คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ϟ chapter 2 : 100%
DADDYROCKLEGS
[CHAPTER2]
‘My heart is always first to know and as the feeling grows
หัวใจมักจะรู้ก่อนเสมอ เมื่อความรู้สึกได้งอกเงยขึ้นมา’
. . .
เข้าสู่วันที่สามแล้วที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
“อรุณสวัสดิ์ครับป้า” ผมยิ้มทักทายให้กับป้าแม่บ้านที่ปกติจะมาทำงานตั้งแต่เช้าแล้วกลับบ้านในช่วงเย็นๆ ขณะที่กำลังเดินดิ่งเข้าไปนั่งประจำที่ยังโต๊ะอาหาร
“เด็กๆไปไหนกันหมดอ่ะครับ?” ผมถามด้วยความสงสัย วันนี้เป็นวันเสาร์ก็น่าจะอยู่บ้านกันนี่นา แถมนี่ก็เพิ่งจะเก้าโมงเอง ไม่ดูโมเดิร์นควายการ์ตูนกันรึไง
ป้าแม่บ้านวางจานอาหารเช้าแบบง่ายๆลงบนโต๊ะข้างหน้าผม ก่อนจะยิ้มตอบน้ำเสียงใจดี “คุณจงอินออกไปตั้งแต่คืนวาน เช้านี้ยังไม่กลับเลยค่ะ ส่วนคุณฮุนนี่แกก็คงไปสปา ขัดผิวขัดหน้าตามประสาแกนั่นแหละ”
ผมจิ้มเบคอนเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่สงสัยอีก “แล้วป้ามาเช้ากลับเย็นไม่ใช่หรอครับ ทำไมรู้อ่ะว่าอินจังมันออกไปตอนค่ำๆ”
“ก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่คะ แต่ก่อนป้าก็พักที่นี่แหละค่ะ แต่พอดีหลานป้ามันเข้ามาทำงานในโซล ก็เลยต้องหาบ้านพักให้มัน ต้องกลับไปช่วยมันเลี้ยงลูกด้วย”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะลงมือกินต่อไปแบบสุภาพชน(?)และไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
พอจัดการกับมื้อเช้าเสร็จ ผมก็ไปนอนตีพุงดูทีวีที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
ครืดดด ครืดดด
ป้าแม่บ้านนี่ยังไง พอคนจะดูทีวีดันมาดูดฝุ่นเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน
“อ้าว คุณแบคฮยอนจะไปไหนหรอคะ?”
“จะออกไปหามุมสงบครับ” เพราะกูรำคาญเสียงเครื่องดูดฝุ่นป้านั่นแหละ -_-
“คุณชานยอลไม่ให้คุณออกไปไหนนะคะ แกบอกจะพาเพื่อนมาทำงานกันตอนค่ำๆ ให้คุณอยู่ช่วยดูแลแขก เพราะตอนนั้นป้าต้องกลับแล้ว”
หนอยยยไอ้หูกาง...ใช้กูหรอ
“นี่มันยังไม่สิบโมงเลยครับป้า ผมกลับมาทันอยู่แล้วล่ะน่า”
“แต่คุณชานยอลบอกว่าคุณเป็นพวกเถลไถล ไม่ตรงเวลา ไม่มีความรับผิดชอบ ทำตัวเหลวไหล เลื่อนเปื้อน เลอะเทอะ วุ่นวาย โง่เง่า กะโหลกกะลา หน้าตาดูไม่ดี”
“ป้านี่ดีเนอะ แก่แล้วแต่จำได้หมดทุกคำเลย -__-“
“ยังไงก็แล้วแต่ คุณแบคฮยอนห้ามออกไปไหนจนกว่าคุณชานยอลจะกลับ”
เอ้อ เอาเข้าไป ชอบบงการชีวิตคนอื่นตั้งแต่เจ้าของบ้านยันคนใช้ ให้มันได้อย่างนี้สิ
“แล้วก็นี่ด้วยค่ะ คุณชานยอลฝากเอาไว้ให้ บอกว่าคุณอยากจะเพิ่มเติมอะไรให้เขียนต่อท้ายไว้ในกระดาษแผ่นนี้”
ผมรับเอากระดาษเอสี่พับสองส่วนที่เขียนด้วยลายมือยึกยือตัวใหญ่ๆว่า ‘ให้ไอ้แบค’ มาถือไว้เอง ก่อนจะไล่อ่านลิสท์ตำแหน่งหน้าที่ในงานแต่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในนั้นมีแต่ชื่อใครก็ไม่รู้ ที่ผมไม่รู้จักเลยซักกะคนเดียว
1.ออกแบบการ์ดงานแต่ง – อู๋อี้ฟาน
2.พิธีกร – ฌองแดร์
3.เจ้าภาพคืนแรก – บริษัทกำจัดปลวก
4.เจ้าภาพคืนที่สอง – ดินสอพอง การพิมพ์
ดีออกกกก งานแต่งบ้านมึงเอาคนนอกมาเป็นเจ้าภาพหรอ!! นี่มึงจะแต่งหรือมึงจะตาย มึงจะโคฟเวอร์งานศพหาโพ่งมึงเหรอ!!
โว้ย หงุดหงิดเดี๋ยวแม่ขวิดหัวนมหลุดเลยนิอีด้อน!!
ผมถอนหายใจยาวๆก่อนจะคว้าเอาดินสอบนโต๊ะหน้าโซฟามาเขียนต่อท้ายรายชื่อเหล่านั้น
5.โลงจำปาสำหรับปาร์คชานยอล
ด้วยความเซ็งจัด ผมเลยควักเอาไอโฟนขึ้นมาไลน์คุยกับน้องเทา แต่ดูเหมือนน้องจะไม่อยากคุยเรื่องอะไรนอกจากวิตตอง ดีออร์ ปราด้า บาลองเซียก้า และมัลเบอร์รี่ -___- แหม่ ป๋าก็ช็อตเป็นอะไรเป็นนะครับน้องเทา
นุ้งเทาเขย่าอารมณ์ : ป๋าตอบณุ้งเฑาฌ้าจุงㅠ ㅠ
พยอนลูกแม่ฮุย : love you krubb
นุ้งเทาเขย่าอารมณ์ : ฐีแฏ่ก่อณไม่เฮ๋นเป็ณแบ่บณี้ลุย
พยอนลูกแม่ฮุย : แค่นี้ก่อนนะน้องเทา
นุ้งเทาเขย่าอารมณ์ : เบื่อณ้องเฒาแร้วชิปุ๊! ธัมมัยพู่ชายสะหมัยนี้มั่ญมีความจิงจัยเลยณะ!! นุ้งเทาฬักป๋ามั่กแฆ่ไหน๋ ป๋ารุ้มั่งปุ๊! ธัมมัยเถิงต้องเปรี่ยนไปด้วญ!
พยอนลูกแม่ฮุย : เปล่า
นุ้งเทาเขย่าอารมณ์ : ㅇㅅㅇงั้ณหย่ารืมกุชชี่ฆองณ้องนะㅋㅋㅋ
พยอนลูกแม่ฮย : OKKKK
ผมกดปิดหน้าจอแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหน้าโซฟา ไม่สนว่าน้องเทาจะส่งข้อความหรือรัวสติ๊กเกอร์มาอีกเป็นแสน
แม่ง...กูอ่านไม่รู้เรื่อง!!
ผมถอนหายใจยาวพรืด(เป็นรอบที่ร้อยของวัน) ก่อนจะทุ่มตัวใส่พนักพิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเผื่อว่าความน่าเบื่อมันจะกระเด้งออกจากตัวไปบ้าง ป้าแม่บ้านที่ยังดูดฝุ่นไม่เสร็จซักที มองมาที่ผมก่อนจะหัวเราะคิกคิก
สนุกมากป่ะป้า =__=
ด้วยความเบื่อเกินพิกัดจัดว่าแย่ สายตาก็เลยพาลสำรวจไปรอบๆบ้านอย่างช่วยไม่ได้
จากที่เห็นภายนอกไปเมื่อวาน ที่นี่เป็นบ้านสองชั้น ล้อมรั้วแน่นหนา ระบบซีเคียวริตี้โอเว่อร์ประหนึ่งว่าพรมเช็ดเท้าทอด้วยทองคำ-_- แต่ก็อ่ะนะ พวกเซเลปคนดังก็คงติดตั้งระบบเตือนภัยและสแกนคนเข้าออกกันทุกบ้าน(มั้ง)
ข้างในตกแต่งแบบกากๆ กากแบบ กากจริงๆนะไม่ได้โม้ คือของที่นี่ทุกอย่าง มองก็รู้ว่าราคาแพง แต่มันไม่แมทช์กันเลยแม้แต่นิดเดียว ผนังแต่ละห้องทาสีไม่เหมือนกัน เขียวแดง เหลืองม่วง เฟอร์นิเจอร์ก็รกๆ คือมันต้องเพี้ยนมากจริงๆนะ ถึงจะอยู่บ้านหลังนี้ได้ คือควรจ้างสถาปิกนิกแอนด์มัณฑนากรด่วน แล้วนี่ตุ๊กตาจิ้งเหลนอะไรห้อยมาจากเพดานวะเนี่ย โว๊ะ!
ผมปาไอ้ตุ๊กตาหน้าตาโรคจิตเหมือนเจ้าของบ้านออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ป้าแม่บ้านก็ยังทำหน้าตายเดินไปเก็บมาแขวนไว้ที่เดิม
เอ้ออออ อิป้า เอ็งจะสถาปนาตัวเป็นศัตรูกับข้าใช่บ๊?!!
สุดท้ายผมก็เลิกสนใจตุ๊กตาและมนุษย์ป้า ก่อนจะเริ่มเสือก เอ๊ย! สำรวจอีกครั้ง
แปลกแฮะ ไม่มีรูปถ่ายครอบครัวเลยอ่ะ มีแต่รูปเดี่ยวของฮุนนี่ในอริยาบทต่างๆ ซึ่งก็คงเป็นเจ้าตัวนั่นแหละที่เอามาแขวนผนังไว้
ที่จริงก็มีเรื่องที่ผมสงสัยมากๆมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว
“ป้าครับ ทำไมเด็กๆถึงเรียกชานยอลว่าคุณล่ะครับ”
“ไม่เรียกคุณให้เรียกไอ้ควายหรอคะ”
“-___-“ เหรี้ยป้า
“ฮิฮิ ป้าล้อเล่นค่ะ”
“ครับ สนุกสนานจังนะครับ”
“เด็กๆก็เรียกคุณมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ ก็คุณชานยอลไม่ใช่พ่อแท้ๆของคุณจงอินกับฮุนนี่”
“อ่า”
“แล้วอีกอย่าง เรื่องที่คุณชานยอลมีลูกก็เป็นความลับน่ะค่ะ คือคุณชานยอลแกไม่อยากเปิดเผย กลัวจะกระทบหน้าที่การงาน”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ ทั้งๆที่ความจริงแล้วช็อคนิดหน่อย ที่จริงก็ไม่ถึงกับช็อคหรอก ก็แค่ เพิ่งรู้นะ...อือเพิ่งรู้
“แล้วพ่อจริงๆของเด็กคือใครหรอครับ?”
“อันนี้ป้าก็ไม่รู้หรอกค่ะ เพราะไม่ค่อยชอบเสียมารยาทกับเรื่องของเจ้านาย รู้แต่ว่าแม่ของเด็กๆเป็นแฟนเก่าคุณชานยอลน่ะค่ะ คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วก็เลิกกันไป พอกลับมาคบกันใหม่ ฝ่ายนั้นเขาก็มีลูกติดเล็กๆมาสองคน แต่คุณชานยอลก็ไม่ว่าอะไร พอจดทะเบียนเป็นพ่อเด็กได้ไม่นาน ผู้หญิงก็อ้างว่าต้องไปเดินแบบ ต้องไปทำงานเมืองนอก แล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยค่ะ นี่ๆ ป้าไม่อยากจะเม้าท์นะ”
“นี่ขนาดไม่อยากนะครับเนี่ย”
“แล้วยังมีอีกเรื่อง...”
“พอเหอะครับป้า”
“คุณแบคฮยอนต้องรู้จักแน่เลย หล่อนชื่ออะไรนะ เอ...รู้สึกจะชื่อคิม..”
“ผมขอตัวนะครับ รู้สึกง่วงๆไงไม่รู้”
ผมอ้าปากหาวประกอบคำพูดให้ดูสมจริง ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง โดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของคุณป้าแม่บ้านเลยแม้แต่นิดเดียว
พอถึงห้องผมก็ทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงขนาดคิงไซส์ทันที พลันกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของไอ้ร็อคเกอร์พ่อลูกสองนั่นก็ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันแรกที่รู้ว่าเราต้องแต่งงานกัน
‘ลื้อม่ายแต่งม่ายล่ายนา! นี่เรื่องคอขาดบาดตายเชียว!!’
‘ม๊าเพี้ยนไปใหญ่แล้วอ่ะ! จะให้อั๊วแต่งกับไอ้บ้านั่นเพราะจดหมายติ๊งต๊องของอาม่าฝ่ายนั้นอ่ะนะ!’
‘มันม่ายช่ายเรื่องติ๊งต๊องนะอาป๋าย อาม่าอีทำนายไม่เคยพลาดมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นเลี้ยว!! ลื้อระวังเถอะ ปากลีมากๆ ผีอาม่าอีจะมาหักคอเอา!!’
‘กลัวตายแหละ!! ยังไงอั๊วก็ไม่แต่ง ญาติฝ่ายเราก็ไม่ใช่ เป็นอาม่าของฝ่ายนั้นแท้ๆ ม๊ายังจะไปเชื่อเขาอีก!’
ผมแทบจะเอาหัวโขกเขียงหมูตาย ตอนที่รู้ว่าม๊าเชื่อจดหมายสั่งเสียก่อนตายของอาม่าไอ้ชานยอลที่เขียนด้วยลายมือหงิกๆงอๆว่า
‘ถ้าไม่ให้ไอ้เด็กสองคน ไอ้หูกางชานยอลกับไอ้ตี๋แบคฮยอนแต่งงานกัน สองตระกูลจะล่มจม แมลงสาบจะบุกเข้าบ้าน กิ้งกือ ตุ๊กแกจะเข้ามาอาศัย ค้าขายอะไรก็ไม่ออก ปาท่องโก๋ตระกูลพยอนจะขึ้นรา ร้านจะโดนยึด ซักผ้าก็จะไม่แห้ง ถูบ้านน้ำยาจะกัดพื้น เอามืออังไฟแช็คก็จะร้อน!!!’
น่า-กลัว-มาก!!!!!
สาบานได้เลยว่าคำสาป คำทำนายบ้านี่ไม่ใชเรื่องจริงแน่ๆ ถึงอาม่าจะทำนายถูกเผงมานักต่อนัก แต่เรื่องนี้ผมกับไอ้ชานยอลรู้กันดีครับ
อาม่าแกก็แค่อยากแก้แค้นเรื่องที่เราสองคนเคยเอาฟันปลอมแกไปซ่อนก็เท่านั้นเอง...
ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมกับไอ้ชานยอลเคยเอาฟันปลอมตราห้าห่วงของแกไปซ่อนจริงๆ คือแต่ก่อนบ้านเราอยู่ใกล้กันครับ ตระกูลปาร์คขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ข้างๆร้านปาท่องโก๋ของม๊าผมที่บ้านนอกเนี่ยแหละ ผมกับมันก็เลยสนิทกันไปตามระเบียบ(แหมนี่มันแฟนฉันจริงๆเลย) แถมเรายังชอบรวมหัวกันทำเรื่องพิเรนทร์อยู่ไม่ขาด พอดีช่วงนั้นพ่อแม่ไอ้ชานยอลเพิ่งกลับจากทริปที่จีน หิ้วขนมโก๋ของโปรดอาม่ามาฝากเต็มบ้าน ผมกับมันก็เลยอยากรู้อยากเห็นไปตามประสาเด็กๆอ่ะครับ ก็อยากรู้ว่าถ้าอาม่าไม่มีฟันปลอม อาม่าจะกินขนมโก๋ได้มั้ย
แหม...ใครจะไปรู้ว่าการขโมยฟันปลอมในวันนั้น จะจบด้วยการที่เราต้องถูกจับมาแต่งงานกันในวันนี้
ช่างบ้าบอดีจริงๆ =____=
หลังจากไอ้ชานยอลกับครอบครัวมันย้ายออกไปตอนผมขึ้นม.1 ผมกับมันก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จากนั้นผมก็มีเพื่อนใหม่ไปตามยถากรรม จนลืมมันไปซะสนิท ความผูกพันที่มีในวัยเด็กยิ่งติดลบเข้าไปใหญ่ตอนที่ได้เจอกันวันแรก
แม่ง...ถีบกูลงสระน้ำนะมึง
พูดกันตรงๆว่าวันแรกที่เห็นมันตอนโตแล้วนี่ผมแทบช็อค จริงๆผมก็รู้จักไอ้นักร้องนี่มานานแล้วนะ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นไอ้ชานยอล อะโด่ ก็เวลาร้องเพลงมันเอาผมลงมาปิดหูนี่นา ไม่งั้นผมคงจำได้ไปแล้ว
ยอมรับเลยครับว่าหมั่นไส้ ก็แค่ตงิดนิดหน่อยว่าทำไมเพื่อนที่เคยเล่นมอมแมมมาด้วยกันในอดีต ถึงได้มีชีวิตสดใสไฮโซขนาดนี้ ในขณะที่ผมยังต้องช่วยแม่เปิดร้านปาท่องโก๋ทุกเช้าอยู่เลย -__- มันก็แค่หมั่นไส้อ่ะครับ แต่หลังจากที่มันอ้าปากพ่นคำพูดหมาๆออกมา ผมก็เกลียดมันเลยในทันที
แต่พอรู้ว่ามันเองก็ได้เจอเรื่องแย่ๆมาบ้างเหมือนกัน จากที่แม่บ้านเล่าให้ฟังเมื่อกี้ ผมก็แอบห่วงมันนิดหน่อยตามประสามนุษย์สุดประเสริฐ ที่มีน้ำใจห่วงใยสิ่งมีชีวิตร่วมโลก ...แต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้นแหละครับ
เพราะพอหนังตาหย่อนลงมาจนประสานกันแนบแน่น ผมก็เข้าสู่ห้วงนิทรา โดยไม่ได้เก็บเอาเรื่องราวของคุณพ่อลูกสองมาคิดอีก
. . . . . . . .
ก๊อกๆๆๆ!!!
เสียงกระหน่ำเคาะประตูอย่างรุนแรงทำให้ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา ผมขยี้หัวอย่างหงุดหงิดที่อยู่ดีๆก็โดนปลุกเสียอย่างนั้น
“แม่งบ้าอะไรของมึงเนี่ย!!” ผมตะคอกถามไปตามแรงอารมณ์ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก การถูกปลุกขณะกำลังฝันถึงมิยาบินี่แย่มากนะ!
ไอ้ชานยอลยืนกอดอกเก๊กหน้าขรึมอยู่ที่ขอบประตู มันยังไม่ลบเครื่องสำอางออกเลยครับ สงสัยจะเพิ่งกลับจากสตูดิโอ
“ทำหน้าที่เมียหน่อยดิ”
“เฮ้ย!!” ผมยกแขนขึ้นกอดตัวเองโดยอัตโนมัติ ไอ้ชานยอลจ้องผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาและมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเหยียดหยามกันมากถึงมากที่สุด!!
“กูหมายถึงลงไปดูแลแขกหน่อย เร็วๆด้วย เพื่อนกูยังไม่ได้กินข้าวเย็นมา”
อยากจะตะโกนใส่หน้าเสียเหลือเกินว่า ‘ก็เรื่องของเพื่อนมึงสิว้อยยย!!!’
แต่ไอ้เห็บหมาชานยอลดันสะบัดก้นเดินลงบันไดไปแล้ว ผมจึงได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตรงนั้น หนอยยย มาจิกหัวใช้กันแบบนี้ รู้จักไอ้บยอนลูกแม่ฮุยบ้านขายปาท่องโก๋น้อยไปซะแล้ว!
ผมเดินกระแทกส้นเท้าลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง เห็นไอ้ชานยอลกับผองเพื่อนสไตล์ร็อคของมันกำลังนั่งเกากีตาร์ไฟฟ้าที่เสียบกับเครื่องเสียงเรียบร้อยแล้วกันหน้าสลอน ท่าทางจดๆจ้องๆอยู่กับกีต้าร์สลับกับแผ่นกระดาษเหมือนกำลังแต่งเพลง หรืออะไรซักอย่างทางสายดนตรี ซึ่งผมก็ไม่ถนัดนักอ่ะนะ ทุกวันนี้ร้องเพลงชาติได้ป๊าม๊าก็น้ำตาแทบไหลแล้ว
เพื่อนของมันประมาณสามสี่คนทักทายผมอย่างเป็นมิตร หนึ่งในนั้นมีผมสีทองตัวสูงเหมือนพวกฝรั่ง ผมยิ้มตอบก่อนจะผลุบหายเข้าไปในครัว ตอนที่ใครซักคนพูดลอยๆว่าอยากกินแกงกิมจิร้อนๆ
เอ...ว่าแต่แกงกิมจินี่ต้องใส่อะไรบ้างนะ? หึ หึ หึ (ทำหน้าโรคจิตเหมือนโจรขโมยกางเกงใน)
ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินออกจากครัว เดินยิ้มไปวางทุกสิ่งทุกอย่างที่หอบมาลงกลางวง
ผมหันไปพูดกับไอ้ฝรั่งด้วยรอยยิ้ม “ดิสอีสอะผักกาด ดิสอีสอะกระหล่ำปี ดิสอีสอะเครื่องเคอร์รี่ อีฟยูว้อนท์ทูแดก ยูก็เมกเองนะสาด นี่กระทะ ส่วนเตาแก๊สรอแป๊บ เดี๋ยวไอกลิ้งมาให้”
ไอ้ชานยอลตวัดดวงตากลมโตของมันมาทางผม จ้องเขม็งประหนึ่งจะฆ่ากันให้ตายด้วยสายตา...โธ่ๆๆๆน่ากลัวจริงๆน้องชานของพี่แบค ฮิ๊
“ฮ่าๆๆๆ ผมชื่อคริส ไม่ได้เป็นฝรั่งหรอก พูดเกาหลีธรรมดาก็ได้” ไอ้คนหัวทองหัวเราะไปพูดไป ก่อนจะต่อบทสนทนาอีกนิดหน่อย “ถ้าแกงกิมจิมันทำยาก คุณเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มหรือคุกกี้ที่มีอยู่แล้วก็ได้”
ผมยิ้มกวนตีนกลับไปให้ จริงๆก็ว่าจะทำแบบนั้นอ่ะนะ แต่พอดีหมั่นไส้เจ้าของบ้านเลยจัดให้แบบนี้
ไอ้ชานยอลสั่งผมทางสายตาให้ผมจัดการเคลียร์ข้าวของในครัวที่เสร่อขนมาซะเยอะ ผมยักไหล่เหมือนไม่แคร์แต่ก็ยอมเดินเอาไปเก็บให้แต่โดยดีเพราะไม่งั้นพวกมันจะไม่มีพื้นที่ทำงานกัน นี่ถือว่าใจดีหรอกนะเนี่ย
พอเก็บของเสร็จผมก็รื้อเอาคุกกี้กับแซนด์วิสไปเสิร์ฟ ก่อนจะนั่งวงแจมด้วยซะเลย เพราะผมก็หิวมากๆเหมือนกัน ป้าแม่บ้านนางเนียนกลับไม่ทำข้าวเย็นด้วยนะ แต่วางมาม่าไว้บนโต๊ะอาหารสามซอง โถอิป้า กูคงจะอิ่มมั้ง
ไอ้ชานยอลที่พอเห็นผมเลิกทำตัวเป็นหมาบ้าแล้ว ก็พอจะคลายหน้าตาโหดเหี้ยมลงไปได้บ้าง
ผมกินไปเม้าท์ไป เพื่อนของไอ้ชานยอลก็คุยสนุกดีอ่ะครับ ว่าแต่นี่กี่โมงแล้วเนี่ย
ผมเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง... เช็ดโด้โอริโอ้ห้าบาท นี่จะสี่ทุ่มกว่าแล้วรึ?
“เด็กๆกลับกันมายังอ่ะ?” ผมกระซิบถามไอ้ชานยอลที่เอาแต่นั่งเกากีตาร์ไม่พูดไม่จา แต่พอผมเข้าไปใกล้หน่อยก็เสือกถือโอกาสเนียนโอบเอวผมเฉยเลยครับ
“เซฮุนกลับมาแล้ว แต่อีกคนยัง”
ผมขมวดคิ้วทันที ลืมตัวไปเลยว่ามือข้างนั้นกอดรัดอยู่ที่เอว แล้วตอนนี้ก็ดูท่าจะไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ “ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่ใช่หรอ โทรถามรึยัง”
“...” ไอ้ชานยอลไม่ตอบ มือหนาสอดเข้าไปข้างในเสื้อแล้วลูบเบาๆที่หน้าท้องเล่นเอาผมสะดุ้ง
“คืนนี้ทำกันมั้ย” มันกระซิบเสียงเรียบที่ข้างหู ผมจึงศอกใส่สีข้างมันไปหนึ่งที ข้อหาพูดจาหื่นกามด้วยน้ำเสียงเหมือนพยากรณ์อากาศ
ไอ้บ้าเอ๊ย นั่นเรื่องใหญ่นะเว้ย บิ๊กติงอ่ะบิ๊กติง! พูดซะอย่างกับเป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละ มึงต้องซาวน์เอ็ฟเฟ็คกับกูนิดนึง กูถึงจะยอม เฮ้ยไม่ใช่ละ
“อะแฮ่ม!” เพื่อนร็อกเกอร์แกล้งกระแอมพร้อมส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ ผมเลยรีบกระเถิบตัวออกห่างทันที
แม่งจริงๆก็แอบง่วนจนอยากจะขึ้นไปนอน แต่อีกใจก็อยากรอให้หม่อมดำอินจังเสด็จกลับบ้านมาก่อน
พอเข็มนาฬิกาบอกเวลาตีสอง เพื่อนของไอ้ชานยอลเริ่มลงมือเก็บเครื่องดนตรีกับโน้ตเพลงลงกระเป๋า ผมเองก็ง่วงตาแทบปิด
แต่ตอนนั้นเองที่ประตูเปิดผ่างออก...
จงอินดูแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นผมกับไอ้ชานยอลและคณะเพื่อนชาวร็อคนั่งล้อมวงกันอยู่กลางห้องรับแขก ปาร์คชานยอลกระตุกหัวคิ้วทันทีที่เห็นใบหน้าของลูกชายเต็มไปด้วยแผลสด
ไอ้หูกางลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะก้าวไปหาลูกดำอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของหมอนั่นน่ากลัวสัดๆ...เหมือนภูเขาไฟลูกใหญ่ที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
“รถล้มมาอีกแล้วใช่มั้ย?” นั่น ปาร์คชานยอลโหมดโหดแล้วเว้ยเฮ้ย
จงอินทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะพยายามจะเดินผ่านไป แต่ชานยอลกั้นเอาไว้
“หรือไปต่อยกับใครมาอีก”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไมละ?” จงอินถามกลับด้วยสีหน้ากวนประสาท ผมกับเพื่อนไอ้ชานยอลมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จะอยู่ต่อก็ลำบากใจ จะขอตัวกลับ ไอ้สองพ่อลูกก็ดันขวางประตูเอาไว้อีก พวกมึงจะเอาหยังกับกู เว้ามาสิว่ามึงจะเอาหยางงง
ชานยอลโหมดนี้น่ากลัวมากครับ ยิ่งประกอบกับการแต่งหน้าแนวร็อคนั่นแล้ว ถ้าผมเป็นจงอินคงประหม่าไม่หยอก แต่จงอินกลับดูเฉยๆ เหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร หรือนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนชินแล้วในบ้านหลังนี้? …อู้วว นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทองที่ฉันปองมาสู่ (มึงอย่าเพิ่งเล่นได้ปะละ)
ชานยอลกระตุกมุมปากเหมือนเหยียดหยามเพียงชั่วครู่ ดวงตากลมโตเวลาไม่ยิ้มแถมคิ้วเข้มยังขมวดเป็นปม มันช่างดูน่ากลัวเสียนี่กระไร
“ไอ้อันธพาล!!!”
ผมกับบุคคลที่สามสี่ห้าหกถึงกับเงิบ...คำว่าไอ้อันธพาลก้องไปมาอยู่ในหัวนางใช้คำแรงอ่ะ วาจานางเชือดเฉือน
จงอินทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เด็กหนุ่มดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้มทำท่าเหมือนนักเลง ก่อนจะตอกกลับเสียงหยันๆ “คุณมันก็ดีตายล่ะ ดีจนเมียทิ้งเลย!”
อุ๊ปส์ มีดหรือจะคมเท่าลิ้นคน บาดใจกันไปข้างเลยจริงๆ ซี้ดส์อ่ะ
ผมที่เริ่มเห็นเค้าลางความซวยมาแต่ไกล ตัดสินใจลุกขึ้น ก่อนจะดึงแขนข้างหนึ่งของชานยอลเอาไว้แล้วลูบเบาๆเผื่อว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นลง
“เอาไว้พูดกันข้างบนดีกว่ามั้ย?”
“เสือก!” ไอ้ชานยอลหันมาตะคอกใส่ เล่นเอาผมปล่อยแขนมันแทบไม่ทัน แม่ง พูดดีๆก็ได้ป่ะวะ! กูผิดอะไรเนี่ย กูแค่เกิดมาหล่อเองนะ!
ผมหันไปทางเพื่อนๆชาวร็อค เห็นทุกคนส่งกำลังใจมาให้ด้วยการทำท่าลิโพชูสองนิ้ว ...ดีออก ช่วยได้มากจริงๆ
“แกเสียพนันอีกแล้วใช่มั้ย”
“ก็บอกว่าเลิกแล้วไงเล่า!!” เลิกแล้วค่ะ หนูเลิกกับเขาแล้วค่ะ~
“แล้วเงินในลิ้นชักที่ฉันใส่ไว้มันหายไปไหน!!”
“ก็ถามเมียใหม่คุณดูสิ!!”
อ๋อยังหรอกค่ะ ไม่คิดมีใหม่หรอกค๊าา~~ ...อ้าวเฮ้ย กูไม่เกี่ยวนะ
“แกไม่ต้องมาโกหก ไอ้สันดานชั่วๆน่ะเมื่อไหร่จะเลิกซักที!!”
“อย่ามาหาเรื่องได้มั้ย!! บอกไม่ได้เอาไปก็ไม่ได้เอาไปสิวะ!!”
“สันดานโจร!!”
คนพ่อตะโกนที คนลูกก็ตะโกนที อารมณ์ขึ้นใส่กันอยู่อย่างนั้น ไอ้ชานยอลดูจะโกรธมาก มันขบฟันจนเส้นเลือดที่กรามโป่งขึ้นอย่างน่ากลัว ไม่ต่างจากจงอินที่ดวงตาวาวโรจน์เหมือนพร้อมจะลงไม้ลงมือได้ทุกขณะ
“คุณมันไอ้งี่เง่าเมียทิ้ง!!”
“ว่าไงนะ?”
“คุณมันคนรกโลก ปาร์คชานยอล!!”
มือใหญ่ที่ก่อนหน้าเพิ่งใช้จับกีต้าร์นั้นกำเป็นหมัด ชานยอลเงื้อกำปั้นขึ้นสุดแขน ก่อนจะกระแทกบั๊มพ์ลงมาอย่างแรงที่มุมปาก
ผั๊วะ!!
50%
11/10/14
ซีมี
#คพขร
ผั๊วะ!!
ที่มุมปากของผม....
“เฮ้ย!!” เพื่อนทั้งสี่คนของไอ้ชานยอลตะโกนขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ที่อยู่ดีๆผมก็บ้าดีเดือดเข้าไปแทรกกลางระหว่างสงครามพ่อลูก …กูโง่หรือกูโง่
เจ้าของหมัดช็อคสนิทพอๆกับลูกชายที่ตอนนี้ผมเสือกสวมบทฮีโร่ไปกางแขนปกป้องนางเอาไว้ เอ้ออ คือก็เท่ คือก็มาดแมนแฮนซั่ม แต่ก็เจ็บตัวไง
“จะพอกันได้รึยัง!! คริสกับเพื่อนกลับบ้านไปเถอะครับ จะออกประตูข้างหลังก็ได้ ส่วนพวกนายสองคน แยกย้ายเดี๋ยวนี้!!” ผมแหกปากเสียงกร้าว รู้สึกชาที่มุมปากที่ปริแยกออกจากกัน กลิ่นเลือดคละคลุ้ง แต่ผมเองก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย มันอาจจะชาๆอยู่อ่ะนะ
จงอินเดินกระแทกไหล่คนเป็นพ่อขึ้นไปยังชั้นสองอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมยืนอยู่กับไอ้ชานยอลสองต่อสอง
ไอ้ชานยอลเท้าเอว หันหน้าไปทางอื่นพร้อมเสียงพ่นลมหายใจที่รุนแรง
“งี่เง่า”
“ว่าใครห๊ะ!” โอ๊ยกูนี่ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปชัดๆ คนหล่ออยากจะกรี๊ด!
“มึงไง ไอ้แบคฮยอน ไอ้งี่เง่า”
“นี่!”
“เริ่มเจ็บแล้วรึยังล่ะ?”
ผมยกหลังมือขึ้นแตะเบาๆที่มุมปากก่อนจะหลุดร้องซี้ด “เจ็บชะมัด นี่หมัดคนหรือหมัดยักษ์เนี่ย!”
จู่ๆไอ้ชานยอลก็หัวเราะออกมา สงสัยพอได้ลงไม้ลงมือแล้วอารมณ์จะดีขึ้น ไอ้นี่แม่งซาดิสม์ชัดๆ! แล้วดูดิ มันยังมีหน้าดึงผมเข้าไปใกล้ก่อนจะลูบหัว ทำเหมือนผมเป็นเด็ก พอผมทำท่าจะขัดขืน ไอ้ชานยอลก็ชิงจูบลงมาที่ปลายจมูกเสียก่อน
“กูขอโทษ...แต่มึงน่ารัก”
“...”
“บอกตรงๆว่ากูมีอารมณ์มาตั้งแต่ตอนนั่งคุยกันแล้ว”
ไอ้ห่า!! มันใช่เวลามั้ยเนี่ย!!
พอเลยพอ ...ว่าแล้วผมก็ดันมาออก ก่อนจะไล่มันไปอาบน้ำเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ผมไม่อยากจะนอนเตียงเดียวกับมนุษย์บล็อกตาแน่น ขี้ไคลเกาะเต็มสารร่าง ตอนแรกมันก็อิดๆออดๆ แต่หลังจากที่ผมเริ่มออกปากไล่อย่างจริงจัง มันก็ยอมทำตามตามโดยดี บางทีคงอยากจะขอโทษที่ต่อยเข้าเบ้าหน้าผมด้วยแหละมั้ง
พอต้อนไอ้ชานยอลไปอาบน้ำสำเร็จแล้ว ผมก็ถือกล่องยาเดินไปเคาะห้องของไอ้เด็กอันธพาล
ก๊อกๆๆๆ!!
แต่ไม่ว่าจะกระหน่ำเคาะจนข้อนิ้วแทบจะแหลกละเอียดเป็นเม็ดทราย(นับประสาอะไรกับหัวใจ)เพียงไร ไอ้เจ้าของห้องก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ผมถอนหายใจเซ็งๆก่อนจะยอมแพ้ เพราะไม่อยากจะเจ็บมือไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าจะวางกล่องปฐมพยาบาลไว้หน้าห้องนี่ละกัน
จังหวะที่ผมกำลังจะหมุนตัวหันหลังเพื่อเดินกลับห้อง ประตูก็ดันเปิดออกมาซะก่อน เจ้าของห้องก้มลงหยิบกล่องยาขนาดกลางขึ้นมาถือ ก่อนจะทุ่มใส่ผมที่ยังไม่ทันตั้งตัวใดๆทั้งสิ้น กล่องใส่ยาจึงตกลงกระแทกพื้น ข้าวของข้างในเด้งออกมาและกลิ้งไปคนละทิศละทาง ที่เลวร้ายคือขวดยาที่ทำจากแก้วแตกกระจายเป็นเศษเสี่ยง
“คิดว่ากูจะยอมรับคนอย่างมึงง่ายๆเพราะเรื่องแค่นี้งั้นหรอ”
“...”
“ฝันไปเถอะ...ไอ้แบคฮยอน”
คิดว่ากูจะยอมรับคนอย่างมึงง่ายๆเพราะเรื่องแค่นี้งั้นหรอ
ฝันไปเถอะ...ไอ้แบคฮยอน
ฝันไปเถอะ...ไอ้แบคฮยอน
ฝัน ไป เถอะ... ไอ้ แบค ฮะ ยอน!!!!
หนอยยยย!!!
“อ๊ากกก!! ตายซะเถอะไอ้ดำ!!”ผมหวีดร้องสุดเสียงโดยไม่สนว่าปากจะแหกแหวกชิมิขนาดไหน ผมเองก็ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรอยู่แล้วนะเว้ย ทำกันแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยรึยังไง!
ว่าแล้วผมก็เดินข้ามเศษซากกล่องยาและสำลีที่กระจายเต็มพื้น ก่อนจะตั้งท่าพร้อมกระโจนไปแหวกอกไอ้ตัวการที่พ่นคำพูดหมาๆออกมาให้ได้เจ็บปวด ตายซะเหอะเอ็ง อย่าอยู่เป็นเสี้ยนแทงใจข้าอีกเลย!!
“โอ๊ยยยย!” ผมร้องเสียงหลง ชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อไอ้จงอินจงใจปิดประตูงับมือผมเต็มๆ ผมรีบชักมือออกมาสะบัดๆด้วยความเจ็บปวด ข้อนิ้วทั้งห้าขึ้นห้อเลือดเป็นจ้ำอย่างน่ากลัว
“ไอ้บ้าอินจัง! ไอ้เด็กนรก! ไอ้ห่อหมกปลากราย! ออกมาเคลียร์กันเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!” ผมกระหน่ำใช้มือข้างที่ไม่เจ็บทุบประตูพร้อมแหกปากท้าไฝว้คนในห้อง
ซักพักประตูก็เปิดออกมา แต่ไม่ใช่ประตูห้องอินจังหรอกครับ เป็นประตูห้องฮุนนี่ต่างหาก
“โอ๊ยย จะแหกปากอีกนานมั้ยคะเจ๊!”
ผมมองร่างผอมกระหร่องในชุดนอนลายเสื้อดาวที่เท้าเอวชี้หน้าผมอย่างไม่เกรงใจด้วยความสยองนิดๆ ที่พอกหน้าอยู่นั่นอะไร ขี้ม้าหรอ?
“เอ่อ หวัดดีฮุนนี่”
“รู้มั้ยว่านอนดึกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
แน่นอนว่าผมส่ายหัว นอนดึกแล้วจะเกิดไรขึ้น เกิดอภินิหารแฟนตาซีภูเก็ตเจ็ดเรือยอร์ชอะไรไม่ทราบ?
“ก็จะเตี้ยยยย...แบบนี้ไง!”
“=[]=!”
“แล้วก็อ้วนด้วย ดูสารร่างตัวเองสิ ดูๆๆ ทั้งอ้วนทั้งเตี้ยเลยเนี่ย!”
ผมถึงกับพะงาบๆเป็นปลาเกยตื้นเลยครับ ถึงอิน้องฮุนจะหมัดไม่หนักเท่าจงอิน แต่พูดงี้คือตบกูเลยก็ได้ เอามีดเลยมั้ย? แทงกูเลยมั้ย?
“แต่จะอ้วนจะเตี้ยอะไรก็เรื่องของแบคกี้อ่ะนะคะ ณ จุดๆนี้ กรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนการนอนของฮุนนี่ เพราะฮุนนี่ยังต้องการความสวยและความสูง เข้าใจนะอิเตี้ย”
“ข..เข้าใจ”
“เออดี ไปนอนป่ะ”
“แป๊บนะ...ฮุนนี่เรียกฉัน เอ่อ คือเรียกพี่ว่าไรนะ”
“แบคกี้ไง ^^”
ไม่ใช่ไง...เมื่อกี้มึงเรียกกูว่าอิเตี้ย
“กู้ดไนท์จ่ะ จุ๊บ” ฮุนนี่ส่งจูบ ก่อนที่ใบหน้าที่อุดมไปด้วยโคลนสีเขียวอี๋จะสะบัดเข้าห้องไป
ผมถึงกับเมาคำด่า ว่าจะก้าวเข้าห้องนอนก็เสือกโง่เหยียบเศษแก้วจนมันปักง่ามตีนอีก
“โอ๊ย!! จะซวยส้นตีนอะไรกันนักกันหนาเนี่ย!!”
ฮึ่ย!พระเจ้าไม่เข้าข้างป๋าแบคเลยอ่ะ TOT ชาติที่แล้วกูไปตระเวนกินแมวชาวบ้านเขาหรือไงวะ ถึงต้องมาตกตระกำรำไทยขนาดนี้เนี่ย!
ผมเดินกระเผลกๆเข้ามาในห้องนอน ตอนนี้ไอ้ชานยอลอาบน้ำเสร็จแล้วครับ มันกำลังนั่งอ่านหนังสืออะไรซักอย่างอยู่บนเตียง พอเห็นว่าผมเข้ามาแล้วมันก็ปิดหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นมามองทันที
“เฮ้ย!ไปโดนอะไรมา”
“...”
“โอ๊ย เลือดหยดเลอะพรมกูหมดเลยเนี่ย!”
“อ๋อจ่ะ เลอะหมดเลยจ่ะ =___=” อิหน้าหมาบีเกิ้ลเอ๊ย ห่วงกูหน่อยได้มั้ยล่ะ
ไอ้ชานยอลลุกขึ้นยืน ก่อนจะปรี่เข้ามาช้อนผมไปอุ้มไว้แนบอกอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!จะอุ้มทำไมเนี่ย!”
มันไม่ตอบอะไร แต่ไม่นานร่างของผมก็ถูกวางเบาๆบนฟูกเตียง ไอ้ชานยอลผละไปยืนกอดอก ขมวดคิ้วมองผมเหมือนตำหนิ
“เออ รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาด่าด้วยสายตาเลยนะ! เงินเดือนออกเดี๋ยวกูซื้อใหม่ให้!” ฮึ่ย งกจริงว้อย!
“งี่เง่า”
“ว่าไงนะ!”
“ไอ้งี่เง่า”
“นี่มึงว่ากูงี่เง่าหลายรอบแล้วนะ มึงฝากแม่บ้านมาด่ากูด้วย กูจำได้!”
ไอ้ชานยอลส่ายหัวเหมือนเอือมระอา “มึงนี่งี่เง่าขนานแท้”
“เออ! กูมันงี่เง่า แต่มึงก็ทนหน่อยแล้วกัน ครบสามเดือนเมื่อไหร่กูหย่าแน่ไม่ต้องห่วง!” ผมเริ่มเดือดแล้วครับ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะพูดยังไง ผมพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้วในแบบที่ผมจะทำได้ แล้วผมก็ไม่ได้อยากได้หรอกนะ ไอ้คำว่าขอบคุณหรือการยอมรับอะไร แต่ก็แล้วไง คิดว่าผมชอบหรอที่จะต้องมาถูกด่าว่างี่เง่า ถูกปากล่องยาใส่ แถมยังถูกด่าว่าอ้วนเตี้ยเนี่ย!
นี่ผมไม่ได้น้อยใจนะ สาบานได้!!
“หึ มากไปสิไม่ว่า กูขอสองเดือนแล้วกัน”
ผมอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อ นี่ไม่ง้อแล้วยังจะหักหน้ากันอีกหรอ
“เดือนเดียว! กูให้เดือนเดียวเลย” ผมจ้องตามันกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ก็ให้มันรู้ไปสิว่าคนอย่างบยอนแบคฮยอนจะยอมลงให้!
“หึ ก็ดี” ไอ้ชานยอลแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนที่มือหนาจะตะปบเข้าที่เท้าข้างที่เป็นแผลของผม แรงดึงมหาศาลทำให้ร่างผมเลื่อนวืดไปอยู่ชิดขอบเตียง จากนั้นไอ้ชานยอลก็คร่อมทับลงมา...ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว
“งั้นกูขอใช้โควต้าให้คุ้มเลยแล้วกันนะ คุณเมียหนึ่งเดือน!”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวอะไร ไอ้ชานยอลก็โถมกายลงมากระชั้นชิด ริมฝีปากร้อนและความรู้สึกแปลกๆจู่โจมที่พวงแก้มของผม ผมพยายามผลักอกกว้างนั่นออก แต่มือที่เป็นห้อจากการถูกประตูหนีบรู้สึกเจ็บจนต้องรีบชักกลับมา นี่เล็บผมหลุดไปด้วยหรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันเจ็บจนมือสั่นเลยวะ!
“ปล่อยนะเว้ย! ไอ้หมาบ้า!” ผมเปลี่ยนมาใช้แข้งและเข่าแทน แต่มันก็ยังดันทุรังปล้ำจูบผมอยู่อย่างนั้น นานพอดูกว่าผมจะหมดแรงและหอบหนัก
สุดท้ายไอ้ชานยอลก็ยอมผ่อนแรงลงและถอยทัพกลับไป
ผมจ้องมันอย่างอาฆาตแค้น อยู่ดีๆน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาคลอเบ้าจนน่าอับอาย กระนั้นมันก็ไม่ได้ไหลมาแต่อย่างใด ผมหลบตาไปทางอื่น ก่อนจะคว้าผ้าห่มกับหมอนขึ้นมาถือไว้
“มึงจำไว้เลยว่าสัญญาของเราคือหนึ่งเดือน แล้วหลังจากนั้น กูกับมึงก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีก!!”
พูดจบผมก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้องไป จงใจปิดประตูให้เสียงดังที่สุดจนพื้นสะเทือน แม่ง...ลงไปนอนที่โซฟาห้องรับแขกยังดีกว่าต้องทนนอนร่วมห้องกับไอ้คนไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างไอ้ปาร์คชานยอล!
ระหว่างทางต้องผ่านห้องนอนของไอ้อินจังก่อนจะถึงราวบันได ผมถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะวางหมอนกับผ้าห่มที่หอบมาลงกับพื้น แล้วนั่งยองๆเก็บเศษซากเครื่องมือปฐมพยาบาลใส่กล่องไปทิ้งถังขยะ นี่ห่วงว่าเช้ามาป้าแม่บ้านจะโดนเศษแก้วตำเท้านะเนี่ย ถึงได้ยอมเก็บให้อ่ะ ไม่ได้ห่วงอย่างอื่นเลยจริงๆ
ผมเดินกระเผลกๆเกาะราวบันไดลงมาอย่างยากลำบาก เจ็บไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่รวมๆกันทั้งตัวยังไม่เจ็บเท่าที่ใจเลยสาบาน!
ผมจัดการวางหมอนกับผ้าห่มลงบนโซฟาตัวใหญ่ ถึงตอนนี้ไฟในบ้านจะถูกปิดสนิททุกดวง แต่ก็ยังพอมีแสงสว่างจากดวงจันทร์อยู่บ้าง โชคดีที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ไม่งั้นผมคงได้นอนกลัวผีจนสั่นผับๆแน่นอนครับ
ผมนอนพลิกไปพลิกมาในห้องรับแขกที่เงียบสงัด นี่ก็ใกล้เช้าแล้วมั้ง ม๊าจะตื่นมาเตรียมแป้งปาท่องโก๋สำหรับทอดพรุ่งนี้รึยังเนี่ย?
ผมชั่งใจอยู่ไม่นานก็ผุดลุกขึ้น เดินเขย่งไปหาโทรศัพท์บ้านที่วางอยู่บนตู้ไม้ ถึงจะดูเสียมารยาทไปบ้างที่ต่อสายเวลาตีสามตีสี่แบบนี้ แต่สุดท้ายผมก็กดเบอร์โทรเข้าที่บ้าน
ฟังเสียงสัญญาณตู๊ดๆอยู่นาน ก่อนระบบจะตัดให้เข้าสู่บริการฝากข้อความเสียง
“หม่าม๊า...”
“นี่อั๊วเองนะ ที่โทรมานี่ไม่ได้คิดถึงนะ ฮ่าๆๆ จะโทรมาอวดว่าสบายดี ม๊าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แล้วเตือนป๊าด้วยนะว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงแล้ว เลิกกินได้แล้วไอ้พวกของหวานอ่ะ ม๊าก็ด้วยอย่านอนดึกนะอั๊วเป็นห่วง” ผมพ่นถ้อยคำออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบวางสายเพราะกลัวว่าถ้าประวิงเวลาปากกว่านี้ แล้วผมจะหลุดงอแง
นี่มันแย่จริงๆนะ คุณเคยรู้สึกมั้ย เวลาที่ต้องเดินทางไปนอนค้างที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านของเรา แค่ไปเข้าค่ายกับที่โรงเรียนบางทีผมยังนอนไม่หลับเลย
ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผมเลย ไม่มีใครต้อนรับเลยด้วยซ้ำ
อยากกลับบ้าน....
ผมงีบหลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เสียงฝีเท้าปริศนาที่ย่ำจนบันไดดังเอี๊ยดอ๊าดก็ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้น
ผี...เปล่าวะ?
ผมรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหัวทันที ในใจก็ท่องบทสวดมั่วไปหมด แม่งผีอาม่ามาหลอกป่ะวะ
อาม่าอ่า TOT อั๊วขอโทษ พรุ่งนี้อั๊วจะเผาฟันปลอมคืนไปให้ อย่ามาปรากฏกายให้อั๊วเห็นเลยนะ อั๊วกลัวจนฉี่จะราดแล้ว
ผมนอนสั่นผั่บๆอยู่ได้ไม่นาน เสียงกรุ๊งกริ๊งของกุญแจรถที่แขวนไว้บนที่แขวนข้างประตูก็ดังขึ้น ...ไม่ใช่แล้วมั้ง อาม่าคงไม่มีอารมณ์อยากจะแว้นเวลานี้หรอก
ผมดึงผ้าห่มออก พยายามโฟกัสไปที่ข้างประตู เพ่งอยู่นานกว่าจะเห็นว่าเป็นไอ้อินจังแฝดคนโตนั่นเอง
เหอะ กลมกลืนกับความมืดเหลือเกินนะมึง =__=
“จะไปไหน?” ผมรีบถามทันทีที่มือใหญ่คว้าหมับที่ลูกบิด
จงอินหันมามองผมแค่แวบเดียวก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกไป แน่นอนว่าผมรีบลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งตามไปทันที
“เฮ้ยหยุดก่อนดิวะ!!”
นอกจากจะไม่หยุดเดินแล้ว มันยังชูนิ้วกลางมาให้อีกต่างหาก
“นี่! เลิกกวนประสาทแล้วก็หยุดเดินก่อนได้มั้ย!!” ผมตะโกนเรียก แต่ไม่ว่าจะพยายามใส่เกียร์หมาซักเท่าไหร่ ผมก็ไล่ไม่ทันคิมจงอินซักกะที แผลที่เท้าเริ่มปริอีกครั้ง เลือดเริ่มซึมไหลติดไปกับสนามหญ้า
จงอินปรี่เข้าไปลากมอเตอร์ไซต์แต่งท่อของมันออกมาจากโรงจอดรถ มันเข็นแทนการขี่ แสดงว่าไม่อยากทำเสียงดังให้คนในบ้านรู้? แล้วเป้ใบใหญ่ที่สะพายไว้ข้างหลังนั่นหมายความว่าไง?
“นี่มึงจะหนีออกจากบ้านหรอ?!!” คราวนี้ผมวิ่งไปบังประตูรั้วเลยครับ แผลจะแหกจะเน่าก็ช่างมันแล้ว ในเมื่อเดินไม่ทันก็ต้องวิ่งเอานี่ล่ะ
“ถอย” ไอ้เด็กดำพูดเค้นไรฟัน ผมจ้องตากลับอย่างแน่วแน่
“ไม่!”
“มึงอยากลองดีกับกูนักใช่มั้ย?”
“ก็ไม่ได้อยากยุ่งด้วยหรอกนะ แต่การที่จะหนีออกจากบ้านเพราะเรื่องแค่นี้มันไม่ปัญญาอ่อนไปหน่อยรึไง!”
“หุบปากไปเลย มึงมันก็แค่คนนอก!”
“ถึงกูจะไม่เคยเป็นพ่อคน แต่กูก็รู้ว่าไอ้ชานยอลมันห่วงมึง ถึงวิธีการของมันจะรุนแรงไปหน่อย แต่มึงก็ต้องเข้าใจหน่อยสิ!!”
“ก็บอกให้ถอยไปไง!”
“กว่าจะเลี้ยงพวกมึงสองคนให้โตขึ้นมาได้ คิดว่ามันง่ายนักรึไงห๊ะ!!”
“ไม่ถอยใช่มั้ย...ได้”
ไอ้จงอินจัดการเตะขาตั้งออกมาให้รถตั้งอยู่ได้โดยไม่ต้องมีคนจับ ก่อนที่มันจะปรี่เข้ามาบีบต้นแขนของผมทั้งสองให้ด้วยแรงมหาศาล
“กูจะทำให้มึงรู้ว่า จุดจบของพวกปากเก่งมันเป็นยังไง!”
“ปล่อยนะเว้ย!” ผมดิ้นสุดแรงแม้ร่างกายจะเป็นรองอยู่มาก ไอ้จงอินออกแรงลากผมลัดเลาะเข้าไปในสวน ย่างก้าวที่รวดเร็วทำให้ผมต้องวิ่งตามไปด้วยแผลที่เปิดจนเหวอะ เหยียบไปโดนทั้งกรวดและทรายจนหายเจ็บแสบและทิ้งไว้เพียงความชาชิน
“มึงจะทำอะไรวะ?” ผมถามหวาดๆขณะที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับสระน้ำที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ไอ้จงอินไม่ตอบคำถามด้วยคำพูด แต่การกระทำที่เกิดขึ้นก็เป็นคำตอบได้อย่างชัดเจน
ตู้ม!!
น้ำเย็นเฉียบเหมือนเข็มเป็นพันเล่มพุ่งมาทิ่มแทงร่างกาย เพียงแค่เสี้ยววินาทีผมก็จมลงสู่ก้นสระ
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดถีบให้ผมแหวกว่ายขึ้นมาหายใจเอาอ๊อกซิเจนบนผิวน้ำ
“แค่กๆ ไอ้เด็กบ้า!” ผมสำลักจนแสบหูแสบตาไปหมด แต่ด้วยความแค้น ผมจึงไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้เสียฟอร์มไปมากกว่านี้ ผมเชิดหน้าจ้องมันอย่างอาฆาตวันนี้อาจจะไม่ใช่วันของกู แต่ถ้าวันของกูมาถึงเมื่อไหร่ มึงเตรียมใจไว้ได้เลย คิมจงอิน!!
“ก็ฤทธิ์เยอะดีนี่ โกรธใช่มั้ย? เดือดมากล่ะสิ? ฮ่าๆๆ เล่นน้ำให้ใจเย็นไปก่อนนะ กูไปล่ะ” ไอ้จงอินยิ้มเยาะจนตาหยีขึ้นเป็นขีด ส่วนผมก็ได้แต่ตีน้ำด้วยความคับแค้นใจอยู่อย่างนั้น
“เออ!!! จะไปตายทที่ไหนก็ไปเลย คิดว่ากูอยากให้มึงอยู่ในบ้านหลังนี้นักรึไง มึงไสหัวไปได้ก็เป็นเรื่องดีซะอีก ชีวิตกูจะได้สงบสุขขึ้น แม่งเอ๊ย!! ไอ้อันธพาล! ไอ้เด็กรกโลก!”
พอตะโกนอวยพร(?)เซ็ทคอมโบ้เสร็จแล้ว ผมก็ว่ายไปเกาะขอบสระ หอบหายใจจนตัวโยน
แว่วเสียงประตูรั้วเลื่อนเปิดก่อนจะปิดลง
คนบ้าอะไรแก้ปัญหาได้โง่ชะมัด ไปซะได้ก็ดี คอยดูนะต่อไปนี้จะไม่ห่วงอีกแล้ว!!
. . . . .
แล้ววันใหม่ก็มาถึงอย่างรวดเร็ว มึนๆ งงๆ ปนเบลอๆ -_-
“คยองซู??”
ผมครางอย่างไม่อยากจะเชื่อเมื่อเห็นเพื่อนรักเดินเข้ามาในบ้านพร้อมถุงขนมหลากหลายชนิด
“นี่มึงมาได้ไงเนี่ย”
“ขับรถมา”
“กูหมายถึงมาทำไม เพื่ออะไรว้อย”
“ก็แม่มึงโทรมาหากูตั้งแต่แปดโมง วานให้ช่วยมาดูมึงให้หน่อย เห็นแม่มึงบอกว่ามึงมีปัญหา”
“แม่กูเนี่ยนะ?”
“เออดิ คงจะเป็นแม่กูมั้ง” ไอ้เพื่อนตาเหลือกพูดกวนๆก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับผม
ผมรู้สึกตื้นตันแปลกๆ แค่โทรไปม๊าก็ฟังน้ำเสียงออกแล้วว่าผมคงมีปัญหาอะไรบางอย่าง... ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกอยากกลับบ้านแล่นเข้ามาในความคิด เล่นเอาน้ำตาซึมจนต้องรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดกลบเกลื่อน
“น้ำปะปาบ้านผัวมึงนี่กลิ่นคลอรีนแรงชะมัด” ไอ้โด้ทำจมูกฟุดฟิดดมๆที่ตัวผม
เหอะ...น้ำปะปาอะไรล่ะ น้ำในสระนี่แหละ
หลังจากที่ถูกเหวี่ยงให้ลงไปว่ายน้ำป๋อมแป๋ม ผมก็ลากสังขารเข้ามาเช็ดตัวในบ้าน ก็ว่าจะอาบน้ำอ่ะนะครับ แต่สุดท้ายก็เหมือนลมจับเลยนอนยาว แล้วก็เพิ่งตื่นตอนแม่บ้านมาปลุกบอกว่ามีแขกมาหานี่แหละ
“อย่าเรียกว่าผัวได้ป่ะ ฟังแล้วขนลุก”
“ฮ่าๆๆๆ เออก็ได้ๆ ว่าแต่เขาดีกับมึงมั้ยอะ”
ผมชะงักไปเล็กน้อย เอาวะ ขอโกหกซักเล็กน้อย เพื่อความสบายใจของเพื่อน
“ก็ดี ก็ปกติ”
“เฮ้ออ ค่อยยังชั่วหน่อย เออว่าแต่ทำไมเสียงมึงแหบๆ” ไอ้โด้ทำหน้าผิดสังเกต ก่อนจะยกมือขึ้นมาอังหน้าผากของผม
“โหย ร้อนจี๋เลยอ่ะ นี่มึงเป็นไข้หรอวะ?!”
ผมยิ้มตอบกลับไปแบบแห้งๆ ก็ไม่รู้ว่ามีไข้รึเปล่าอ่ะนะ แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ มันเพลียๆยังไงบอกไม่ถูก
“แล้วนี่สามีมึงไปไหน ไม่คิดจะมาดูแลมึงหน่อยเลยรึไงเนี่ย”
ผมกลอกตาทำหน้าเซ็ง “ยังไม่ตื่นเลยมั้ง แต่พอตื่นแล้วก็คงรีบแจ้นออกไปทำงานเลยนั่นแหละ เห็นป้าแม่บ้านบอกว่าวันนี้มันมีแฟนมีตที่ต่างจังหวัดด้วย”
คยองซูพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปเตรียมอาหารเช้า(แต่นี่ก็จะเที่ยงแล้ว)ให้ผมในห้องครัว
ระหว่างที่กำลังรอเพื่อนรักจัดการกับมื้ออาหารอยู่นั้น ไอ้เจ้าของบ้านสันดานแย่ก็เดินหน้าตายลงมาจากชั้นสอง
“ไง แผลที่ปากหายดีรึยัง?” ไอ้ชานยอลเดินมานั่งข้างผมบนโซฟา มันแต่งหน้าแต่งตัวเป๊ะหมดแล้วครับ คงเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปทำงาน
ผมจิ๊ปากก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ...เหอะ มีตาก็มองเองดิว่าสภาพกูเป็นยังไง
ไอ้ชานยอลหัวเราะในลำคออย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะจับคางผมให้หันหน้าไปทางมัน
“น่าสงสารจังเลยเนอะ ตัวก็เล็กนิดเดียวแต่ต้องมารับมือกับคนตัวโตๆตั้งสามคน นี่ถ้าไม่ไหวจะเก็บข้าวเก็บของกลับไปนอนบ้านแม่ก็ได้นะ ไม่มีใครว่า”
ผมแทบจะปรี๊ดแตกกับสายตาและน้ำเสียงที่ยั่วยวนกวนประสาทนั่น แต่ไม่ทันได้แหกปากโวยวายอะไร ริมฝีปากของคนยั่วอารมณ์ก็ทาบทาลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว
ไอ้ชานยอลจูบเบาๆก่อนจะผละออกไป มันยิ้มหน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอได้สติผมก็เงื้อมือหมายจะตั๊นหน้ามันไปซักทีสองที แต่ไอ้คยองซูก็ดันเสร่อออกจากครัวมาซะก่อน
“อ้าวคุณชานยอล สวัสดีครับ”
ไอ้โด้ทักทายตามมารยาท ก่อนจะวางถ้วยซุปสาหร่ายกับข้าวหน้าหมูทอดลงบนโต๊ะหน้าโซฟา
“พี่เพื่อนฉัน โดคยองซู” ผมแนะนำลวกๆ ถึงจะกระดากปากที่ต้องใช้สรรพนามสุภาพชนกับคนอย่างปาร์คชานยอล แต่ก็ไม่อยากหยาบคายให้ไอ้โด้มันรู้ว่าเราสองคนเป็นศัตรูกัน ผมไม่อยากให้มันเป็นห่วงไปมากกว่านี้
ไอ้ชานยอลยิ้มกว้าง ผมว่าสายตามันแปลกๆยังไงไม่รู้ว่ะ
“สวัสดีครับ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าแบคฮยอนมีเพื่อนน่ารักแบบคุณด้วย”
“แค่กๆๆ” ผมถึงกับน้ำลายติดคอเลยครับ หนอย...ไอ้บ้าชานยอล เมื่อกี้มึงยังจูบกูอยู่เลยนะ!
ไอ้โด้เองก็คงงงไปเหมือนกัน แต่ไอ้ชานยอลก็แก้เกมด้วยการหัวเราะคลายบรรยากาศ
“คุณชานยอลจะออกไปทำงานรึยังครับ ทานข้าวด้วยกันก่อนมั้ย ผมซื้อมาเยอะ”
ผมเดาไว้ว่าคนหยิ่งยโสและถือตัวแบบสุดกู่อย่างมันต้องปฏิเสธแน่ๆ
แต่...
“ทานครับ รบกวนด้วย”
ผมถึงกับอ้าปากค้าง ให้มันได้อย่างนี้สิ!!
ไอ้โด้ผลุบเข้าไปเตรียมอาหารอีกชุดในครัว ก่อนจะถือถาดออกมา ตอนที่ส่งข้าวให้ ผมเห็นไอ้ชานยอลแอบเนียนจับมือเล็กๆของเพื่อนผมด้วยแหละ
ชักจะมากไปแล้วนะเว้ย!!
ระหว่างที่ไอ้โด้เดินไปเข้าครัวไปอีกรอบ ผมจึงถือโอกาสเปิดประเด็นกับไอ้ชานยอลทันที
“นี่มึงอย่ามาทำเจ้าชู้ใส่เพื่อนกูนะ”
“ทำเจ้าชู้อะไร กูเปล๊า”
“เปล่าบ้าไร กูเห็นมึงมองเพื่อนกูตาเยิ้มซะขนาดนั้น แถมยังเนียนจับมือไอ้โด้มันอีก คิดว่ากูไล่ตามความคิดมึงไม่ทันรึยังไง!”
“ทำไม? หึงหรอ?”
ผมเม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์ หึงงั้นหรอ! นี่คิดว่าหึงรึไง!
“กูไม่ได้หึงอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ไอ้โด้มันเป็นคนดีเกินกว่าจะต้องมาโดนคนอย่ามึงล่อลวง! แล้วที่สำคัญ...”
“ที่สำคัญอะไร?”
“กูกับมึง...”
“กูกับมึง? อะไร?”
ผมจ้องมันอย่างหงุดหงิด แค่นี้ก็คิดเองไม่ได้รึไงกันนะ!! แม่ง กูกับมึงก็ใกล้จะแต่งงานกันอยู่แล้วยังไงล่ะว้อย!!
ไอ้ชานยอลมองท่าทางหัวเสียของผมก่อนจะหลุดยิ้มมุมปาก “หึ นี่มึงสำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า?”
“ว่าไงนะ?!”
“มึงคิดว่าที่กูหยอกมึง ที่กอด ที่จูบมึงเป็นสิ่งที่กูทำกับมึงแค่คนเดียวหรอ”
“...”
“มึงนี่โง่เกินเยียวยาจริงๆ บยอน แบคฮยอน”
ผมมองรอยยิ้มร้ายกาจของคนที่กำลังจะได้ชื่อว่าเป็นคู่ชีวิตด้วยความแค้นใจ
คงเป็นเพราะพิษไข้...ผมถึงได้รู้สึกแย่! แย่มากๆ แย่ที่สุดในโลกเลย!
. . . . .
พอช่วงบ่ายไอ้โด้ก็ลากลับไปทำงานต่อ จริงๆผมก็ทำงานอยู่บริษัทเดียวกับมันนั่นแหละครับ แต่คนละเครือกัน ปกติผมทำอยู่ที่สาขาบ้านเกิด เพิ่งขอย้ายมาทำที่โซลตอนรู้ว่าจะต้องแต่งงาน แต่นี่ก็ยังไม่ได้เข้าไปรายงานตัวซักที จะโดนไล่ออกมั้ยวะ...เฮ้ออ ช่างเถอะ
ผมนอนถอนหายใจทิ้งอยู่ซักพัก โทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ผมมองเจ้าตัวการแผดเสียงอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินกระเผลกเหมือนหมาเสียขาไปรับสาย
“ยอโบเซโย๊”
‘บ้านไอ้จงอินใช่มั้ย?’
ผมขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินชื่อแสลงหูนั่น จะตอบว่าไงดีวะ ตอบว่าไม่ใช่ได้มะ?
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม? แล้วถ้าไม่ใช่แล้วจะทำไม?”
‘หึ กวนส้นตีนกันทั้งบ้านเลยนะ’
อยากจะตะโกนตอบไปเหลือเกินว่า ‘กูอ่ะคนนอกเว้ย!’ (เห็นยัดเยียดให้กูเป็นกันจั๊ง)
‘เอาเถอะ ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมนะ’
“เออ จะพูดไรก็พูดดิ”
‘ฉันก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรนักหรอกนะ แต่เด็กบ้านนายมันเบี้ยวไม่จ่ายมาหลายงวดแล้ว เวลาแทงถูกก็รีบมาเอาเงินไป แต่เวลาแพ้กลับเล่นตุกติกไม่ยอมเสียซะงั้น’
“???”
‘นี่ฉันก็เพิ่งให้ลูกน้องไปลากคอมันมาจากโรงเรียน อยากคุยหน่อยมั้ยล่ะ’
“นี่พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่?” ผมหรี่ตาครุ่นคิดอย่างงุนงง ไอ้เด็กอินจังมันล้อเล่นอะไรของมันอีกกันเนี่ย ชักจะเยอะเกินไปแล้วนะ!
‘อยากได้ตัวมันกลับไป ก็ต้องมาไถ่ทั้งต้นทั้งดอก ค่าพนันที่มันเสียล้านวอน ดอกเบี้ยอีกสองล้าน แล้วก็ค่าเสียเวลาของพวกฉันอีกล้าน รวมเป็นสี่ล้าน’
“จะบ้าหรอ!! เงินตั้งสี่ล้านวอน จะให้เสกขึ้นมารึไง แล้วนี่พูดบ้าอะไรกันไม่ทราบ นี่เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรอ!!”
‘ฉันจะรออยู่ที่ร้านคาราโอเกะหลังโรงเรียนยอนัม โซนโต๊ะสนุ๊ก ถ้าไม่เอาเงินมาไถ่ไป รู้นะว่าเด็กนี่จะมีชะตากรรมเป็นยังไง’
ขณะที่ผมกำลังมึนงงเหมือนถูกหินทับหัวอยู่นั้น ก็มีเสียงโวยวายดังแทรกเข้ามาในสาย เคล้าไปกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงโลหะดังช้งเช้ง และคนที่คุยสายกับผมพูดกับใครซักคนว่าให้ทักทายผมหน่อย แต่คนๆนั้นไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา
เสียงตุ๊บตั๊บดังขึ้นเรื่อยๆ ผมกำโทรศัพท์แน่นด้วยความกลัวเล็กๆที่เริ่มผุดขึ้นในใจ...
‘ใจแข็งนักใช่มั้ย’
ผั๊วะ!!
‘อ๊ากกกก!!’
โทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ตกลงกระแทกพื้นด้วยความรวดเร็ว...ผมมือสั่นไปหมด
เสียงที่ร้องด้วยความเจ็บปวดนั่นเป็นเสียงของคิมจงอิน!
โธ่เว้ย!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!!
100%
12/10/14
#คพขร
ความคิดเห็น