ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    'Neck' n 'Neck' { chanbaek }

    ลำดับตอนที่ #9 : - c h a p t e r : 8 -

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 57













     

    วินัยในตนปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นเมื่อรุ่งสาง

     

     

    เป็นอีกเช้าที่แตกต่างจากเช้าก่อนๆที่เขาเคยประสบมานับกว่าสามสิบปี แต่ปาร์คชานยอลก็ไม่ได้คิดว่ามันแย่นัก

     

     

     

    หนึ่ง...บรรยากาศห้องนอนของเขาเปลี่ยนไป ก็จากห้องเรียบหรูอุดมด้วยอุปกรณ์ไฮเทคที่เชื่อมเขากับรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้กลายเป็นกระโจมไฟเบอร์หลังเล็กๆ พื้นพรมอมทรายอุ่น เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นและดูล้าสมัยไปร่วมสิบ-ยี่สิบปี

     

     

     

    สอง...เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาพบตัวเองนอนอยู่บนเตียงเพียงลำพังเหมือนแต่ก่อน ในอ้อมอกของเขามีสิ่งมีชีวิตอื่นที่นุ่มนิ่มขดตัวนอนซุกอยู่ตรงนั้น

     

     

     

    สิ่งมีชีวิตที่หยุ่นและอุ่นเหมือนก้อนมาร์ชเมลโล่ ผิวเนื้อขาวเนียนละเอียดราวหิมะ แต่ก็เป็นหิมะที่แต้มด้วยสีแดงอยู่หลายจุด ...ซึ่งก็เป็นผลมาจากริมฝีปากร้ายกาจของเขาเองนั่นล่ะ

     

     

     

    แบคฮยอนนอนหนุนแขนข้างหนึ่งของชานยอลเอาไว้ ใบหน้าจิ้มลิ้มซุกแนบแผ่นอกกำยำ มือน้อยๆสองข้างกุมกันและวางอยู่ระดับเดียวกับเรียวปากสีแดงธรรมชาติ คล้ายกับเด็กทารกที่ชอบนอนดูดนิ้วยังไงยังงั้น

     

     

     

    ชานยอลลูบเส้นผมที่นุ่มราวขนกระต่ายของคนตัวเล็กอย่างเบามือ สางและขยุ้มอย่างที่เขาชอบทำเมื่อคนตัวเล็กนี่มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ  กลิ่นหอมของแบคฮยอนเป็นกลิ่นบริสุทธิ์ เป็นกลิ่นเฉพาะของพวกเด็กเล็ก สะอาดสดชื่นและหอมแบบละมุนละไม

     

     

     

    ฉะนั้นชานยอลจึงไม่คิดว่าตัวเองโรคจิตอะไร ถ้าหากเขาจะก้มลงสูดกลิ่นหอมเย้ายวนนี้จากผิวหน้าผากของแบนฮยอน  มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมนุ่มลื่นให้พ้นทาง ก่อนจะกดปลายจมูกลงเต็มรักทั้งยังเผื่อแผ่ไปยังเนื้อแก้มขาวอมชมพูที่เต่งตึงอวบอิ่มทั้งสองข้าง

     

     

     

    “อื้ออ...” เจ้าของแก้มยุ้ยๆครางอื้ออึงเหมือนรำคาญ มือเรียวยันอกแกร่งออกห่างตัว แต่ใบหน้ากลับซุกเข้ามาแนบชิดเสียอย่างนั้น

     

     

     

    เป็นการกระทำขัดแย้งที่ทำให้ชานยอลนึกหมั่นเขี้ยวจนต้องฝังฟันคมลงบนปลายจมูกรั้นเบาๆ

     

     

     

    ทว่าเจ้าตัวดีก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่ายๆ ซึ่งชานยอลก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร เพราะเขามีเวลาเหลือเฟือ เนื่องจากไม่มีภารกิจหนักหนาสาหัสให้เขาต้องรับผิดชอบในค่ายที่เปรียบเหมือนเมืองลับแลแห่งนี้

     

     

     

    “แบคฮยอน...” ชายหนุ่มกระซิบข้างริมฝีปากสีชมพูอ่อน

     

     

    “ตื่นเร็วเข้า” คำสั่งนั้นเสียงพร่าต่ำลงเรื่อยๆ “ตื่นเร็วคนดี...”

     

     

     

    เช่นเดียวกับมือใหญ่ที่ลากต่ำลงไปจนถึงเนินเนื้อสะโพกอิ่ม ชานยอลขบริมฝีปากของเด็กหนุ่มแรกรุ่นในกำมือเล่น รู้สึกเพลิดเพลินอย่างที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับกิจกรรมอะไรได้อีกแล้ว

     

     

     

    มือแกร่งบีบเค้นหนั่นเนื้อที่ล้นมือด้วยนึกหมั่นเขี้ยว ก่อนนิ้วยาวจะค่อยๆชำแรกเข้าไปในช่องทางที่ฉ่ำแฉะจากสารคัดหลั่งที่ฉีดพุ่งมาจากท่อสวาทของเขาทุกหยาดหยด แบคฮยอนร้องครางงิ้งๆในลำคอ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเหมือนไม่พอใจที่ถูกรบกวนการพักผ่อนอันมีค่า เพราะชานยอลริดรอนมันไปหมดตั้งแต่เมื่อคืน

     

     

     

    ร่างสูงหลับตาแน่นด้วยต้องข่มอารมณ์ความรู้สึก ความอบอุ่นและแรงตอดรัดที่นิ้วมือกำลังทำให้เขามวนช่องท้องอีกครั้ง มันเต้นตุบๆเป็นจังหวะทั้งยังบีบแน่นเสียเหลือเกิน

     

     

     

    อดนึกถึงตอนที่สิ่งนั้นของเขาสอดใส่เข้าไปไม่ได้... แบคฮยอนทำให้เขาถึงสวรรค์ด้วยทรวดทรง น้ำเสียง และการส่ายสะโพกที่เกินจะบรรยายได้

     

     

    “ที่รัก...” เขากระซิบแหบแห้งอีกครั้ง ก่อนจะทนไม่ไหวจับเจ้าตัวเล็กนอนราบไปกับเตียงแล้วตามไปคร่อมทับไว้ทั้งตัว

     

     

    “อื้อออ” แบคฮยอนเกร็งตัวบิดขี้เกียจ ก่อนดวงตาใสแจ๋วนั้นจะเปิดมองโลกกว้าง

     

     

    “ชะ..ชานยอล!” ร้องอย่างตกใจเมื่อพบว่าตัวเองตกอยู่ใต้อาณัติเดิมอีกครั้ง ทั้งที่ตะวันขึ้นฟ้าเป็นที่เรียบร้อย

     

     

     

    ชานยอลทอดมองคนเสียเปรียบด้วยใบหน้าที่นิยามได้ว่า หน้าตายเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่แบคฮยอนก็อดจะใจสั่นหวิวไม่ได้ เพราะมือของเขาที่ตะปบไม่ห่างยอดอกสีอ่อน ไหนจะอีกมือที่คลึงอยู่ตรงเนื้อสะโพก

     

     

     

    สุดท้ายชายหนุ่มก็มากด้วยอารมณ์จนต้องกลืนกินเจ้าตัวเล็กนี่อีกรอบ แบคฮยอนนุ่มนิ่มเต็มไม้เต็มมือทุกครั้งที่เฟ้นฟัด ไร้เดียงสาแต่ก็ต่อสู้เขาในทุกท่วงท่าสุดแล้วแต่สะโพกของเขาชักนำให้ไป เสียงครางหงิงๆเวลาที่ยอมแพ้ก็เรียกความต้องการของเขาได้ดีเหลือเกิน

     

     

     

    แต่ที่เขาชอบที่สุด เห็นจะเป็นการเงยหน้าครางขาดห้วงอย่างทรมานโดยที่ไม่อาจต้านทานหรือขัดขืนกำลังของเขาไหว  แบคฮยอนจะซี้ดปากเสียวซ่านด้วยความรัญจวนใจจนน้ำใสไหลปริ่มจากหางตา ทว่าแม้แต่เสียงก็สุดจะเปล่งออกมาได้

     

     

     

    นั่นละ ชานยอลชอบสิ่งนั้นเป็นที่สุด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     




     

     

     

     

    กว่าจะจบเกมรักรับอรุณดิ์ แบคฮยอนก็ลงไปนอนหมอบเป็นลูกหมาอยู่ตรงพื้นข้างเตียง

     

     

    “พอเถอะ...ผมไม่ไหวแล้ว” แม้คนตัวเล็กจะพยายามขอความเห็นใจจากดวงตาเคลือบระลอกน้ำและริมฝีปากแดงช้ำเผยอรับอากาศของตัวเองมากซักแค่ไหน แต่ปาร์คชานยอลก็ยังตามไปบีบแขนเรียวสองข้างแน่น ก่อนจะจัดการฉุดอย่างแรงจนทั้งร่างลอยวืดขึ้นมานอนแผ่บนเตียงเหมือนเดิม

     

     

     

    “อื้ออ..เจ็บ” แบคฮยอนเบะปาก ตาแดงเหมือนจะร้องไห้ แต่ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าเด็กน้อยของเขาไม่ใช่คนใจเสาะเช่นนั้น ซึ่งแบคฮยอนก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ปล่อยให้น้ำใสไหลลงมา เปลือกตาสีมุกกระพริบถี่ ริมฝีปากสั่นระริกเปล่งเสียงแผ่ว

     

     

    “เจ็บ”

     

     

    “เจ็บตรงไหน”

     

     

     

    แบคฮยอนนึกอยากจะตบปากอิ่มของคนตัวใหญ่ให้หายหมั่นไส้ ถามมาได้ไม่รู้จักคิด เขาคงจะเจ็บขนคิ้วเส้นที่แปดหรอกมั้ง

     

     

    “อย่าจับซี่”

     

     

    “ขอร้องดีๆก่อน”

     

     

    แบคฮยอนเบนหน้าหลบนัยน์ตาสีเฮเซลที่ตอนนี้มองโลมเลียเขาไม่ห่าง ชานยอลเปลี่ยนไปจนเขาสัมผัสได้ และมันก็ทรงอำนาจต่อหัวใจของเขาราวกับไพร่ชนธรรมดาที่สถาปนาตัวขึ้นเป็นพระราชา

     

     

    จากที่เฉยเมยไปจนถึงรังเกียจ ตอนนี้ชานยอลถือสิทธิ์มากกว่านั้นในความรู้สึกของแบคฮยอน เพียงแค่ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาจรดลมหายใจรินรดผิวแก้มนิ่ม แบคฮยอนก็ถึงกับใจสั่น

     

     

    “ฮื่อ พอแล้ว” แขนเรียวแทรกกลางเพื่อกั้นลำตัวของเขากับแผ่นอกแข็งแกร่ง ชานยอลยังคงดันทุรังกดตัวลงมา จนกระทั่งริมฝีปากสัมผัสกับแก้มใส จากนั้นก็กดลงเรื่อยๆ

     

     

    เสียงสูดลมหายใจของชานยอลเล่นเอาแบคฮยอนมือไม้อ่อนระทวย

     

     

     

    “ฉันอยากให้นายเป็นคนของฉันตลอดไป... อย่างนี้ใช่ความรักหรือเปล่า” ชานยอลเลื่อนไปกระซิบน้ำเสียงเซ็กซี่ข้างใบหู โดยไม่ลืมพ่นลมหายเป่าเบาๆจนหูของแบคฮยอนแดงเถือก

     

     

    มือใหญ่จับสองมือเรียวสวยรวบตรึงไว้เหนือหัวของเจ้าตัว สายตาสื่อความหมายดูนิ่งและจริงจัง

     

     

    “ถ้าฉันรักนาย นายจะรักฉันรึเปล่า” ไม่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น ชานยอลยังสวมบางอย่างลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขา เมื่อเลื่อนมือลงมาดูจึงรู้ว่าเป็นแหวนไม้เกลี้ยงๆวงหนึ่ง

     

     

    “เพราะว่ามันหักครึ่งไปในวันนั้น ฉันเลยต้องล้มเลิกจะสลักเป็นตัวนาย แล้วมันก็เหลือไม้พอแค่ทำเป็นแหวน”

     

     

    “...”

     

     

    “รักฉันได้ไหมแบคฮยอน”

     

     

     

     

    แบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน เป็นแค่ละอองไอที่ถ้าออกแรงเป่าลม ทุกอย่างก็จะปลิวหายไป

     

     

    คนอย่างชานยอลน่ะหรือรักเขา รักโดยไม่ต้องใช้เซรุ่มน่ะหรือ?? ถึงเขาจะเคยเชื่อมาโดยตลอดว่ามนุษย์ยังคงหลงเหลือหัวใจรักอยู่

     

     

     

    แต่กับปาร์คชานยอลผู้เย็นชาคนนี้ ...ความรักของเราสองคนมีนิยามเดียวกันจริงๆแน่ใช่ไหม??

     

     

     

    ทว่าดวงตาของชานยอลช่างร้ายกาจนัก ราวกับเข็มพันเล่ม ราวกับมหาสมุทร ราวกับทั้งฟากฟ้า แบคฮยอนไม่สามารถบรรยาย แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาคนนี้เป็นยังไง แต่เพราะดวงตาคู่นั้น แบคฮยอนจึงไม่อาจปฏิเสธ

     

     

    “รัก...ผมรักคุณ”

     

     

     

    ชานยอลยิ้มอย่างพึงใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะ เป็นการหัวเราะที่บ่งบอกถึงความสุข แถมแบคฮยอนยังเห็นหยดน้ำเล็กๆที่ขังอยู่ในดวงตาสีเฮเซลของชายหนุ่มอีกด้วย

     

     

     

    คล้ายกับว่าเป็นสัญญา มันถักทออย่างมีนัยยะ แบคฮยอนรับรู้ได้ว่าชานยอลมีความรู้สึกเช่นไรต่อเขา ซึ่งนั่นไม่สำคัญเท่าการที่เขารู้ใจตัวเอง เขารักชานยอล รักความใจดีที่มีขนาดเท่าปลาหนึ่งตัวเมื่อเทียบกับความใจร้ายที่ใหญ่เท่ากับทะเลสาบ

     

     

    แต่แบคฮยอนก็ยังรัก ทุกอย่างล้วนเป็นสัญญาณดีๆ ไม่มีอะไรซักอย่างที่แบคฮยอนจะต้องตะขิดตะขวงใจ

     

     

    แบคฮยอนเชื่อมั่นอย่างนั้น เช่นเดียวกับปลาทองที่ตัดสินใจกระโดดออกจากโหลแก้ว ด้วยคิดว่าข้างนอกจะสุขสมบูรณ์

     

     

     

     

     

     

     

    -------------------------

     

     

     

     

     

     

     

    “ไหนคุณบอกว่าปวดสะโพก” ไมอาร์ถามเมื่อเดินออกจากค่ายมาไกลพอสมควรแล้ว วันนี้ฟ้าโปร่งเหมือนเช่นทุกวัน ดวงอาทิตย์อยู่กลางศีรษะพอดิบพอดี

     

     

    “นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในกระโจมน่าเบื่อจะตาย” แบคฮยอนตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะทิ้งตัวนอนบนผืนหญ้าอุ่น

     

     

    “เดี๋ยวทรายเข้าตา” หนูน้อยว่า จากนั้นก็หยิบผ้าปักลายผืนเล็กๆออกมาวางคลุมใบหน้าของคนอายุมากกว่า

     

     

    แบคฮยอนลอบยิ้มภายใต้ผ้านิ่มผืนนั้น “ต่อจากนี้ไปเธอไม่ต้องกินทรายแล้วนะ”

     

     

    “คุณหมายความว่าไง”

     

     

    “หมายความว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้หญิงไม่ต้องหลบซ่อน มนุษย์ทุกคนมีสิทธ์เท่าเทียมกัน”

     

     

    แม่หนูเลิกคิ้วประหลาดใจ แม้คำพูดของเธอจะดูเหมือนไม่ปักใจเชื่อ กระนั้นแบคฮยอนก็ยังได้ยินความหวังออกมาทางน้ำเสียง “คุณจะทำได้หรอ?”

     

     

    “ได้สิ ชานยอลมีทุกอย่างที่จะทำมันได้”

     

     

    “แล้วเขาจะทำหรอ?”

     

     

    แบคฮยอนดึงผ้าออก เขายิ้มกว้างจนเจิดจ้ากว่าพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน  “แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”

     

     

     

     

    จากนั้นสองซี้ก็วาดความฝันกันบนแอ่งทรายกลางสนามหญ้า มีเมืองสงบสุขปราศจากสงคราม มีแม่จูงมือลูกสาว มีพ่อที่เพิ่งกลับจากที่ทำงาน

     

     

    ไมอาร์ขำทุกมุกตลกโง่ๆของแบคฮยอน ชายหนุ่มซึมซับความอารมณ์ดีของเธอด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อยามที่สาวน้อยของเขาเติบโตขึ้นมา เธอคงเป็นผู้หญิงที่สวยจนหาใครมาเทียบเคียงได้ยาก

     

     

    แบคฮยอนแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตให้กับเธอ ซึ่งแม่หนูน้อยก็โต้ตอบเขาด้วยเรื่องของเธอบ้าง ถึงจะยังเด็ก แต่เธอก็อัดแน่นด้วยประสบการณ์ที่แสนยากลำบากในฐานะที่เกิดเป็นผู้หญิง

     

     

     

    “ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นผู้ชาย” อยู่ดีๆไมอาร์ก็กุมมืออธิษฐาน

     

     

    “ไม่เอาน่า ความป่าเถื่อนจะต้องจบในยุคนี้แน่นอน มันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว” แบคฮยอนแย้ง แต่เสียงหนักแน่นเหมือนสัญญา “ความรักจะเปลี่ยนทุกอย่าง”

     

     

    “คุณเชื่ออย่างนั้น?”

     

     

    “ใช่”

     

     

    “งั้นหนูก็จะเชื่อด้วย” ไมอาร์ฉีกยิ้ม นอกจากสีตาและสีผม ฟันของเธอก็ยังเยอะเหมือนกับชานยอลไม่มีผิด

     

     

    เป็นคุณสมบัติทุกข้อที่ทำให้แบคฮยอนตกหลุมรักโดยปราศจากเงื่อนไข

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สองเพื่อนรักต่างวัยนั่งเล่นกันจนถึงเย็นย่ำ อันเป็นเวลาสมควรแก่การกลับค่ายแห่งความหวัง

     

     

    แดดจัดๆในวันนี้ทำให้แม่หนูอ่อนเพลีย แบคฮยอนจึงยอมสละแผ่นหลังให้เธอได้ใช้เป็นยานพาหนะ

     

     

    “กอดแน่นๆล่ะ จะเดินแล้ว” ชายหนุ่มให้สัญญาณก่อนสองขาจะทำหน้าที่ย่ำไปบนหญ้าเขียวขจี ถัดไปจึงเป็นแผ่นดินทรายสีทองนุ่มยวบ

     

     

    ไมอาร์ซบใบหน้าลงกับไหล่ของแบคฮยอน ร้องเพลงให้เขาได้จั๊กจี้อยู่ข้างหู เป็นเพลงเด็กๆที่บอกว่าบนท้องฟ้ามียูนิคอร์น ทะเลมีนางเงือก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “หนูว่าคุณเดินเลยค่ายมาแล้วนะ” แม่หนูสะกิดแผ่นหลังของสารถียิกๆ

     

     

    แบคฮยอนหยุดเดิน ก่อนเงยหน้าขึ้นมองรอบกาย “ยังไม่ถึงซักหน่อย”

     

     

    “แต่นี่จะเลยเข้าไปในตัวเมืองแล้วนะ”

     

     

    “ก็แล้วทำไมเราไม่เห็นค่ายละ”

     

     

    “...”

     

     

    “ค่ายหายไปไหน?”

     

     

    ด้วยความคิดนั้นทำให้ไมอาร์ดีดตัวลงจากแผ่นหลังของชายหนุ่ม ทั้งสองคนวิ่งกลับไปยังทางเดิมอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะพูดจาอะไรกันอีก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ไม่มีกระโจมสิบหลังคาติดกันท่ามกลางทะเลทรายอย่างในทุกวัน

     

     

    แบคฮยอนรู้สึกเคว้งคว้างยามที่มองไปเห็นเพียงแต่สันทรายสีทองอร่าม

     

     

    “หรือว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่จีนกันแล้ว”

     

     

     

    ไมอาร์ไม่ตอบคำถามนั้น ลำตัวเล็กจ้อยค่อยๆนั่งลงกับพื้น เธอใช้นิ้วจิ้มเขี่ยทรายเล่น ...ความผิดปกติบางอย่างทำให้เธอเงียบไป

     

     

    แบคฮยอนเห็นท่าทางอย่างนั้นจึงทรุดเข่าลงนั่งข้างหนูน้อย เขาปัดทรายเบาๆ ...มันเจือด้วยสีขาว สีขาวจากกระโจมไฟเบอร์

     

     

    แบคฮยอนปากสั่น ขนลุก รู้สึกกลัวทั้งที่ยังไม่รู้อะไรแน่ชัด

     

     

    กระโจมถูกทำลายจนเป็นผง หรือบางทีเรื่องก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้นก็ได้

     

     

    “คุณสัญญาแล้วว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป!!

     

     

    “เดี๋ยวก่อนสิ...มันอาจจะไม่ใช่” แบคฮยอนระล่ำระลักพูดเสียงสั่น ความเชื่อใจที่มีต่อชานยอลมากเกินกว่าจะถูกทำลายด้วยทรายสีขาวกับค่ายที่อยู่ดีๆก็หายสาบสูญ

     

     

    บางทีมันอาจจะ...

     

     

     

     

    เสียงลมจากยานลำใหญ่ดังมาจากน่านฟ้าเหนือศรีษะ ก่อนที่ยานลำนั้นจะค่อยๆลงจอดอย่างสง่างาม ท่ามกลางทรายที่ถูกตีเป็นวงกว้างกระจายออกเป็นคลื่นๆ ฝุ่นตลบอบอวล แต่ไม่มีใครหนีไปไหน

     

     

    แบคฮยอนหน้าชาเหมือนโดนตบ เมื่อหัวหน้าทีมของเขาเดินลงมาจากยานลำนั้น

     

     

    ชานยอลไม่พูดอะไรซักคำ เขาปรี่ไปที่เด็กสาวอย่างอุกอาจ กระชากกลุ่มผมของเธอจนลอยขึ้นมาจากพื้น

     

     

    “ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!!” พอได้สติแบคฮยอนจึงรีบเข้าไปดึงไมอาร์ออกจากเงื้อมมือของคนสูงใหญ่ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเด็กน้อยดังนั้น ดังเคล้าไปกับเสียงยานลำใหญ่ที่กระพือลมอยู่ทุกช่วงขณะ

     

     

    ชานยอลพยายามจะหักคอไมอาร์ แต่สุดท้ายแบคฮยอนก็ดึงเธอกลับคืนมาได้ แม่หนูรีบไปแอบหลังที่พึ่งสุดท้ายของเธอ แต่ดูเหมือนว่าแบคฮยอนก็ขวัญเสียไม่ต่างกัน

     

     

     

    “อย่าเข้ามานะ!” แบคฮยอนส่งเสียงขู่พลางก้าวถอยหลังชานยอลที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ ไมอาร์กอดเอวเขาแน่น ทุกอย่างบีบหัวใจจนคล้ายว่าจะหยุดเต้นลงเสียเดี๋ยวนี้

     

     

    “ก็บอกว่าอย่าเข้ามา

     

     

     

    ผลั๊วะ!

     

     

     

    หมัดหนักซัดเข้าดวงตาจนแทบล้มทั้งยืน แบคฮยอนมองชานยอลด้วยดวงตาข้างที่เหลือ ไม่อาจบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้

     

     

    แหวนไม้ที่ชานยอลสลักให้นั้นช่างชวนให้เจ็บปวดเสียเหลือเกิน

     

     

    ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เขาจำต้องเข้มแข็งเพื่อปกป้องไมอาร์ ในขณะเดียวกันก็ทรมานคล้ายจะขาดใจตายอยู่ตรงนั้น

     

     

    เพียงแค่ชานยอลซ้ำหมัดลงที่เดิมอีกครั้ง แบคฮยอนก็ล้มลงโดยไม่อาจต้านทานได้ เข่ากระแทกลงกับเม็ดทราย เม็ดเล็กแต่มันบาดใจเขา

     

     

     

    ชานยอลจิกหัวเขาเหมือนอย่างที่ทำกับไมอาร์ไปแล้วก่อนหน้า ออกแรงลากไปตามเส้นทางสู่ยานลำใหญ่ ไมอาร์ยังคงกอดเขาอยู่ กอดแน่นและร้องไห้สะอึกสะอื้น

     

     

    แบคฮยอนพยายามใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงแกะเด็กน้อยออก เขาไม่อยากให้ไมอาร์ติดไปด้วย แต่เหมือนว่าชานยอลจะต้องการให้ไมอาร์กอดเขาต่อไป เพราะทันทีที่พวกเขาขึ้นมาถึงยานและทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

     

     

    เหนือพื้นดินราวสามสิบเมตร ชานยอลก็ปล่อยไมอาร์ลงมา

     

     

     

    ไมอาร์ผู้มีดวงตาสีเฮเซล

     

    ไมอาร์ที่ชานยอลเคยช่วยลงมาจากต้นไม้

     

    ไมอาร์ที่อธิษฐานขอให้ชาติหน้าเกิดเป็นผู้ชาย

     

     

    ไมอาร์ที่...

     

     

    ไมอาร์

     

     

     

     

    แบคฮยอนกรีดร้องเสียงขาดห้วง เขาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเหตุผลหรืออุดมการณ์ของชานยอล ไม่อยากรู้ว่าที่จงอินตีสนิทกับพวกผู้หญิงก็เพื่อที่จะลวงความลับที่ซ่อนของคลังอาวุธ ไม่อยากรู้ว่าเซฮุนไปเอายานลำใหม่มาจากไหน ไม่อยากรู้ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปจัดการกับค่ายที่ใดต่อ

     

     

    แบคฮยอนรู้เพียงแต่ว่า เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า ผู้ชายที่เขารักได้ฆ่าเด็กคนหนึ่งที่เคยช่วยเหลือพวกเขาไว้ในยามลำบาก

     

     

    “แก!!” คนตัวเล็กกระโจนเข้าหาตัวการที่สร้างบาดแผลทั้งในร่างกายและจิตใจของเขาอย่างแสนสาหัส แต่ก็เป็นเช่นทุกครั้งที่นักสู้ปลายแถวไม่สามารถต่อกรอะไรกับหัวหน้าซาตาน

     

     

    ชานยอลผลักเขาออก เหวี่ยงลงกับพื้น และโยนเซรุ่มสีอำพันในกระเป๋าเสื้อไปให้คิมจงอิน

     

     

    “ฉีดจนกว่ามันจะยอมสงบ”

     

     

    เสียงนั้นดังก้องห้องโดยสาร แบคฮยอนน้ำตาไหลพรากลงมารวมกับน้ำเลือดจากดวงตาที่แตกยับ

     

     

     

     

     

    บางทีความรักอาจจะเป็นเช่นคำนิยามเก่าๆ ที่คนสมัยก่อนชอบเปรียบเปรย

     

     

     

    ความรักก็เหมือนการมอบปืนให้คนๆนึง ยอมให้เขาเอาปืนจ่อที่หัวใจ โดยเชื่อว่าเขาจะไม่ยิงมัน

     

    แต่เขาก็ยิง

     

     

     

     

     

     

     

    100%

     

    TALK

     

    ทีแรกเขียนตอนนี้ยาวมาก

    แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลบบทบรรยายทิ้งครึ่งหนึ่ง

     

    ใจความคงเดิม

    แต่มนุษยธรรมเพิ่มขึ้นมาหน่อย(เหรออ)

     

    เอาเถอะ หนูขอโทษค่ะ T/\T

     

     

    #fic3014

     

     








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×