ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Daddy Rock Legs สะดุดรักคุณพ่อขาร็อค {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #9 : ϟ chapter 7 : 100%

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 57


     

    DADDYROCKLEGS

     

    [CHAPTER7]

     

     

     

    ความรักจะตามหาเจ้าของที่แท้จริงของมันจนเจอเสมอ

     

    . . . . .

     

                แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างผ้าม่านเข้ามาแยงตาทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผมตื่นตัว เช้านี้มาถึงอย่างเบลอๆมึนๆ รู้ตัวอีกทีผมก็สำนึกได้ว่าตัวเองนอนแผ่สองสลึงอยู่บนเตียงของปาร์คชานยอลแล้ว

     

     

                เจ้าของเตียงนอนขดเป็นกิ้งกืออยู่ไม่ห่างกัน ท่าทางเหมือนเด็กน้อยขี้หนาวทำให้ผมรู้สึกสมเพชเวทนาจนต้องใช้นิ้วตรีนคีบผ้าห่มตรงปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ ไอ้ชานยอลที่ยังไม่ได้สติพอได้รับไออุ่นก็ถึงกับครางอึมครึม ขยับหัวดุ๊กดิ๊กอย่างมีความสุข

     

     

                ฟินเลยสิมึง ที่ทำให้นี่เพราะถือว่าตอบแทนน้ำใจที่เมื่อคืนอุตส่าห์ชวนมานอนห้องนะเนี่ย แต่นอนด้วยกันเฉยๆนะครับ ไม่ได้เกิดการได้เสียเป็นเมียผัวกันแต่ประการใด แหงสิมันรักเมียมันจะตาย ผมนี่เป็นขี้ไปเลย

     

     

                “เฮ้ย!” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อจู่ๆเจ้าชายนิทราที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ก็สลัดตัวออกจากผ้าห่ม กลิ้งหลุนๆเข้ามากอดเอวผมหมับ ใบหน้าหล่อเหลา(น้อยกว่าผม)ซุกเข้ามาที่ซอกคอ ลมหายใจร้อนผะผ่าวนั่นเล่นเอาผมขนลุกซู่

     

     

                “ชานยอล” ผมเรียกเบาๆ ก็ไม่รู้จะหรี่เสียงทำไม เอาเป็นว่าที่เรียกนี่ไม่ได้ตั้งใจจะปลุกครับ แค่เช็คดูเฉยๆว่าหลับจริงหรือแกล้งเล่น ถ้าหลับจริงจะได้ขอแอบมองหน้าแม่งนิดนึง นี่น่ะหรือคือรักแรกของป๋าแบคลูกแม่ฮุย โตมามึงร็อคขนาดนี้ไปได้ยังไงฟร่ะ ตอนนั้นมึงยังใสๆหูหางขาโก่งแบกกระติกน้ำไปโรงเรียนกับกูอยู่เลยนะ แก้มงี้แดงเป็นน้ำมะเขือศเทศดอยหมง ตากลมนมเล็ก โอ๊ยยย เอาง่ายๆคือน่ารักชิบหายอ่ะ นี่ก็เป็นผู้ชายใจง่ายไง เห็นใครน่ารักหน่อยก็ชอบเขาไปหมด

     

     

                เฮ้ยๆๆแล้วนั่นกอดเฉยๆไม่ได้รึไง ก็จะต้องไซร้ต้องลูบอะไรเนี่ยยย

     

     

                ผมเริ่มดันตัวมันออก เมื่อรู้สึกได้ถึงมือปลาหมึกที่ลากเลื้อยเข้ามาใต้เสื้อทางด้านหลัง นิ้วยาวนั่นแปะป่ายไปตามแผ่นหลังของผมคล้ายว่าจะยั่วเย้า ใบหน้าก็ซุกต่ำลงเรื่อยๆจนตอนนี้วนเวียนอยู่กับแอ่งชีพจร

     

     

                “ไอ้บ้าหูกาง!” ผมเค้นเสียงพลางดิ้นขลุกขลัก ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนหลับลึกขนาดนั้น พนันได้เลยว่ามันตื่นแล้ว

     

     

                “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” พอผมพูดอย่างนั้นมันก็หลุดหัวเราะ นั่นไง ชัดเลย แม่งแกล้งหลับจริงๆด้วย ชานยอลตรึงแขนผมไว้ก่อนจะพลิกตัวขึ้นไปเป็นฝ่ายคร่อมอยู่ด้านบน

     

     

                “แล้วมึงแอบมองกูนอนทำไม” มันถามสีหน้าเจ้าเล่ห์ ทั้งยังโน้มคอลงมาเรื่อยๆ จนผมไม่รู้จะหดหนีไปไหนได้อีก

     

     

                “มั่ว!” ผมเถียงไปข้างๆคูๆ การกระทำของมันส่งผลให้หัวใจผมเต้นแรงราวกับได้ออกกำลังกายในตอนเช้า ซึ่งชานยอลก็คงจะรู้ ถึงได้แกล้งไม่ยอมปล่อยกันไปซักที

     

     

                “ขอมอร์นิ่งคิสภรรยาหน่อย” พูดจบริมฝีปากอิ่มนั่นก็ประกบลงมาโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว เป็นจุมมพิตที่แผ่วเบาราวขนนก นุ่มนิ่มอุ่นยวบเหมือนกับมาร์ชเมลโล่อังไฟ (แต่ก็แอบจังไรเพราะเรายังไม่ได้แปรงฟัน)

     

     

                ชานยอลกำลังตักตวงผลประโยชน์ทางความรู้สึกกับผม กระนั้นผมก็ไม่คิดจะคัดค้านอะไร เมื่อผมนิ่งเฉยอีกฝ่ายจึงยิ่งได้ใจ ชานยอลคลายมือที่ตรึงมือผมไว้ออก จนสุดท้ายก็กำไว้เพียงหละหลวม ริมฝีปากผละออกจากอวัยวะเดียวกันแล้วเริ่มจู่โจมไปยังพื้นที่รอบข้าง ปลายจมูกแตะกับแก้มผมอย่างนิ่มนวล ทั้งยังสูดลมหายใจเบาๆชวนให้วาบหวิว ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปประทับจูบอ่อนโยนที่หน้าผาก สุดท้ายก็ทิ้งทวนกับจุมพิตละมุนละไมที่ริมฝีปากอีกรอบ

     

     

                ชานยอลผละออกไป ทว่าใบหน้าเราก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่นัก

     

     

                “ปล่อยดิ...” ผมพูดอ้อมแอ้ม ถึงจะรู้ว่านี่เป็นการแต๊ะอั๋ง แต่ใจแม่งก็ไม่เคยจะรักดี

     

     

                “ทำไมต้องปล่อย” มันทวงถามเหตุผลแบบหน้าด้านชนิดฉาบด้วยปูนตราเสือ มุมปากยกยิ้มกวนประสาทระดับล้านจุดเจ็ด

     

     

                “เพราะกูกำลังจะไปทำงานสาย”

     

     

                “นั่นมันเรื่องของมึง”

     

     

                “เพราะมึงก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน”

     

     

                “วันนี้กูมีงานตอนบ่าย”

     

     

                ผมจ้องดวงตาที่พราวระยับอย่างเจ้าชู้ของมันด้วยหัวใจที่ไหวสั่น ปาร์คชานยอลคนเจ้าเล่ห์กำลังแผลงฤทธิ์อีกครั้ง กำลังทำตัวเป็นต่อเพราะคิดว่าตัวเองเหนือกว่า

     

     

                “งั้นเพราะ...เพราะคิมมีฮี”

     

     

                ด้วยเหตุผลประการนั้น ชานยอลจึงยอมผละออกไป ผมรีบดีดตัวขึ้นนั่งและลุกออกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำทันที ความรู้สึกในใจช่างวุ่นวายสับสน มันเหมือนกับถนนหนึ่งเลนที่มีรถวิ่งแล่นสวนกันวุ่นวาย ทั้งขาไปแล้วก็ขามา

     

     

     

     

     

     

     

    . . . . . . .

     

     

     

     

     

     

              “กว่าจะเสด็จมาทำงานได้นะครับเพื่อนมึง นี่รู้มั้ยว่ากูต้องวิ่งงานแทนมึงจนขาหดสั้นเหลือแค่นี้แล้วเนี่ยไอ้เพื่อนโด้ทักทายด้วยน้ำเสียงติดจะหมั่นไส้ โถมึงเตี้ยเองแล้วโทษกูก็บอก ถึงชาตินี้จะไม่ต้องวิ่ง ขามึงก็มีเท่านี้แหละ

     

     

    ผมทักทายกับไอ้โด้พอหอมปากหอมคอ ก่อนจะดิ่งไปยังโต๊ะประจำตำแหน่งที่อยู่ในสุดของออฟฟิศ ใช้เวลาจัดของอยู่แป๊บเดียวก็พร้อมใช้งาน

     

     

    เอาละ คราวนี้ก็ถึงคิวต้องไปรายงานตัวกับหัวหน้าแผนก ได้ข่าวว่าพี่แกใจปล้ำให้ยืมเงินมาตั้งสี่ล้าน นี่เขาใจดีมีเงินเหลือหรือแอบชอบไอ้โด้วะเอาดีๆ? แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรช่างแม่ง เอาเป็นว่าผมรีบไปกราบกรานเขาก่อนเป็นดีที่สุด

     

     

     

    ตรงหน้าของผมคือหวังแจ็คสัน หัวหน้าของผมเองครับ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพวกหัวนอกที่ชอบทำท่าโย่วๆแมนๆอะไรพรรคนั้น ดูไม่ถือตัวและคอเขาหนาประมาณสองฟุตได้ หุ่นนักกีฬาโคตร ถ้าให้เปรียบก็คงเป็นมวยปล้ำรุ่นเฮฟวี่เวท แบบโกรธลูกน้องคนไหนมึงจับทุ่มเลยนะ หุ่นมึงให้มาก แล้วนี่ไปเรียกเจ้านายว่ามึงได้ไงวะแบคฮยอน ไม่ได้รู้จักบุญคุณเลย เดี๋ยวเหอะเดี๋ยวนรกแดกหัว

     

     

    “ไฮแบคฮยอน” คุณแจ็คสันทักทายมาแบบนั้น ในใจผมอยากทักกลับไปว่าโย่วแมนแขนสั้นดีนะเพื่อน แต่ก็ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ที่ต่างกันผมจึงไม่ทำเช่นนั้น

     

     

    “สวัสดีครับคุณหวัง ขอโทษที่เข้ามาทำงานช้านะครับ”

     

     

    แจ็คสันคอหนาสองฟุตเซดตอบ “ไม่เป็นไรหรอก ไอรู้ว่ายูไปแต่งงานมา”

     

     

    “เอ่อ ส่วนเรื่องเงิน”

     

     

    “ไอจะหักจากเงินเดือนยู แล้วยูก็ต้องทำโอทีฟรีเป็นดอกเบี้ยให้ไอตลอดทั้งเดือนนี้” หวังแจ็คสันพูดจบผมก็เลือดกบปากเลยครับ โอ้โห อื้อหือ ทำโอทีฟรีทั้งเดือน หน้าสั่นกันไปสิ

     

     

    นอกจากจะต้องทำโอทีแล้ว แจ็คสันยังให้ผมปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวเขาตอนออกไปพบลูกค้าข้างนอกด้วย อ่อลืมเล่าไป บริษัทที่ผมกับไอ้โด้ทำงานอยู่เป็นบริษัทผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์อันดับต้นๆของเอเชียครับ แต่ก่อนผมทำอยู่ที่สาขาบ้านเกิด พอแต่งงานเลยทำเรื่องขอย้ายมาอยู่ที่สาขานี้ตามคำแนะนำของเพื่อนโด้

     

     

    ตอนกลางวันคุณหวังต้องออกไปพบลูกค้านอกสถานที่ แน่นอนว่าเขาลากผมไปด้วย ไอ้ผมก็ไม่มีอำนาจจะไปคัดค้านอะไร ดีซะอีกได้กินฟรีเป็นศรีแก่ปาก

     

     

    ผมกับคุณแจ็คสันไปถึงก่อนลูกค้าประมาณสิบห้านาที หย่อนก้นลงเก้าอี้ปุ๊บเราก็สุมหัวกันหาวิธีทำให้ลูกค้าประทับใจปั๊บ หวังแจ็คสันเสนอให้สั่งพระกระโดดกำแพงมาเลี้ยง แต่พอดีร้านที่นัดกันแม่งขายแต่อาหารอิตาเลี่ยน ...ให้ตายเถอะโรบิ้น กูกินเป็นซะที่ไหน

     

     

    “คุณหวังไม่มีข้อมูลลูกค้าหรอครับ?” ผมถามเผื่อว่าจะใช้ข้อมูลนั้นหาจุดที่จะเอาใจคู่ค้าได้ แต่หวังแจ็คสันก็ส่ายหน้า

     

     

    “เป็นเคสฉุกเฉินน่ะ ไอก็งงเหมือนกัน เพิ่งติดต่อมาเมื่อสายๆนี่เอง” ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ อันที่จริงสมัยที่ยังทำงานอยู่ที่สาขาเดิม ผมก็ถูกส่งไปพบลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง เวลาเสนอขายผมก็ใช้ความจริงใจเข้าสู้ ซึ่งมันก็มักจะได้ผล ดังนั้นคราวนี้ ถ้าเราสุภาพ ให้ข้อมูลละเอียด ไม่เอาเปรียบและจริงใจต่อลูกค้า ทุกอย่างก็คงจะ...

     

     

    “มีฮี” ผมหลุดครางออกมาเบาๆเมื่อเห็นหน้าลูกค้าที่เพิ่งนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ...คิมมีฮี? คิมีฮีเนี่ยนะ?

     

     

    เห่นโหลวว

     

     

    “อ้าวคุณแบคฮยอน?” มีฮีเองก็ดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผม คุณหวังถึงกลับทำหน้างงเมื่อรู้ว่าเราสองคนรู้จักกันมาก่อน

     

     

    “สวัสดีครับคุณมีฮี ผมหวังแจ็คสันนะครับ หัวหน้าแผนกฝ่ายขาย” แจ็คสันยิ้มเอ๋อๆส่งให้แม่นางแบบตัวสูง “คุณมีฮีรู้จักกับแบคฮยอนด้วยหรอครับ?”

     

     

    “รู้สิคะ” แล้วมีฮีคนสวยก็หัวเราะคิกคัก เหยมันมีไรให้ขำหรอครับเจ๊

     

     

    “แบคฮยอนเขาเป็นเพื่อนของคนรักของฉันน่ะค่ะ”

     

     

    จ้า แล้วแต่แม่คุณเลย

     

     

    “หรอครับ โลกกลมดีนะครับ” หวังแจ็คสันทำน้ำเสียงตื่นเต้น คงดีใจที่คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของเราได้ ...โถ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น

     

     

    “สั่งอาหารกันเถอะครับ” ผมเชิญชวนด้วยรอยยิ้มสุภาพ รู้สึกเกลียดตัวเองนิดหน่อยที่ทำสันดานตัวร้ายขนาดนี้ คุณมีฮีเขาก็อยู่ของเขาดีๆอะครับ แต่ผมนี่แซะเขาจนจะลอกเป็นแผ่นอยู่ละ

     

     

    คิมมีฮีรับเมนูจากบริกรหนุ่มไปเปิดก่อนจะเริ่มส่งคนแรก “ขอสปาเก็ตตี้แย่งผัวชาวบ้านค่ะ”

     

     

    เหยดด นางเล่นจ้า นางเปิดจ้า สาบานได้ว่าผมไม่คิดจะเปิดก่อนเลยจริงๆ

     

     

    “อุ๊ยขอโทษค่ะ พอดีไปอยู่ต่างประเทศนานไปหน่อย คือมีฮีหมายถึงสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าน่ะค่ะ” โอ๊ยตาย คำใกล้กันมากเลยครับแม่คุณ

     

     

    หวังแจ็คสันที่ตามมุกไม่ทันเพราะดูจะไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ เป็นคนสั่งเมนูถัดไป “ราวิโอลี่ผักโขมครับแล้วก็สแกลล็อปครีมซอส”

     

     

    โอ้โหสั่งกันโบ้มๆ ผมนี่อึ้งไปเลยครับ อ่านเมนูออกแต่สั่งไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าจะมีให้เลือกเซ็ทเจ็ดเรือยอร์ชอะไรนักหนา นี่ก็ไม่เคยเข้าไหมละร้านหรูหราแบบนี้

     

     

    “เอาเหมือนคุณผู้หญิงครับ” สุดท้ายผมก็เอาตัวรอดไปด้วยวิธีนั้น ที่สั่งตามมีฮีก็เพราะผมได้ยินหวังแจ็คสันสั่งอะไรซักอย่างเกี่ยวกับผักโขม ซึ่งผมไม่ชอบกิน

     

     

    “แหมคุณแบคฮยอนนี่รสนิยมเดียวกับมีฮีเลยนะคะ ถึงว่า...” ถึงว่าอะไรครับเจ๊ แล้วรสนิยมนี่ก็ไม่ได้คิดเลียนแบบเจ๊เลยนะ แต่สั่งอาหารไม่เป็นอ่ะ จะให้สั่งลาบก้อยยำหอยดองป่ะละ เอาให้หึ่งโต๊ะเลยมั้ย

     

     

    ไอ้ผมก็ใจด่าแต่หน้านิ่งครับ พอดีว่าแม่สอนมาว่าตัวตุ๊ดได้แต่ใจอย่าตุ๊ด จะให้ไฝว้ผู้หญิงออกสื่อนี่ลูกแม่ฮุยไม่ถนัด

     

     

    “เครื่องดื่มรับอะไรดีครับ” พนักงานถามพร้อมรอยยิ้มหล่อ ไอ้นี่เห็นผู้หญิงสวยหน่อยแม่งไม่แลลูกค้าคนอื่นเลยนะ นั่งหัวโด่อยู่เนี่ยมองกันบ้างดิ๊

     

     

    “ขอเป็นน้ำเปล่าคะ คุณแจ็คสันรับเหมือนกันไหมคะ?” แน่นอนว่าหวังแจ็คสันพยักหน้า จากนั้นมีฮีก็หันมาถามผม ซึ่งผมก็พยักหน้าเช่นกัน

     

     

    “อ้าวคุณแบคฮยอนไม่รับเหล้าขาวหรอคะ? มีฮีว่าเข้ากับคุณแบคฮยอนดีออกค่ะ”

     

     

    “??” ผมก็งงสิครับ เจ๊แกจะมาไม้ไหนอีก

     

     

    “ดีกรีแรง...แต่ราคาถูก”

     

     

    เอ้าอินี่ เห็นกูไม่สู้ละซัดใหญ่เลยนะ ก็อยากจะสวนไปว่าเก็บไว้กรึ๊บเองเถอะจ่ะคุณนาย แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆส่งไปให้ ไม่อยากหน้าตัวเมียและไม่อยากเสียงาน

     

     

    แต่คุณนายมีฮีแกก็ยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ เราก็คุยงานกันไปด้วย ซึ่งช่วงที่คุยงานกันนี่เจ๊แกก็เก็บผมทุกเม็ดครับ เม็ดไหนจิกได้ จิก เม็ดไหนแซะได้ แซะ แซะจนอยากจะหันไปถามว่า เฮ้ยก่อนเป็นนางแบบนี่ขายขนมครกมาก่อนปะวะ นี่จะแซะจนกระทะแม่งหลุดออกมาเลยมั้ย จะเอายังไง จะตบมั้ย

     

     

    สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวครับ พอหวังแจ็คสันคอหนาสองฟุตขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมก็โพล่งออกไปทันที “คุณจะเอายังไงกับผมกันแน่?”

     

     

    “เอาใบหย่าก่อนหนึ่งเดือน” นั่น...ตรงๆแรงๆเป็นสไปร์ทฮอร์โมนกันเลยทีเดียว

     

     

    “หนึ่งเดือนนี่รอไม่ได้หรอ ก็ไม่ได้นานมากเลยนะ” ยังไม่นานเท่าเวลาพักฟื้นหลังทำศัลยกรรมของเจ๊เลยมั้ง

     

     

     

    “ไม่-ได้!” คิมมีฮีพูดช้าๆชัดๆ

     

     

    ผมยิ้มหวานเป็นการกวนประสาท “จะรอได้หรือไม่ได้นั่นมันก็เรื่องของคุณ ยังไงซะผมก็ตกลงกับชานยอลไว้แล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น” เพราะหนึ่งระยะเวลาเดือนมันก็น้อยพอจะทำให้ครอบครัวของผมกับไอ้ชานยอลเสียใจแล้ว ถ้าจะให้น้อยกว่านี้พวกผู้ใหญ่คงไม่โอเคแน่ และเอาจากใจลึกๆเลยนะ จะว่าผมเห็นแก่ตัวหรืออะไรก็ช่าง...แต่ผมไม่อยากหย่า

     

     

    “จะเอาเท่าไหร่”

     

     

    “แปดพันล้านๆๆๆๆๆยกกำลังล้านวอน ถ้าหามาไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด”

     

     

    “...” นั่น อึ้งไปเลยดิ 

     

     

    “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีเหตุผลบ้าบออะไรของคุณ จะรักกันมากจนทนรอไม่ได้หรือจะลิ้นจุกอกตายถ้าไม่เห็นใบหย่า หรือจะยังไงก็ช่าง...ผม-ไม่-หย่า”

     

     

    “งั้นฉันจะไม่เซ็นสัญญาซื้อขายวันนี้” อื้อหือ ชัดเลยครับ เจ๊แกอุตส่าห์ลงทุนมานั่งฟังบรรยายเรื่องอะไหล่รถยนต์เป็นชั่วโมงๆเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

     

     

    “คิดจะเอาเรื่องงานมาต่อรองกับผมหรอ?”

     

     

    คิมมีฮีจุดรอยยิ้มแสยะเหมือนแม่มดร้ายในหนังสยองขวัญกึ่งแฟนตาซี “ฉันทำได้มากกว่านี้อีก เดี๋ยวก็รู้ หึหึหึหึหึหึ”

     

     

    แล้วเจ๊จะหึมากมายอะไรหนักหนา บ้านรวยหึหรอ

     

     

    “หึหึหึหึ แค่กๆๆ โอ๊ยน้ำลายติดคอ!

     

     

    ผมกลอกตาสามร้อยหกสิบองศา อิเจ๊มีฮีนี่โคตรจะเพี้ยนหลุดโลก -_-

     

     

    หลังจากคุยงานเสร็จเรียบร้อย ผมกับคุณหวังก็กระเตงกันกลับบริษัท วันนี้คิมมีฮียังไม่ยอมเซ็นสัญญาอะไรทั้งสิ้น บอกว่าจะกลับไปศึกษาข้อมูลแล้วจะนัดเราใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็แบบ...เหยศึกษาข้อมูลหอยไรว้า ไม่พอใจกูก็บอก หวังแจ็คสันนี่หน้าหงิกไปเลยครับ ขู่จะตัดโบนัสผมอีกต่างหากถ้าจ็อบนี้ไม่สำเร็จ

     

     

    ผมถอนหายใจยาวๆก่อนจะเดินไปยังโต๊ะทำงานของคุณคยองซูเพื่อนรัก

     

     

    “นังโดเจ้าเพื่อนยาก! ทำไมจากข้าเร็วเกินไป นังโดไปอยู่ที่ไหน เคยรู้บ้างมั้ยว่าโลกคิดคำนึง ถึงนังโดดดดดด!!” เกิดมาเสียงดีจะทักทายเพื่อนฝูงแบบธรรมดาได้ไง มันต้องมีชั้นเชิงกันหน่อย พอผมร้องจบปุ๊บ ไอ้โด้เงยหน้าขึ้นมาตบหัวปั๊บ

     

     

    “มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ยไอ้แบค เพลงเขาเสียหมด” มันบ่นก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ประจำตำแหน่ง จากนั้นก็เดินกอดคอผมไปยังลานจอดรถ แหมมีมาจับเนื้อต้องตัวกู หลงน้ำเสียงสไตล์เพลงเพื่อชีวิต(เส็งเคร็ง)ของกูก็บอก นั่นแล้วมาลูบมาคลำ เดี๋ยวกูก็ได้หวั่นไหว บอกไว้เลยว่าไอ้โด้นี่ก็แอบมีมุมเฟี้ยวฟ้าวจนน่าติดแท็ก #หล่อมากไอ้เหี้ยเตี้ยช่างแม่ง แต่ก่อนที่ผมจะไปกันใหญ่จนถึงขั้นจับเพื่อนทำผัว เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็หวีดขึ้นดังลั่น พอเห็นรายชื่อคนโทรเข้ามาผมก็ถึงกับแปลกใจไอ้หยอยโกงกาง

     

     

    ผมประวิงเวลาประมาณสามวิฯก่อนกดรับ “สวัสดีค่า ทับทิมวีอาร์โซพูดค่า”

     

     

    ตลกมากไหมมึง?ไอ้ชานยอลย้อนเข้าให้ ผมเบ้ปาก แหมมีการมาทำเสียงเหวี่ยง กูสิต้องโกรธปะที่วันนี้โดนคนของมึงมาระรานเนี่ย

     

     

    “โทรมาทำซากไร”

     

     

    มารับหน่อยทีงี้ละทำเสียงแผ่ว

     

     

    “รับห่าไร ไม่มีรถว้อย”

     

     

    “ก็นั่งแท็กซี่มาดิ”

     

     

    “ให้กูนั่งแท็กซี่ไปพามึงกลับแท็กซี่ด้วยกันอ่ะนะ แทนที่มึงจะนั่งแท็กซี่มาเองจะได้เสียเงินต่อเดียว นี่มึงโง่หรือมึงโง่ สมองเขามีไว้ใช้นะจ๊ะ ไม่ได้มีไว้ประดับบารมี”

     

     

    กูอยู่สตูดิโออ่ะ บอกการ์ดว่าชื่อป๋ายแล้วเข้ามาได้เลยไอ้ชานยอลทำตัวเอาแต่ใจด้วยการรวบรัดตัดบทสนทนา เสียงติ๊ดของการวางสายดังกระแทกเยื่อแก้วหู

     

     

    ผมหันไปมองหน้าไอ้โด้ที่มองมาอยู่แล้ว ก่อนจะยักคิ้วและผายมือทำสัญญาณให้เพื่อนดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ ไอ้โด้กดรีโมทรถและเปิดประตูเข้าไปนั่งยังฝั่งคนขับ ก่อนที่ผมจะเข้าไปนั่งตรงเบาะหลัง ทำประหนึ่งว่าเพื่อนโด้เป็นทาสรับใช้

     

     

    ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้ว เอาเถอะ ยังไงซะผมก็ไม่มีทางไปหาไอ้ชานยอลที่สตูดิโอแน่ๆ มันไม่ใช่เจ้าของชีวิตผมซักหน่อย การที่มันโทรมางอแงใส่ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อผมเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    ในระหว่างที่ผมกำลังคิดทบทวนถึงเรื่องราวของคิมมีฮีในวันนี้ สมาร์ทโฟนสีขาวรุ่นราวเอ๊าะๆก็แผดเสียงขึ้นอีกครั้ง เป็นเจ้าเก่าเจ้าเดิมที่โทรมา ไอ้หยอยโกงกาง

     

     

    ป๋ายไอ้ชานยอลเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน ผมตอบโต้เพียงการทอดถอนหายใจ แล้วมันก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

    ป๋ายต้องมาให้ได้นะ

     

     

    ผมมองหน้าจอสีดำสนิทอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป บางอย่างจากคำพูดและน้ำเสียงของพี่ชานเลี่ยคนดีในอดีตทิ้งตะกอนแกว่งไกวในใจผม บางทีมันก็ยากที่จะปฏิเสธ แต่ก็ดูเหมือนจะยากกว่าหากเรายอมรับ

     

     

    ชานยอลทำตัวแทรกซึมเข้ามาทุกขณะ อาจจะเพราะรู้สึกผิดหรือแค่อยากตอบแทน แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหมอนั่นนั่งหายใจอยู่เฉยๆ รอเวลาให้การแต่งงานตามแบบฉบับปลวกแทะนี่ผ่านพ้นไป ผมคิดพลางเอนหลังพิงเบาะนุ่ม น่าแปลกที่หัวใจเต้นแรงเพียงเพราะสมองกระหวัดคิดไปถึงอ้อมกอดอุ่นละมุนในตอนเช้า

     

     

     

     

     

     

     

    50%







                ไอ้โด้ไปรับคิมจงอินที่บ้านผมตามเงื่อนไขที่เราตกลงกันไว้ ต่อจากนี้ไปจนถึงสองอาทิตย์ ไอ้แฝดคนพี่จะต้องมีหน้าที่สอนพิเศษให้กับน้องชายคุณคยองซูในฐานะเจ้าหนี้สี่ล้านวอน (อินจังไม่รู้ครับว่าเจ้าของเงินที่แท้จริงคือหวังจักรสานคอหนา2ฟุต)

     

     

                “มึงแน่ใจนะว่าไอ้เด็กเหลือขอนั่นมันจะไม่มาทำน้องกูเสียอ่ะ” ไอ้โด้ถลึงตาเหลือกๆมาถามอย่างไม่ไว้วางใจ ซึ่งผมก็เป็นเพื่อนที่จริงใจพออ่ะครับ ก็เลยตอบไปว่า

     

     

                “ไม่รับประกันว่ะ” ไอ้สึดกูคนนะไม่ใช้หม้อหุงข้าวตราชาร์ปจะได้เอามาเคลมประกันได้เนี่ย เอาเป็นว่าช่วยๆกันไปก็แล้วกัน ไอ้แฝดพี่จะได้มีประโยชน์ต่อสังคมกับเขาบ้าง

     

     

                “มึงนะมึงไอ้เพื่อนสับปะรังเคเทกระจาด ไอ้เพื่อนทรราชชาติจิ้งจก ไอ้เพื่อนนรกส่งมาเกิด ไอ้ๆๆ...”

     

     

                “โอ๊ยยยหยุดบ่นดิ๊ เดี่ยวกูปั๊ดจับทำเมียแม่ง!” แล้วเราก็สาดน้ำลายใส่กันเป็นสงครามขนาดย่อมครับ นี่ถ้ามีทุเรียนกูปาหน้าแม่งไปแล้ว โชคดีที่ไอ้อินจังมันเสร่อหน้าออกมาจากบ้านซะก่อน ไม่งั้นผมกับเพื่อนโด้อาจจะมีลูกกันหนึ่งคนบนรถคันนี้

     

     

                พอจงอินมาผมก็เข้าตำรับเพลงของดาเอ็นโดฟินเลยครับ เมื่อเขามา ฉันจะไปผมรีบเหวี่ยงตัวลงจากรถ ยัดจงอินเข้าเบาะหน้า แล้วปิดประตูเปรี้ยง เป็นอันจบพิธี ไอ้โด้ลดกระจกลงมาชูนิ้วกลางให้ แหมชอบกูมากขนาดให้ของรักของหวงเลยนะเพื่อน เอาเป็นว่าโชคดี เจอกันเมื่อชาติต้องการ

     

     

                พอรถคันงามของคยองซูแล่นฉิวออกไป ผมก็เข้าบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะออกมาโบกแท็กซี่ตอนฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถ้านับเวลาจากตอนที่ไอ้ชานยอลโทรมาก็ราวๆสองชั่วโมงได้... สมน้ำหน้า รอจนเหงือกสะท้านเลยสิ

     

     

                ผมกินนอนในแท็กซี่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสตูดิโอปีโป้เขียวเรคคอร์ด ไอ้ลุงโชเฟอร์นี่กูงงมาก ค่าโดยสารหนึ่งร้อยเก้าสิบสองบาท แทนที่จะปัดลงให้กู ดั๊นนปัดขึ้นซะงั้น จะเถียงก็เดี๋ยวแม่งไม่ให้ลงจากรถอีก ต้องทนตลอดเลยเป็นผู้โดยสารเนี่ย

     

     

                ผมแบกสังขารเสื้อกล้ามกางเกงขาบานเข้าไปประจันหน้ากับพี่รปภ.ซึ่งแต่งตัวดีกว่าผมประมาณสี่หลุมกัญชา เอาแล้วไง เขาจะให้กูเข้าปีโป้เขียวเรคคอร์ดไหมแต่ด้วยความที่ผมเป็นมนุษย์ความจำดีเลิศ จำได้ว่าไอ้ชานยอลบอกให้ใช้ใบเบิกทางด้วยการบอกว่า

     

     

                “ผมป๋ายท้ายดอนครับ” ท้ายดอนนี่เติมเอง ป๋ายอย่างเดียวมันดูสั้นไป ฟังแล้วไม่มีสง่าราศี

     

     

                “อ๋อคุณน้องป๋าย เชิญครับๆ” โอ้โหเติมน้องให้กูด้วย สายแบ๊วผ่องแผ่วขึ้นมาทันตาเห็น ผมยิ้มเจื่อนให้คุณพี่ยามก่อนจะเดินฝ่าประตูเลื่อนอัตโนมัติเข้าไปข้างใน สัมผัสแรกคือแอร์เย็นเฉียบประหนึ่งหลุดมาอยู่ขั้วโลกเหนือสมัยล่าแมมมอธ โหนี่หนาวไปเพื่อใคร เพื่ออุดมการณ์อัลบั้มไหนไม่ทราบ

     

     

                บ่นไปก็เสียเวลาเปล่าครับ(มึงเพิ่งรู้หรอ) ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดโทรหาไปพู่ชานเลี่ย ระหว่างนั้นก็เดินมั่วไปเรื่อย ใครมองมากูก็ไม่สนอะ สภาพตอนนี้บอกเลยว่าเหมือนปลาเน่ากลางฝูงปลาแซลม่อนเกรดเอ

     

     

                “อยู่ไหนเนี่ย กูถึงสตูฯแล้ว” ผมพูดเหมือนกระซิบ อิเจ๊จากไหนไม่รู้ทำตีเนียนมาขนาบข้าง สงสัยกลัวผมมาขโมยของ

     

     

                อยู่ชั้นสอง ห้องในสุดพอมันบอกพิกัดผมก็เลี้ยวขึ้นบันไดทันทีครับ สลัดอิเจ๊ไฝที่เดินตามมาไปอย่างมีชั้นเชิง ชั้นสองนี่มืดตื๋อเหมือนสีผิวคิมจงอินไม่มีผิด มีอยู่แค่ห้องเดียวที่เปิดไฟ ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าไอ้พ่อลูกแฝดมันกบดานอยู่ที่ห้องไหน

     

     

                ผมรีบเดินเข้าไปในห้องนั้น ไอ้ชานยอลที่นั่งเกากีต้าร์อยู่เงยหน้าขึ้นมาทันที เพียงแค่ได้ยินเสียงลูกบิด มันยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะใช้สายตาบังคับให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้โฟมเตี้ยๆที่วางไว้อยู่ตรงหน้าของมันพอดีเป๊ะ

     

     

                ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงบนเบาะโฟมสีน้ำตาลอ่อน ไอ้ชานยอลก็รีดกีต้าร์เสียงบาดหูคล้ายกับว่าจะกลั่นแกล้ง มันหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็คลายความแสบแก้วหูลงด้วยการเดาะกีต้าร์โปร่งด้วยน้ำหนักมือเพียงเล็กน้อย ปลายนิ้วพรมและกรีดเส้นสายให้เป็นท่วงทำนอง ท่อนแรกปล่อยให้ว่างเปล่าเป็นแค่ดนตรีที่ไร้เนื้อเพลง จนกระทั่งเข้าสู่ท่อนที่สอง เสียงทุ้มโทนต่ำที่ดูเหมือนจะไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ก็คลอขึ้นมาเบาๆ

     

     

                How long will I need you

              As long as the seasons need to

    Follow their plan

     

     

                เพลงที่ชานยอลร้องเป็นเพลงที่ผมเองก็รู้จัก ‘How long will I love you’ ของศิลปิน Ellie Goulding เป็นเพลงเพราะ ความหมายดี เคยติดชาร์ตเพลงสากลอยู่หลายคลื่นวิทยุ ไอ้หูกางเล่นกีต้าร์ชำนาญเหมือนมืออาชีพทั่วไป แต่ร้องได้อย่างกระท่อนกระแท่นจนน่าสงสาร ด้วยความที่เป็นคนดี ผมก็เลยช่วยมันร้องในท่อนถัดไป เสียงของเราเข้ากันได้... อย่างน้อยก็ดีกว่าคนในคนหนึ่งร้องคนเดียว ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ

     

     

                How long will I be with you

              As long as the sea is bound to

              Wash up on the sand

     

     

                เพลงจังหวะกึ่งขี้เล่นกึ่งโรแมนติกนี้กล่าวถึงช่วงเวลาและการเอ่ยถาม นานเท่าไหร่ที่เราจะมีเวลาทำกิจกรรมต่างๆไปด้วยกัน? นานเท่าไหร่ที่เราจะสามารถรักกันได้? นานเท่าไหร่ที่เพลงนี้จะดำเนินต่อไป?

     

     

                น่าแปลกที่แม้เพลงนี้จะไม่มีคำตอบ แต่ประชากรค่อนโลกก็รู้ว่ามันหมายความว่าตลอดไป แต่ผมกับชานยอลมีคำตอบที่ผิดแผกไปจากนั้น

     

     

                How long will I want you

              As long as you want me too

              And longer by far

     

              How long will I hold you

              As long as father told you

              As long as you can

     

     

                เรามีเวลาอีกแค่เดือนเดียวหลังจากนี้ และเราก็รู้ว่ามันผิดมาตั้งแต่ต้น มันกำลังมากเกินไปในแง่ของความรู้สึก เพราะชานยอลไม่สามารถรักใครเพิ่มอีกคนได้ หากเขารักใครซักคนอยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ลึกๆเราทั้งคู่ต่างก็เห็นสายรุ้งพาดยาวในคืนเดือนมืด มันคือสัญลักษณ์ว่าเรามีความสุขเมื่อได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่ารอบกายจะห้อมล้อมด้วยความทุกข์ระทม... แต่ก็ไม่แน่ บางทีผมอาจจะคิดไปเองคนเดียว ในขณะที่ชานยอลอาจจะแค่เหงาและฆ่าเวลาด้วยวิธีพล่อยๆ

     

     

                How long will I give to you

              As long as I give through you

              However long you say

     

     

                ดวงตาของชานยอลดูขลาดอายกว่าในทุกที ไม่รู้ว่าผมทึกทักเอาเองรึเปล่า แต่ฝ่ายนั้นก็หลบตาและเบาเสียงลงจนกระทั่งน้ำเสียงของผมเด่นชัดในท่อนถัดไป

     

     

                How long will I love you

              As long as stars are above you

              And longer if I may

     

     

                ระยะห่างระหว่างเราร่นลงเรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติ หัวใจของผมหลงใหล ไหวสะท้านไปพร้อมๆกับแรงต้านที่ว่าผู้ชายคนนี้มีเจ้าของแล้ว และผมโชคดีกว่าใครหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกัน เพราะผมรู้กำหนดเวลาชัดเจน ผมมองเห็นอนาคตได้แม้จะนั่งโง่เป็นเด็กกะโปกอยู่ตรงนี้ ผมเห็นเลยแหละว่าถ้าผมตกหลุมรักชานยอล มันจะเกิดส้นตีนอะไรขึ้นหลังจากเวลาผานไปแล้วหนึ่งเดือน ผมจะถูกถีบทิ้งให้ดิ่งเหว ถูกตัดบัวแบบไม่เหลือใย ถูกขับไล่ออกจากบ้าน ซึ่งมันคงเจ็บมากถ้าหากว่าผมมีความรู้สึก เอ่อ แบบว่ารักเกิดขึ้น ...ซึ่งถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าความรักเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรื่องนี้ แต่ทันทีที่บทเพลงท่อนสุดท้ายมาถึง เราก็เปิดไฟเขียวให้หัวใจที่จอดไว้ตรงเส้นคั่นรถสีขาวได้ออกมาทักทายกันในแบบที่มันควรจะเป็น

     

     

     

              We’re all traveling through time together

              Everyday of our lives

              All we can do is do our best

              To relish this remarkable ride

     

     

                เราต่างก็เดินทางข้ามผ่านกาลเวลามาด้วยกัน

              ทุกๆวันในชีวิตของเรา ก็เพียงแค่ใช้มันให้เต็มที่

    เพื่อเพลิดเพลินกับการเดินทางที่แสนน่าจดจำ

     

     

    ความหมายโคตรดีผมชื่นชมคนแต่งเพลงในใจ ในขณะที่ดวงดาวในดวงตาของปาร์คชานยอลเริ่มพุ่งตรงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ประทับริมฝีปากลงไปตามที่หัวใจนึกปรารถนา

     

     

    วินาทีนั้นผมไม่ได้กลัวอะไรเลยนอกจากกลัวว่ามันจะผลักผมออกแล้ววิ่งหนีไป กลัวว่ามันจะหลีกเลี่ยงแม้กระทั่งการจุมพิตแผ่วเบานี้ ผมลืมไปด้วยซ้ำว่ามันต่างหากที่เป็นฝ่ายเจ้าเล่ห์และเจนเกม เพราะเราต่างก็สลัดคราบนั้นออกจนหมดสิ้น เหลือเพียงผู้ชายสองคนที่ใช้หัวใจไร้เดียงสาเคลื่อนเข้าหากัน เหมือนจูบนี้เป็นจูบแรกแห่งการเริ่มต้น แม้จะมีกีต้าร์โปร่งราคาแพงกั้นขวาง แต่ก็นึกขอบคุณเพราะมันช่วยเพิ่มระยะห่างที่มีผลต่อความประหม่าของเราทั้งคู่

     

     

    ชานยอลเอียงองศาและแง้มริมฝีปากเผยอออก ผมใจเต้นแรง ได้แต่บีบขากางเกงแน่น อีกฝ่ายเปิดทางไว้ให้ผมได้เป็นคนต่อบทเรียนของการจูบด้วยปลายลิ้นที่ผมค่อยๆแตะแต้มลงอย่างแผ่วเบา กลีบปากของชานยอลร้อนเพียงอบอุ่น เรียวลิ้นร้ายกาจนั่นเริ่มต้อนรับอย่างเป็นทางการด้วยการตวัดเข้ามาพัวพันคล้ายจะหยอกเล่น

     

     

    หัวเข่าของเราแนบชิดบดเบียด ลมหายใจเสียดร้อน เป็นรสสัมผัสที่อ่อนหวานระคนตื่นเต้น ชานยอลจูบหนักขึ้นแต่ก็เป็นไปอย่างขี้เล่นและไม่เร่งรีบ จมูกซุกซนทำงานสอดคล้องกลมกลืนไปกับริมฝีปาก เสียงลมหายใจของเขากระเส่าเร้าความรู้สึก ผมมวนท้อง อื้ออึ้ง ราวกับมีกลองชุดตีถล่มอยู่ในหัว

     

     

    ชานยอลโน้มตัวลงมาจนผมต้องเอนไปข้างหลัง ใช้แขนยันเบาะเอาไว้เพราะเก้าอี้ไม่มีพนักพิง กีต้าร์โปร่งแนบลงกับหน้าท้องของผม เหมือนกับริมฝีปากของเราที่แนบชิดสนิทกัน

     

     

    ไม่อยากหยุด นี่คือสิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัว อยากให้มันดำเนินต่อไปเหมือนว่ามันคือหนึ่งในท่อน How long will I kiss you… แต่สุดท้ายแล้วจูบนี้ก็จบลงอย่างวาบหวิวในหัวใจ น้ำสายเล็กเชื่อมเราไว้แม้เราจะผละห่าง สายตาของเรามองไปที่สายนั้นอย่างนึกขบขันในความยืดยาว ทว่าเพียงซักพักมันก็ขาดฉับลง

     

     

    “โทษที” ชานยอลเกาท้ายทอยพลางวางกีต้าร์ลงบนพื้นข้างตัว

     

     

    “ไม่ดิ กูเป็นคนเริ่ม” พอพูดจบผมก็หน้าร้อนผ่าว แม่งไม่น่าพูดเลยเขินชิบหาย

     

     

    อยู่ดีๆไอ้คุณปาร์คก็จิ้มนิ้วลงบนผิวแก้ม เล่นเอาผมสะดุ้ง

     

     

    “แดงสัด” มันว่าให้ได้อายเล่นไปอีกดอก สายตาคมพราวระยับขณะดึงผมให้ไปนั่งซ้อนตรงหว่างขาบนเบาะนั่งแบบเม็ดโฟมตัวเดียวกัน

     

     

    ผมพยายามฝืนตัวออก พร้อมๆกับระงับริมฝีปากไม่ให้สั่น “ล..แล้วเรียกกูมาทำไม” แผ่นหลังของผมแนบไปกับแผ่นอกที่ระอุด้วยไอร้อนเมื่อเราใกล้กันแค่ผิวเสื้อกั้น ชานยอลหยิบกีต้าร์ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้วางไว้บนหน้าตักผม

     

     

    ไม่โรแมนติกหรอกครับ... หนักไอ้สัด เอากีต้าร์มึงออกไปที คางมึงที่หัวไหล่กูด้วย เอาออกไปให้หมดก่อนที่เหน็บชาจะถามหากู

     

     

    “แต่งเพลงไว้ ลองฟังหน่อย” ไอ้คุณพ่อลูกสองเกริ่นแค่นั้นก่อนจะโอบผมไว้ทั้งตัว ก็ไม่เชิงตั้งใจจะกอด เพียงแต่ว่าผมอยู่ตรงกลางระหว่างมันกับเครื่องดนตรีคู่กาย มันก็เลยกลายเป็นว่าเราต้องมาอยู่ในท่าล่อแหลมแบบนี้ คางของมันเขยิบขึ้นจากปลายไหล่มาจนถึงไหปลาร้า และยังคงขยับต่อไปเรื่อยๆตามแต่การเคลื่อนไหวของใบหน้า ที่บางครั้งก็บิดองศาซะจนจมูกโด่งชนกับผิวข้างแก้มผมแผ่วเบา ผมได้แต่เกร็งตัวอยู่อย่างนั้น ท่อนแขนของชานยอลร้อนผ่าว ขยับเข้า ขยับออก ขยับขึ้น ขยับลง ทำให้ผมเหมือนจะคลั่งตายอยู่ใต้ร่างกายที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโคตรจะน่าหลงใหล

     

     

    “วัน ทรู ทรี โฟร์...” เสียงทุ้มนับจังหวะอินโทรก่อนจะเริ่มเกาสายทั้งหกเส้นอย่างเชื่องช้า มืออีกข้างคอยเปลี่ยนคอร์ดอย่างชำนาญแม้ว่าคนเล่นจะไม่ได้มองชิ้นส่วนใดของกีต้าร์เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

     

     

    ไอ้ชานยอลไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา ผมเองก็ไม่เข้าใจภาษาทางดนตรีหรืออะไรมากมายนัก ผมรู้แค่ว่ามันเพราะดี เป็นจังหวะเปล่าๆที่ชวนเคลิบเคลิ้ม แต่ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเบื่อชวนให้ง่วงนอน

     

     

    เราดำรงอยู่ในท่านั้นจนกระทั่งปาร์คชานยอลหยุดเกากีต้าร์

     

     

    “ไม่มีเนื้อเพลงหรอ” ผมถามแก้เก้อ รู้สึกขัดเขินเพราะไอ้ชานยอลยังไม่ยอมผละออกไป

     

     

    “อือ แต่งไว้แต่ทำนอง”

     

     

    ผมพยักหน้าเป็นนัยว่าเข้าใจ “เพราะดี” ผมพูดตามตรง ขี้เกียจจะหาเรื่องกวนส้นตีนอะไรในบรรยากาศแปลกๆแบบนี้

     

     

    “เพิ่งแต่งเมื่อกลางวัน”

     

     

    “อ่าฮะ”

     

     

    “ให้มึง”

     

     

    ผมกำลังจะพยักหน้าอีกครั้ง แต่ก็ชะงักไป ...ว่าไงนะ? ให้ผม? เพลงนี้มันแต่งให้ผม?

     

     

    “อันที่จริงมันก็ไม่แฟร์กับมึงเท่าไหร่ กูหมายถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น”

     

     

    “เป็นเพลงแห่งความรู้สึกผิดสินะ” ผมแสร้งยู่ปาก “งั้นท่อนฮุคก็ควรใส่คำว่าขอโทษลงไปเยอะๆ ฉันขอโทษนะที่รัก~ ขอโทษ~ ขอโทษ~ ผมขอโทษ~~~” ผมดัดเสียง แล้วกีต้าร์บนตักก็หล่นตุบลงไปกองกับพื้นเมื่อไอ้ชานยอลจงใจทิ้งมันลงไป มือหนารั้งใบหน้าผมให้หันไปเผชิญหน้ากันอย่างรวดเร็วก่อนริมฝีปากอิ่มจะประทับลงมาอีกครั้งอย่างรุนแรง จนผมเผลอเบิกตาโพลง

     

     

     

    จูบนี้ต่างจากจุมพิตก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว ...ไม่...ไม่สามารถเปรียบเทียบแบบนั้นได้ เพราะมันก็ดีด้วยกันทั้งคู่ มันเหมือนน้ำกับไฟต่างหาก และครั้งนี้มันเป็นไฟที่เร่าร้อนราวหมื่นพันองศา ผมรับรู้อะไรได้มากมายจากจูบนี้ มันไม่ใช่แค่ความเชี่ยวประสบการณ์จากปาร์คชานยอล ไม่ใช่เพียงวิธีการไล้ลิ้นอย่างเผ็ดร้อนของคนที่ผมเคยแอบรัก แต่มันแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมาย ไอ้ชายนยอลส่งผ่านมาทางปลายลิ้นว่ามันกำลังสับสน แหงล่ะ ความใกล้ชิดสร้างเรื่องวุ่นวายเสมอตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหายังไม่ฟักตัวเป็นไข่

     

     

    เป็นเพราะเราใกล้กัน ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นห่างไกลออกไปตั้งหลายปีดีดัก ไอ้คุณพ่อขาร็อคก็เลยว้าวุ่นใจแบบนี้

     

     

    เสียงของการดูดดื่มดังขึ้นกระตุ้นให้เรายิ่งมัวเมาในรสจูบ เราเคลื่อนกายสอดประสานราวกับรู้ใจกันและกันเป็นอย่างดี ราวกับผมรู้ว่าชานยอลจะเร่งจังหวะในตอนนี้ และราวกับว่าชานยอลรู้ว่าผมรู้สึกดีถ้าเขาลงลิ้นมาไล้เบาๆตรงเพดานอ่อน

     

     

    แต่ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกเป็นปลื้มต่อกันมากแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุด ผู้ชายที่ดีก็ควรจะมีเจ้าของหัวใจเพียงแค่คนเดียว ซึ่งนั่นไม่ใช่ผม

     

     

    เราผละออกจากกันเมื่อลมหายใจชั้นสุดท้ายถูกปลิดปลงลง ทว่าดวงตายังไม่ห่างออก เราจ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง มองเจาะทะลุไปจนถึงวัยเด็ก มองไปถึงเหตุการณ์ตลกๆในวันแต่งงาน ถึงอดีต ถึงปัจจุบัน แต่ไร้วี่แววอนาคต

     

     

     

    “ถ้าเลือกได้...” ไอ้ชานยอลพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ผมรีบผินหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อาจทนมองสายตาเจ็บปวดระคนตัดพ้อนี่นานไปมากกว่านี้อีกแล้ว ผมเจ็บกว่าที่เคยเจ็บมา และผมไม่อยากรับฟังคำพูดบีบน้ำตาใดๆอีก

     

     

    “กูจะเลือกมึง” ชั่ววูบนั้นผมดีใจขึ้นมาจนแทบหลุดยิ้ม แต่แล้วประโยคถัดไปก็ลบล้างรอยยิ้มของผมไปจนหมดสิ้น

     

     

    “แล้วก็เลือกมีฮีด้วย”

     

     

    ผมกลั้วหัวเราะก่อนจะถามติดตลก “แล้วถ้าสมมติว่ามึงไม่มีลูกละ มีแค่มึง กู แล้วก็ผู้หญิงคนนั้น”

     

     

    “...”

     

     

    “...”

     

     

    “กูก็คงจะเลือกมึง”

     

     

    ผมมองไอ้ชานยอลด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

     

     

    “เพราะตรงนี้มันเลือกมึง”

     

     

    ปาร์คชานยอลจับมือผมและบังคับให้วางนาบตรงอกข้างซ้าย อันมีความหมายว่าหัวใจ

     

     

     

    ขอบตาของผมร้อนผ่าว คำหนึ่งคำในใจมันชัดเจนจนสุดจะเก็บกลั้น แต่ก็จำต้องตัดใจฝืนเก็บมันเอาไว้ มองไปที่ชานยอล คล้ายว่าอีกฝ่ายก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน ดวงตากลมโตอัดแน่นด้วยถ้อยคำที่เราไม่สามรถเปล่งมันออกมาได้ พันธะกับบริบทมากมายรูดซิปปากเราแน่นสนิท

     

     

    รักผมอยากจะบอกออกไปว่ารัก มันแจ่มแจ้งจนไม่อาจทนปิดหูปิดตาต่อไปได้อีก ผมรักชานยอล ชานยอลเองก็เลือกผม...หัวใจของมันเลือกผม แต่สิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนั้นไม่ได้เลือก

     

     

    น่าเสียดายที่สิ่งอื่นใดทรงอิทธิพลจนความรักของเราไม่มีแรงจะไปงัดข้อต่อสู้ เพราะสิ่งอื่นใดคือลูก ลูกต้องเลือกแม่ที่แท้จริงของพวกเขาอยู่แล้ว

     

     

     

    100%

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×