ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    'Neck' n 'Neck' { chanbaek }

    ลำดับตอนที่ #3 : - c h a p t e r : 2 -

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ค. 57







     

     

     

     

    ผมตื่นขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดชนิดที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้



     

    ตามองเห็นแต่เพดานที่เป็นสีฟ้าเรืองแสงจากหลอดนีออนแบบแบล็กไลท์ ไฟบางดวงดังหึ่งๆเหมือนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่ ดังแข่งกับเสียงน้ำจากที่ไหนซักแห่งที่หยดติ๋งๆอย่างต่อเนื่อง



     

    บรรยากาศชวนฉงนและขนลุก ถ้าเป็นปกติผมคงรีบลุกพรวดขึ้นมาหาทางหนีทีไล่ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด แต่วินาทีนี้ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนกลืนน้ำลายและรับรู้ถึงความแสบร้อน(โคตรๆ)ที่ลำคอลามไปถึงโพรงอก



     

     

    “ไง” ใครบางคนพูดขึ้นท่ามกลางความสับสนของผม ผมนิ่งฟังพร้อมประมวลผลว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงของใคร



     

    ใครกันนะ? ใครกันที่เป็นเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มแต่ดุดันอยู่ในที?



     

     

    ปาร์คชานยอล!!!



     

     

    ผมเบิกตากว้างอย่างอัตโนมัติ มือจิกเกร็งและดันตัวขึ้นนั่งแม้จะเจ็บร้าวไปทั้งร่าง  เมื่อลุกผมจึงสังเกตเห็นสายระโรงระยางที่เจาะเข้ากับส่วนต่างๆของผิวกาย เห็นเตียงพยาบาลที่มีเพียงโครงเหล็กที่ตัวเองกำลังนอนอยู่ เห็นเสาน้ำเกลืออันเป็นที่มาของเสียงน้ำหยดติ๋ง และที่สำคัญ... เห็นปาร์คชานยอลที่ยืนถือเข็มฉีดยาอยู่ข้างเตียง



     

     

    “ฟื้นตัวเร็วดีนี่ แถมยังตายยากเหมือนแมลงสาบ”


     

    “...”


     

    “เอาเป็นว่าฉันจะเลี้ยงนายต่อไปก็แล้วกัน” คนพูดวาดรอยยิ้มเยือกเย็นบนมุมปาก ดวงตาของเขาแข็งทื่อ มือหยาบวางลงตรงศีรษะของผม ซึ่งผมก็ปัดออกอย่างรวดเร็ว


     

    “โอ๊ะ...” เขาแสร้งอุทานเบาๆ มือหนาชักกลับไป ก่อนที่มืออีกข้างจะเริ่มควงเข็มฉีดยาอย่างไม่เร่งร้อน


     

    “นายเคยได้ยินเรื่องการฝึกสัตว์ไหม? สัตว์ต่างชนิดกันก็ใช้วิธีฝึกที่ต่างกัน”


     

     

    ผมจ้องเขาเขม็ง ที่ทำได้ตอนนี้คือขู่เขาผ่านทางแววตา ผมยังเจ็บอยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ ในทุกเม็ดเลือดมีแต่ความเจ็บปวดที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนนักหนา

     


     

    “บางตัวใช้อาหาร บางตัวใช้ความใจดี แต่บางตัวเราก็ต้องใช้ความรุนแรง” ชานยอลดีดหลอดเล็กๆในมือจนของเหลวสีอำพันปริ่มออกมาจากปลายแหลมคม เขามองที่เข็มฉีดยาสลับกับมองหน้าผมด้วยดวงตาสีเฮเซลที่แสนจะนิ่งเย็น


     

    ร่างกายของผมเริ่มสั่นอย่างไม่อาจควบคุม เขากำลังทำอะไร? ยานั่นคืออะไร เขากำลังฉีดพิษให้ผมอย่างนั้นหรอ?


     

    ปาร์คชานยอลคงอ่านแววตาหวาดระแวงแฝงด้วยคำถามของผมออก เขาแสยะยิ้มพร้อมอธิบาย “เราเรียกวิธีนี้ว่า Mercy killing


     

    !!!!


     

    ชิบหายละ หมอนี่กำลังฆ่าผมเหมือนที่เพชรฆาตฉีดยาให้นักโทษประหาร เหมือนที่หมอฉีดยาให้คนไข้ตายอย่างสงบ



     

    ผมจะตายได้ยังไง ในเมื่อบ้านผมก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่มี ครอบครัวก็ไม่มี หน้าที่การงานก็ไม่มี หน้าตาทางสังคมก็ไม่มี!


     

    เอ่ออ จริงๆก็ไม่มีใครข้างหลังหรือทรัพย์สินให้ต้องเป็นห่วงนี่หว่า... แต่จะยังไงก็ช่าง บยอนแบคฮยอนไม่อยากตายโว้ย!!


     

     

    “โทษที ช่วยตัด Mercy ออกไปด้วย”


     

    ในขณะที่ผมกำลังมึนตึ้บกับมุก(?)ที่ไอ้โหดนี่เล่น เขาก็แทงเข็มเข้าเนื้อจนมิดด้าม


     


     

    ไม่...ไม่ได้แทงผม



     

    ปาร์คชานยอลกำลังฉีดยาให้กับตัวเอง และกำลังแปลงร่างเป็นอะไรซักอย่างที่สุดขอบจินตนาการของผมจะนึกคิด


     

    “มาทำความรู้จักเซรุ่มความรักกันหน่อยดีกว่า เพราะดูเหมือนว่านายจะยังไม่รู้จักมันดีพอ”


     

     !!!!!!


     

     

    ร่างสูงกัดริมฝีปากตัวเองด้วยฟันซี่คมพร้อมคำรามเบาๆตอนที่ดันสลิงค์ฉีดตัวยาเข้าไปในกระแสเลือด เขากำและคลายมืออย่างเป็นจังหวะ เส้นเลือดสีเขียวโป่งนูนจากข้อมือไปตามแขนแกร่งราวสายโซ่ทรงพลัง เส้นโลหิตเหล่านั้นเต้นตุบไปจนถึงแนวกรามได้รูป



     

    “อ่าส์...” ชานยอลเปล่งน้ำเสียงชวนขนลุก เขาพับและหมุนคอสร้างเสียงกร๊อบแกร๊บ ทั้งยังขยับหัวไหล่กำยำที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามสีดำเพื่อวอร์มระบบกล้ามเนื้อ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ หัวใจเต้นรัวแรงด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นที่กลั่นออกมาเป็นหยาดเหงื่อซึมตามผิวหน้าผาก



     

    ผมพยายามเขยิบตัวไปข้างหลัง แต่การเคลื่อนไหวก็ทำให้ผมเจ็บปวดจนน้ำตาปริ่ม ชานยอลปล่อยเข็มฉีดยาลงกลิ้งบนเตียงเหล็ก ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างคร่อมร่างผมเอาไว้ราวกรงขังที่มีอานุภาพที่สุดในโลก เขาเหยียดยิ้ม นัยน์ตาจ้องตรง



     

    ราวกับมีประกายไฟลูกใหญ่ถือกำเนิดในดวงตาคู่นั้น


     

     

    ผมจ้องตอบคล้ายว่าถูกสะกดด้วยเปลวไฟที่กำลังโชติช่วง อยากจะพูดอะไรซักอย่างให้เขาหยุดการกระทำที่กำลังเกิดขึ้น แต่ผมก็ทำได้แค่เพียงเผยอปากโดยปราศจากเสียงเท่านั้น



     

    “สี่ชั่วโมง”


     

    “...”


     

    “มันออกฤทธิ์สี่ชั่วโมง”


     

     

    เดิมทีดวงตาของเขาคมคายและเย็นเยือก แต่เซรุ่มบ้านั้นโยนกองเพลิงเข้าไป เขาร้อนแรงและแสดงสีหน้าในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ...เซ็กส์ซี่? ...รุ่มร้อน?... ใช่ แต่ต้องไม่ใช่ในตอนนี้ ไม่ใช่กับผม ไม่ใช่ในฐานะสัตว์ป่าที่เขาจับมาฝึก

     


     

    กึก!

     

    เตียงสั่นและล้อเลื่อนไถลเมื่อชานยอลปีนขึ้นมาบดบังเงาผมไว้ทั้งตัว มันเจ็บปวดจนอยากร้องตะโกนตอนที่เขากระชากสายต่างๆออกจากร่างกายของผม เลือดซึมออกมาตามรูเข็ม ผมแสบชา รู้สึกเหมือนถูกบังคับไม่ให้มีชีวิตอยู่ต่อ

     


     

    มือใหญ่ดึงคอเสื้อให้ผมเข้าไปประชิด ทั้งห้านิ้วยาวขยุ้มเนื้อผ้าติดลำคอจนผมหายใจไม่ออก ปลายเล็บของเขากรีดผิว ...ผมมองหน้าเขาผ่านม่านน้ำตาแห่งความกลัว แต่ไม่มีเลยซักหยดที่จะรินไหลออกมา



     

    ชานยอลประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของผม มือเลื่อนไปขยุ้มเส้นผมที่ท้ายทอย ออกแรงดึงทึ้งจนผมต้องเงยหน้าคอแทกหัก



     

    “อ๊ะ!” ผมเปล่ยงเสียงแรกออกไปอย่างยากลำบาก ซึ่งมันก็คงไปสะกิดต่อมพิศวาสของเขาเข้าอย่างจัง เพราะเรียวปากร้อนนั่นยิ่งทิ้งน้ำหนักลงมาเป็นทบเท่า ไหนจะปลายนิ้วที่เริ่มขยับไปรังแกตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆอย่างไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แบ่งรับแบ่งสู้



     

     

    การต่อสู้อันดุเดือดของเราเริ่มขึ้นภายในเตียงเหล็กเล็กๆเตียงนี้ ชานยอลบดขยี้เรี่ยวแรงลงมาบนเรียวปากที่เม้มสนิทของผมอย่างจาบจ้วง สัมผัสหยุ่นนุ่มเร่าร้อนขึ้นแบบก้าวกระโดด ร่างสูงเอาแต่กระซิบเสียงครางแหบพร่าอยู่กับผิวเนื้อของผม หากมันเป็นกระจก ก็คงเกาะเต็มด้วยไอน้ำแห่งห้วงหายใจอุ่นร้อน



     

     

    “อ่าส์...ถอดเสื้อให้ฉัน” เขาออกคำสั่งทั้งที่ยังแทะเล็มริมฝีปากผมอย่างหิวกระหาย ผมแค่นหัวเราะในใจ เรี่ยวแรงจะผลักไสเขาออกยังไม่มี แล้วจะเอาพละกำลังจากไหนไปปลดเปลื้องอาภรณ์ให้เขากัน



     

    “อย่า...ขัดคำสั่ง” เสียงกระเส่าลากเลื้อยไปถึงใบหู ลิ้นร้อนแลบเลียจุดไวสัมผัสจนใบหน้าของผมร้อนผ่าว ชานยอลถูมือสากตรงหว่างขาเพื่อปลุกบางอย่างให้ตื่นตามเขาไปติดๆ ผมเริ่มตื่นเต้นกับสัมผัสชวนวาบหวาม แม้จะเจ็บปวดแต่ก็จำต้องหดเกร็งหน้าท้องเพราะความสยิวที่ไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ



     

    “อื้ออ...” ผมมองเขาตาเชื่อม ความลุ่มหลงนั้นส่งผ่านมาทางแววตา ทุกอย่างจะผ่านไปได้อย่างดี ถ้าขัดขืนไม่ได้ อย่างน้อยมันควรจะเป็นการลื่นไหลไปตามๆกัน แฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย

     

    ใช่...มันควรจะเป็นแบบนั้น



     

     

    ขณะที่ผมกำลังคิดบวก เซรุ่มราคาร้อยล้านนั่นก็ตลบหลังผมเหมือนกับที่ปาร์คชานยอลทำมัน ก่อนที่ผมจะถูกยิงด้วยปืนเลเซอร์



     

    ร่างสูงกระตุกกายอย่างแรง เหงื่อผุดขึ้นโทรมไปทั้งตัว หนังกำพร้าที่สั่นเทาบอกผมว่าเขาเลยจุดที่จะทานทนอีกต่อไป



     

    “ซี้ดดดส์...”



     

    เคร้ง!



     

    เขากัดริมฝีปากด้วยคมเขี้ยว ตาพร่าเปี่ยมด้วยแรงอารมณ์ ถาดเครื่องมือการแพทย์หล่นกระจายลงบนพื้น ตอนที่เขากระโจนออกจากเตียง พร้อมปลดกางเกงวอร์มสีเข้มกับกางเกงชั้นในของตัวเองให้หลุดพ้นเรียวขาแข็งแรง



     

     

    ผมหลับตาปี๋เพื่อเลี่ยงไม่ให้เห็นสิ่งที่แข็งขืนพร้อมใช้งานตรงหว่างขาของเรา รู้สึกใจสั่นหวิว หวาดกลัวจนตัวสั่น  ทว่าอีกใจก็พยายามปลอบตัวเองให้ผ่อนคลาย


     

     

    เมื่อใดก็ตามที่หมดเส้นทางหลบหนี ให้อยู่เผชิญหน้ากับปัญหาอย่างสายน้ำ จงโอนอ่อนผ่อนตาม โดยไม่ฝืนต่อต้าน ...ให้ยอมงอดีกว่ายอมหัก


     

    อ่ะนะ นี่คือสโลกแกนที่ยาวชะมัดเลยคุณว่ามั้ย


     

     

    เคร้ง!


     

    ไม่ทันที่ผมจะได้ปลงตกและสวมวิญญาณเป็นเหยื่อที่ยินยอมพร้อมใจ ทั้งร่างก็ถูกรั้งลงจากเตียงเหล็ก หล่นตุบลงมานอนมอบบนพื้นแข็งกระด้าง



     

    ความเจ็บแล่นจี๊ดไปยังโสทประสาทครบหมดสิ้นทั้งห้าโสท ผมงอตัว อ้าปากคร่ำครวญแต่ไร้ซึ่งน้ำเสียง



     

    “อึ่ก!” ขาถูกลากให้เหยียดตรง ทั้งใบหน้ากระแทกใส่พื้นอย่างน่าสมเพช แถมเนื้อตัวเย็นเฉียบไม่ต่างจากชิ้นส่วนโลหะในฤดูหนาว


     

    การกระทำป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเล่นเอาขนอ่อนทั้งร่างของผมลุกชัน

     

     

    ไม่...อย่ากลัวน่า...อย่ากลัวอะไรทั้งสิ้น

     

     

    มันคงไม่ต่างจากนิ้วชืดๆที่เขาสอดเข้ามาในวันแรกที่เราเจอกันซักเท่าไหร่ อ่าฮะ ไม่มีอะไรน่าหวั่นใจทั้งนั้นนั่นแหละ

     

     

    ชานยอลจับผมให้กระดกสะโพกขึ้น ฉีกทึ้งเสื้อผ้าราวกับไม่อาจอดใจรอได้อีกแม้กระทั่งวินาทีเดียว เสียงแคว่กดังกรีดใจผมพอๆกับเสียงของขาเตียงเหล็กที่ผมพยายามจะยึดไว้ด้วยสองมือ


     

     

    อ๊ากกก!!’ ผมแหกปากร้องจนมุมปากที่แห้งปริออกจากกัน


     
     

    ความเจ็บสะท้านยามที่ สิ่งนั้น ยัดเยียดเข้ามา ไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของความเจ็บที่ผมประเมินไว้เลย ไม่เลย... เป็นความเจ็บที่สุดในชีวิต ผมกำขาเตียงจนข้อนิ้วซีดขาว

     


     

    ตาพร่าแสง หูสดับได้แต่เสียงครางซี้ดซ้าดของร่างที่กำลังเสือกกายอยู่เบื้องบน



     

    พระเจ้า!นี่น่ะหรอความรักที่พวกเขาซื้อขายกันในราคาเหยียบร้อยล้าน ไม่อยากจะเชื่อเลย...

     

     

    ไม่อยากจะเชื่อ

     

    ไม่อยากจะ

     

    ไม่อยาก


     

    ไม่!!!

     









     

    เฮือก!!



     

    ติ๊ดๆๆๆ....



     

     

     

    ผมตื่นขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดชนิดที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้



     

    ลืมตาขึ้นมาก็เห็นแต่ฝ้าเพดานสีฟ้านีออน หลอดไฟบางดวงเปล่งกระพริบๆคล้ายว่าไส้หลอดจะขาด สองหูได้ยินเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เสียงแรงถี่ของหลอดไฟ เสียงน้ำเกลือหยดดังติ๋ง และเสียงก้อนเนื้อเต้นกระหน่ำสะท้อนอยู่ใต้แผ่นอก



     

     

    ผมยกมือขึ้นหวังจะกุมอกข้างซ้าย แต่เรี่ยวแรงก็น้อยนิดเสียจนไม่อาจทำได้แม้กระทั่งกระดิกปลายนิ้วก้อย

     


     

    นอนนิ่งเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆอยู่ได้ซักพักผมก็จดจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะมาอยู่ในสภาพปางตายเช่นในตอนนี้ได้


     

    ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าการถูกข่มขืนอย่างทารุณนั่นมันก็แค่ฝันร้ายเท่านั้น

     


     

    “ไง” ใครบางคนทักทายท่ามกลางความโล่งใจของผม ผมนิ่งฟังพร้อมประมวลผลว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงของใคร


     

    ใครกันนะ? ใครกันที่เป็นเจ้าของเสียงที่เยือกเย็นแต่ก็เร่าร้อนไปในเวลาเดียวกันเสียงนี้?

     

     

    ปาร์คชานยอล!!!

     

     

    ผมรีบโฟกัสไปยังคนพูดทันที คำทักทายที่ซ้อนทับกับภาพในฝันสร้างความหวาดระแวงแบบอินฟินิตี้และผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นจริง อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!



     

    รู้สึกโล่งใจไปอีกเปราะหลังจากที่สำรวจแล้วไม่เห็นเข็มฉีดยาอยู่ในมือปาร์คชานยอลแต่อย่างใด

     


     

    “เอาล่ะ ฉันจะช่วยให้นายรู้สึกดีขึ้นนะ” เขาพูดประโยคที่คล้ายจะใจดีด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะค่อยๆพยุงให้ผมลุกขึ้นนั่ง


     

    โชคดีที่มันไม่ได้เจ็บเจียนตายเหมือนเช่นในฝัน


     

    ผมกลืนน้ำลายและลองพยามยามเอื้อนเอ่ยคำพูด “ผมหลับไปนานเท่าไหร่”



     

    “นานกว่าที่คิด”


     

    “เท่าไหร่?”


     

    “สามวัน”



     

    ผมพรูลมหายใจยาวแทบสิ้นขั้วปอด ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยนอนนานขนาดนั้นมาก่อนเลย  อย่างมากสุดก็ห้าชั่วโมง ในยุคนี้เราต้องตื่นตัว มีระเบิด มีสงคราม คนไร้บ้านหมดสิทธิ์จะนอนเป็นเป้านิ่งนานโอเว่อร์ขนาดนั้น


     

     

    “เกิดอะไรขึ้น?” ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อถามไถ่  ชานยอลจ้องตาผม ก่อนแสดงสีหน้าเอือมระอา


     

    “นายไม่มีค่าพอจะตั้งคำถาม และฉันก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องตอบ”


     

    ผมกำหมัดแน่น สถานการณ์นี้ผมเป็นรองอยู่หลายขุม ฉะนั้นเรื่องคิดจะกระทืบหน้าเขาน่ะพับเก็บไปได้เลย



     

    สิ่งที่ผมควรทำที่สุดคือนิ่งเข้าไว้ ประเมินสถานการณ์ว่าชานยอลจะเอายังไงกับผมกันแน่ ...สามวันที่แล้วเขาเล่นงานผมด้วยอาวุธร้ายกาจ เปิดเผยตัวตนว่าไม่ใช่ตำรวจ เท่ากับว่าผมล่วงรู้ความลับ(?)ของเขา


     

    แต่ตอนนี้เขาช่วยชีวิตผม ...ใช่ไหม?


     

    มีแต่คำถามที่คิดยังไงก็คิดไม่ตก สุดท้ายผมก็ได้แต่มองเขาตาละห้อยอย่างลืมตัว เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนไร้หลักประกันใดๆในชีวิต


     

     

    “กินนี่แล้วพักซะ” มือใหญ่ส่งถาดยามาให้ ผมแค่ปรายตามอง ทว่าไม่คิดจะแตะต้องมันแม้แต่ประการใด

     

     

     

    เคร้ง
     

    ถาดยากับแก้วน้ำถูกวางกระแทกกับเตียงเหล็ก ...ก็ยังดีที่เขาไม่ดันทุรังให้ผมฝืนกินมันยาพวกนี้

     


     

    “หลังจากที่นายฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ฉันมีภารกิจสำคัญจะให้นายทำ”


     

    ผมเงยหน้าจ้องตาสีเฮเซลเป็นประกายของเขาอีกครั้ง ราวกับมีกำแพงเหล็กสูงหมื่นฟุตมาขวางกั้น ผมไม่สามารถอ่านอะไรจากสายตาคู่นั้นออกเลย


     

    “นิ่ง ฟัง และทำตาม” เขาย้ำสามคำสั่งนี้อีกครั้ง ส่วนผมเบ้ปาก


     

    กำลังจะอ้าปากเถียงออกไป ปาร์คชานยอลก็ดันชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาเสียก่อน “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวเหมือนเมื่อวาน”


     

    “ไหนคุณบอกว่าผมหลับไปสามวันไง”


     

    “...”


     

    “หมายความว่ายังไงกันแน่?” เมื่อมาถึงจุดนี้ผมก็กำหมัดแน่น ความร้อนแผ่คลุมจากลำคอ โพรงจมูก ไปจนถึงขอบตาทั้งสองข้าง


     

    “สัตว์ต่างชนิดกันก็ใช้วิธีฝึกที่ต่างกัน บางตัวใช้อาหาร บางตัวใช้ความใจดี แต่บางตัวเราก็ต้องใช้ความรุนแรง” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มแสยะ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องที่ดูคล้ายห้องพยาบาลแต่ผมไม่สามารถฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันใช่หรือไม่


     

    หมัดที่กำอยู่ของผมสั่นเทา สั่นจนกระทั่งถาดยาบนเตียงหล่นลงไปกระแทกพื้นแข็งๆ


     

    ยาสี่เม็ดในนั้นกลิ้งไปคนละทิศละทาง แต่มีเม็ดหนึ่งที่หยุดนิ่งแทบเท้าของผม

     


     

    มันเกิดขึ้นจริง...เมื่อวานชานยอลใช่เซรุ่มนรกนั่นกับผมจริงๆ

     

     

     

     

     

    50%


     

     




    โลกในปีคริสตศักราช 3014 ไม่มีที่ยืนสำหรับพวกอ่อนแอ



     

    หลักจากที่ความจริงซัดมาเต็มๆหน้า ผมก็มีเวลาฟื้นฟูกายใจอยู่แค่ 4 ชั่วโมง ฟันล่างหักไปสามซี่ตอนถูกจับกระแทกโต๊ะ แต่ตอนนี้มันงอกใหม่ครบสมบูรณ์จากการรักษาแบบสเต็มเซลล์  รอยไหม้จากเลเซอร์ที่คอทิ้งแผลเป็นไว้จางๆ ทว่าทุกครั้งที่สัมผัสมันผมยังคงได้กลิ่นเหม็นไหม้ รู้สึกได้ถึงความร้อนตอนที่ถูกทำร้าย คล้ายว่าช่วงเวลาเฮงซวยนั่นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว



     

    “ไง” คนทักไม่ใช่ชานยอลอย่างที่ผมนึกหวั่น เป็นคิมจงอินที่ยักคิ้วให้อย่างกวนประสาท และยืนห่างตัวผมไปประมาณสามพื้นกระเบื้อง



     

    ผมไม่ตอบรับคำทักทาย ยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงเหล็ก ก่อนจะกระโดดลงมา



     

    “หัวหน้าให้มาตาม” จงอินบอกเจตจำนง ผมมองหน้าเขาและยักไหล่



     

    “แล้วไง”



     

    จงอินกระตุกมุมปาก การยิ้มแบบนั้นทำให้เกิดริ้วรอยเป็นเส้นลึก มันไม่ได้ดูแก่ กลับกัน เส้นริ้วเหล่านั้นทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างน่าแปลกใจ (นี่ผมไม่ได้ชมเขาหรอกนะ)



     

    “ก็ไม่แล้วไง” ร่างสูงยักไหล่เลียนแบบผม ก่อนจะควักบางอย่างออกมาจากเข็มขัดที่มีช่องเหน็บของอยู่เพียบ

     


     

    เข็มฉีดยาพร้อมเซรุ่มนรกแตกสีอำพัน



     

     

    ความเจ็บปวดในอดีตทำให้ผมเก็บความกลัวไว้ไม่มิด “ชะ..ชานยอลสั่งให้นายทำแบบนี้หรอ”



     

    “ใช่ ถ้านายขัดขืน”


     

    “เขาใช้นาย?”


     

    “แหงสิ” เขาแสดงสีหน้ารำคาญ เป็นเชิงว่า ไม่งั้นฉันจะมายืนตรงนี้หรือไง ถามอะไรโง่ๆ


     

    “เขาอนุญาตให้นายใช้มันกับฉันหรอ?”


     

    “ไม่ใช่แค่ฉัน จะใครก็ได้ ฉัน เซฮุน คนเร่ร่อนข้างนอก ประธานาธิบดี หรือจะใครก็ได้ที่กำราบนายได้”



     

    ผมสูดหายใจเขาลึกท่ามกลางร่างกายที่สั่นเทา หลังจากใคร่ครวญคิดและคำนวณผลได้ผลเสียเสร็จครบกระบวน ผมก็หลุบตาต่ำ ก่อนผุดขึ้นมองเขาเขม็ง “โอเค... พาฉันไปหาหัวหน้าของนายได้แล้ว”

     

     

     

     





     

    มีแต่ความสับสนอัดแน่นอยู่ในสมอง


     

    ประตูเหล็กหนักเป็นตันเคลื่อนเปิดและปิดอยู่หลายชั้น ระหว่างที่เดินตามจงอินออกไปผ่านทางเดินสีขาวที่เรืองแสงนีออน เขาพาผมเดินผ่านห้องต่างๆที่ดูลึกลับซับซ้อน มีกลไกล้ำสมัย ที่ระบบสแกนที่เนี้ยบยิ่งกว่าห้องนิรภัยในธนาคาร แต่ปราศจากผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด
     

     

     

    ผมได้แต่ครุ่นคิดไปตลอดทาง ...มันเกิดอะไรขึ้น? ...ภารกิจที่ชานยอลเคยเปรยไว้คืออะไร? ...แล้วทำไมต้องเป็นผม  ผมไม่มีพลังวิเศษอะไรซักหน่อย ก็แค่ผู้ชายเกาหลีสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ หน้าตากลางๆไปทางหล่อชิบหาย


     

    แต่ก็นั่นแหละ ทำไมต้องเป็นผมวะ?


     

     

     

    จงอินพาผมขึ้นลิฟต์ตัวเล็กที่จุคนได้ไม่เกินห้า ปลายทางคือบ้านขนาดกลางที่ผมเคยมาแล้วสองครั้ง ...ก็บ้านคุณปาร์คชานยอลท่านนั่นล่ะครับ


     

    ไม่น่าเชื่อเลยว่าใต้ดินลงไปจะมีฐานทัพที่น่าสะพรึงกลัวซุกซ่อนอยู่

     


     

    ผมหันมองวัสดุสะท้อนเงาทุกชิ้นที่เดินผ่าน เพื่อสำรวจใบหน้าของตัวเอง ผมควรจะปั้นหน้ายังไงตอนเจอหมอนั่น เขาพรากเวอร์จิ้นผมไป เขาดูถูกผม เขาเกือบฆ่าผม ผมโคตรเกลียดเขา แต่ตอนนี้เขากุมชะตาผมอยู่ ผมควรทำหน้ายังไงดีตอนเราเจอกัน?


     

     


     

     

    สุดท้ายผมก็ได้แต่ก้มหน้า แอบอยู่หลังคิมจงอิน


     

    เครื่องแต่งกายของชานยอลพาลให้นึกถึงเรื่องอุบาทว์ที่เขาทำเอาไว้ เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงวอร์มสีเดียวกัน รอยสักพาดยาวจากลาดไหล่ลงมาเกือบถึงข้อศอกตรงแขนซ้าย แววตานิ่งงัน ดุดัน และแข็งกร้าว


     

    “มานี่” เขากระดิกนิ้วเรียก ตามด้วยถ้อยคำที่ปลุกความห้าวหาญในตัวผม “ลูกผู้ชายเขาไม่หลบหลังคนอื่นกันหรอก”


     

    ผมขบริมฝีปากด้วยความคุกรุ่นที่เริ่มก่อตัว ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวบนโซฟาเจลข้างๆกับร่างกำยำของเขา


     

    “นายคงเต็มไปด้วยความสงสัย”


     

    “คุณเคยพูดว่าจะไม่ตอบ มันไม่ใช่หน้าที่คุณ!


     

    ชานยอลทำสัญญาณมือให้จงอินออกไป พออยู่กันสองต่อสองเขาก็ควักบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาสูบ ควันของมันให้กลิ่นหอมเหมือนวานิลลาผสมดอกไม้ในฤดูหนาว แต่ผมไม่ชอบหรอก ผมเกลียดทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นผู้ชายคนนี้!


     

    “วันนี้เราจะเจรจากันแบบสันติ” เขาเปิดหัวข้อสนทนา ว้าว! เจรจากันยังสันติ! ...เหอะ


     

    “เลิกมองฉันด้วยสายตาแบบนี้ซักที” เขาสั่งห้าม ลดมวนบุหรี่ลงแล้วดับมันจนสนิท


     

    “คุณคือใครกันแน่”


     

    “คือคนของรัฐบาล”


     

    ผมอุทานคำหยาบคายแบบไร้เสียง...ไอ้เหี้ยยย “รัฐบาลให้ฆ่าคนตายเนี่ยนะ” ประสาทแล้ว! ใครเชื่อก็โง่เป็นหมีแพนด้า!


     

    “อย่ากร่นด่า อย่ามองฉันแบบนั้นแบคฮยอน” เขาเริ่มชักสีหน้า ขมวดคิ้วและเบียดตัวเข้ามาชิดใกล้


     

    “งั้นก็รีบๆพูดมาว่าคุณเป็นใคร! ต้องการอะไร!...ที่จับกูมาเนี่ยทำเพื่อเหี้ยอะไรวะ!!


     

    ไม่เว้ย ประโยคหลังไม่ได้ออกเสียง ผมพูดในใจ


     

    แหมมม บนโต๊ะมีเซรุ่มอยู่สามหลอดนะ ฉะนั้นเราจะไม่เสี่ยงด้วยประการทั้งปวง เสียตัวไม่ใช่เรื่องตลก

     

     

    “รัฐบาลจัดตั้งองค์กรของพวกเราขึ้นมาเพื่อใช้กวาดล้างผู้หญิงทั่วโลก”


     

    “ทั้งองค์กรมีกันอยู่แค่สามคน?”


     

    “สี่” เขาแย่งพร้อมชี้มือมาทางผม ...โอเค ผมเป็นส่วนหนึ่งของเดอะแก๊งค์ไปแล้ว


     

    “แล้วทำเพื่ออะไร” ผมขมวดคิ้วถาม มันมีเหตุผลอะไรที่ต้องล้างเผ่าพันธุ์สิ่งที่มีน้อยอยู่แล้วให้หายไปจากโลก



     

    ชานยอลไม่ตอบด้วยคำพูด เขาชี้ที่โซฟาเจล ชี้โต๊ะที่แกร่งเพราะเคลือบด้วยเพชรแวววาว ชี้ที่นาฬิกาข้อมือหรูหรา และสุดท้าย...ชี้มาที่ผม


     

    “หมายความว่ายังไงกันแน่” ผมข่มอารมณ์โกรธที่ผุดผายขึ้นมา ผมไม่ต้องเล่นสงครามประสาท ไม่ต้องการความชักช้า แต่ผมต้องการคำตอบที่ชัด เคลียร์ และไขทุกข้อสงสัย!


     

    “ทุกสังคมย่อมมีคนระดับสูง ระดับกลาง รวมถึงระดับล่างแบบนาย อะไรที่เราจะใช้ขีดเส้นแบ่งความแตกต่างของระดับเหล่านั้น? แน่นอนว่ามันต้องเป็นเงิน อำนาจ ฉันพูดถูกต้องมั้ย?”



     

    ผมขบริมฝีปากขณะฟังเขาสาธยาย



     

    “แล้วเราจะใช้อะไรดึงดูดทรัพย์สินละ? จะใช้อะไรเป็นเครื่องมือต่อรองที่จะทำให้พวกคนรวยยังคงรวยต่อไป และพวกคนจนต้องยอมสยบ”


     

     

    ชานยอลเอื้อมมือไปหยิบหลอดเล็กๆที่ข้างในบรรจุเซรุ่มเวรบรรลัยขึ้นมา เขาโยนมันสองสามทีแล้วพูดต่อ “รัฐบาลใช้ความรักเป็นเครื่องผลักดันระบบเศรษฐกิจ ในยุคที่ผู้คนโหยหาความรัก เราก็ใช้สิ่งนี้สร้างอำนาจ”


     

     

    เพล้ง!

     

    อยู่ๆนิ้วยาวก็ดีดมันตกไปแตกกระจายอยูบนพื้น


     

     

    ผมเบิกตากว้าง ถึงจะเกลียดมันโคตรๆ(โคตรของโคตรของโคตร แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นคือสินค้าที่ราคาแพงที่สุดในยุคนี้


     

    “ต้นทุนมันไม่ถึงหมื่นวอนด้วยซ้ำ”


     

    “ว่าไงนะ!


     

    ชานยอลผุดรอยยิ้มเมื่อผมแสดงท่าทีตกใจ “ไม่ต้องเสียดายหรอก เรายังมีมันอยู่อีกเป็นโกดัง”นิ้วยาวยื่นมาสัมผัสผิวแก้มของผม แต่ผมบ่ายเบี่ยง


     

    “โอเค ผมพอจะเข้าใจเรื่องที่รัฐบาลเอาเซรุ่มนรกนั่นมาหลอกขายประชาชน แต่ที่ไม่เข้าใจคือผู้หญิงเกี่ยวอะไรด้วย?!


     

    “พวกเธอทำให้เกิดครอบครัว ครอบครัวทำให้เกิดความรัก”


     

    ผมตบหน้าตักและหัวเราะดังก้อง “ฮ่าๆๆๆ นี่พวกคุณคิดว่าจิ๋มกระป๋องทำแบบนั้นไม่ได้สินะ”


     

    ให้ตาย ผมไม่เคยขำอะไรเท่านี้มาก่อน


     

    “คุณคิดว่าถ้าผู้หญิงหมดโลก คนก็จะไม่รักกัน จะไม่มีพ่อแม่ลูก สังคมจะขาดแคลนความรักจนต้องหาซื้อมันในราคาร้อยล้านวอน?”


     

    “แบคฮยอน” เขาเรียกชื่อเหมือนจะปรามให้ผมหยุดหัวเราะ ...ไม่มีทาง ไม่มีทางที่แนวคิดนั้นจะเกิดขึ้นจริง


     

    “หยุดผยองและมองรอบตัวซะ สิ่งที่นายกำลังหัวเราะมันคือชีวิตจริง และมันไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่เราเพิ่งนึกจะทำ แต่มันเกิดขึ้นมาเป็นร้อยๆปีแล้ว รู้ไว้ซะว่าเราขายไอ้เซรุ่มนี่ได้คล่องกว่าขายของลิขสิทธิ์”


     

    ผมเงียบปาก แว่วเสียงระเบิดข้างนอกดังตูมตาม


     

     

    ใช่...เขาพูดถูก ทุกวันนี้โลกเรามีแต่สงคราม

     

    แต่มันไม่จริงเสมอไปหรอกกับสิ่งที่เขาพูดมันออกมา

     

     
     

    “ถึงจะไม่มีผู้หญิงเลยซักคน แต่เราก็ยังรักกันได้ ...ไม่มีสถาบันครอบครัว เราก็รู้จักความรักได้”


     

    เป็นทีของชานยอลบ้างที่กลั้วหัวเราะ “หึ อะไรทำให้นายเชื่อแบบนั้น”


     

    “ผมรู้ว่าความรักเป็นยังไง รู้มาตั้งแต่เกิด และตอนนี้ผมก็ยังรักเป็นอยู่” ผมพูดมาดมั่น มันไม่ยากเลยกับการที่เราจะมอบความรักให้กับใครซักคน


     

    “งั้นก็รักฉันสิ”


     

    มันไม่ยากเลย...



     

    “แต่กับคุณ ผมจะไม่รัก”


     

    เพราะแค่มองหน้ากับดวงตาสีเฮเซลนั่นผมก็เกลียดจนแทบอ้วก

     


     

    “งั้นให้ฉันเป็นฝ่ายรักนายหน่อยเป็นไง” เขาเริ่มเดาะลิ้นขณะเอื้อมมือไปหยิบขวดแก้วเล็กๆบนโต๊ะเป็นขวดที่สอง



     

    ผมไม่ทันจะคิดหนี เขาก็คร่อมทับลงมาและใช่เข่าแข็งแรงกักขังผมไว้กับโซฟานุ่มยวบที่บุ๋มลึกราวกับจะดูดวิญญาณผมให้จ่อมจมลงไป


     

    “อย่านะ!” ผมยันอกกว้างเอาไว้ด้วยแขนสั่นระริก ภาพหลอกหลอนในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ผมจำได้กระทั่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงเหล็กยามที่เขาโยกกายสวนเข้ามา


     

    “คุณทำแบบนี้กับจงอินแล้วก็เซฮุนด้วยหรอ!” ผมตะโกนถาม ถ้าใช่เขามันก็ป่าเถื่อนที่สุด!


     

    ชานยอลแสยะยิ้ม ดวงตาวาววับขณะที่เจาะเข็มแหลมเข้าไปตรงข้อพับ “สัตว์ต่างชนิดกันก็ใช้วิธีฝึกที่ต่างกัน บางตัวใช้อาหาร บางตัวใช้ความใจดี แต่บางตัวเราก็ต้องใช้ความรุนแรง

     

     

    ประโยคเดิมกับที่เคยพูดไว้


     

    ผม...เป็นสัตว์ในปกครองตัวเดียวที่เขาใช้ความรุนแรงกำราบ

     


     

    “ฉันจะฝึกนายให้เชื่อง หลับตาซะเด็กดี” มือสากลูบที่หน้าท้องและถกเสื้อผมขึ้น


     

    ผมหลับตาปี๋ ไม่ใช่เพราะเชื่อฟัง แต่เพราะไม่อยากสบสายตาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟของเขาอีกแล้ว มันมากเกินพอแล้วสำหรับที่เคยโดนแผดเผามาทั้งหมด ...ชานยอลลงมือทำมันอีกครั้ง ปลดเปลื้องเสื้อผ้า มอบสัมผัสที่ผมนิยามสั้นๆว่า หื่นกามโดยไร้ปรานี


     

     

    ยังมีอีกคำถามที่ค้างคาใจ ...ทำไมต้องเป็นผม??

     

     

     

     

     

     

    100%

     

    TALK

    โหลดหน้าฟิคช้าปะ

    คือเราลองอ่านของตัวเองในโทรศัพท์มันโหลดช้าได้อีก

    เรื่องอื่นไม่เป็น เฮ้อออ

    #fic3014



     








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×