                “ถ้าแด็ดดี้ไม่เรียกหนูว่าฮุนนี่ หนูไม่หยุดนะคะบอกเลย อิอิ เอะอะก็โป๊ เอะอะ เอะอะก็โป๊ ของมีไว้โชว์ จะเก็บไว้ทำไมค๊าา~

     

                “เซฮุน!

     

                ตั๋วน้องเป็นสาวรุ่นราวเอ๊าะๆ หุ่นฮ่างก็เหม๊าะบ่าวมาเก๊าะมาต๋อม~

     

                “โอเซฮุน!

     

                “ตอนนี้ฉันยังไม่มองใคร อ๋อหรอออ โสดยังงี้กำลังสบาย หรออ ไม่รู้จะมีแฟนทำไม ไว้เจอกันใหม่ตอนชาติหน้า”

     

     

                เอี๊ยดดด!!

     

     

                หัวกบาลผมพุ่งไปข้างหน้าจนกระแทกกับคอนโซลรถ เมื่อไอ้ชานยอลมันเสือกเหยียบเบรกกะทันหัน ส่วนฮุนนี่ที่เป็นตัวการ ถึงกับมาสคาร่าแยงเข้าไปในลูกตา ขนตาปลอมเลื่อนมาติดที่ปลายจมูก  เอิ่ม ฮุนนี่ครับ ใครสั่งใครสอนให้แต่งหน้าในรถ

     

     

     

                “โอเคยอมแล้ว ฮุนนี่สุดสวย ในโลกนี้ไม่มีใครบิวตี้ฟูลเกินหนูอีกแล้ว ถ้าจะมีใครสวยกว่าหนู ก็คงเป็นหนูในอนาคต พอใจมั้ยคะ? พอใจแล้วหยุดร้อง พ่อขอครับรถครับ!” ไอ้ชานยอลหันไปพูดกับลูกสาวที่เกือบหวิดตาบอดไปแล้วเส้นยาแดงผ่าศูนย์จุดแปดแปด น้องฮุนทำมือโอเคก่อนจะยอมสงบปากสงบคำไปในที่สุด เพราะถ้าไม่ยอมเงียบ สงสัยคุณพ่อเบรกรถครั้งหน้ามีหวังได้รับประทานลิปสติกเป็นอาหารเช้า

     

     

                ผมแอบขำให้กับครอบครัวโคตรเพี้ยน ตอนแรกที่เข้ามาเหยียบที่นี่ใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่อะครับ รู้สึกเหมือนประสาทจะกิน แต่พออยู่ไปซักัพกก็เริ่มรู้สึกชิน เอ๊ะ มันก็เฮฮาดีนี่นา ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ของแบบนี้ต้องลองครับ ชมพู่ใช้โน้ตสี่

     

     

     

                ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็เดินทางถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ น้องฮุนหน้าเละหน่อยๆ คุณพ่อหูดับนิดๆ ส่วนจงอินก็ใช้ความสามารถพิเศษที่มีติดตัวมาตั้งแต่ชาติที่แล้วหลับตาเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไปอย่างไม่สะเทินฟ้าสะท้านบก

     

     

                งานหนักก็เลยตกมาที่ผมกับไอ้ชานยอลที่ต้องช่วยกันแบกสัมภาระท้ายรถเข้าบ้าน ก็เป็นของขวัญแต่งงานเมื่อคืนนั่นแหละครับ ไอ้ที่อยากได้ก็แบกมา ส่วนไอ้ที่ไม่อยากได้ก็แกล้งทำเป็นลืมทิ้งไว้ที่โรงแรมไปอย่างแนบเนียน ส่วนมากที่เก็บกลับมาก็จะเป็นน้ำพริกอ่อง ข้าวต้มมัด แหนมป้าย่น ส่วนพวกไอพอด ไอแพดอะไรเถือกนั้น ก็วางทิ้งๆไว้ พอดีทางบ้านไม่เคร่งเรื่องมูลค่าเพราะเห็นว่าการรับประทานสำคัญกว่า

     

     

                “กลับพรุ่งนี้เช้านะ” ไอ้ร็อคเกอร์หูกางพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังเดินเข้าครัวเพื่อไปเซอร์เวย์อาหารเช้าที่คุณป้าแม่บ้านกำลังทำอยู่

     

     

                ผมหยุดเดินก่อนจะหันไปมองหน้ามัน “ไปไหนอ่ะ”

     

     

                “ทำงาน” ชานยอลตอบเรียบๆ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป และผมเดาได้เลยว่านี่คงเป็นครั้งสุดในท้ายของวันนี้ที่ผมจะได้เห็นใบหน้าคู่สมรสของตัวเอง

     

     

                “น่าสงสารจังเลยนะคะ เพิ่งแต่งงานวันแรกสามีก็หนีไปหากิ๊กซะละ” แม่บ้านวัยชราแต่แต่งหน้าจัดเหมือนเด็กเชียร์เบียร์ หันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ มือก็จัดการวางกับข้าวลงบนโต๊ะอาหารไปด้วย

     

     

                ผมเดินไปคดข้าว ก่อนจะนั่งประจำที่เพื่อสวาปามมื้อเช้า “มันไปทำงานต่างหากป้า วงมันยังดังอยู่ก็ต้องรีบกอบโกย วันไหนไม่มีชื่อเสียงแล้วไปอ้อนวอนขอเขาขึ้นเวที เขาก็ไม่ให้ขึ้น”

     

     

                นี่ผมไม่ได้พูดปลอบใจตัวเองหรือว่าแก้ต่างให้ชานยอลนะ ก็แค่แบบว่า หล่อ จิตใจดี มีสไตล์

     

     

                คุณป้าแม่บ้านหันซ้ายหันขวาทำหน้ามีพิรุธ ก่อนจะเอานิ้วชี้ขึ้นมานาบริมฝีปากทำเสียงจุ๊ๆ  “รู้แล้วอย่าเอ็ดไปนะคะ”

     

     

                “จะเม้าธ์อะไรเจ้านายอีกล่ะครับป้า”

     

     

                “เปล่านะคะ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ...”

     

     

                แล้วป้าจะเปล่าทำไมครับป้า กูล่ะเอือมป้าเหลือเกิน แต่ถ้าถามว่ากูฟังป้าเม้าธ์มั้ย... กูฟัง

     

     

                “คือเมื่อคืนป้าดูฟิฟตี้ไนน์เอ็นเตอร์เทรนมาค่ะ เห็นเขาบอกว่าห้องเสื้อชื่อดังของอเมริกาจะมาจัดแฟชั่นโชว์ที่เกาหลี!

     

     

                “คือ...คือ...คือ...คือแล้วมันน่าตกใจตรงไหนของป้าวะ ข่าวช่องบีบีซีที่ทำสกู้ปหมาได้รับใบปริญญาที่อังกฤษยังน่าตื่นเต้นกว่าเลยอะ บ่องโตงงง”

     

     

     

                “จะไม่น่าตกใจได้ยังไงล่ะค่ะ ก็คุณคิมมีฮี แฟนเก่าของคุณชานยอลก็เป็นหนึ่งในนางแบบของห้องเสื้อนี้ แถมนี่ก็เป็นการกลับเกาหลีครั้งแรกหลังจากที่เลิกรากันไปด้วยนะคะ!

     

     

                ว้าว! รู้ลึกรู้จริงต้องอิป้า!

     

     

                ผมมองเต้าหู้ในซุปสาหร่ายอย่างเซ็งๆ “นี่ป้าต้มนานไปนะ เต้าหู้ยุ่ยเชียว”

     

     

                “นี่คุณไม่ตกใจเลยหรอคะ?!

     

     

                “ผัดถั่วงอกก็ใส่น้ำมันเยอะไป”

     

     

                “แฟนเก่าของสามีคุณจะกลับมาพรุ่งนี้แล้วนะคะ!

     

     

                “แต่ไก่ทอดซอสถั่วเหลืองอร่อยดี ผมชอบ”

     

     

                “แถมนางยังเป็นแม่ของเด็กๆอีกนะคะคุณ!

     

     

                โอ๊ยยย อิป้า! กูอุตส่าห์เลี่ยงประเด็น!

     

     

                ผมกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะ พยายามสงบสติอารมณ์ แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็เต็มไปด้วยอารมณ์ล้วนๆ “จะกลับมาหรือกลับไปยังไงก็ช่างเขาเหอะป้า ผมมาอยู่บ้านหลังนี้แค่เดือนเดียวเดี๋ยวผมก็ไปแล้ว”

     

     

                แม่บ้านแต่งหน้าหนาเตอะยกมือขึ้นทาบอก “อุต๊ะ แล้วคุณไม่ห่วงเด็กๆบ้างหรอคะ”

     

     

                ผมนิ่งไป... จริงๆแล้วผมแม่งโคตรห่วง ห่วงจงอินจะไปต่อยตีกับคนอื่น แล้วก็ห่วงว่าเซฮุนจะเติบโตแบบผิดลู่ผิดทางไปเรื่อยๆ แต่เรื่องที่ชานยอลบอกว่าจะรอผู้หญิงคนนั้นกับข่าวการกลับมาของเธอ ก็ทำให้ผมต้องเตือนตัวเองอีกครั้ง

     

     

                ใช่แล้ว ผมมาที่นี่เพื่อแต่งงานชั่วคราว ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาตัวเองไปผูกพันกับใคร

     

     

                ป้าแม่บ้านจ้องตาผมปริบๆเหมือนจะรอฟังคำตอบ แกคงหวังว่าผมจะพูดประโยคเด็ดๆออกมาซักประโยค เหมือนนางเอกซีรี่ส์เกาหลีผู้มีอุดมการณ์แน่วแน่ที่จะทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน

     

     

                แต่ให้ตาย ผมไม่ใช่คิมแตฮีซักหน่อย

     

     

                “จะห่วงทำไมอ่ะป้า พวกมันไม่ใช่ลูกผมนิ”

     

     

                “คุณพระ...” ป้าแม่บ้านทำท่าตกใจ ก่อนจะเดินเซๆเอาหัวไปโขกกำแพงแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น

     

     

    “นอกจากคุณจะอ้วนแล้ว คุณก็ยังชั่วอีกด้วยนะคะ”

     

     

    “อ้าวป้า”

     

     

    “ป้ามองคนผิดไปจริงๆ ตอนแรกที่คุณเข้ามา ป้าคิดว่าคุณจะเป็นเลว แต่ตอนนี้ป้ารู้แล้วว่าคุณไม่ใช่คนเลว แต่คุณเป็นคนไม่ดี!

     

     

    “ส่วนป้าก็สติไม่ดีนะผมว่า”

     

     

    “คุณอย่ามาทำตลกนะคะ!

     

     

    เอ้อออ เอาเถอะ เอาที่ป้าสบายใจ

     

     

    หลังจากที่ผมไม่ต่อปากต่อคำ ป้าแกก็คงขี้เกียจจะต่อว่าอะไรอีก ก็เลยไปทำความสะอาดครัวต่อ ปล่อยให้ผมนั่งกินข้าวเงียบๆไปคนเดียว

               

     

    พอพ้นสายตาแม่บ้าน ผมก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เฮ้ออออ มันยากนะที่จะต้องพูดอะไรฝืนใจตัวเองไปแบบนั้น

     

     

                ผมใช้ช้อนคนซุปสาหร่ายเล่นอย่างเหม่อลอย ไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงดี อยากช่วยครอบครัวของไอ้ชานยอลก็อยาก แต่อีกใจก็ไม่อยากเจ็บ ยิ่งอีกฝ่ายเล่นพูดออกมาว่ารอถ่านไฟเก่ารีเทิร์น ผมก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าตัวเองยังมีประโยชน์อีกไหม ขืนลงทุนเอาใจไปผูกมากกว่านี้ มีหวังได้น้ำตาเช็ดหัวเข่า เฮ้ออ คนหล่อเพลีย

     

     

    แบคฮยอนกินข้าวต่อไปด้วยจิตใจที่สับสน โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งได้ยินทุกคำพูดของเขา

     

     

                จงอินมองใบหน้าของสมาชิกครอบครัวคนใหม่นิ่งนาน แล้วสัญญาลูกผู้ชายที่แบคฮยอนเคยให้ไว้ก็ลอยเข้ามาในหัว สัญญาจอมปลอมที่ถูกสร้างมันขึ้นมาเพื่อหวังจะซื้อใจเขา แต่โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่โง่พอจะแลกมันกับคำพูดราคาถูกพรรคนั้น

     

     

    ความคิดที่เขาถือมั่นยังคงเป็นจริงเสมอ ทุกคนที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องการผลประโยชน์กลับไป ไม่มีใครจริงใจ ไม่มีเลยซักคน

     

     

     

    . . . . .

     

     

     

                “ฮุนนี่จะไปไหน”

     

     

    ผมถามลูกสาวคนเล็กที่แต่งตัวสวยลงมาจากชั้นสอง ในขณะที่ผมกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น เลื้อยไปเลื้อยมาอยู่บนโซฟา ซึ่งตอนนี้แม่งกลายเป็นห้องนอนของผมไปละ

               

     

    “แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของแบคกี้หรอคะ”

     

     

    -_-

     

     

    “บ้ายบายค่า” ฮุนนี่ฉีกยิ้มร้ายก่อนจะเดินหน้าตายออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ผมนั่งเซ็งอยู่ที่เดิม ถึงการละเล่นเมื่อคืนจะทำให้พวกเรารู้จักกันมากขึ้น แต่การซึมซับเข้าไปในหัวใจของลูกๆบ้านนี้ก็ยากเกินกว่าจะคาดคิดจินตนาการ

               

     

    ผมเลิกกังวลก่อนจะเอนหลังลงไปอีกครั้ง แต่เรื่องบางอย่างที่แวบเข้ามาในหัวก็ทำให้ผมรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง

     

     

                ไอ้โด้มันไปเอาเงินมาจากไหนตั้งสี่ล้าน??

                ว่าแล้วก็โทรไปถามมันเลยดีกว่า เงินไม่ใช่น้อยๆเลยน่ะนั่น

     

     

                รอสายไม่ถึงยี่สิบวินาที ปลายทางก็กดรับ

     

     

                “เพื่อนหล่อเรียกเพื่อนเหลือก”

     

     

                เพื่อนเหลือกอยู่ในสายครับ มีเหี้ยไรครับ
     

     

                “เพื่อนเหลือกไปเอาเงินมาจากไหนตั้งสี่ล้านครับ”

     

     

                ยืมเจ้านายมาครับ

     

     

                “เจ้านายหรือผัวครับ เงินตั้งเยอะให้ยืมง่ายๆเลยหรอครับ”

     

     

                ไม่ใช่เจ้านายกูคนเดียวครับ เจ้านายมึงด้วยครับ กูบอกเจ้านายว่ามึงท้องครับ ไม่มีเงินทำคลอดครับ ขอยืมตังค์หน่อยครับ

     

     

                “เฮ้ย!แล้วแม่งก็ให้ยืมอ่ะนะ เขาไม่รู้หรอวะว่ากูเป็นผู้ชายอ่ะ”

     

     

                รู้ครับ ทีแรกเค้าก็ไม่เชื่อครับ กูเลยเอารูปเพื่อนตอนนี้ให้เขาดู เขาก็เชื่อทันทีเลยครับ เขายังถามอีกด้วยครับว่านี่ท้องเก้าเดือนหรือเลยกำหนดมาเป็นสิบแปดเดือน นั่นพุงหรือลูกแฝดสี่ครับ

     

     

                “ขอบคุณมากนะครับ”

     

     

                ไม่เป็นไรครับ

     

     

                “ไอ้เหี้ย! แล้วมึงจะครับอีกนานมั้ยครับ!

     

     

                ไม่ต้องเสือกครับ แล้วนี่เมื่อไหร่จะเข้าออฟฟิศครับ รีบๆมาทำงานได้แล้วครับ เสร็จเรื่องแต่งงานแล้วไม่ใช่หรอครับ

     

     

                ผมอ้าปากหาวพร้อมบิดขี้เกียจ พอพูดถึงเรื่องทำงานแล้วรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันตาเห็น “พรุ่งนี้แล้วกัน วันนี้ขี้เกียจ”

     

     

                เออๆรีบหน่อย คนขาดชิบหาย นี่กูก็งานล้นมือสัด เหนื่อยไม่ไหวละ

     

     

                “อ้าวไม่พูดครับแล้วหรอ”

     

     

                “เรื่องกู๊”

     

     

                “เออเรื่องมึ๊งงง บอกเจ้านายด้วยว่าจะรีบหาเงินไปใช้” ผมจบบทสนทนาก่อนกดตัดสาย พอหน้าจอกลายเป็นปุ่มโฮมผมก็กดเลือกแอพเครื่องคิดเลข พิมพ์จำนวน 4,000,000 ลงไป...เงินเยอะอยู่เหมือนกันนะเนี่ย เอาไงดีวะ จะไปหาจากไหน

     

     

                แล้วผมก็คิดหาวิธีจนเผลอหลับไปในบ่ายวันนั้น

     

     

     

                รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่เสียงจากโทรทัศน์ถูกเร่งวอลุ่มจนเกือบเต็มพิกัด

     

     

                “อ้าวฮุนนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงง่วงงุน ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วเขยิบแบ่งพื้นที่บนโซฟาให้กับแฝดคนน้อง ฮุนนี่ดูเงียบผิดปกติ อาจจะเป็นเพราะชอปปิ้งจนเหนื่อยมั้ง

     

     

                “เพิ่งกลับ”

     

     

                ผมพยักหน้ารับคำ ก่อนจะถามต่อ  “หิวมั้ย?”

     

     

                คราวนี้ฮุนนี่ไม่ตอบ คงคิดว่าไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรที่ผมจะต้องรู้ล่ะมั้ง แล้วเราก็นั่งเงียบกันไปอย่างนั้นบนโซฟาสีเขียวสด

     

     

    ผมรู้สึกอึดอัด ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าผมจะรู้สึกแบบนี้เวลาอยู่กับคนอายุน้อยกว่าไปทำไม มันต้องเป็นฝ่ายเด็กไม่ใช่หรอที่เกร็งเวลาอยู่กับผู้ใหญ่?

     

     

    เฮ้อ ผมปรับตัวไม่ทันเลยจริงๆ บ้านนี้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวครื้นเครงเดี๋ยวอึมครึม บรรยากาศตอนนี้มันเปลี่ยนไปจากเมื่อคืนจนผมไม่รู้เลยว่าควรทำสีหน้าแบบไหน แถมมันยังมีอีกเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกหน่วงๆพิกล

               

     

    ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัว กลัวว่าลางสังหรณ์บางอย่างจะเป็นจริง

     

     

                แล้วมันก็เป็นจริง...ทันทีที่ฮุนนี่เปล่งเสียงออกมา

               

     

    “ฮุนนี่ไปหามัมมี่มา”

     

     

                ผมหันไปทางคนพูดทันที แฝดคนน้องไม่ได้มีท่าทีฝืดเกร็งอย่างที่ผมกำลังเป็นอยู่ ฮุนนี่โยนรีโมทขึ้นไปบนอากาศแล้วก็รับมัน ทำซ้ำๆอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ

     

     

                “มัมมี่เขาอยากกลับมาอ่ะแบคกี้”

     

     

                “....”

     

     

                “ถ้ามัมมี่กลับมาจริงๆ แบคกี้จะยอมมั้ย”

     

     

                ผมเงียบไป ไม่รู้ว่าเพราะอึ้ง เพราะจุกหรือว่าเพราะอะไรกันแน่ แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะหัวเราะ เพราะต่อให้เขาจะกลับมาหรือว่าไม่กลับ ที่ตรงนี้มันก็ไม่ใช่ที่ของผมอยู่ดี

     

     

                ไม่เคยมีซักตารางวาเดียวในบ้านหลังนี้ที่เป็นของผม แม่งน่าตลกจะตายไป

     

     

                “หัวเราะทำไมคะ หน้าฮุนนี่มีพี่หม่ำติดอยู่หรอ” ฮุนนี่จีบปากจีบคอพูด หน้าตาบ่งบอกมากว่าคงหมั่นไส้ผมที่สุดในจักรวาล

     

     

                “ก็เปล๊า ถ้าเขาอยากกลับมาก็ให้เขากลับมาสิ”

     

     

                ฮุนนี่พยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะเอนตัวลงมานอนหนุนตักของผม ดวงตาใสแจ๋วช้อนขึ้นมอง แต่แล้วผมก็หลบสายตาไป

     

     

                “น่าผิดหวังจัง ฮุนนี่นึกว่าคุณจะชอบพวกเรามากกว่านี้ซะอีก”

     

     

                “หมายความว่าไง?”

     

     

                ฮุนนี่ไม่ยอมตอบคำถามของผม แต่กลับขยับตัวให้นอนได้ถนัดยิ่งขึ้น ก่อนจะหลับตาลง แล้วเสียงหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอก็ทำให้ผมรู้ว่าฮุนนี่หลับไปแล้ว

     

     

                ผมยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีอ่อนเบาๆ อันที่จริงผมชอบฮุนนี่มาก ฮุนนี่เป็นเด็กดีเด็กน่ารัก มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็มากกว่าหนึ่งเดือน หรืออย่างมากก็ตลอดไป ทว่าสิ่งที่ผมคิดไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง

     

     

                เด็กแฝดรักแม่ของพวกเขา ชานยอลเองก็รักแม่ของเด็กๆ

     

     

    หึ นี่ผมกำลังอยู่ในสภาวะจิตใจอ่อนแอ เพียงเพราะรู้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะกลับมาอย่างนั้นน่ะหรอ? นี่ผมเป็นบ้าไปแล้วใช่มั้ย??

               

     

    ผมระงับสติด้วยการกดรีโมตทีวีเพื่อเปลี่ยนช่อง ก่อนจะเจอรีรันรายการ

     

     

    รูมเมทที่ชานยอลเคยไปออกเมื่อนานมาแล้ว แต่ผมดูได้ไม่นานก็มีอันต้องกดเปลี่ยนช่อง เพราะการแสดงออกของชานยอลเหมือนจะเป็นสคริปต์ไปซะทั้งหมด แทบไม่มีคำพูดใดที่เป็นตัวตนของเขาจริงๆอย่างที่ผมเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย

     

     

    เด็กหูกางร่างอ้วนข้างบ้านผมไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่คนทั้งประเทศรู้จัก แต่ก็ไม่แน่ว่าบางทีมันอาจสลับกัน คนทั้งประเทศอาจรู้จักเขาดี ในขณะที่ผมไม่รู้อะไรเลย เพราะระยะเวลากว่าสิบปี มันนานพอที่จะเปลี่ยนแปลงคนๆหนึ่ง

     

     

    ดีออกกก!! แล้วจะมาปรัชญาชีวิตอะไรกันตอนนี้ ขนลุกชิบหายวัวควายตายล้ม ทราบแล้วเปลี่ยน เปลี่ยนเลย! เลิกดราม่าเดี๋ยวนี้ 3 4! ว่าแล้วผมก็สะบัดหัวไล่เรื่องเศร้าเหงาซึ้งทิ้งไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง พยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าอิน้องฮุนจะตื่นขึ้นมาอาละวาด ก็ไม่รู้ว่ากูจะกลัวเด็กทำไม แต่พอดีเป็นคนดีไง เข้าใจตรงกันนะ

     

     

    ผมกดเข้าฟังก์ชั่นสมุดบันทึก ก่อนจะเริ่มร่างแผนการสำหรับของครัวตัวป่วน ไหนๆก็เหลือเวลาอยู่ด้วยกันอีกไม่มาก ฉะนั้นจะดราม่าไปไย สู้เอาเวลามาทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติดีกว่า เริ่มจากส่งไอ้อินจังผู้ติดหนี้สี่ล้านไปสอนพิเศษน้องไอ้โด้ก่อนเลย ไอ้นี่ถึงจะดูนักเลงหัวไม้แต่การเรียนนางอลังการงานเด่นเป็นระเบียบนะจ๊ะ นี่ไม่ได้เสือกเลยจริง แค่แอบไปดูใบเกรดของนางมา ถัดไปก็เป็นคิวของแฝดคนน้อง อินี่แรดจนน่าพาไปขุดลอกคลองสาธารณะ แต่ด้วยความรักความปรารถนาดี เดี๋ยวคุณพี่จะสอนความแมนอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้นะครับนะ

     

     

    สุดท้ายก็ปาร์คชานยอล จริงๆผมน่าเอาอีโต้มาฟันหัวมันแล้วจบเรื่องคุณพ่อขาร็อคแม่งซะตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป แต่เอาเถอะ ผมไม่อยากให้ตอนพิเศษของเรื่องคือการเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตในคุก จะให้มาสาธิตวิธีเอาตัวรอดยังไงไม่ให้โดนนักโทษตุ๋ยน่ะหรอ? ขอผ่านดีกว่า แล้วนี่จะพล่ามอะไรมากมาย ขอเข้าเรื่องอีกครั้ง สรุปคือผมจะพยายามญาติดีกับมันให้ถึงที่สุด แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบที่ตกลงกันไว้ นั่นคือหนึ่งเดือนนี้มันควรจะมีแค่ผม แล้วหลังจากนั้นมึงจะเอาคุณคิมมีฮีเข้ามาก็เรื่องของมึง แล้วผู้หญิงคนนี้นี่กลัวคนไม่รู้หรอว่าเป็นผู้หญิง ก็จะต้องชื่อคิมมีฮี โอเครู้แล้วว่ามีฮีเนอะ เคๆไอเก็ทซึมนิดา

     

     

    ส่วนแพลนชีวิตของผมก็คือ พรุ่งนี้เริ่มไปทำงาน พยายามหาเงินคืนเจ้านาย และใช้ชีวิตให้สุขสบายจนวัวตายควายพิการ(?) ผมจะไม่ดราม่า อ่ะนะจะพยายาม

     

     

    ผมจะจำไว้ว่าหนึ่งเดือนเท่านั้นแล้วมันก็จะจบ และไม่ว่าผมจะสับสนในตัวเองว่าจะทำทุกอย่างไปทำไม แต่ผมก็จะทำ อย่างน้อยก็เพื่อเพื่อนข้างบ้านในวัยเด็ก เพื่อความสวยงามของอุดมการณ์ครอบครัว เพื่อตัวเอง! เพื่อโลก! เพื่อประเทศชาติ! เพื่อจักรวาลอันกว้างใหญ่!!! โอ้โหโคตรยอดมนุษย์เลยว่ะครับ แบคฮยอนแม่งเจ๋งเหี้ยๆ!!!

     

     

    เหยดแม่งเอ๊ย กูนี่มันโคตรเจ๋ง!!!

     

     

    “มึงเป็นเหี้ยอะไรอีแบคกี้!! ดุ๊กดิ๊กอยู่ได้ฮุนนี่นอนไม่ถนัดเลย!!” เด็กน้อยบนหน้าตักผุดลุกขึ้นมาเบะปากใส่ก่อนจะเดินสะบัดตูดขึ้นไปบนชั้นสอง ทิ้งให้ผมนั่งเล่นอยู่คนเดียวเหมือนเดิม

     

     

    ผมโบกมือบ้ายบายน้องฮุน โดยไม่ลืมส่งจูบไล่หลัง เอาเถอะใครจะว่าเพี้ยนก็ช่าง แต่ผมมีความสุขได้แบบ DIY คือบิ๊วตัวเองให้แฮปปี้ได้ โดยไม่ต้องพึ่งสารเสพติด

     

     

    ผมสุข

     

     

    ผมแฮปปี้

     

     

    ผมดี๊ด๊า

     

     

     

    เฮ้ย!!! แป๊บนะขอกลับคำพูดสองวิฯ ผมเริ่มไม่สุขสันต์หรรษาละ คืออยู่ดีๆไอ้ชานยอลแม่งก็เดินเข้าบ้านมาพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง ผมก้มลงมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้หัวค่ำแล้ว ซึ่งเป็นเวลากลับบ้านปกติของไอ้ชานยอลมัน แต่ที่ไม่ปกติคือมึงจะพาผู้หญิงเข้ามาทำไม เขาเป็นใคร เขายังไง แล้ว แล้ว...แล้วเธอมีเขาฉันก็ต้องไปมั้ยยังไง?

     

     

    “มีฮี นี่แบคฮยอน คนที่ผมเล่าให้ฟัง”

     

     

    ผมกระพริบตาปริบๆตอนที่ถูกไอ้ชานยอลแนะนำอย่างนั้น สรุปผู้หญิงคนนี้ก็คือคิมมีฮีในตำนานนั่นเอง เบ้าหน้านางดีสมดีกรีแม่ลูกแฝด ส่วนสูงนี่ไม่ต้องยืนเทียบผมก็รู้เลยว่าตัวเองเป็นรองเห็นๆ ก็นะนางเป็นนางแบบระดับอินเตอร์เนชั่นแนล อีกนิ้วเดียวจะสูงเท่าไอ้ชานยอลมันอยู่แล้ว ผิวสีแทนกระเดียดไปทางแฝดคนพี่ ส่วนหน้าตานี่กระเดียดไปทางแฝดคนน้อง อธิบายง่ายๆก็คือ เทียบชั้นนางแบบวิตอเรียซีเดอะไลท์อ่ะครับ (ซีเคร็ทมั้ยยังไง ซีเดอะไลท์นั่นคือบ้านเบสมึง)

     

     

    แล้วประเด็นคือประโยคหลังที่ไอ้ชานยอลมันแพล่มออกมา คนที่ผมเล่าให้ฟังคือมึงช่วยสาธยายนิดนึงดิ๊ คือกูเหมือนเป็นคนนอกมาก ณ เวลานี้ คือมึงไปเล่าอะไรกันตอนไหน ไปเล่ายังไง เล่าว่ากูคือเมียน้อยมึง หรือเล่าว่ากูคือแมลงสาบที่โผล่มาตอนท่อน้ำอุดตัน คือเล่ากันยังไงก็ช่วยบอกกูด้วย กูจะได้ปฏิบัติตัวถูกว่าควรจะเป็นตัวอะไรในชีวิตมึงดี เดี๋ยวเผื่อเข้าใจไม่ตรงกันแล้วจะยุ่งยากขึ้นมาอีก ซึ่งความผิดทุกประการมึงก็ต้องโยนมาทางกูอีกอ่ะ ถูกมะ? แบคฮยอนแม่งผิดทุกประตูในชีวิตคิมมีฮีและฮีอีสอะปาร์คชานยอล

     

     

    “แบคฮยอน นี่มีฮี คนที่กูเคยเล่าให้ฟัง” นั่น ประโยคคล้ายๆกันแค่สลับตำแหน่งการวางประธานและกรรมในประโยค ผมนิ่งไป พยายามนึกว่ามันเคยเล่าอะไรให้ฟังตอนไหน ส่วนมากโปรไฟล์ของคิมมีฮีผมจะรู้มาจากปากป้าแม่บ้าน(ผู้ไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวเจ้านาย)ซะเป็นส่วนใหญ่

     

     

    อ๋อออ....จำได้ละ ไอ้ชานยอลมันเคยพูดถึงอยู่ครั้งนึง มันบอกว่ามันรอผู้หญิงคนนี้อยู่

     

     

    โอเค! โอเคเลย! กู-โอ-เค!!

     

     

    “สวัสดีครับ” ผมยิ้มหวานให้คิมมีฮีตามมารยาทที่สะสมมาตั้งฝ่าตีนถึงคอหอย มีฮียิ้มสวยก่อนจะยื่นมือมาเช็คแฮนด์กับผมเบาๆ อื้อหือ เอามือไปแช่ในคอมฟอร์ทสูตรน้ำเดียวมารึเปล่าวะครับ โคตรนุ่ม

     

     

    แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่มือจะนุ่มหรือไม่นุ่ม ประเด็นมันอยู่ที่ชานยอลพาแฟนเก่ามาที่บ้านทำไม ให้มาเจอกับแฟน(ปลอมๆ)คนปัจจุบันอย่างผมน่ะหรอ หรือว่าจะเอายังไงก็ช่วยบอกมาที

     

     

    “เห็นเซฮุนบอกว่าวันนี้ไปเจอคุณมีฮีมา” ผมชวนคุยเมื่อสองผัวเมียไม่ยอมพูดอะไร มีฮีพยักหน้าก่อนจะตอบ

     

     

    “ใช่ค่ะ ฮุนนี่ไปดูมีฮีซ้อมเดินแฟชั่นวีคน่ะค่ะ” จ้าแม่โปรไฟล์ดี แม่นางแบบเบอร์หนึ่งของช้างทางเผือก

     

     

    “อ่า งั้นเดี๋ยวผมไปตามเซฮุนให้นะครับ คงดีใจน่าดูถ้ารู้ว่าคุณมา” ผมพยายามหาทางหนีทีไล่ แหมใครมันจะไปอยากแทรกกลางระหว่างสามีภรรยาตัวจริงเสียงจริงกันละครับ กลิ่นหมาหัวเน่านี่หึ่งมาเลย ...กำลังจะเดินไปขึ้นบันไดอยู่แล้วเชียว แต่ไอ้ชานยอลเสือกจับแขนผมเอาไว้ซะก่อน

     

     

    “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ ที่กูพามีฮีมาก็เพราะเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

     

     

    “???”

     

     

    “เราสามคน”

     

     

     

    “ผมกับแบคฮยอนเรามีสัญญากันแค่หนึ่งเดือน” ปาร์คชานยอลเปิดประเด็นทันที เมื่อเราสามคนนั่งหันหน้าคุยกันบนโซฟาสีเขียวสด ผมนั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กที่แยกออกมา ส่วนสองสามีภรรยานั่งโอบกันอยู่บนโซฟาหลัก (ซึ่งแม่งคือที่นอนของผม) มีฮีพยักหน้าเข้าใจในคำพูดนั้น ก่อนจะแทรกขึ้นมา

     

     

    “แล้วหลังจากนั้นละคะ”

     

     

    “เราก็จะหย่ากัน” ไอ้ชานยอลตอบรวดเร็ว ผมนี่หน้าชาเหมือนโดนน้ำแข็งจากเทือกเขาเอเวอร์เรสสาดใส่หน้า โปะน้ำแข็งแล้วมึงราดน้ำแดงนมข้นเลยนะ เอาให้กูตายหยังเขียดกันไปเลย

     

     

    “แล้วผมก็จะแต่งงานกับคุณ”

     

     

    อื้อหือมึง เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา ให้สมอุราให้สาแก่ใจ

     

     

    “แต่มีฮีรอไม่ได้หรอกค่ะตั้งเดือนนึง มีฮีคิดถึงลูก”

     

     

    เอ้าอินี่ มึงทิ้งเขาไปเป็นปีๆ ทีงี้จะมาทำเป็นรอไม่ได้

     

     

    “อีกแค่เดือนเดียวเอง” ปาร์คชานยอลมองหญิงสาวตาเยิ้ม สรุปนี่พวกมึงมาคุยกันสองคนใช่ปะ เฮ้ย ฮัลโหล กูอยู่ตรงนี้นะ

     

     

    “งั้นอีกสองอาทิตย์ข้างหน้ามีฮีขอพาลูกไปเที่ยวที่ลอนดอนได้มั้ย มีฮีต้องกลับไปช่วยแฟชั่นวีคที่นั่นพอดี จะได้ถือโอกาสพาสองแฝดไปทำความสนิทสนมก่อนที่มีฮีจะแต่งงานกับคุณไง”

     

     

    ผมนี่อยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ซะจริงๆ นี่ชมจริงนะไม่ได้ประชดประชัน เอาลูกไปอยู่ด้วยเพื่อเป็นตัวประกัน พอครบเดือนก็กลับมาแต่งงานกับคนพ่อพอดี

     

     

    ผมนี่อึ้งไปเลยครับ

     

     

    “เอางั้นก็ได้ ผมตามใจคุณทุกอย่างอยู่แล้ว”

     

     

    “แล้วแบคฮยอนละคะว่ายังไง”

     

     

    อ้าวถึงบทผมแล้วหรอ “ก็..ก็ตามนั้นครับ ยังไงก็ได้”

     

     

    ก็ได้กับผีอะไรล่ะ

     

     

    “ยังไงผมก็ขอไว้แล้วว่าต้องเป็นหนึ่งเดือน จะได้ไม่ดูน่าเกลียด แต่รับรองว่าระหว่างเราจะไม่มีการยืดเยื้อไปมากกว่านี้แน่นอน” ว่าแล้วผมก็เลื่อนสายตาไปทางไอ้ร็อคเกอร์ขาโก่ง

     

     

    “อ่อ กูขออีกอย่าง ตอนเลิกกันกูต้องเป็นคนพูดก่อน คนนอกจะต้องคิดว่ากูเป็นคนทิ้งมึง โอเคมั้ย?”

     

     

    ไอ้ชานยอลขมวดคิ้ว อ้าปากทำท่าเหมือนจะเถียง แต่แน่นอนว่าผมไม่เปิดโอกาสให้มันง่ายๆหรอก

     

     

    “ไม่งั้นกูไม่เซ็นใบหย่า”

     

     

    พอผมขู่อย่างนั้นมันก็เงียบไป ให้มันได้อย่างนี้สิ กลัวมาก กลัวกูไม่ยอมหย่ามาก ต๊าย นี่คิดว่าอยากอยู่ด้วยมากเลยดิ โด่

     

     

    จากนั้นมันก็คุยเรื่องนั่นนู่นนี่กับมีฮีไปอีกซักพัก ส่วนมากก็เป็นเรื่องการแต่งงานระหว่างเราสองคน ไอ้ชานยอลพูดเรื่องของเราให้มีฮัฟังจนเกือบทุกอย่าง นั่นทำให้ผมเข้าใจแล้วว่ามันพาผู้หญิงของมันมาเจอผมทำไม ก็เพราะว่ามันแคร์เขามาก รักเขามาก ห่วงความรู้สึกเขามาก อยากให้เขารู้มากว่าเราแต่งงานกันเพราะเรื่องเฮงซวยที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรัก อยากให้เขาสบายใจ โดยไม่สนเลยว่าผมที่กำลังโดนมันสาวไส้จะรู้สึกยังไงบ้าง บางเรื่องมันควรมีแต่เราที่รู้ มันควรเป็นความทรงจำของเราแค่สองคน แต่สุดท้ายมันก็เล่าให้เขาฟัง

     

     

     

     ผมนั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีฮีขอตัวกลับ ชานยอลไปส่งเธอที่หน้าบ้านก่อนจะกลับเข้ามานั่งลงบนโซฟาตัวเดิม

     

     

    “ขอโทษ” อยู่ดีๆมันก็พูดขึ้น

     

     

    “ขอโทษ?” ผมทวนคำพูดมันด้วยโทนเสียงสูงเป็นเชิงคำถาม ขอโทษ? ขอโทษทำไม? รู้ตัวด้วยหรอว่าทำผิด?

     

     

    แล้วเราก็สบตากันท่ามกลางความเงียบงัน ชานยอลถอนหายใจยาวเหยียดราวกับจะรีดมวลอากาศทุกหยาดหยดออกจากช่องปอด ดวงตาของมันจริงใจ เป็นนัยว่ารู้สึกอย่างที่พูดทุกประการ

     

     

    ใช่... มันผิด มันเองก็รู้ตัวว่ามันได้ทำการฉีกน้ำใจผมไปจนไม่เหลือชิ้นดี เพื่อที่จะรักษาหัวใจกับความสัมพันธ์ของมันกับผู้หญิงที่มันรัก

     

     

    แต่แม่งต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรอวะ เอาเขาเข้าบ้านทั้งที่ไม่ได้บอกกันก่อน มาบังคับผมเป็นกลายๆให้บอกเขาว่าเราไม่ได้รักกัน แถมยังเล่าเรื่องคำสาปเพี้ยนๆของอาม่าให้เขาฟังด้วย ไม่รู้รึไงว่าเขาแอบหัวเราะสมเพชน่ะ

     

     

    “กูขอโทษ” ไอ้ชานยอลย้ำน้ำคำอีกครั้ง แต่ผมมองมันตาขวาง

     

     

    “ถ้าขอโทษแล้วมันหาย คุกแม่งมีไว้ขังหมาหรอวะ”

     

     

    ไอ้บรรทัดบนนั่นผมพูดในใจครับ สิ่งที่พูดออกไปจริงๆแม่งคือประโยคนี้ต่างหาก

     

     

    “อือ กูเข้าใจ”

               

     

    (เข้าใจโพ่ง)

     

     

     

     

     

    100%

    #คพขร

    รักเหมือนเดิม

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×