คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ϟ chapter 4 : 100%
DADDYROCKLEGS
[CHAPTER4]
‘I started falling for you, Without a warning’
ฉันเริ่มจะตกหลุมรักเธอ โดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนก่อนเลย’
. . . . .
“ตื่นโว้ย!!”
“วันนี้แต่งงานนะตื่นได้แล้ว!!!”
จะมีคู่รักซักกี่คู่กันเชียวที่ตื่นสายในวันที่ต้องเข้าพิธีวิวาห์
“เหี้ยยย! สูทสีขาวแม่งหายไปไหนวะ!”
“เฮ้ยมึงไม่อาบน้ำก่อนหรอวะ!!”
“ไม่ทันแล้วเว้ย มึงก็ไม่ต้องอาบเลยนะ!! ไอ้ฟายแล้วนั่นใส่กางเกงยีนส์ได้ไง!”
จะมีคู่แต่งงานซักกี่คู่ที่หาชุดแต่งงานไม่เจอ
จะมีเจ้าบ่าวเจ้าสาวซักกี่คนบนโลกที่ไม่อาบน้ำชำระล้างร่างกายในวันมงคลสูงสุดงานหนึ่งของชีวิต
“อย่าดันกูสิโว้ย!”
“มึงก็ถอยหน่อยดิ กูต้องการพื้นที่ กูยัดขาเข้ากางเกงไม่ได้!!”
“โธ่ อีอ้วน!!”
จะมีบ่าวสาวซักกี่คนที่เข้างานสายที่สุด ทั้งที่เป็นงานแต่งของตัวเอง
จะมีซักกี่คู่ที่ไปโบสถ์โดยแยกกันไป คนหนึ่งขับรถส่วนตัว อีกคนขึ้นรถประจำทาง
แต่จะมีซักกี่คู่ก็ช่างประไร....
ยังไงพวกเราก็ไม่ใช่คู่รักกันจริงๆอยู่แล้ว -__-
ผมก้มมองนาฬิกาขณะยืนชิดในอยู่บนรถเมล์ด้วยหัวใจที่ร้อนรน ...ชิบหาย พูดได้คำเดียวเลยว่าชิบหาย!
โทรศัพท์ก็เสือกตั้งสั่นไว้เลยไม่ได้ยิน ม๊ากับไอ้โด้โทรตามเป็นร้อยสายได้ ว่าแล้วโทรกลับซักหน่อยดีกว่า
“โด้นี่กูเองนะ”
‘ไอ้ห่าแบค! ป่านนี้เพิ่งโทรกลับเนี่ยนะ! บาทหลวงจะจับกูแต่งกับรูปปั้นหน้าโบสถ์แทนมึงกับผัวมึงอยู่แล้วนะเว้ย!’
“เฮ้ยใจเย็นก่อนดิ กูขอโต๊ดด แล้วนี่ม๊ากับป๊ากูอยู่กับมึงใช่มั้ย”
‘เออ มาเร็วๆเลย ม๊ามึงหน้าหงิกแล้วเนี่ย’
“เออๆบอกม๊าว่าแป๊บนะ”
ผมกดตัดสายก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง พยายามส่องดูเงาสะท้อนตัวเองที่ฉายอยู่บนประตูรถเมล์ ถึงแม้ภาพที่เห็นจะไม่ชัดเจนนักหากเทียบกับกระจก แต่ก็พอจะเห็นได้ลางๆ ...ถึงผมจะหลงตัวเองประมาณหนึ่งอะนะ แต่ก็คงต้องยอมรับกันอย่างลูกผู้ชายว่าผมแม่งเป็นเจ้าบ่าวที่สภาพเหี้ยที่สุดในสามโลก!
แผลฟกช้ำถลอกปอกเปิกนี่คือเห้ไร? ผมสีน้ำตาลที่โคนดำสนิทเพราะไม่มีเวลาย้อมทับชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง หน้าก็มันเยิ้มเพราะรีบจัดจนได้ล้างแค่น้ำเปล่า ไหนจะถุงเท้าที่ใส่มาแค่ข้างเดียวเพราะหาอีกข้างไม่เจอ โชคดีที่รองเท้าบังไว้ ไม่งั้นทุเรศลูกตาตายชัก สูทขาวผมก็หาไม่เจอไม่รู้ป้าแม่บ้านแกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เลยยืมสูทสีเขียวของไอ้ชานยอลมาใส่แทน ซึ่งแม่งเสี่ยวโคตรพ่อโคตรแม่...เหอะ
จะว่าไปไอ้ชานยอลก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมซักเท่าไหร่ครับ รายนั้นหากางเกงเข้าชุดกับสูทที่ทางร้านส่งมาไม่เจอ แม่งเลยจัดยีนซ์ฟอกขาวขาดๆซีดๆ รองเท้าหนังที่ร้านส่งมาก็ไม่อาจทัดทานตีนโตๆของมันได้ ผมเห็นแวบๆก่อนออกจากบ้านว่ามันหยิบผ้าใบสีแดงออกมาจากตู้
บรรลัยมันเข้าไป...
ว่าแต่ผมจะแยกกับมันมาทำไมวะ-__- ทำไมไม่มีใครเตือนให้ติดรถไปกับมัน
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอนหลังพิงไปกับเสา ทับมือใครบ้างแม่งก็ช่างเหอะ ตัวผมก็ออกจะผอมบางซะขนาดนี้ เจ้าของมือเขาคงไม่เจ็บหรอก
ว่าแต่นั่นคือโบสถ์ที่จัดงานแต่งของผมใช่มั้ย?
อ๋อ ใช่ ผมจำสีหลังคาป้อมยามหน้าโบสถ์ได้
สวัสดีนะโบสถ์ วันนี้อากาศจัดว่าดีใช้ได้
บ้ายบายนะโบสถ์...
บ้ายบายเหี้ยไร!! จอดดิวะจอด!!!
ผมกระโจนไปทุบประตูดังปังเมื่อสำเหนียกขึ้นมาได้ว่านั่งเลยป้ายมาแล้ว คนขับหันมาส่งสายตาดุก่อนจะบอกให้ผมไปยืนดีๆและห้ามขวางประตู
ผมยกมือขึ้นปิดหน้าและร้องไห้กระซิกๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางเอกละครเวทีที่นั่งร้องไห้อยู่หน้าม่าน สปอร์ตไลท์ฉายมาเกิดเป็นจุดสว่างอยู่รอบกาย แค่ซาวน์มา น้ำตาก็ไหล...
ครืด
ประตูเปิดออกอีกครั้งเมื่อรถแล่นมาถึงอีกป้าย เหล่าบรรดาผู้โดยสารพากันกรูออกทางประตูเบียดเสียดร่างของผมที่ผอมบางเหมือนหนังหุ้มกระดูก
โอ๊ย!ใครเหยียบตีนกูวะ!!
ผมหลุดร้องเสียงหลง ก่อนจะกระโดดกระต่ายขาเดียวออกมาจากรถเมล์มหาประลัย แต่ด้วยความซุ่มซ่ามที่เป็นเองหรือติดมาจากพันธุกรรมก็ไม่แน่ใจ ผมที่ทรงตัวลำบากอยู่แล้วเพราะเท้าเจ็บข้างนึงล้มหน้าคว่ำลงไปนอนเคียงข้างกับถังขยะของเทศบาล
เท่านั้นยังไม่พอ....
มีเด็กคนหนึ่งขี่จักรยานทับร่างผมไปซะอย่างนั้น ฝากรอยดอกล้อรถไว้กลางหลังพร้อมความเจ็บปวดอย่างร้ายกาจ
พระเจ้า...ในชีวิตนี้คงไม่มีใครเข้าใจเราได้เท่าอัครเดชและพรประภาอีกแล้ว!
แต่ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อไป ผมใช้ใบหน้าบวมเต่งของม๊าเป็นแรงบันดาลใจในการสู้ชีวิตก่อนจะฮึดสู้อีกครั้ง
ฮึ่บ!
ผมยันตัวลุกขึ้นยืน ปัดเศษฝุ่นออกจากสูทสีเขียวปี๋ ก่อนจะเดินเขย่งๆออกจากบริเวณถังขยะที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ตลอดเวลา
เปลวแดด ณ เวลาสิบโมงโหดร้ายทารุณพอๆกับกลิ่นเท้าของโดคยองซู(ขอโทษนะเพื่อนรัก) ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนจะหยุดพักพิงตัวไปกับเสาไฟ ไม่ ต้องคิดว่าผมจะโดดไฟดูดตายหรอกครับ นี่มันฟิคคุณพ่อขาร็อคนะ ไม่ใช่นิยายดาวพระศุกร์ที่นางเอกจะต้องรันทด หดหู่ และสู้ชีวิตอย่างหนักจนหืดขึ้นคอขนาดนั้น
ผมจ้องเงาสะท้อนของตัวเองในแอ่งน้ำขังข้างฟุตบาท หน้าตาอย่างนี้...โอ้คุณชายจุฑาเทพชัดๆ
ซู่!
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย! ขับปาดหาพ่องหรอ ขับชิดทำไมห๊ะ มึงจะขับชิดทำม๊ายยย รถอ่ะขับเป็นมั้ย นี่ป๋าแบคนะเว้ย!” ผมแหกปากตะเพิดด่ารถของใครซักคนที่บังอาจเหยียบเงาคุณชายแบคแห่งราชวงศ์จุฑาเทพในน้ำขัง แถมยังเป็นตัวการทำให้น้ำเน่าๆนั่นกระเด็นขึ้นมาโดนตัวผมอีกต่างหาก! ผมมองจุดสีน้ำตาลเข้มที่กระจายเต็มกางเกงสแล็คสีขาวด้วยความขมขื่นใจ...โทรเลื่อนนัดบาทหลวงให้มาทำพิธีพรุ่งนี้ได้มั้ยวะ?
ผมก้มลงพับขากางเกงก่อนจะออกเดินต่อ ถ้าบอกคนแถวนี้ว่าผมกำลังจะไปเข้าพิธีวิวาห์คงไม่มีใครเชื่อแน่ๆอ่ะ ให้บอกว่าไปประกวดซูปเปอร์โมเดลยังน่าเชื่อซะกว่า เพราะเบ้าหน้าค่อนข้างดี
ผมเลิกเพ้อเจ้อ(ควรจะเลิกได้ตั้งนานละ) ก่อนจะสปรีดตัวเองสุดความสามารถ จนในที่สุดผมก็มาหยุดยืนที่ประตูทางเข้าห้องโถงสำหรับทำพิธีในโบสถ์
แต่แดแดแด แต่แด๊แด่แด~
เสียงเพลงที่เรามักได้ยินกันเสมอในงานแต่งงานดังขึ้นกลบกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆของผม
ผมจับราวประตูเหล็กที่ใช้เปิดปิดเข้าไปข้างในแน่น ...หากผลักเข้าไปเมื่อไหร่ ผมจะไม่ใช่คนโสดอีกต่อไปแล้ว
ผมจะ...จะแต่งงานแล้วหรอเนี่ย?
ผมเม้มริมฝีปากแน่น คิดหนักและชั่งใจ ...เปิดดี...ไม่เปิดดี ...ข้างในงานตอนนี้จะเป็นยังไง ไอ้ชานยอลจะขับรถมาถึงแล้วหรือยัง แล้วบาทหลวงจะกำลังทำหน้ายังไงอยู่? จะมีแขกมาร่วมงานกี่คน? ม๊าจะใส่ชุดเดรสสีชมพูที่ผมส่งไปให้มั้ย แล้ว...แล้วผมจะทำตัวถูกมั้ยเนี่ย?
จะต้องยิ้มหรือว่าจะต้องทำหน้าแบบไหนดีนะ?
“เฮ้ออออ” ผมถอนหายใจเหยียดยาว มือที่จับราวประตูอยู่ผ่อนแรงลง ก่อนจะค่อยๆคลายออกมาในที่สุด ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าหรือเปล่าที่โค้งคำนับให้บานประตู แต่ก็นั่นล่ะ ผมบอกลามันก่อนจะหันหลังกลับไปยังทางเดินเดิมๆ
ลาก่อนงานแต่งงานจอมปลอม
บยอนแบคฮยอนไม่มีอะไรไม่คู่ควรกับพิธีแต่งงานเลยซักอย่าง
“จะไปไหน?”
“อ..อ้าว สวัสดี..มอร์นิ่งนะ”
“มอร์นิ่งบ้าอะไรของนาย -__-“
ผมมองจงอินที่ยืนกอดอกขวางทางเดินด้วยสีหน้าที่ไปไม่เป็น พยายามส่งยิ้มไปให้ แต่ก็รู้ตัวนะว่าแม่งเป็นรอยยิ้มที่ตลกที่สุดในโลก
“งั้นกู้ดอาฟเตอร์นูนทีชเชอร์”
“เพี้ยนไปแล้วรึไง -__-“
“เมอร์รี่คริสมาสต์นะอินจัง”
คนตัวสูงมองผมด้วยสายตาเอือมระอา ก่อนจะจับให้ผมหันหน้าไปเผชิญกับประตูโบสถ์อีกครั้ง
“เข้าไปได้แล้ว เลทมาเป็นชั่วโมงๆ ไม่สำนึกเลยรึไง” จงอินพูดเสียงเข้ม จับมือผมขึ้นมาก่อนจะบังคับให้จับประตูโบสถ์อีกครั้ง แต่จู่ๆขาผมก็สั่นพั่บๆ...
“ไม่เอาอ่ะ ไม่แต่งแล้ว”
“ปัญญาอ่อน เข้าไปเร็วๆ!”
“ไม่เอา! นี่อย่ามาบังคับนะ!” ผมพยายามฝืนตัวออกจากจงอินที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง แต่อีกฝ่ายก็แรงควายได้อีก จงอินยกตัวผมจนเท้าลอยไม่ติดพื้น เท้าใหญ่ดันประตูให้เปิดออก ก่อนที่ผมจะถูกถีบให้เข้าไปข้างใน
อ๊ากกกก...ไม่นะ!!
แสงข้างในโบสถ์สว่างจ้า และแสงที่ส่องผ่านกระจกใสสีต่างๆก็กลายเป็นแสงหลากสีทอประกายวิบวับสวยงาม ผมยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ซักพัก ท่ามกลางความเงียบงันและตกตะลึงของบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลาย เพลงคลาสสิกหวานซึ้งยังคงบรรเลงอยู่ แต่คราวนี้เสียงหัวใจของผมกลับดังมากกว่า
ผมปัดขากางเกงแก้เก้อ พร้อมสูดลมหายใจเรียกสติ...เพิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่บนพรมแดงที่ทอดยาวไปยังแท่นพิธีพอดิบพอดี
สองข้างของพรมแดงเป็นเก้าอี้ม้านั่งตัวยาวต่อกันเป็นแถวๆเหมือนในโบสถ์ทั่วไป มีแขกไม่กี่คน อืมม...ก็ประมาณสิบกว่าคนได้ ผมเห็นม๊าใส่เดรสสีชมพูลายลูกไม้ที่ผมสั่งไปให้ทางอินเตอร์เน็ต แล้วก็เห็นโดคยองซูยืนทำตาเหลือกอยู่ใกล้ๆกัน
ระฆังโบสถ์ต้องลมดังกริ๊งๆ และชานยอลก็ยืนอยู่บนแท่นพิธี ตรงกลางเป็นบาทหลวงในชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์
ผมค่อยๆก้าวเดินอย่างเชื่องช้า เหมือนถูกมนต์สะกดที่ไม่แรงกล้าแค่อ่อนหวานเหมือนภาพฝัน ทุกๆอย่างล้วนพร้อมใจกันร่ายเวทย์ให้ผมก้าวเดินไปยังแท่นพิธีที่ทำจากหินอ่อน
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ปาร์คชานยอลในมาดการวางตัวที่สงบนิ่งและเป็นผู้ใหญ่ออกปากรับคำว่าจะรับผมเป็นคู่ชีวิต ผมตาพร่ามัว ไม่สามารถแยกแสงสีใดๆได้อีก หูอื้ออึง กระนั้นก็ยังออกปากไปว่ายอมรับอีกคนให้มาเป็นคู่ชีวิตกัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเชื่องช้า แต่ตัวผมดันเป็นเหมือนลูกข่างที่หมุนด้วยความเร็วประหนึ่งพายุทอร์นาโด ผมหมุนเร็วจนมึน ในขณะที่สิ่งรอบกายเหมือนหยุดนิ่ง ตัวผมเป็นดังรถไฟที่วิ่งแหวกรางไม้ที่อยู่เฉยๆ ผมไม่อาจควบคุมตัวเองได้เลย
ใจผมเบาเหมือนนุ่น ถึงจะไม่มีสติมากแต่ผมก็พอจะรู้ว่าเราข้ามขั้นตอนการแลกแหวนไป ซึ่งผมก็ไม่ได้ทักท้วง เช่นเดียวกับแขกคนอื่นๆที่ปล่อยเลยตามเลย
พิธีในโบสถ์ผ่านไปในสภาพที่ผมยังไม่พร้อมจะเปิดรับอะไรซักอย่าง แขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับ และแน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะกลับมาใหม่ในงานตัดเค้กที่จะจัดในโรงแรมคืนนี้
. . . . .
“ไหวมั้ยเนี่ยอาป๋าย” ม๊าโบกมือไหวๆอยู่ตรงหน้าของผม ผมสะบัดหัวสองสามทีเพื่อเรียกสติ
“ก็ได้อยู่นะม๊า”
“เมื่อคืนลื้อม่ายล่ายนอนรึงาย ตาเตอบวมเป่ง เลี้ยวทำไมปากลื้อเจ่อยังงั้นล่ะอาป๋าย”
ผมมองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวช่วย เห็นคยองซูยืนคุยอะไรซักอย่างอยู่กับรุ่นพี่ที่รู้จักกันอยู่ที่ซุ่มดอกไม้ ไม่ทันจะอ้าปากเรียก ตัวช่วยที่ไม่ต้องการดันเสร่อเดินมายืนข้างๆกันซะอย่างนั้น
“คุณแม่สวัสดีครับ”
ผมมองปาร์คชานยอลด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ นี่ดื่มไวน์ร่วมสาบานจนเพี้ยนไปแล้วรึไง? ถึงได้ทำตัวสุภาพเว่อร์ นี่กะจะแย่งตำแหน่งคุณชายจุฑาเทพไปจากบยอนแบคฮยอนใช่มะ!? หึ แผนสูงเฟ่อร์
“ซาหวักลีอาชานยอล พ่อคุงเอ๊ย ทำไมหล่อล่ายขนาดนี้ มารยาทก็ลี ตัวก็สูง”
ภาพลวงตาชัดๆเหอะม๊า!
ไอ้ชานยอลยิ้มละมุน มันตอแหลเนียนมาโอบเอวผมหน้าตาเฉย “คุณแม่ก็สวยเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ผมยังเด็กๆเลยครับ”
จ้า...ก็ว่ากันไป -__-
ผมกระทุ้งสีข้างมันเบาๆให้มันเลิกโอบซักที แต่อีกฝ่ายกับทำสีหน้าเจ็บปวด ร้องโอดครวญประหนึ่งว่าผมเอาตีนกระแทกหน้าเต็มเหนี่ยวซะอย่างนั้น
“อาป๋าย!! ทำไมไปทำพี่เขายังงั้นล่ะ!”
“ก็มันน่าหมั่นไส้นี่ม๊า ไปไกลๆเลยนะไอ้หูกาง!”
“อาป๋าย! ทำไมลื้อหยาบคาย ทำตัวเกเรไม่ได้เรื่องหยั่งงี้ล่ะ!!”
ไอ้ชานยอลแสร้งยิ้มหน้าเศร้า “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ ผมไม่ถือสาหรอก”
น่าหมั่นไส้แท้เหลา...
“อาป๋าย ถ้าลื้อไม่อยากให้ม๊าโกรธไปมากกว่านี้ ลื้อขอโทกอาชานยอลอีเหลียวนี้เลยนะ นี่อั๊วยังไม่ล่ายสะสางเรื่องที่ลื้อมางานสายเลย อย่าให้มีอีกเรื่อง!”
อาม๊าคนสวยของผมทำหน้าบึ้ง ...นั่น เท้าเอวแล้วไง...องค์จะลงแล้ว
ผมตวัดสายตามองไปยังไอ้ชานยอล เห็นมันแอบอมยิ้มขำ ทั้งยังยักคิ้วล้อผมอย่างเป็นต่อ หนอยยย อิหอยเม่นก้นทะเลลึก! มารยาสารไถยเป็นที่สุด!
“ขอโทกอาชายอลอีสิ!”
“ม๊าอ่ะ...”
“อาป๋าย!!”
“งื้ออ...”
“เร็วๆ!”
ผมช้อนตามองไอ้ชานยอล...ช่วยกันหน่อยก็ไม่ได้เลยนะ นี่กระพริบตาปริบๆแล้วนะเนี่ย ช่วยหน่อยสิ ช่วยกู!
“อาป๋ายอย่าให้ม๊าโกรธนะ”
ม๊าก็ขู่จังเว้ยเฮ้ย ทำไมต้องดุลูกต่อหน้าคนอื่นด้วยเนี่ย ไม่ไว้หน้าคนหล่อเลยอ่ะ! ผมยู่ปาก เอาวะ... ให้มันจบๆไป
ผมหันไปทางไอ้ชานยอล เงยหน้าสบตากันเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะหลบตาไปทางอื่น “ขอโทษ”
“อะไรนะ?”
“ก็บอกว่าขอโทษยังไงเล่า!!” หูก็ออกจากใหญ่ แค่นี้ทำเป็นไม่ได้ยิน!
“ขอโทษลีๆ” ม๊าก็บังคับจั๊งงง จะให้เอาธูปเทียนแพมากราบมันเลยมั้ย?!
ฮึ่ย!... ด้วยความที่อยากจะประชด ผมเลยยกมือขึ้นไหว้ซบลงที่อกของไอ้ชานยอลแม่ง
“คุณปาร์คชานยอลครับ ผมขอโทษษษษษ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
แว่วเสียงไอ้หูกางหัวเราะชอบใจ เอ้ออ ยกนี้มึงชนะ แต่ยกหน้าป๋าแบคไม่ยอมแพ้แน่นอน รับรองเข้าหอคืนนี้ผมจัดหนักจัดเต็ม รับรองมันเดินไม่ได้ไปหลายวัน หึหึ
“อายุน้อยกว่าเค้าไม่ช่ายหรอ เรียกพี่สิ”
ผมหันไปมองม๊าควับ...จะเยอะไปแล้วนะอาม๊า!
“เร็วๆ!”
“พี่ชานยอลครับ เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษด้วยนะครับ” ผมกระแทกเสียงในทุกพยางค์ ไอ้ชานยอลยิ้มร่า จะชอบใจอะไรนักหนาวะ!
“เรียกชานเลี่ยก็ได้ เหมือนที่น้องป๋ายเคยเรียกตอนเด็กๆไง”
ไอ้นี่! ได้คืบจะเอาศอก!
“อาชางยอลยังจำได้อีกหรอเนี่ย น่ารักจริงๆลูกเขยคนนี้”
ม๊าทำหน้าเคลิบเคลิ้ม คงจะหลงสเน่ห์ไอ้ร็อคเกอร์นี่แล้วแน่ๆ แหงสิใส่หน้ากากเจ้าชายหล่อเนี้ยบซะขนาดนั้น นี่ขนาดมันใส่กางเกงยีนส์มาแต่งงานนะเนี่ย ม๊ายังฟินซะไม่เห็นหัวผมเลย
“น้องป๋ายก็จำได้ครับพี่ชานเลี่ย น้องป๋ายขอโทษนะครับ แล้วนี่จะกรุณายกโทษให้ได้ซักทีรึยังล่ะครับ?” ผมถลึงตาประชดประชัน อยากจะปลีกตัวไปเม้าธ์กับไอ้โด้ใจจะขาด นี่ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องเงินสี่ล้านที่มันเอามาไถ่ตัวผมกับไอ้อินจังเลย
ไอ้ชานยอลยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่บุ๋มลงไป ผมยอมรับนะว่าร็อคเกอร์ดิบเถื่อนในหน้ากากเจ้าชายในฝันแสนสุภาพ มันน่าหลงใหลจนเล่นเอาผมเคลิ้มไปเหมือนกัน
“พี่ก็ต้องยอมอยู่แล้วสิครับ น้องป๋ายของพี่น่ารักซะขนาดนี้”
ผมแอบแลบลิ้นใส่อย่างหมั่นไส้ ก่อนที่เราสามคนจะคุยอะไรกันต่ออีกนิดหน่อย ผมพยายามหาข้ออ้างในการปลีกตัวออกมา ซึ่งเหมือนม๊าจะรู้ว่าผมเบื่อจะคุยแล้ว เลยยอมปล่อยให้ผมกับไอ้ชานยอลเป็นอิสระ
“เฮ้ออ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกในขณะที่สายตามองแผ่นหลังของม๊าที่เดินไปสมทบกับแขกคนอื่นที่อยู่ไกลออกไป
“อย่าเพิ่งถอนหายใจสิครับน้องป๋าย นี่ยังมีงานตัดเค้กอีกนะครับ”
ผมเหล่มองมันอย่างเซ็งๆ “เลิกเล่นได้แล้วล่ะน่า จะอ้วก”
“ยังไม่ทันปล้ำ ท้องแล้วหรอครับน้อง”
ไอ้นี่...เล่นไม่เลิก
“แล้วเราต้องไปเตรียมตัวที่โรงแรมต่อเลยใช่ป่ะ งั้นไปกันเลยเหอะ กูหิวแล้ว จะได้แวะหาไรกินระหว่างทาง” ผมพูดเลี่ยงเบี่ยงประเด็น ขี้เกียจเถียงกับแม่งแล้ว เมื่อยปาก
“งั้นไปกินที่โรงแรมเลยก็แล้วกัน”
ไอ้ชานยอลผีเข้าแหงครับ มันยกมือขึ้นกอดคอผมให้เดินออกจากโบสถ์ไปด้วยกัน ก่อนที่เราจะขึ้นรถสปอร์ตสีแดงเพลิงของมัน มุ่งตรงไปยังโรงแรมที่จะใช้จัดงานในคืนนี้
“ขับเร็วๆดิ กูหิว”
“น้องป๋าย...เด็กอ้วน”
“เฮ้ย กูบอกเลิกเล่นได้แล้วไง!” ไอ้บ้านี่กูขนลุกหมด ที่สำคัญกูไม่ได้อ้วนเว้ย
ไอ้ชานยอลไม่ได้ว่าอะไร มันเอาแต่ยิ้มกริ่ม นี่ตกบันไดหัวฟาดพื้นป่ะ ยิ้มห่าไรนักหนา
“แล้วนี่มึงไม่หิวบ้างไงวะ” ได้ข่าวว่าไม่ได้กินข้าวมาเหมือนกัน
ไอ้ชานยอลยักไหล่ ปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัย ก่อนจะใช้มือข้างนั้นลูบหัวผมเบาๆ
“พี่อิ่มมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะครับ”
“.....”
“ชิมลิปมันน้องป๋ายจนอิ่มเลย”
??
พูดบ้าอะไรของมัน...ประสาท
50%
16/10/14
#คพขร
ย้อนกลับมาที่น้องฮุนกันครับท่านผู้อ่าน
ณ เช้าวันเดียวกับที่ชานแบคเข้าพิธีสมรส เด็กน้อยโอเซฮุนผู้แสนเริงร่า ก็ได้ลืมตาคู่งามขึ้นมาเบิ่งโลก...
Sehun’s part
‘ตื่นเถิดกะเทย อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรงเพราะกะเทยทั้งหลาย ถ้ามัวหลับมัวหลง ชาติก็คงมลาย เราต้องหาผู้ช๊ายย ตื่นเถิดกะเทย’
เสียงเพลงปลุกใจประจำชาติกะเทยที่ฮุนนี่ตั้งเอาไว้ดังสนั่นก้องห้องนอนสีชมพูประตูสีฟ้าของฮุนนี่ ฮุนนี่จำต้องงัวเงียตื่นขึ้นมาแหกขี้ตาล้างหน้าแปรงฟัน แต่ก่อนที่ฮุนนี่จะทำกิจอันสมควรเหล่านั้น ฮุนนี่ก็จะต้องกระทำสิ่งที่สำคัญกว่าก่อน นั่นก็คือ...
การเปิดโซเชียลเน็ตเวิร์คในโทรศัพท์
อุ๊ย!แจ้งเตือนเด้งเต็มเลย ไหนๆ ขอเช็คสิว่าพี่จุนมยอนหนุ่มฮ็อตสุดหล่อพ่อรวยจะมากดไลค์รูปฮุนนี่รึเปล่าน้า
ซูโฮโอฬาร และ คนอื่นอีก 1,246,255 ถูกใจสิ่งนี้
อุ๊ปส์ เขิลจางงง พี่เขาต้องชอบน้องฮุนแน่ๆ>///<
ว่าแล้วก็ตั้งสเตตัสอ่อยซะเลย
สเตตัส ฮุนนี่ขยี้พรหมจรรย์ : กดไลค์รูปเรา แปลว่ารักเราใช่มั้ย?
สามวิต่อมา...
สเตตัส ซูโฮโอฬาร : มือเผลอไปโดน ไม่ได้ชอบกะเทย
พี่จุนกล้าดียังไงมาแหกหน้าฮุนนี่แบบนี้เนี่ย!! ฮุนนี่พราวทูบีในสิ่งที่ฮุนนี่เป็น อย่างนี้ต้องไฝว้สถานเดียว!
สเตตัส ฮุนนี่ขยี้พรหมจรรย์ : ฮุนนี่ภูมิที่ได้เป็นกะเทย จำไว้นะพวกชะนีแอนด์พวกผู้ชายที่ไม่เห็นค่ากะเทยทั้งหลาย ในวันที่โลกเกิดภัยพิบัติ พวกเธอทั้งหลายก็คงต้องตายตกไปตามกันจนหมด มีเพียยงแมลงสาบและกะเทยเท่านั้นที่อยู่ยั้งยืนยง อย่าได้ดูถูกพวกเรา จาก #ฮุนนี่กะเทยมีศักดิ์ศรีดีกรีแชมป์โลกหัวโปกแต่น่ารัก
เอาล่ะ ฮุนนี่ขอหยุดการทะเลาะเบาะแว้งไว้เพียงเท่านี้แล้วจรลีไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนดีกว่า ก่อนที่อารมณ์ยามเช้าของฮุนนี่จะต้องหม่นหมองไปมากกว่านี้
หลังจากชำระล้างร่างกายด้วยน้ำแร่เอเวียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องเช็คตารางงานนิดนึงอะค่ะ ไหนดูสิวันนี้มีอีเว้นท์อะไรบ้าง
1.แบคกี้กับยอลลี่แต่งงาน
2.ไปดูดวงกับเดอะแก๊งค์กะเทยท้ายตลาด
3.ขายจูบการกุศลเพื่อนำเงินไปช่วยมดอพยพ
4.ไปกิน(คนส่ง)พิซซ่า
ฮุนนี่หยิบเมจิสีแดงแรงฤทธิ์ขึ้นมา ก่อนจะวงอีเว้นท์ที่สำคัญที่สุดที่ต้องรีบไปทำเป็นอันดับแรกในวันนี้
แน่นอนว่าคำตอบที่ถูกที่สุดก็ต้องเป็นข้อสี่อยู่แล้ว >///<
. . . . .
ณ บ้องอ้อยภูธรเดอะพิซซ่า
ฮุนนี่นั่งไขว้ห้างสวยๆอยู่ที่โต๊ะตัวในสุด มองซ้าย มองขวา หาพ่อหนุ่มหน้ามนคนหน้าหล่อคนนั้น หลังจากที่เราสองต้องมีอันพลัดพรากกัน เธอจะคิดถึงฉันอย่างที่ฉันคิดถึงเธอบ้างรึเปล่านะ? ฉันไม่อยากเป็นคนเดียวที่ทรมานหัวใจอย่างนี้เลย ตั้งแต่แยกจากกันไป ฉันก็ถวิลหาเพียงแต่เธอคนเดียวไม่เหลียวมองใคร
อุ๊ย!ลูกค้าคนนั้นแซ่บจางงง!!
ไม่ได้นะฮุนนี่! วันนี้เรามาหาพี่ชายหน้ามนคนส่งพิซซ่า ห้ามหวั่นไหวกับชายอื่นเด็ดขาด! คนอ่านนี่ก็ไม่เตือนเลยวุ้ย ‘รมณ์เสีย
ว่าแต่เมื่อไหร่จะเจอกันนะ?
“เอ่อ...ไม่ทราบว่ามีพนักงานมารับออเดอร์แล้วรึยังครับ?”
“ก็ยังน่ะสิวะ...คะ...ค่ะๆ ยังไม่มีเลยค่ะ” กรี๊ดดด แทบจะเปลี่ยนคำพูดไม่ทันเลยค่าคุณผู้อ่าน คนที่เดินมารับออเดอร์ก็คือพี่หน้ามนที่ฮุนนี่กำลังคิดถึงสุดหัวใจนั่นเองค่าา >///< เขินไม่ไหวแล้วๆ บิดไปทั้งตัวและหัวนมเลย อร๊างง
“อ่า งั้นรับอะไรดีครับ?” ดูดวงตาของเขาสิ ช่างหวานแหวว หยดย้อย หยาดเยิ้ม ยืดเยื้ออะไรปานนี้ ประหนึ่งแสงประกายของหลอดนีออนในห้องน้ำที่ส่องกระทบหยอกล้อกับขอบโถส้วม จมูกก็สันเป็นคม เส้นผมก็ทำไฮไลต์ กระเป๋าก็ค็อกโคดาย กางเกงก็ลีวายส์ จะเรียกผู้ชายก็คิดดูให้ดี คิดๆดูให้ดี
อุ๊ยตาย ป้ายบนหน้าอกเขียนไว้ว่า ‘ลู่หาน’ ...พี่หาญสุดหล่อของน้องฮุน
“เอ่อ รับ รับอะไรดีครับ?”
ถามอย่างนี้ก็เขินสิคะ “ขอเป็น พิซซ่าหน้าความรัก สลัดผักความคิดถึง
สปาเก็ตตี้ความคำนึง มันบดทั้งรักทั้งหวงทั้งหึงเพียงแค่เธอ”
“อ...เอ่อ ต้องขออภัยนะครับ ทางร้านเราไม่มีบริการตามที่คุณผู้ชายสั่งเลยครับ”
คุณ-ผู้-ชาย!!!
นี่พี่หาญเห็นน้องฮุนเป็นคุณผู้ชายหรอคะ!! ด๊ายย รอให้ฮุนนี่ได้งาบก่อนเถอะ จะสั่งสอนซะให้เข็ดเลยพ่อกวางน้อย!
“งั้นร้านพิซซาบ้องอ้อยภูธรมีเมนูอะไรแนะนำมั้ยคะ พี่หาญช่วยบอกเล่าเก้าสิบน้องฮุนที” พูดพร้อมรอยยิ้มหวานละไม ขนตานั้นไซร้กระพริบปริบๆ
“ช่วงนี้เราจัดโปรโมชั่นเป็นเซ็ทอยู่นะครับ ถ้าเป็นเซทประหยัด1 ก็จะมีพิซซ่าหน้าลาบหมาในขอบไส้อั่วคั่วชีส เสิร์ฟคู่กับหอมแดงกับพริกขี้หนูชุบแป้งทอด เครื่องดื่มเป็นน้ำกระเจี๊ยบปั่น แล้วก็เซทประหยัด2 มีพิซซ่าหน้าอ่อมไส้แพะขอบลูกกรอกชีส
ออเดิร์ฟเซ็ทนี้ก็จะเป็นส้มตำปูม้ากับสลัดผักคางคก แล้วก็ขนมปังกระทิง เครื่องดื่มเหมือนเซ็ทประหยัด1 ครับ”
“แหม น่ากินจังเลยนะคะ”
“ครับ ร้านเราชนะเลิศโครงการร้านพิซซ่าหมาไม่แดกมาสามปีซ้อนแล้ว ^^”
“แหมมม ภูมิใจได้อีก งั้นเอาเป็นเซ็ทหนึ่งก็แล้วกันค่ะ”
“เพิ่มห้าวอนเป็นน้ำแก้วใหญ่มั้ยครับ”
“อ๋อค่ะ จะยกอ่างมาให้ดื่มเลยก็ได้ค่ะ ฮุนนี่ไหว”
จากนั้นพี่หาญชาญสมรของฮุนนี่ก็เดินไปยื่นออเดอร์ที่เคาท์เตอร์ พี่หาญช่างหล่อเหลาเร้าใจอะไรอย่างนี้ เรือนร่างกำยำภายใต้ยูนิฟอร์มสีแดงเขียวช่างน่าลูบไล้เสียนี่กระไร ทำเอาใจน้องฮุนหวิวๆ
ในระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ น้องฮุนก็คันไม้คันมือ สันดานมันออกอ่ะค่ะ ว่าแล้วก็หยิบไอโฟนขึ้นมาถ่ายคลิปลงโซเชียลแคมดีกว่า...แต่วันนี้จะรีวิวอะไรดี?
ฮุนนี่ล่องลอยกับความรักจนไม่รู้จะบอกต่อสรรพคุณเครื่องสำอางชิ้นใดบนโลกนี้ ใจมันวูบๆโหวงๆ แต่กระนั้น น้องฮุนคนนี้ก็ไร้เดียงสาเกินกว่าจะฟันธงว่านี่คือความรัก น้องฮุนยังไม่แน่ใจเลยค่ะคุณขา ...ทูนหัวของบ่าว ฮุนนี่จะทำเยี่ยงไรดี??
ตั้งกระทู้ถามในพันทิปก็แล้วกัน
‘สวัสดีค่ะ คือเรามีปัญหาจะมาปรึกษากับเพื่อนๆชาวพันทิปซักหน่อย ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยที่อาจจะแท็กห้องไม่ถูกนัก แต่อาการที่เราเป็นอยู่ก็ต้องการคำตอบจากคุณแม่ทั้งหลายด้วย ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะแท็กห้องแม่และเด็ก เราเชื่อว่า หลังจากเกี้ยวคุณพ่อได้สำเร็จแล้ว เราต้องได้เป็นคุณแม่แน่ๆเลย
เข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ คืออย่างนี้ เมื่อคืนเราสั่งพิซซ่ามากินที่บ้าน แล้วก็ได้เจอกับคนส่งพิซซ่าสุดหล่อห่อหมกคนหนึ่ง ซึ่งเราก็ตกหลุมรักเขาทันที ร่างกายรุ่มร้อน จนอยากจะถอดกางเกงใน แต่เราก็อายุไม่มากเท่าไหร่ ไม่เคยมีประสบการณ์รักมาก่อน เราก็เลยอยากจะมาปรึกษาเพื่อนๆพันทิปว่าอาการที่เราเป็นอยู่นั้น เรียกว่ารักหรือเปล่า?
อย่างแรกก็คือ เรามองอะไรก็เป็นสีชมพูไปหมดทุกอย่างสิ่ง เมื่อเช้าขี้ก็เป็นสีชมพู แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากอาการความรักบังตา หรือเมื่อคืนเรากินมาม่าเย็นตาโฟมากไปหน่อย
อาการที่สองก็คือ เราใจเต้นตุ้มๆต่อมๆเมื่อคิดถึงเขา พอได้พบสบตาหัวใจเราก็ shake it baby จนเต้านมจะหลุดออกจากทรวง อานุภาพของเขาที่มีต่อเราช่างร้ายแรงเหลือเกิน
อาการสุดท้ายก็คือ มดลูกของเรามันร่ำร้องหาคนเป็นพ่อ แล้วเมนส์เราก็ไม่มาหลายเดือนแล้วด้วย
เพื่อนๆคิดว่า เรารักเขาแล้วรึยัง แล้วถ้าเขาหลงรูปเราจะมาขอมีอะไรด้วย จะปฏิเสธอย่างไรดี ที่ไม่ให้ดูเป็นการหักหาญน้ำใจคะ?’
ฮุนนี่กดส่งกระทู้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขินจัง ต้องเล่าเรื่องของเราให้คนอื่นฟังเนี่ย อุ๊ยๆ มีคนมาตอบแล้ว
คห.1 : นิยายเชิญห้องข้างๆ
คห 2 : พี่แนะนำว่าก่อนอื่น น้องต้องถอดแว่นกันแดดออกก่อน เผื่อว่าเลนส์แว่นกันแดดที่น้องใส่อยู่จะเป็นสีชมพู
อุ๊ย จริงด้วยแฮะ...แย่จังเรา ไม่น่าใส่แววกันแดดนอนเลย
คห.3 : คงไม่มีใครตอบคำถามน้องได้หรอกครับ คนที่จะตอบคำถามนี้ดีที่สุดก็คือใจของน้องเอง จะเป็นรักหรือหลงก็ต้องให้เวลาเป็นตัวตัดสิน
ช่างตอบได้ซาบซึ้งอะไรเช่นนี้...กระซิกๆ น้องฮุนจะให้เวลาพี่หาญนะคะ
อ่านได้อีกสามสี่คอมเม้นต์ พิซซ่าแบบฉบับภูธรก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะโดยพนักงานเจ้าเก่าเจ้าเดิม พี่หาญญี่ของฮุนนี่นั่นเอง >///<
“พี่หาญเลิกงานกี่โมงหรอคะ?”
“ม..หมายถึงพี่หรอ?” แหม ประหม่าใหญ่เลยคนหล่อของน้อง ลิ้นพันกันเชียว น่ารักจุงเบย บ่องตงรักจุงเบ้ย!
“ใช่ค่ะ ฮุนนี่หมายถึงพี่หาญนั่นแหละ”
“ถามทำไมหรอครับ?”
“ฮุนนี่ก็จะได้รอกลับพร้อมพี่หาญยังไงล่ะค่ะ><”
“ฮ่าๆๆ น้องนี่ตลกจังเลย”
โอ๊ย! อย่ามาขำนะ อย่ายิ้มอย่างนั้นสิบ้องอ้อยภูธรของน้อง โอ๊ยระทดระทวย สวยไม่ทน!
ฮุนนี่ไม่รู้จะทำยังไงดีกับหัวใจในอกที่เอาแต่เรียกหาพี่หาญ ฮุนนี่อยากได้พี่หาญมาครอบครอง ฮุนนี่ต้องทำเช่นไร!!
“อุ๊ย! น้ำกระเจี๊ยบปั่นเพิ่มห้าวอนได้แก้วใหญ่หกใส่เสื้อ รดคอมาถึงหัวนมฮุนนี่เลยค่า!” ฮุนนี่ไม่ได้ตั้งใจราดน้ำใส่ตัวเองนะคะฮุนนี่สาบานได้ มันเป็นแอคซิเดนท์ล้วนๆ
“พี่หาญเช็ดให้ฮุนนี่หน่อยสิคะ เย็นจัง เหนียวตัวไปหมดเลย”
ด...เดี๋ยวค่ะพี่หาญ นั่นมันผ้าขี้ริ้ว
แล้วฮุนนี่น้อยๆก็ต้องนั่งเซ็งให้พี่หาญใช้ผ้าเช็ดโต๊ะ เช็ดตั้งแต่หน้ายันกระบังลม -_- ไอ้เหี้ยพี่หาญ
นี่ถ้าไม่รัก ไม่ทนนะคะ....
พี่หาญใช้ผ้าดำๆกระทำชำเราผิวขาวๆของฮุนนี่เสร็จแล้วก็ใช้ผ้านั้นเช็ดโต๊ะต่อ
“พี่เลิกงานห้าโมงครับ น้องไม่ต้องรอหรอก นี่เพิ่งเที่ยงเอง” พี่หาญพูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่ติดจะขี้อายอยู่ซักหน่อย ก่อนจะโค้งขอตัวไปทำงานต่อ
พ่อเทพบุตร.... พ่อไชยามิตรชัย... พ่อกวางน้อย... พ่อหน้ามนของฮุนนี่
ชาตินี้ฮุนนี่จะรักใครได้อีกคะ!! ตอบ!!
จากนั้นฮุนนี่ก็นั่งจ้องจะงาบ เอ๊ย จ้องมองพี่หาญด้วยความรักใคร่ดูเอ็นไปเรื่อยๆ จนเวลาเดินไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งจรวดมิสไซ
‘ก็โทรมาจุ๊บๆ เซฮัลโหลค่ะจุ๊บๆ ใจมันเต้นดังตุ๊บๆ คิดถึงจังเลย’
ฮุนนี่มองหน้าจอไอโฟนล้านแปดเอสด้วยความเซ็งสุดขีด ยอลลี่จะโทรมาหาพระแสงพะแนงหมูทำไมเนี่ย ฮุนนี่ยังโกรธยอลลี่อยู่เลยนะ บังอาจไปแต่งงานกับคนอื่นนอกจากมัมมี่ของฮุนนี่ได้ไง!
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความโหดร้ายและเสียงตะคอกดังๆของยอลลี่ที่ฮุนนี่เกลียดนักเกลียดหนาก็ทำให้ฮุนนี่ต้องตัดใจกดรับสาย เพราะฮุนนี่ไม่อยากโดนยอลลี่ดุด่าเหมือนที่อินจังโดนซักเท่าไหร่ ฉะนั้นไม่หือจะดีที่สุด
“ซาหวาดดีค่ายอลลี่”
‘อยู่ไหน?’
“เอ่อ อยู่ร้านอาหารค่า ณ จุดๆนี้ต้องขออภัยที่ไม่สามารถไปร่วมงานแต่งของยอลลี่กับแบคกี้ได้ แต่ฮุนนี่เชื่อว่า งานดีๆอย่างนี้ยังมีอีกเจ็ดวัน เจ็ดคืน ก็ต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดะ...”
‘หยุดไร้สาระก่อนได้มั้ยเซฮุน ทำไมไม่มาช่วยงานแต่ง รู้มั้ยว่ายุ่งมากแค่ไหน’
ตอนนี้ฮุนนี่เองก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้วล่ะค่ะ ยอลลี่มาว่าฮุนนี่ไร้สาระแถมยังเรียกฮุนนี่ว่าเซฮุนอีกต่างหาก! หนูไม่ยอม หนูจะฟ้องปวีณา!
“ฮุนนี่ไม่กลับค่ะ! ยอลลี่ก็ให้อินจังกับบรรดาลุงๆเพื่อนยอลลี่ช่วยไปสิ!”
‘ไม่ช่วยก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่เซฮุนขโมยแหวนหมั้นแบคฮยอนไปรึเปล่า’
“ย...ยอลลี่”
‘ใช่รึเปล่า?’
ฮุนนี่เสียววาบไปถึงกระดูกสันหลังเลยค่าา ฮุนนี่ไม่ใช่กะเทยหัวรุนแรงอะ แต่ฮุนนี่ก็ไม่อยากให้ยอลลี่แต่งงานใหม่ ฮุนนี่ไม่อยากให้ยอลเอาใครมาแทนที่มัมมี่ของฮุนนี่ ฮุนนี่ก็เลยใช้วิธีกบฏเล็กๆเพื่อบอกเป็นนัยว่าฮุนนี่ไม่ได้เห็นด้วยนักหรอกนะ
‘กลับบ้านเมื่อไหร่เราได้คุยกันยาวแน่’
“ยอลลี่อย่ามากล่าวหาฮุนนี่นะ”
‘ไม่ได้กล่าวหาหรอก แต่ถ้าคืนนี้กลับบ้านมาไม่มีแหวน เซฮุนซวยนะครับ...’
ยอลลี่คนดิบเถื่อนกล้ากรอกเสียงเย็นชาใส่ลูกสาวที่น่ารักได้ยังไงคะ! แถมยังตัดสายใส่กันอีก
ฮุนนี่ยกมือปาดน้ำตาป้อยๆ ฮึกๆ เอายังไงดี โรงรับจำนำมันปิดห้าโมง คงต้อง
รีบไปไถ่แหวนออกมาก่อนที่โรงจะปิด แต่ถ้าอย่างนั้นฮุนนี่ก็ต้องพลาดโอกาสกลับบ้าน
กับพี่หาญน่ะสิ!
ฮุนนี่มองพี่หาญที่กำลังเสิร์ฟพิซซ่าอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ นี่ก็สี่โมงสี่สิบแล้ว
เสียงกรุ๊งกริ๊งของโมบายประตูร้านดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของลูกค้าคนใหม่...
“เฮ้ยลู่หาน!” ผู้ชายตัวผอมๆ แก้มเต่งๆเดินยิ้มร่าเข้ามาในร้าน แถมยังบังอาจโบกไม้โบกมือให้พี่หาญของฮุนนี่ ...หนูแทบหยุดหายใจ ตอนที่พี่หาญยิ้มตอบแล้วเดินไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ชายคนนั้น!
ฮุนนี่เปิดกระเป๋าตังค์ ควักเงินวางกระแทกบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมองไปที่ทั้งคู่อย่างอาฆาตแค้น
ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ใส่เสื้อกับกางเกงบอลกะโหลกกะลา มันมีดีกว่าฮุนนี่ตรงไหน!
ฮุนนี่จงใจเดินแทรกทั้งสองคนที่กำลังกอดรัดกันอยู่
แต่ชิบ...ชิบหายละ
ผมหางม้าแฮร์พีซที่ยาวสลวยสวยเก๋ของฮุนนี่ติดแหง็กอยู่กับกระดุมเสื้อของพี่หาญ!!
ท่ามกลางความตกใจ มันก็มีความฟินเล็กๆอะนะ กิกิ เหงื่อไคลผู้ชายอาร๊ายยยจะหอมขนาดเน้!
“คุณลูกค้าอยู่นิ่งก่อนนะครับๆ อย่า อย่าไซร้สิเว้ยครับ!”
ฮุนนี่ตวัดสายตาโชว์เหนือใส่พ่อหนุ่มแก้มกลม... ก็ไม่รู้สินะ -.,-
พี่หาญพยายามแกะผมของฮุนนี่ออกอย่างใจเย็น แต่เวลาก็เดินไปอย่างไม่รอใคร กรี๊ดดดดดดดด โรงรับจำนำจะปิดแล้ว!!
“พี่หาญเร็วๆหน่อยได้มั้ยคะ!”
“ยางรัดผมมันเข้ามาพันด้วยอ่ะครับ”
“เร็วๆสิค๊าา! ฮุนนี่มีธุระเร่งด่วน!!”
พี่หาญมองพ่อหนุ่มหน้ากลมอย่างขอความคิดเห็น มือที่สามคนนั้นวิ่งหายเข้าไปหลังร้าน ก่อนจะออกมาพร้อมอุปกรณ์อันแหลมคม
ฮุนนี่อ้าปากเหวอมองกรรไกรด้วยหัวใจหวาดหวั่น ...อย่าบอกนะว่า...
ฉับ!
กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!! ยางรัดผมที่มัมมี่ซื้อให้ฮุนนี่!
“พี่หาญตัดยางฮุนทำไม!”
“...”
“ฮึก...ฮึก พี่หาญตัดยางฮุนทำไมอ่ะ พี่หาญตัดยางฮุนทำไม!”
ฮุนนี่จ้องใบหน้าเอ๋อเหรอของพี่หาญด้วยหัวใจที่ร้าวรานประหนึ่งจะแตกสลาย น้ำตาคลอหน่วงปริ่มๆอยู่ที่ขอบ
แค่พี่หาญกอดกับคนอื่น ฮุนนี่ก็เจ็บปวดเกินจะทานทนอยู่แล้วนะ แต่นี่พี่หานยังตัดยางรัดผมที่มัมมี่ของน้องฮุนซื้อให้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายตอนที่น้องฮุนอายุได้เจ็ดขวบ
“น้องฮุนเกลียดพี่หาญ ชาตินี้ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลย!!” ฮุนนี่สะบัดบ๊อบใส่พี่หาญ ปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะเดินเชิดๆออกมาจากบ้องอ้อยภูธรเดอะพิซซ่า
“เดี๋ยวครับ!!”
นั่นไง...สุดท้ายก็มาง้อ
“คุณลูกค้าลืมโทรศัพท์ครับ”
!!!
ฮึก....น้องฮุนเกลียดผู้ชาย!
กลับเข้าสู่งานวิวาห์ของชานแบคกันดีกว่า ก่อนที่น้องฮุนจะแย่งซีนกันไปมากกว่านี้ -_-
ผมกับไอ้ชานยอลมาถึงโรงแรมในอีกสิบห้านาทีต่อมา ซึ่งผมก็พยายามทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าของงานอ่ะครับ คือมาถึงโรงแรมปุ๊บผมก็เสร่อไปดูสถานที่จัดงานปั๊บ ส่วนไอ้ชานยอลก็เป็นตัวของตัวเองได้อย่างคงเส้นคงวา นางดิ่งไปรอที่ร้านอาหารเลยจ้า นางไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น
ผมเดินต้อกแต้กไปหยุดที่หน้าห้องโถงสำหรับจัดงาน ตรงทางเข้ามีโต๊ะลงชื่อเข้างานที่มีสาวๆกำลังวุ่นวายกับการจัดของชำร่วย ผมเดินผ่านไปก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเหล็กที่หุ้มด้วยริบบิ้นสีขาวออกแล้วชะโงกหน้าเข้าไปแอบดู
เพิ่งรู้ว่างานที่จะจัดในคืนนี้เป็นธีมพาราไดซ์(ตรงคอนเซ็ปต์สตูดิโอเป๊ะๆ) โต๊ะมีไม่กี่โต๊ะตามจำนวนแขกเหรื่อที่พวกเราเชิญเฉพาะที่สนิทกันจริงๆ
ผมมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่มีใครห้ามหรือตำหนิอาการซนของผม ผมก็เลยค่อยๆย่องเข้าไปข้างในเพื่อสำรวจสถานที่ให้มากกว่านี้
โอ้โห...สวยเช็ดเคล็ดขัดยอก
70%
ตอนนี้ยาววว
รัก
นี่ถ้าไอ้ชานยอลสมัยตอนเด็กๆมาเห็นนะ มันคงปรบมือเป็นแมวน้ำเสียสติไปแล้ว
โคมไฟคริสตัลห้อยระย้าอยู่กลางงานระยิบระยับและล้อแสงเป็นประกาย มีพรมสีขาวที่ทำจากกำมะหยี่ปูราดตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงเวทีที่สูงจากพื้นพอสมควร ทุกอย่างฟูฟ่อง กลิ่นไอเย็นๆที่เจือกับกลิ่นดอกลิลลี่ขาวและกุหลาบหอมตบอบอวล มันไม่ใช่กลิ่นที่หอมจนเลี่ยน มันเย็นๆและก็ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายใจ โต๊ะกลมคลุมด้วยผ้าสีข้าวฉลุลายลูกไม้ เก้าอี้คลุมด้วยผ้าลื่นสีขาวผูกประดับด้วยริบบิ้นสีชมพูหวานแหวว ช้อนส้อมตะเกียบและจานชามบนโต๊ะเป็นกระเบื้องเนื้อดีสีขาวนวลที่แต้มด้วยลวดลายกุหลาบสีชมพูอ่อนหวาน ที่ขอบเครื่องครัวเหล่านั้นเป็นสีทองดูหรูหรามีมูลค่า
จู่ๆน้ำตาผมก็รื้นขึ้นมา ชุดถ้วยชามช้อนส้อมนี่มาจากบ้านผมเองครับ ม๊าสะสมไว้ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก คงจะให้ไอ้โด้ช่วยขนมาใช้ที่งาน
แต่ก่อนบ้านผมไม่ค่อยจะรวยเท่าไหร่ แล้วไอ้ชุดทานข้าวนี่ก็เป็นสมบัติราคาแพงหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ครอบครัวของผมมี จำได้ว่าเด็กๆเคยเตะบอลไปโดนเหยือกลายกุหลาบนี่ตกลงมาแตกเพล้ง ผลคือโดนตีไปชุดใหญ่ ผมงอนม๊าไปหลายวัน ไม่เข้าใจว่าจะอะไรกันนักกันหนากับไอ้ถ้วยชามลามไหนี่
ม๊าให้เหตุผลว่าจะเก็บไว้ใช้ในงานสำคัญ
ผ่านมาเป็นสิบปีๆ เพิ่งได้เอาออกมาใช้ครั้งนี้ครั้งแรก ผมควรจะยินดีมั้ยเนี่ย ฮ่าๆๆ
จากนั้นผมเดินทำหน้าเอ๋อสำรวจงานต่อไป เห็นพนักงานของสตูดิโอวอคุยงานกันอย่างเคร่งเครียด แจกันดอกไม้หรูหราถูกย้ายแล้วย้ายอีกกว่าจะได้ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด แสงที่ถูกฉายในงานเป็นสีที่เย็นตามัวๆนวลๆ ทำให้เหมือนมีหมอกไออะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกคล้ายกับกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์
นักดนตรีกำลังซ้อมกันอยู่บนเวที ผมโบกมือทักทายคริสที่กำลังเช็คเสียงเครื่องดนตรีด้วยสีหน้าจริงจัง เขาทำหน้าตกใจนิดหน่อยตอนเห็นผม ก่อนจะสั่งให้ทุกคนหยุดเช็คซาวน์เหมือนกลัวว่าผมจะล่วงรู้ว่าค่ำคืนนี้พวกเขาจะเล่นเพลงอะไร
มีกรงนกขนาดใหญ่สลับเล็กห้อยประดับอยู่รอบๆงาน ข้างในมีดอกยิปโซสีขาวแซมด้วยไลแล็คสีชมพูอยู่ข้างใน ทุกอย่างเหมือนสวรรค์จริงๆครับ ผมไม่ได้โม้เกินจริงแม้แต่นิดเดียว ไอ้ผมก็ไม่เทพพอจะบรรยายทุกอย่าง เอาเป็นว่าแม่งสวยโคตรๆ
ในงานมีโซนอาหารแบบบุพเฟ่ต์ค็อกเทลแล้วก็มีแชมเปญทาวเวอร์เจ็ดชั้นด้วย นี่ปกติถ้าไปสั่งแบบนี้ที่ผับเสียเฉียดล้านนะครับนี่
บรรยากาศเต็มไปด้วยสีขาวแซมชมพูหวานและเปล่งประกายด้วยแสงตกกระทบจากโคมไฟคริสตัล ผมหยุดยืนอยู่หน้าเวทีคล้ายว่ากำลังถูกมนต์สะกดอันแปลกประหลาดเล่นงานอยู่ ความปั่นป่วนซึมซาบเข้าสู่กระแสเลือด...ตาของผมพร่ามัวตอนที่มองขึ้นไปบนเวทีและจินตนาการเป็นภาพตัวเองในชุดทักซิโด้สีขาวบริสุทธิ์
แน่นอนว่าคนที่ยืนเคียงข้างผมอยู่นั้นต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในโลก สวยเซ็กเอ็กซ์อึ๋มแบบที่ผู้ชายทั้งเกาหลีใต้ต้องอิจฉา
แต่แล้วฟองสบู่ความคิดฝันของผมก็แตกดังโป๊ะ!!
เจ้าสาวของผมสูง 180 กว่าๆ ลูกกระเดือกนี่แม่งใหญ่ซะกูนึกว่ามึงกินมะนาวทั้งเปลือกลงไปติดคอ แต่ลูกกระเดือกมันก็ใหญ่ได้ไม่เท่าหูหรอกครับ โอ๊ยยตาย เห็นหูทีไร นึกว่าชานยอลจะบิน! แล้วเวลาพูดกันแต่ละคำนะ เสียงนี่ยังกะระฆังแตกแหกชิมิ ไม่อยากจะคิดสภาพตอนมันทำหน้าที่ภรรยาให้ผม มันคงครางเสียงกระเส่าอ๊ะๆๆๆ อ๊ะโหเหะสบู่หอมตราลูกไก่อะไรละ! โหยยยย บยอนแบคฮยอนอยากจะบ้า!
คุณพอจะเข้าใจชีวิตลูกผู้ชายป่ะครับ? เกิดมาทั้งทีใครก็อยากได้เมียสวยๆ น่ารักๆ อ้อนเก่งๆกันทั้งนั้นแหละ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาน้อยในทุ่งกว้างที่ต้องยอมจำนนต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ แน่นอนว่าถ้าทุ่งนี้มีผมวิ่งเล่นอยู่แค่ตัวเดียว ผมก็คงจะไม่แคร์ซากไดโนเสาร์อะไรทั้งสิ้น แต่พอดีทุ่งนี้ดันมีอะไรอีกมากมายที่ผมต้องเกรงใจและซึ้งในพระคุณ
บางทีบยอนแบคฮยอนอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าบ่าวทสุดหล่อของเจ้าสาวแสนสวย แต่บยอนแบคฮยอนเกิดมาเป็นลูกชายที่จะตอบแทนป๊ากับม๊าให้มากที่สุด ถ้าป๊ากับม๊าคิดว่าการแต่งงานนี่มันดีแล้ว และผมเองก็ไม่ได้เจ็บช้ำถึงขั้นปางตาย ผมก็จะถือซะว่าเป็นเรื่องราวดีๆเรื่องหนึ่ง
เฮ้อออ คิดได้อย่างนี้แล้วผมก็พอจะปล่อยวางลงได้บ้าง
จริงๆถ้าไม่นับความกวนตีน ขี้เก็ก เจ้าชู้ ฟอร์มเยอะ ปากมอม ไอ้ชานยอลก็ไม่เลวร้ายซักเท่าไหร่...มั้ง
นี่ๆ ผมจะบอกความลับอะไรให้อย่าง แต่มันก็ผ่านมานานแล้วอ่ะนะ
ผมอ่ะเคย...
อ๊ากกกกกกกกกกก!!!
ไม่เอาดีกว่า มันน่าอายเกินไปTT เอาเป็นว่า ช่างมันไปเถอะครับ
ผมเดินออกจากห้องบอลรูมด้วยใบหน้าร้อนๆชาๆ ก่อนจะถูกญาติทางฝั่งไอ้ชานยอลที่กำลังจัดของชำร่วยอยู่หน้างานทักเข้าให้
“อ่าพี่ยูรา สวัสดีครับ” ผมโค้งเก้าสิบองศา ถึงจะไม่ได้เจอพี่ยูรานานมากๆแล้ว แต่ผมก็จำโครงหน้ากับดวงตากลมโตนั่นได้ พี่สาวคนสวยพูดทักทายด้วยรอยยิ้มก่อนจะยื่นของชำร่วยกับการ์ดงานแต่งมาให้
ผมคงเป็นเจ้าบ่าวคนแรกของโลกที่เห็นการ์ดแต่งงานหลังแขกรับเชิญ แล้วไอ้การ์ดรูปฟาร์มตัวประหลาดกับตัวหนังสือขยุกขยิกนี่มันอะไรกัน ไอ้คริสทำใช่มั้ย?
อยากแก้แค้นกูเรื่องแกงกิมจิในคืนนั้นสินะ -_- เอาเถอะ เอาที่พ่อคุณพอใจ
จากนั้นผมยืนคุยกับพี่ยูรากับเพื่อนๆพี่เขาอยู่ซักพัก ก่อนจะขอตัวออกจากวงสนทนา เนื่องจากหิวไม่ไหวแล้วว้อยย ป่านนี้ไอ้ชานยอลคงสั่งอาหารเต็มโต๊ะแล้วมั้ง
ผมเดินกลับเข้าไปในร้านอาหารของโรมแรม เห็นไอ้ชานยอลกำลังนั่งคุยอยู่กับใครก็ไม่รู้อยู่ที่โต๊ะตัวในสุด ด้วยมารยาทอันงดงามที่สั่งสมมาตั้งแต่คิ้วเส้นที่แปดยังไม่งอก ผมจึงเดินเข้าไปเสือกทันที
“ไง รอนานป่ะ?” ผมฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร ไอ้ประโยคน่ะพูดกับไอ้เจ้าสาวหูกาง แต่ตาผมอ่ะมองสาวน้อยแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างมันเขม็ง ใครวะ? ทำไมสวยจัง? นี่สนใจเสี่ยเลี้ยงป่าวครับน้อง เสี่ยหน้าตาดี ไม่มีรถขับ โทรศัพท์ถ่ายรูปได้นะ
ไอ้ชานยอลทำหน้าเซ็งที่เห็นผมเข้ามาแทรกกลางปล้อง มันเหล่มองผมอยู่แวบนึงก่อนจะหันไปพูดกับผู้หญิงหน้าตาดีคนนั้น
“ไอ้นี้เป็นเพื่อนน่ะ”
ผมเผลออ้าปากเหวอกับคำแนะนำตัวที่ถูกยัดเยียดสถานะความเป็นเฟรนด์มาให้ ...อิห่านพูดมาได้ไง จะได้เสียเป็นเมียผัวกันคืนนี้อยู่แล้ว เดี๋ยวปั๊ดกูกดแสปมแม่ง
“อ่า งั้นฉันไม่กวนอปป้าแล้วค่ะ ยังไงคืนนี้ฉันจะรอที่คลับนะ ช่วยมาเร็วๆด้วยน้า”
“อือ แล้วจะรีบไป”
ผมมองตามผู้หญิงที่สวยยังกะตุ๊กตาขณะลุกเดินออกไปจากร้าน ก่อนจะหันมาตวัดสายตาใส่คนที่ยังคงนั่งไขว้ห้างอยู่
“หน้าม่อ”
“...” ไอ้ชานยอลไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น แต่ดันยักคิ้วจึ้กๆส่งมาให้ และผมรู้สึกว่าแม่งกวนประสาทชิบหาย -_-
“ถ้าอยากไปหาก็ไป” ผมพูดประชดเสียงกระแทก หวังว่ามันจะรู้ตัวและสำนึกซะบ้างว่าตัวเองทำไม่ถูก อย่างน้อยในวันแต่งงานก็ไม่ควรดอดไปจากห้องหอ ถึงจะเป็นการแต่งงานที่ไม่เต็มใจทั้งสองฝ่ายก็เหอะ
ไอ้ชานยอลเดาะลิ้นเล่น สายตาที่ใช้มองมาทางผมแม่งโคตรรรรรกวนส้วงติง แถมคำพูดที่เปล่งออกมาแม่งก็สุดจะวอนหาเรื่อง
“ไม่บอกก็ไปอยู่แล้ว”
ผมชะงักเงิบแดกเลยครับ อยากจะตะคอก อยากจะพาล อยากจะเหวี่ง แต่สุดท้ายสิ่งที่แสดงออกไปก็มีเพียงคำพูดเรียบๆ เพราะเมื่อมาคิดไตร่ตรองดูดีๆแล้ว มันไม่เห็นจะมีความจำเป็นที่ผมจะต้องไม่พอใจถ้าชานยอลจะไปกับคนอื่น ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย
“ไปซะได้ก็ดี”
“อย่าแจ้นไปฟ้องพ่อแม่กับพี่สาวกูก็แล้วกัน”
“เหอะ คิดว่ากูจะทำอย่างงั้นหรอ”
“แน่สิ มึงมันตัวน่ารำคาญ”
คำว่าน่ารำคาญนี่แม่งเจ็บกว่าคำด่าหยาบคายประมาณสิบล้านเท่า
จริงๆผมก็เสียใจนะ แต่ก็ช่างมันเถอะ
ผมสั่งอาหารที่อยากกินมาเพิ่มเติมเมนูที่ไอ้ชานยอลสั่งไป ไม่นานพาเหรดมื้อเช้าควบเที่ยงก็แห่ขบวนออกมาวางเต็มโต๊ะ ผมลงมือกินเงียบๆ ส่วนไอ้ชานยอลก็จิบกาแฟด้วยใบหน้าไม่มีฟีลลิ่งใดๆทั้งสิ้น
บางทีผมคงต้องสร้างความเคยชิน และจัดระบบความคิดตัวเองเสียใหม่ ผมควรจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ควรตะหนักไว้แล้วว่าระหว่างเรามันไม่ใช่ความรัก
ชานยอลที่แสนดีในงานแต่งเมื่อเช้า สามารถเปลี่ยนเป็นชานยอลที่เย็นชาได้เสมอเมื่อเราอยู่กันแค่สองคน ฉะนั้นมันไม่มีประโยชน์ที่ผมต้องเสียใจ เพราะชานยอลไม่มีวันรู้ หรือถึงจะรู้มันก็ไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว ผมควรสงสารมันด้วยซ้ำ เพราะมันก็คงมีความคิดเดียวกับผมนั่นแหละ
...คงจะดีกว่านี้ ถ้าเจ้าสาวของเราเป็นผู้หญิงสวยๆซักคน
เอาเป็นว่าผมจะเห็นใจมันในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมก็แล้วกัน
“นั่นอะไร?”
ผมมองไปยังสิ่งที่ไอ้ชานยอลชี้ ก่อนจะหยิบมาออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทสีเขียวยังกะหนังเคโรโระ
“การ์ดแต่งงานกับของชำร่วย พี่มึงเอามาให้กูเมื่อกี้”
ไอ้ชานยอลพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหยิบทั้งสองอย่างไปจากมือของผมโดยไม่พูดขออนุญาตอะไรซักคำ จากนั้นมันก็เปิดการ์ดอุบาทว์ๆนั่นดู ผมล่ะโคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่าไปใช้ให้ไอ้ห่าคริสออกแบบทำไมวะ!!
“แรดนี่มึงแหง” ไอ้ชานยอลจิ้มให้ดูข้างใน มันเป็นรูปวาดที่วาดจากปากกาเมจิกสีทองอร่าม
“งั้นไอ้อัลปาก้าผีกระสือนี่ก็คงเป็นมึง ฮ่าๆๆๆ มันน่าจะวาดหูกางๆว่ะ ฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะร่วนตอนที่เห็นไอ้ชานยอลทำหน้าไม่พอใจ มันวางการ์ดลงก่อนจะหยิบของชำร่วยขึ้นมาแทน
ของชำร่วยงานเราเป็นเปเปอร์โมเดลชุดบ่าวสาวตัวป้อมๆ ไม่อยากจะยอมรับหรอกครับ แต่ว่ามันก็น่ารักดี
“มีสองตัว งั้นกูขอตัวนึง” ไอ้ชานยอลพูดก่อนจะจิ๊กตัวเจ้าบ่าวไปหน้าตาเฉย
“เฮ้ยเอาเจ้าสาวไปดิ งานนี้กูเป็นเจ้าบ่าวนะ!” ผมยืดตัวไปคว้าเอาเจ้าบ่าวของผมคืน แต่ไอ้ชานยอลดันเสือกชูไว้สุดแขน
ไม่ทันที่ผมจะได้เปเปอร์โมเดลมาไว้ในครอบครอง ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้คนนั้นก็วิ่งกลับเข้ามาในร้าน
“ฉันลืมขอเบอร์อปป้าน่ะค่ะ ขอไว้ได้มั้ย”
“ได้สิ มีปากกามั้ย?”
“มีค่ะ แต่ไม่มีกระดาษ~”
สาวน้อยคนสวยยื่นปากกามาให้ ไอ้ชานยอลก็เลยแก้ปัญหาการไม่มีกระดาษด้วยการเขียนเบอร์โทรลงไปในการ์ดแต่งงาน
“เอาเบอร์เธอมาด้วยสิ”
คราวนี้ก็คลี่เปเปอร์โมเดลออกมา ก่อนจะยื่นให้ผู้หญิงคนนั้นจดเบอร์ลงในพื่นที่ส่วนที่เป็นสีขาวๆ
ผมวางตะเกียบกระแทกจานดังเคร้ง ก่อนจะปาของชำร่วยชุดเจ้าสาวที่ยังสภาพดีอยู่ใส่หน้ามันเพราะความทนไม่ไหว
“ไอ้เฮงซวย!!”
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดอ่ะครับ เพราะสิ่งที่ผมทำจริงๆก็คือ ใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวปลาขึ้นมาเคี้ยวหนึบหนับ -_- อร่อยจังเลย อร่อยจังเลย
ผู้หญิงคนนั้นพอได้เบอร์แล้วก็จากไปอีกครั้ง ผมรู้สึกเจ็บใจมากๆจนอยากจะกระชากหัวไอ้ชานยอลมากดลงกับโต๊ะแล้วก็กระแทกๆๆๆให้เลือดแตกสาแหลกขาด!
มึงต้องตายหยังเขียด!
“โกรธหรอ”
“...” ยังจะมีหน้ามาถาม
“ถามว่าโกรธใช่รึเปล่า”
“....”
“ป๋าย”
“เออ!!โกรธ!!” ผมจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเคียดแค้น เรื่องหักหาญน้ำใจคนอื่นนี่เก่งนักนะ!!
ผมเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะลุกขึ้นอย่างแรง กำลังจะหันหลังเดินออกไปอยู่แล้ว แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นกุ้งเหลืออยู่ตัวนึงในจานข้าวผัดซะก่อน
ชั่งใจอยู่วูบหนึ่ง จะกินหรือไม่กินดีวะ น่าเสียดายนะนั่น แต่ถ้าจกกินก็เสียฟอร์มใช่เล่น
แหมม ไอ้ผมมันก็ลูกแม่ค้าซะด้วย งกหน่อยเป็นไร
สุดท้ายผมก็ใช้มือหยิบกุ้งตัวนั้นขึ้นมาหย่อนใส่ปากด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งหางไว้ที่จานข้าวของตัวเอง ไอ้ชานยอลมองอย่างอึ้งๆ ผมส่งค้อนให้มันอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังเดินออกมาจากร้านทันที
บายค่ะอีผู้ชายเฮงซวย!
หลังจากออกจากร้านได้ไม่กี่ก้าว ผมก็โดนโทรตามให้ไปแต่งหน้าแต่งตัวและเตี๊ยมคิวงานที่ห้องพักหลังแกรนด์บอลรูม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เจ๋งมาก เพราะผมเองก็ไม่รู้จะไปโต๋เต๋ที่ไหน
ระหว่างเก็บมือถือที่คุยเสร็จแล้วลงกระเป๋าสูท ผมก็แอบเหล่ไปยังเจ้าสาวของตัวเองผ่านกระจกใสที่ใช้เป็นผนังร้าน
ไอ้ชานยอลยังคงนั่งจิบกาแฟอยู่เช่นเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นกับมันเลย แต่สำหรับผม ผมกลับมีอารมณ์หลากหลาย ผมกลัว กังวล ตื่นเต้น เจ็บใจ แค้นเคือง สนุกสนาน และก็คาดหวังบางสิ่งบางอย่างจากการแต่งงานในครั้งนี้มันคงจะแฟร์ไม่น้อยถ้าหากชานยอลมีซักความรู้สึกอย่างที่ผมกำลังเป็นอยู่ เพราะมันจะได้รู้ซะบ้างว่าเมื่อมีความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้น คนเราจะต้องการใครซักคนที่เข้าใจมาอยู่เคียงข้างมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมกลับว้าเหว่อยู่ในห้องแต่งตัวคนเดียว
ผมไม่ได้โทรบอกม๊าให้มาอยู่ด้วยหรอก ไม่อยากให้ม๊ามาเห็นลูกชายสุดหล่อของตัวเองให้มุมอ่อนแอเป็นหมาหงอยแบบนี้ แล้วก็ไม่อยากโทรตามคยองซูด้วย รายนั้นก็ดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆให้ต้องทำเยอะอยู่แล้ว
“ถอดสูทได้นะ ร้อนรึเปล่าคะคุณน้อง” พี่ช่างแต่งหน้าจีบปากจีบคอถาม ที่จริงผมก็ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่ แต่จิตใจที่หวั่นไหวง่ายต่อการคล้อยตามทำให้ผมค่อยๆถอดสูทออกอย่างว่าง่าย
พี่ช่างแต่งหน้าเพศที่สามช่วยแขวนสูทให้ ก่อนจะกลับมาจัดการกับทรงผมของผมต่อ
“จะเอาหน้าม้าลงมาหรือจะเปิดหน้าผากดีจ๊ะ?”
หล่อๆอย่างผมต้อง “โชว์หน้าผากครับ”
“โอเค งั้นเอาลงมา”
แล้วจะถามกูทำมดลูกแมวอะไรไม่ทราบ -_-
ผมนั่งนิ่งๆให้พี่กะเทยหวีไปหวีมา เล็มนู่นนี่ ฉีดสเปรย์ฟู่ๆ แล้วก็พลิกหัวซ้ายขวา เย่อกันมันส์รังแคกระจาย
ไม่นานผมก็เห็นแบคฮยอนทรงผมหน้าม้าปัดข้างอยู่ในกระจก
เฮ้อออ ไม่มีอารมณ์จะชมตัวเองว่าหล่อเลยอ่ะ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลาที่หน้าจอแล้วก็สไลด์ไปมาเล่นๆหมือนคนไม่มีอะไรทำ สุดท้ายก็นั่งเหม่อลอยเท้าคางไปกับโต๊ะ
ซักพักพี่กะเทยก็ขอตัวออกไปข้างนอก บอกว่าจะกลับมาแต่งหน้าให้อีกทีตอนใกล้จะเริ่มงาน หน้าจะได้ไม่มันเยิ้ม
ทั้งห้องจึงเหลือผมอยู่คนเดียว โดยมีเงาในกระจกนั่งเหงาเป็นเพื่อน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ ผมปล่อยเวลาทิ้งไปกับการนั่งเฉยๆ ไม่แม้แต่จะขยับตัว…หัวใจรู้สึกกดดันและหนืดหน่วง
นานพอดูกว่าจะมีคนเข้ามาในห้อง ซึ่งถึงผมจะนั่งเหม่อเหมือนซากศพอยู่ก็จริง แต่ผมก็พอจะรู้ตัวว่าเป็นไอ้ปาร์คชานยอลนั่นเองที่เดินเข้ามา
แล้วก็เป็นพี่กะเทยคนเดิมอีกนั่นแหละครับที่ทำหน้าที่เป็นแฮร์สไตลิสให้มัน ระหว่างนั้นพี่กะเทยก็เต๊าะไอ้ชานยอลแล้วก็เฮฮาสนุกสนานกันอยู่สองคน โดยไม่มีบทสนาอะไรที่ผมเกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว
ที่จริงผมน่าจะลุกหนีไปที่อื่นนะ แต่ก็ไม่ได้ทำอ่ะ ตัวมันชาๆไปหมดเลย ใครก็ได้มาลากผมออกไปทีสิ ผมหมดแรงแล้ว
พอทำผมให้เจ้าสาว(?)เสร็จ พี่กะเทยก็หายไปอีกครั้ง ผมก็เลยต้องนั่งอยู่กับไอ้ชานยอลกันสองต่อสอง มีคิวงานวางอยู่บนโต๊ะหน้ากระจก แต่ผมก็ขี้เกียจจะหยิบขึ้นมาอ่าน
“แบคฮยอน”
เสียงเรียกที่นิ่งเรียบไม่ได้ทำให้ผมมีความรู้สึกอะไรขึ้นมาอีกแล้ว จะไม่ยุ่งด้วยแล้ว
ไอ้ชานยอลเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ แถมยังหมุนเก้าอี้ผมให้ไปนั่งเข่าชิดกับมันอีกต่างหาก ผมหันหน้าไปทางอื่น แต่ก็ถูกมือใหญ่สองข้างจับที่แก้มให้หันมาทางเดิม
“นิ่งเชียว” ไอ้คนนิสัยไม่ดีจับหัวผมโยกไปมา แถมยังมีหน้ามาวิจารณ์อีก
“นี่คนหรือตุ๊กตา”
“คน”
“จริงหรอ?”
“จริง”
จากนั้นมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ก็ยังไม่ยอมเอามือทั้งสองข้างออกไปจากแก้มผม สายตาเรียบๆของมันอ่อนลงเรื่อยๆเหมือนสายตาที่ใช้มองเด็กตัวน้อย และนั่นทำให้ผมเบะปากออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“โอ๋~”
“....”
“โกรธหรอ”
“ไม่ต้องมายุ่ง!”
“แหน่ะ โกรธใหญ่”
“อย่ามายุ่ง!”
“หึงอ่ะดี๊”
“ไม่!”
ไอ้ชานยอลหัวเราะในลำคอซักพักก็ยอมปล่อยมือออกจากแก้มของผม ให้ผมได้มีโอกาสยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาป้อยๆ
“ไม่ร้องดิ”
แต่ก็ไม่ทันแล้วล่ะครับ ผมเขื่อนแตกร้องไห้จ้า แล้วไอ้ชานยอลก็ดึงผมไปกอดปลอบ ลูบหัวลูบหลังยังกะปลอบเด็ก ซึ่งผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปผลักมันออก
“ฮืออ เครียดนะเว้ยชานยอล! เครียดนะเนี่ย!”
“เครียดไร”
“ก็เครียดอ่ะ ฮือออ”
“ที่ร้านอาหารฉันแค่แกล้งนายเล่น ทำจริงจังไปได้”
“ฮือออ ห่าเอ๊ย! ไม่ได้เครียดเรื่องนั้น ฮึก จริงๆก็เครียดนิดหน่อย แต่ว่า ฮืออ จะแต่งงานแล้วอะ แม่งเอ๊ย กดดันชิบ!”
ชานยอลเช็ดน้ำตาให้ผม ผมเริ่มรู้สึกตัวก็เลยกลั้นสะอื้น ดีดตัวออกจากอ้อมกอดแข็งแรง
ไม่มีการปลอบโยนอะไรไปมากกว่านี้ เพราะนั่นไม่ใช้นิสัยของชานยอลแต่อย่างใด คนตัวสูงใช้สายตาอ่อนโยนมองเจ้าสาวของตัวเองตอนที่อีกฝ่ายไม่เห็น แบคฮยอนกลั้นสะอื้นจนตัวสั่นเหมือนลูกหมาตกน้ำ ดูน่าสงสารแต่ก็น่ารักดีไปอีกแบบ
จริงๆเขาก็พอจะเดาออกว่าเจ้าสาวตัวเล็กมีความคิดอะไรอยู่ในใจ มันก็เป็นปกติของคนใกล้เข้าพิธีแต่งงานที่จิตใจจะตกไปอยู่ในสภาวะว้าวุ่นงุ่นง่าน ซึ่งเจ้าสาวทุกคนก็มีฟีลที่เป็นเจ้าสาวกลัวฝนด้วยกันทั้งนั้น แต่พอดีแบคฮยอนตัวแสบมันน่าแกล้งมากไปหน่อย เขาก็เลยอดไม่ได้ที่จะทำตัวเกเรให้อีกฝ่ายแสดงแง่มุมง๊องแง๊งอแงออกมา แต่พอเอาเข้าจริงตอนแบคฮยอนร้องไห้ ปาร์คชานยอลที่คิดจะแกล้งเจ้าสาวเล่น กลับเป็นฝ่ายหงุดหงิดใจเสียเอง เพราะไม่ชินเอาซะเลยที่ต้องเห็นคนเสียน้ำตาร้องไห้แบบนั้น
ช่างแต่งหน้าเข้ามาลงเครื่องสำอางอีกครั้ง คราวนี้เข้ามากันหลายคน ทั้งคู่ถูกจับให้เปลี่ยนชุด ฟังคิวงานแบบคร่าวๆ
ความรวดเร็วดำเนินไปในความช่วงช้า
แบคฮยอนที่กำลังเบลอๆหันหน้ามาเจอคุณพ่อขาร็อคพอดี ชานยอลยักคิ้วกวนๆส่งไปให้ การกระทำนั้นเรียกรอยยิ้มบางเบา จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่เชิง
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาอันเหมาะสม ชานยอลลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะผายมือเชิญเจ้าสาวคนสวยของเขา
“...”
“ป่ะ...แต่งงานกันเถอะ”
100%
#คพขร
ซีมี
เจอกันงานฟิควันที่ 25 นี้นะคะ
ไม่มีรอบส่งไปรษณีย์แล้วน้า
Twitter : @seeme55555
ความคิดเห็น