ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Mushroom Forest ป่าเห็ด {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #3 : ♥ chaper 2 : ไม้ เอก 100%

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 56


    :) Shalunla
    love



     

    แล้วผมก็...เป็นอีกหนึ่ง...ซึ่งหลงคุณ

     

    Mushroom Forest


     

     

     








     

    2 มกรา 2013 (เก้าโมงเช้า)

    ถึง ผู้หญิงที่ผมเคยคิดว่าสวย

     

     

                ผมรู้ว่ามันลำบากมาก ตอนที่แม่คลอดผมที่โรงพยาบาล ผมพยายามคิดถึงบุญคุณของแม่ที่ประคับประคองลูกน้อยคนนี้มาได้ยี่สิบเก้าปี รวมถึงพันธุกรรมชั้นเยี่ยมที่แม่ส่งต่อมาถึงผม  ผมก็เกือบจะซึ้งอยู่แล้ว ถ้าแม่ไม่ทำให้ปีใหม่ที่ควรจะสุขสดชื่นของผมป่นปี้ย่อยยับ ด้วยการหักหน้าผมต่อบรรดาญาติโกโหติกานับล้านของแม่ โอเค ต้องขอโทษด้วยถ้าจำนวนมันมากเกินจริง แต่จะกี่คนก็ช่าง ยังไงแม่ก็ทำผมขายหน้าไปแล้ว  แม่คิดว่าผมเป็นเด็กห้าขวบที่แม่จะเอาไปอวดกับคุณโซยูได้หรอ ว้าว ลูกชายฉันฉี่รดที่นอนอีกแล้วจ่ะ!’     

     

     

    ….ไม่! ผมโตแล้ว แม่ไม่สิทธิจะเอาผมไปเอ่ยในวงสนทนาโดยเฉพาะเรื่องแย่ๆของผม แม่พูดได้ไงว่าผมเรียนไม่จบ  ไม่มีภรรยาเป็นตัวเป็นตน  ไม่มีงานทำ และที่สำคัญ แม่พูดได้ไงว่าจะยกบริษัทให้องค์กรการกุศล! นี่แม่ยังเห็นผมเป็นลูกอยู่รึเปล่า แม่เห็นสายตาของคุณโซยูที่มองมามั้ย? แล้วผมควรทำไงต่อ ร้องไห้หรอ? ขอบคุณสำหรับสายตาที่แสนเห็นอกเห็นใจนั่น ...พระเจ้า แม่ทำให้ช่วงเวลาดีๆของผมหายไปหมดเลย

     

     

    เมื่อวานที่โต๊ะอาหารงานเลี้ยงของแม่ ผมกำลังจะตักไก่ทอดขึ้นมากิน  และมันแทบล่วงใส่จานตอนที่หลานตัวน้อยๆของลูกชายของเพื่อนแม่ล้อเลียนผมว่าหูกาง! แม่ลากผมกลับจากนิวยอร์คเพื่อมาเป็นตัวตลกในงานเลี้ยงปีใหม่รวมญาติของแม่งั้นหรอ? 

     

     

    ให้ตาย แม่คงไม่รู้ว่าที่โอแมนผมฮ็อตแค่ไหน แค่ผมกระดิกนิ้วสาวๆนับร้อยก็กรูกันเข้ามาแทบจะทับกันตาย  แต่ที่นี่แม่ดันให้คุณลุงคุณป้าแก่ๆเม้าท์เรื่องผมซะเมามัน  และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่พูดกับแม่  ผมจะไม่พูดกับแม่อีกเลย จนกว่าแม่จะยอมยกบริษัทเคทีให้ผม ซึ่งมันก็ควรเป็นของผมมาตั้งนานแล้ว  เอาเป็นว่า ถ้าแม่อยากบอกหรือขอโทษอะไรผม เราจะสื่อสารกันทางจดหมาย วางมันไว้บนโต๊ะกินข้าว ผมจะมาหยิบไปเอง

     

    ปล.ถ้าแม่เริ่มรู้สึกผิดแล้วล่ะก็ ให้ผมยืมรถซักคันสิ รถของผมยังเดินทางมาไม่ถึง

     

     

    จาก ลูกชายที่หัวใจสลาย

    ปาร์ค ชานยอล

     

     

     

     

    …………………………………………..

     

     

     

     

     

    2 มกรา (บ่ายโมง)

    ถึง สุดหล่อของแม่

     

     

    แม่แนบเช็คมาให้ลูกด้วย เยอะใช่มั้ยจ๊ะ? หนึ่งร้อยล้านวอน หวังว่าลูกชายสุดที่รักของแม่จะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ให้ดีๆและบริหารมันอย่างชาญฉลาด  เพราะนี่จะเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตที่ลูกจะได้จากแม่  แม่ตระหนักได้แล้วหลังจากที่ได้พบลูกเมื่อวาน  ลูกชายผู้หล่อเหลาของแม่ ใช้เงินเป็นหมื่นเป็นพันล้านที่แม่ส่งไป สำหรับของใช้จำเป็นมากมาย ไม่ว่าจะรถฟู่ฟ่าทั้งสามคัน เครื่องแต่งกายสไตล์ฮอลลีวู้ด  แจ็คเก็ตหนังแก้วที่ลูกใส่มาเมื่อวานเป็นที่กล่าวขานในงานเลี้ยงของแม่ มันช่างสวยและไร้สาระเหลือเกิน แล้วดูโทรศัพท์มือถือของลูกสิ ลูกของแม่เหมือนนักธุรกิจพันล้านที่พกโทรศัพท์ทีละสิบกว่าเครื่อง  ที่จริงแล้วแม่จะไม่เสียดายเลย หากลูกได้ความรู้ติดมาบ้าง แลกกลับเงินมหาศาลที่ต้องเสียไป 

     

     

    แต่จะโทษลูกคนเดียวก็คงจะเป็นการใส่ความและโหดร้ายจนเกินไป จริงๆแล้วแม่ก็มีส่วนผิดที่ส่งเสริมให้ลูกเติบโตมาเป็นแบบนี้  แม่ไม่น่าจะส่งลูกไปนิวยอร์กอย่างที่ใครๆเขายุกัน แล้วจับลูกยัดเข้าโรงเรียนชายล้วนซักแห่งให้ลูกได้รู้จักระเบียบวินัย พอซัมเมอร์ก็ลากลูกไปช่วยคุณตาทำไร่ที่ชนบทจะได้เห็นถึงความลำบากของคนรากหญ้า  แต่เป็นเพราะแม่ไม่ได้ทำอย่างนั้น ลูกชายของแม่จึงมีสภาพเช่นนี้

     

     

    แต่ลูกจ๊ะ....มันไม่สายไปหรอกที่เราจะเรียนรู้แล้วเริ่มต้นกันใหม่  ในเมื่อนิวยอร์กยูนิเวอร์ซิตี้ไม่สามารถสั่งสอนลูกของแม่ได้ ต่อจากนี้จะเป็นโรงเรียนดัดสันดานแห่งโซลที่ลูกของแม่จะต้องเรียนรู้

     

     

    อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เงินร้อยล้านนั่นของลูก ไม่มีรถ ไม่มีบริษัท หรือสมบัติที่เป็นของลูกทั้งสิ้น รวมทั้งข้าวของราคาแพงที่ลูกจะเอานำเข้ามาพร้อมรถสปอร์ตของลูกด้วย คงไม่ผิดใช่ไหมที่แม่จะยึดของที่จ่ายด้วยเงินของแม่?

     

     

    เอาล่ะลูกรัก ถึงเวลาปฏิวัติครั้งใหญ่  ทำให้แม่เห็นว่าลูกพร้อมสำหรับตำแหน่งประธานเคที และสามีที่ดีพร้อมของคุณหนูแจอิน  คว้าใบจบการศึกษาโรงเรียนชีวิต เอามามอบให้แม่ที่หน้าตัก แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเราแม่ลูกจะเหมือนเดิม

     

     

    ปล. ถ้าลูกจะงอนและหนีออกจากบ้านเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กๆ ก็เชิญตามสบาย แต่สาบานได้เลยว่าคราวนี้ไม่มีใครไปตามกลับมาแน่นอน

     

     

    รักลูกปานดวงใจ

    แม่ปาร์คคนเดิม

     

     

     

     

    …………………………………….

     

     

     

     

    2 มกรา (สี่โมงเย็น)

    ถึง ปาร์ค พังพอน

     

     

    ผมรู้แล้วว่าทำไมตอนที่ทะเลาะกัน พ่อถึงเรียกแม่ว่าพังพอน เหอะ...แม่แต่งูยังกลัวพังพอน แม่ช่างร้ายกาจนัก!  จากรอยยับของกระดาษแผ่นนี้ แม่คงพอเดาออกว่าผมโกรธควันออกหูแค่ไหน  ได้เลย!! ถ้าแม่ต้องการอย่างนั้น แล้วแม่จะได้เห็นว่าปาร์คชานยอลคนนี้เหนือความคาดหมายมากแค่ไหน

     

    แต่เดี๋ยวนะ นี่แม่คิดจะคลุมถุงชนผมกับยัยเด็กแจอินขี้มูกโป่งคนนั้นน่ะนะ? ตอนห้าขวบเธอฉี่ใส่แปลงดอกไม้ที่หน้าบ้านเราด้วยนะ! ไม่เอาหรอก ผมไม่สนด้วยว่าโตมาเธอจะเป็นยังไง แต่เดาได้ว่ากระเพาะปัสสาวะใช้งานไม่ได้เช่นเดิม

     

    ลาก่อน แล้วแม่จะต้องเสียใจที่ทำกับผมแบบนี้!

    ชานยอล

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย! ฮ่าๆๆๆ แม่แกนี่เด็ดชะมัด!

     

    ปาร์คชานยอลมองเพื่อนรักเชื้อสายจีนที่กำลังหัวเราะจะเป็นจะตายด้วยความขุ่นเคือง แต่ตอนนี้เขาก็เซ็งเกินกว่าจะห้ามปราม  ดวงตากลมโตที่ทั้งหวานทั้งคมมองอาหารญี่ปุ่นวินเทอร์เซ็ทบนโต๊ะก่อนจะเขี่ยเล่นไปมา เมื่อไม่มีอารมณ์จะกระเดือกอะไรลงคอ สายตาจึงเลื่อยลอยทอดไปยังทิวทัศน์ข้างนอก

     

     

    ต้นเดือนมกราโปรยปรายไปด้วยหิมะและกองพะเนินของเกร็ดน้ำแข็ง  ทั้งที่ตอนนี้เขานั่งอยู่ในร้านที่อบอุ่นไปด้วยฮีตเตอร์แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าข้างนอกหนาวเย็นเพียงใด ...ตอนนี้ก็คงจะราวๆซักติดลบสิบได้

     

     

    สองข้างทางของถนนและร้านรวงประดับประดาด้วยไฟดวงเล็กๆรับกับเทศกาลปีใหม่ที่คงไม่หมดไปง่ายๆ(ก็จนกว่าจะขึ้นอาทิตย์ใหม่นั่นล่ะ) แสงสีจากดวงไฟสะท้อนวิบวับแข่งกับประกายธรรมชาติของเกร็ดหิมะ เสียงเพลงแจ๊สที่บรรเลงเคล้าคลออยู่ในร้านเหมือนตรึงให้ชายหนุ่มตกอยู่ในมนต์สะกด

     

     

    ชานยอลแทบลืมหายใจ... ตอนที่ใครคนหนึ่งกระโดดลงมาจากกระบะสูงของรถบรรทุกสีแดงสกรีนตราโคคา โคล่า

     

     

    คนๆนั้นใส่เสื้อยูนิฟอร์มสีแดงกับกางเกงวอร์มเก่าๆ รองเท้าผ้าใบโทรมๆนั่นก็น่ากังวลเหลือเกิดว่าจะถูกความเย็นเฉียบของหิมะกัดจนละลายไป

                                                                                                                        

    แก้มและปลายจมูกแดงเหมือนลูกแอ๊ปเปิ้ลเพราะโดนฤทธิ์ของอุณหภูมิติดลบสิบเล่นงาน  กระนั้นริมฝีปากที่แดงฉ่ำไม่แพ้กันก็ยังฉีกยิ้มพูดเจื้อยแจ้วกับเจ้าของร้านชาวญี่ปุ่นเสมือนว่าเจ้าตัวไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับสภาวะแวดล้อม  ผิวขาวนั่นแทบกลืนไปกับปุยหิมะที่พร่างพราย

     

     

                ชานยอลมองดวงตายิบหยีของคนที่เอาแต่ยิ้มไม่หยุดด้วยหัวใจที่เต้นแรง ....วินาทีนั้นเขาจินตนาการไปว่าได้ยืนอยู่เคียงกาย แล้วใช้มือหนาคู่นี้ปัดหิมะที่ติดเส้นผมสีน้ำตาลเข้มนั่นออกให้อย่างอ่อนโยน

     

     

    หนุ่มน้อยเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนกระบะรถ ใช้แขนเรียวทั้งสองข้างยกลังบรรจุขวดแก้วหนักลงมาวางยังพื้นหน้าร้าน  ลังแล้วลังเล่า...

     

     

                ตัวก็นิดเดียว ยกไหวด้วยแฮะ

     

     

    ชานยอลไม่อาจเอาตาออกห่างไปมองอื่นใดได้อีก

     

     

    เหมือนว่าเป็นเรื่องตลกร้าย...ที่ลู่หานมองตามและพูดว่า

     

    “แบคฮยอนนี่หว่า”

     

     

    คิ้วเข้มขมวดมุ่น แต่นั่นก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น  ชานยอลพยายามเก็บอาการไม่ให้ลู่หานสังเกตเห็นว่าเขาได้เผลอไผลไปแล้วในชั่ววูบ

     

     

    “ไอ้เด็กแสบคืนนั้นน่ะหรอ?  ไม่เห็นจะเหมือน”

     

    “ก็ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัวเหมือนตอนอยู่ในผับล่ะมั้ง เลยดูจืดๆ”

     

     

    ชานยอลอยากจะเถียงออกไปใจแทบขาดว่าเขาชอบแบบนี้มากกว่าบันนี่แสบซ่าในคืนนั้นซะอีก ดวงตาเรียวที่ไม่ได้รับการตกแต่งด้วยอายไลเนอร์และกริตเตอร์วิบวับดูใสซื่อบริสุทธิ์  และใบหน้าในตอนนี้ก็ยิ้มแย้มอย่างน่ารัก ไม่ใช่บึ้งตึงเป็นแม่แมวหวงลูกเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน

     

    “ชอบหรอ เห็นมองนานเชียวนะ”

     

    ชานยอลเบ้ปาก “แค้นสิไม่ว่า คอยดูนะฉันเอาคืนกระต่ายน้อยตัวนั้นแน่ๆ”

     

    ลู่หานพยักหน้าแต่ริมฝีปากยิ้มล้อเลียน  “จะไปแกล้งเขา เอาตัวเองให้รอดก่อนมั้ยพ่อคุณ?”

     

     

     

     

     

    ……………………………….

     

     

     

     

     

    “อ้าวตัวเล็ก มาหาเฮียคริสหรอ”

    แบคฮยอนหันไปมองคนพูดที่นั่งล้อมวงสังสรรค์กันตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันตกดิน  ก็เป็นพี่ๆที่ทำงานอยู่ที่โรงงานเดียวกันนั่นแหละ ส่วนมากก็จะพักอยู่ที่หอพักที่นี่เพราะใกล้ที่ทำงานที่สุด ซึ่งคริสเองก็พักที่นี่เช่นเดียวกัน

     

     

    คนตัวเล็กโค้งทักทาย รอยยิ้มบางๆอ่อนโยนเหมือนจะละลายอากาศหนาวเย็นท่ามกลางมวลอากาศติดลบ

     

     

    “ครับ ป่านนี้กินยายังก็ไม่รู้” แบคฮยอนคิดไปถึงเจ้านายตัวสูงของเขาที่เมื่อวานนั่งตากน้ำค้างเคาท์ดาวน์ศักราชกับใหม่กับเขาจนเป็นหวัดมาทำงานไม่ได้

     

     

    “เมื่อกี้ยังมานั่งโม้เรื่องแกลอรี่กับพวกพี่อยู่เลย เดินปร๋อเชียว พอตัวเล็กโทรมาล่ะป่วยขึ้นมาเชียว เพิ่งขึ้นไปนอนซมให้นายอ้อนเมื่อกี้เอง”

     

    แบคฮยอนคิดภาพตามแล้วก็นึกขำ คนตัวโตขี้อ้อนเกินกว่าใครทั้งนั้น เขาเองก็รู้ดี

     

    “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ”

     

    “อือ ขอโทษนะที่พวกเราไม่มีของขวัญปีใหม่ให้ แหม่อายุกว่านายตั้งเยอะแท้ๆเชียว” หนึ่งในนั้นพูดเหมือนรู้สึกผิด แบคฮยอนยิ้มตาหยี โบกไม้โบกมือว่าเขาไม่ต้องการขวัญกำลังใจอะไรเถือกนั้นหรอก ที่นี่ทุกคนเองก็ต้องดิ้นรนทำงานหนักเพื่อแลกกับเม็ดเงินด้วยกันทั้งนั้น

     

     

     

     

     

     

     

    แบคฮยอนใช้กุญแจห้องสำรองที่คริสให้เขาเอาไว้ดอกหนึ่งไขเข้าไปในห้องหมายเลข 301 เห็นเจ้าของห้องนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงขนาดสองคนที่พอคริสนอนแล้วก็ดูเหมือนมันจะกลายเป็นเตียงเดี่ยว  คนตัวเล็กหลุดยิ้มให้กับภาพน่ารักๆที่ได้เห็น  ปกติเวลาทำงานคริสจะดูเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็คอยดุพนักงานคนอื่นๆ พออยู่กับเขาสองต่อสองถึงจะอ้อนขอกำลังใจบ้าง แต่ดูตอนนี้สิ นอนกอดตุ๊กตาอย่างกับเด็กๆเลย

     

     

    แบคฮยอนวางข้าวของที่เขาซื้อมาเยี่ยมไข้ลงบนโต๊ะอาหารเงียบๆ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำที่คริสอนุญาติให้เขาใช้มันได้ทุกเมื่อ จริงๆของทุกอย่างที่เป็นของอู๋อี้ฟาน ก็เหมือนว่าจะมีเจ้าของเพิ่มมาอีกหนึ่งคนทุกชิ้นนั่นแหละ

     

     

    อากาศหนาวเกินกว่าจะสระผม แบคฮยอนจึงทำแค่อาบน้ำเท่านั้น  ใช้เวลาเพียงสิบนาที คนตัวเล็กที่เปลือยท่อนบนและพันผ้าขนหนูลวกๆที่บั้นเอวก็ค่อยๆย่องออกมาจากห้องน้ำ  ทำตัวเป็นแมวขโมย ฉวยเอาเสื้อยืดของเจ้าของห้องมาใส่อย่างถือวิสาสะ รวมถึงกางเกงบอลที่หลวมจนต้องเอายางยืดรัดไว้ที่ขอบยาง

     

     

    ดูเหมือนว่าคริสจะหลับลึกกว่าทุกที  แบคฮยอนจึงใช้เวลานี้ทำความสะอาดห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี่  แต่เขาก็แค่หยิบจับของให้เป็นระเบียบเท่านั้น รอให้คริสหายเป็นหวัดก่อนดีกว่าแล้วเรื่องปัดกวาดเช็ดถูที่จะทำให้ฝุ่นคลุ้งค่อยว่ากันอีกที

     

     

    ตะวันกลมโตที่แบคฮยอนเคยเปรียบเปรยว่าเป็นเสมือนเงินตรา ค่อยๆลาลับขอบฟ้า และแบคฮยอนก็ยังคงดูแลอู๋อี้ฟานอยู่ในห้องหมายเลข 301

     

     

     

    เปลือกตาของเจ้าของห้องค่อยๆกระพริบและสุดท้ายก็เปิดขึ้นมา  รอยยิ้มถูกจุดขึ้นทันทีที่คริสเห็นเด็กน้อยวัยสิบแปดปีของเขากำลังจัดเตรียมอาหารเย็นให้เขาอยู่บนโต๊ะ  ผมหน้าม้าที่รุงรังถูกเจ้าตัวจับมัดเป็นเป็นจุกเล็กๆที่หน้าผาก  แถมยังใส่เสื้อตัวใหญ่ของเขาอีกด้วย น่ารักซะไม่มี

     

     

    “แบคฮยอนครับ”

     

    เจ้าของชื่อผละออกจากซุปสาหร่าย เงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วพร้อมครางรับคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา “ครับ?”

     

    “พี่หนาวจังเลย” คริสทำเสียงอู้อี้ ส่งสายตาเหมือนลูกหมาไปให้คนตัวเล็ก

     

    “เดี๋ยวผมปรับฮีตเตอร์ให้นะครับ ยี่สิบสี่พอมั้ย”

     

     

    คริสแสร้งทำหน้าบึ้ง ค่อยๆยันศอกลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง  อาการป่วยดีขึ้นมากเมื่อได้นอนพัก  ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็สำออยล้วนๆ

     

    “แบคฮยอนครับ”

     

    “ครับ?”

     

    “แบคฮยอนอา...”

     

     

    ดวงตาคู่นั้นประกายวิบวับไม่สมกับเป็นผู้ป่วย แบคฮยอนหวามไหวไปกับดวงตาเจ้าชู้ทีเล่นทีจริงของคนที่ควบตำแหน่งหัวหน้างานและว่าที่เจ้าของชีวิตในอนาคต

     

     

    “พี่อยากกอดเรา มาให้พี่กอดหน่อยเร็ว” คริสอ้าแขนรอคนตัวเล็กของเขาเหมือนเด็กน้อยขี้อ้อน  แบคฮยอนเขินอายจนต้องแกล้งหันหน้าไปทางอื่น กระนั้นขาทั้งสองข้างก็ยังคงก้าวเดินไปมอบอุ่นไอให้แก่คนที่กางแขนรอรับอยู่

     

     

    คริสรับเอาเจ้าของหัวใจของเขามาไว้ในอ้อมแขน  ทอดสายตามองใบหน้าแดงก่ำด้วยแววหวานซึ้ง

     

    “หายหนาวหรือยังครับ?” แบคฮยอนถามเสียงสั่นเหมือนประหม่า  ไม่ใช่บ่อยครั้งนักหรอกที่เขากับคนร่างสูงจะได้ใกล้ชิดสัมผัสกันถึงเพียงนี้ นี่ถึงกับนั่งตักกอดก่ายกันจนได้ยินเสียหัวใจที่สะท้อนรุนแรงอยู่ใต้แผ่นอก

     

     

    คริสใช้สองมือประคองใบหน้าหวานอย่างทะนุถนอม  ส่วนลึกในจิตใจร่ำร้องให้กดจูบลงไปบนริมฝีปากที่เขาปรารถนาจะครอบครองตั้งแต่แรกพบ แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำก็เหมือนเช่นกับทุกที นั่นคือการเอ่ยปากขออนุญาต

     

    “พี่จูบเราได้ไหม?”

     

    “ไม่ให้หรอก เดี๋ยวผมติดหวัดแล้วใครจะทำงานเลี้ยงน้องๆล่ะ” แบคฮยอนตอบน้ำเสียงล้อเล่น คริสแกล้งทำหน้าเศร้า จริงๆก็พอจะเดาออกอยู่แล้วว่าแบคฮยอนก็คงจะยังไม่พร้อมเหมือนที่ผ่านๆมา

     

    “นี่ตอนเช้าก็รีบออกมาเลย ลืมดูไปเลยว่าข้าวสารยังมีอยู่รึเปล่า”

     

    “เมื่อสายๆพี่จัดการซื้อเข้าไปให้แล้ว ซื้อผ้าอ้อมกับนมผงไปให้มักเน่อินฮยองแล้วด้วย”

     

    “อย่าพูดเหมือนรวยนักสิครับ รถก็ยังผ่อนไม่หมดเลยไม่ใช่รึไง” แบคฮยอนขืนตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นๆ ริมฝีปากบางเบ้เหมือนเด็กถูกขัดใจ

     

     

    ร่างสูงหัวเราะเบาๆกับลูกแมวน้อยของขาที่เริ่มจะเหวี่ยงอีกแล้ว ก็รู้หรอกนะว่าไม่อยากรบกวน อยากพึ่งพาตัวเอง แต่เขาเต็มใจช่วยนี่นา

     

    “พี่ไม่รวยหรอก แต่อยากช่วยแบ่งเบาภาระให้คนแถวนี้นี่นา ไม่รู้จะใจแข็งไม่ยอมรับพี่เป็นคนในครอบครัวไปถึงไหน”

               

     

    แบคฮยอนเฉไฉไม่ตอบรับอะไร ผละออกจากร่างสูงก่อนจะยกเอามือเย็นมาวางบนโต๊ะข้างเตียง แล้วจัดการดินเนอร์ด้วยกัน

               

     

    คริสแอบมองใบหน้าที่เขาหวงแหนอยู่เป็นระยะๆ อดไม่ได้ที่จะนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง  แบคฮยอนน่ารักและเปล่งประกายเหมือนอัญมณี แต่น่าเสียดายที่เพชรหลายกะรัตนี่ต้องมาตกอยู่ในมือของคนที่ไม่มีอะไรดีอย่างเขา

     

    เขาอยากจะมีรถหรูในแบคฮยอนนั่งแบบไม่ต้องอายใคร  อยากมีบ้านหลังโตๆที่มีโต๊ะอาหารหรูหราและมีเชิงเทียนวางอยู่กลางโต๊ะ  แบคฮยอนจะได้ไม่ต้องมานั่งหลังงอกินข้าวกับโต๊ะญี่ปุ่นเตี้ยๆนี่

     

    เขามันช่างแย่จริงๆ

     

    แต่จะให้ปล่อยแบคฮยอนไปให้ใครอื่นเขาก็ทำไม่ไหวเหมือนกัน  ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือพยายามถีบตัวเอง พยายามทำงานหนักและดูแลแบคฮยอนให้มากที่สุด เท่าที่คนจนๆอย่างเขาพอจะทำได้

     

    ช่วงเวลาแห่งการทานอาหารร่วมกันหมดไปอย่างรวดเร็ว โดยที่คริสได้แต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด  แบคฮยอนจัดการเก็บถ้วยชามไปล้าง ก่อนจะปฏิบัติการส่งคนตัวสูงเข้านอน

     

     

    “นอนพักผ่อนเถอะครับ ผมจะเฝ้าพี่อยู่อย่างนี้แหละ ไม่หนีไปไหนหรอกครับ”

     

    คริสพยักหน้ารับคำ ก่อนจะปีนขึ้นไปนอนอย่างว่าง่าย  ความกังวลใจเกี่ยวกับแบคฮยอนทำให้เขาซึมลงไปถนัดตา  แต่คนตัวเล็กเข้าใจว่ารุ่นพี่ของเขาคงโดนไข้หวัดเล่นงานอีกแล้ว

     

     

    แบคฮยอนนั่งลงที่ปลายเตียง สัมผัสเท้าทั้งสองข้างที่เย็นเฉียบของคนป่วยด้วยฝ่ามือเล็กๆอย่างอ่อนโยน เหมือนต้องการจะถ่ายทอดความอบอุ่นส่งไปให้  ค่อยๆคลึงและบีบนวดอย่างเอาอกเอาใจ จนร่างสูงครางแผ่วเพราะรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น

     

     

    “ตัวพี่เย็นจัง รู้สึกหนาวมากมั้ยครับ” คนตัวเล็กถามอย่างเป็นห่วง  คริสตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ตอนที่แบคฮยอนนั่งคุกเข่าที่ปลายเตียงก่อนจะดึงเท้าทั้งสองข้างของเขาเข้าไปแนบกับหน้าท้องอุ่นๆภายใต้เสื้อยืดตัวโคร่ง

     

     

    แบคฮยอนซี้ดปากเบาๆเพราะความเย็นที่นาบลงกลางกาย  ทั้งห้องตกอยู่ในความเงีบ เมื่อแบคฮยอนดึงดันจะมอบความอบอุ่นให้อีกคนด้วยวิธีนี้

     

     

    คริสยันตัวลุกขึ้นนั่ง ชักเท้าออกมาจากสาบเสื้อที่แบคฮยอนสวมใส่  ดวงตาคมเฉยชาจนคนตัวเล็กถึงกับใจเสีย  ไม่รู้ว่าตนเผลอไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

     

     

    ร่างสูงไม่รู้ว่าทำไมอารมณ์ความรักที่เกิดขึ้นกับใจของเขาถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้ เขาไม่อาจควบคุมทิศทางของตัวเองได้เฉกเช่นกับครั้งที่ผ่านมา  แบคฮยอนช่างยั่วยวนนักภายใต้ความคิดพิศวาสของเขา

     

     

    ฉับพลัน ร่างสูงก็ดึงเอาแบคฮยอนให้ลงมานอนใต้ร่างได้อย่างง่ายดาย

     

     

    “เราทำให้พี่หมดความอดทนเองนะ”

     

     

    แบคฮยอนช้อนตามองหวั่นๆ เห็นความปรารถนาแรงกล้าในดวงตาของอีกคนแล้ว รู้เลยว่าครั้งนี้คงไม่อาจบิดพลิ้วไปได้อีก

     

     

    แบคฮยอนข่มความกลัวไว้ภายใต้หน้ากากนิ่งเฉย บางทีมันคงถึงเวลาที่เขาต้องตอบแทนอีกฝ่ายบ้าง  บางทีสัมพันธ์ทางกายอาจจะผูกใจเขาเข้ากับคนนี้ๆได้มากกว่าที่เป็นอยู่

     

     

    มันช่างเป็นความสับสนและซับซ้อนจริงๆ...

     

     

    เสื้อยืดที่ใส่อยู่ ค่อยๆถูกอีกคนเลิกขึ้นไปกองไว้ที่อก  คริสจ้องมองเรือนร่างบอบบางที่เขาได้เห็นเป็นครั้งแรกด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ  เผลอกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ...แบคฮยอนสวยงามกว่าที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้เสียอีก

     

     

    เพียงชั่วพริบตา ยอดอกสีอ่อนก็ถูกครอบครอง  คริสแตะต้องผะแผ่วและทะนุถนอมแปรกผกผันกับอารมณ์ร้อนแรงที่ถูกจุดอยู่ในกายเขาโดยสิ้นเชิง

     

     

    “พี่รักเรามากนะตัวเล็ก”

     

     

     

     

     

     

     

    50%


     

     

     

     

    แบคฮยอนตอบรับคำรักนั้นด้วยการแย้มยิ้ม เขาหวังว่ามันจะเป็นรอยยิ้มหวานๆที่ทำให้คนมองได้ชื่นใจ แต่สิ่งที่คริสเห็นเป็นเพียงการยกตัวของมุมปากที่ฝืนพยายามเต็มทน กระนั้นความต้องการของเขาก็ไม่อาจมอดดับลงเพียงเพราะพฤติกรรมต่อต้านเล็กๆน้อยๆ

     

     

    มือใหญ่สอดเข้าไปในขากางเกงหลวมโพก สัมผัสกับขาอ่อนลื่นมือและลามเรื่อยไปถึงเนินสะโพกอิ่มตึง  ...มาถึงตรงนี้ แบคฮยอนก็ไม่อาจแสร้งยิ้มต่อได้อีก คนตัวเล็กพยายามหลอกตัวเองว่าเขาช่างชอบน้ำมือของอู๋ฟานเสียเหลือเกิน...แต่ให้ตาย เขาฝืนยิ้มไม่ออกแล้ว

     

     

    “สัมผัสพี่บ้างได้ไหม..” น้ำเสียงทุ้มนั้นเว้าวอนอยู่ข้างหู  คริสจดจ้องดวงตาใสแป๋วของรุ่นน้อง ก่อนจะส่งสัญญาณความน้อยใจไปให้  ...เขาต้องการการจับต้อง  เขาต้องการให้มือเรียวสวยคู่นั้นแตะวางลงบนร่างกาย แม้เพียงปลายเส้นผมก็ยังดี

     

     

    “พี่พูดเหมือนผมเป็นคนใจร้ายเลย” แบคฮยอนหัวเราะแห้งๆ  เขาพยายามอย่างมากในการเก็บเสียงร้องอุทาน ตอนที่คริสผละออกไปถอดเสื้อของตัวเองแล้วกลับขึ้นมาคร่อมทับเขาใหม่

     

     

    “มองพี่สิ” คริสใช้น้ำเสียงอ้อนวอนอีกครั้ง จนแบคฮยอนที่หลบสายตาไปต้องยอมช้อนแววใสขึ้นมองเรือนร่างเปลือยท่อนบนของร่างสูง

     

     

    แบคฮยอนอธิบายไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไรอยู่ในขณะนี้  คริสรูปร่างดีมาก ถึงจะผอมไปบ้าง แต่ก็ตึงแน่นในแบบผู้ชายทำงานหนัก  ผิวของคริสก็ดี  ความตั้งใจและรักจริงของคริสก็ดี...เพียงแต่ว่า

     

     

    “พี่ครับ..คือ” แบคฮยอนสำนึกรู้ได้ว่าเขาอาย อาการร้อนผ่าวบนใบหน้ามันฟ้องชัด แต่มันไม่ใช่อาการอายแบบใจเต้นระส่ำ ไม่ได้อายแบบวาบหวิว แต่มันเป็นแบบละอายใจ กระดากอาย และเขาไม่ต้องการจะสานต่อแล้ว

     

     

    คริสเองก็อ่านคำตอบในดวงตาของแบคฮยอนได้ แต่สัญชาตญาณนักล่าในกายบอกว่าเขาถอยไม่ได้อีกแล้ว เขาจะไม่ยอมเสียโอกาสอันมีค่านี้ไป ...เขาต้องเอาชนะแบคฮยอน

     

     

    “สัมผัสพี่” คริสสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด  แบคฮยอนตกใจอยู่วูบหนึ่ง แต่เขาเองก็รู้ดีว่าคนเรามีขีดจำกัดในความอดทน ซึ่งตอนนี้คริสคงหมดความอดทนกับความลังเลละล้าละลังของเขาแล้ว

     

     

    แบคฮยอนยื่นมือออกไป หวังจะสัมผัสทักทายกับแผ่นอกแกร่ง ....แต่แล้วเขาก็ชะงักและหดมือกลับไป

     

     

    “ผมขอโทษ”

     

     

    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ความอึดอัดกินเวลาชั่วอึดใจ ก่อนที่คริสจะจับข้อมือเล็ก บังคับให้แบคฮยอนสัมผัสร่างกายของเขา

     

     

    มือของแบคฮยอนเย็นและสั่นมาก...

     

     

    คริสปล่อยมือนั้นให้เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยไม่ทิ้งคำพูดใดๆไว้แม้แต่พยางค์เดียว...

     

     

     

    แบคฮยอนนอนนิ่งอยู่ที่เดิมซักพัก เขานึกโทษตัวเองที่ทำให้อีกฝ่ายต้องผิดหวัง แต่เขาก็กลัวเกินกว่าจะร่วมรักโดยปั้นหน้าระรื่นให้รุ่นพี่ถูกใจทั้งที่ตัวเขาเองกลัวแทบจะร้องไห้  เขาเดาว่าคริสคงเข้าไปจัดการกับอารมณ์ใคร่ต่อในห้องน้ำ คิดแล้วแบคฮยอนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่....เฮ้อออ นิ้วทั้งห้าของคริส คงลีลาเด็ดกว่าเขาเป็นไหนๆ 

     

     

    แบคฮยอนลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ก่อนจะเดินไปเคาะประตูและตะโกนบอกสารแก่ชายหนุ่มรุ่นพี่

     

     

    “ผมกลับก่อนนะครับ ไว้ดึกๆจะโทรมาหา..อ่า ไม่เอาดีกว่า พี่ป่วยอยู่นี่เนอะ ผมไม่โทรมากวนดีกว่า”

     

     

    ไร้สัญญาณตอบรับใดๆจากเจ้าของห้อง  แบคฮยอนคอตกเป็นหมาหงอย  อยากจะตะโกนออกไปว่าขอโทษ  แต่สุดท้ายเขาก็กล้ำกลืนคำพูดนั้นไว้แล้วเดินออกมาจากห้องพักหมายเลข 301 ของว่าที่สามีในอนาคต

     

     

    บางทีก็แอบคิดเล่นๆ... ถ้าอู๋ฟานเป็นผู้หญิงหน้าอกใหญ่ๆ หน้าตาสวยๆ เขาก็คงไม่เล่นตัวขนาดนี้หรอก!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ระหว่างทางเดินกลับบ้าน แบคฮยอนรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง...

     

     

    ต้องมีอะไรตามหลังเขามาอย่างแน่นอน เซนส์ของเขาบอกเช่นนั้น  ทั้งเสียงฝีเท้าของมันยังดังสวบสาบ... สวบสาบ... พาลจะให้เขานึกไปถึงจะการคืบคลานของผีจูออนอีกด้วย!

     

     

    แล้วดูบรรยากาศตอนนี้สิ ถึงจะยังเป็นช่วงหัวค่ำอยู่ แต่ไฟทั้งสองข้างของทางเดินก็พร้อมใจกันดับมืด ไหนจะไอเย็นยะเยือกแห่งฤดูหนาวอันเหมาะแก่การปรากฏตัวของสิ่งลี้ลับอีก

     

     

    เสียงย่ำเท้าปริศนาดังขึ้นเรื่อยๆ มันกระชั้นชิดกับการเดินของเขามากๆจนกระทั่งต้องกลั้นใจหันไปมองข้างหลังของตัวเอง

     

     

    “เฮ้อออ...” แบคฮยอนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเขาไม่พบว่ามี ใครหรือ อะไรกำลังเดินตามหลัง

     

     

    แต่แล้วคนตัวเล็กก็ตกใจจนแทบลุดเสียงร้อง  เพราะถึงแม้ว่าเบื้องหลังจะว่างเปล่า  แต่...แต่รอยเท้าบนหิมะที่ซ้ำทับลงบนรอยเท้าของเขานี่มันคือรอยเท้าของใครกัน!!

     

     

    มือบางเย็นเฉียบ ทั้งหัวใจยังเต้นกระหน่ำ...แบคฮยอนกัดริมฝีปากข่มความหวาดกลัวก่อนจะออกเดินต่ออีกครั้งด้วยจังหวะฝีเท้าที่เร็วกว่าเดิม อยากจะวิ่งเลยด้วยซ้ำ แต่ปุยหิมะบนพื้นถนนก็หนาเกินกว่าที่เขาจะทำอย่างนั้น

     

     

    เสียงสวบสาบดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังขึ้น ใกล้ขึ้น...

     

     

    แบคฮยอนหลับตาปี๋ และ...

     

     

    หมับ!!!

     

     

    “อ๊ากกก!!

     

     

    คนตัวเล็กหลับหูหลับตาร้องตะโกน เมื่อมือปริศนาของภูตผีปีศาจที่เขาจินตานาการ วางทาบลงบนหัวไหล่

     

     

    เคยคิดไว้ว่าถ้าเจอผีตัวเป็นจะวิ่งหนีไปให้ไกลสุดกู่ แต่พอเอาเข้าจริงกลับก้าวเท้าไม่ออก หนำซ้ำยังกลัวจนแข้งขาสั่นพั่บๆแทบจะล้มลงไปนั่งพับเพียบได้อยู่แล้ว

     

     

    แถมคุณผีไม่ได้รับเชิญยังบีบไหล่เขาแน่นขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย  ...แต่ทว่าไม่นานก็คลายออก พร้อมคำพูดที่ว่า

     

     

     

    “นี่เรากำลังเล่นแปะแข็งกันอยู่หรอ ฉันแปะปุ๊บ นายแข็งปั๊บเลย”

     

     

    “...”

     

     

    “หรือว่าอากาศหนาวไปจนแข็ง?”

     

     

    “...”

     

     

    “เฮ้ยู ฟังที่ไอสปีกกิ้งอยู่รึเปล่า?”

     

     

     

    ใช่เวลาซักพักกว่าแบคฮยอนจะเรียกขวัญตัวเองกลับมาได้ครบ ร่างเล็กค่อยๆหันกลับไปมองต้นเสียง ก่อนที่เขาจะได้รับโค้ทหนังกลับที่คุณผีปริศนาโยนมาให้

     

     

    “ใส่ซะ ฉันคิดว่านายน่าจะหนาว”

     

     

    แบคฮยอนรับเอาเสื้อโค้ทตัวยาวมาถืออย่างงงๆ ก่อนที่เขาจะปรี๊ดเลือดขึ้นหน้า เมื่อสมองประมวลความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายตัวสูงเจ้าของโค้ทสีน้ำตาลนี่ได้

     

    เจ้าของมือใหญ่ๆและเรี่ยวแรงมหาศาลที่ตะปบลงบนบั้นท้ายเขาถึงสองครั้ง!!

     

     

    “ไอ้บ้าหื่นกาม!!

     

     

    “เฮ้ว้อท?? ไหนคนบ้าหื่นกาม! ไหน?!” ร่างสูงมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง เขาเองก็เป็นชายหนุ่มน่าตาดี ได้รางวัลการันตีคุณภาพความหล่อมาก็มากมายหลายสถาบัน  ซึ่งก็คงเป็นที่หมายปองของพวกหื่นกามไม่ใช่น้อย ฉะนั้นต้องระวังตัวเป็นพิเศษ

     

     

    “ฉันหมายถึงนายนั่นแหละ ไอ้บ้าหื่นกาม!” แบคฮยอนชี้ตัวผู้ต้องหาคดีกามๆด้วยนิ้วเรียว ก่อนที่จะโยนเสื้อโค้ททิ้งลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะแล้วรีบวิ่งหนีออกมา

     

     

    ชานยอลทำสีหน้าไม่เข้าใจในข้อกล่าวหา ร่างสูงก้มลงเก็บเสื้อโค้ทหนังกลับราคาแพงของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะวิ่งตามไปคว้าข้อมือเรียวแล้วกระชากให้คนตัวเล็กหันมาคุยกันดีๆ

     

     

    “ฉันไม่ใช่คนหื่นกามนะ! ฉันก็แค่มีความต้องการทางเพศในระดับสูงกว่าคนทั่วไปอยู่นิดหน่อย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดี สาวๆก็มักจะชมว่าฉันเซ็กซี่อยู่เป็นประจำ” คนตัวสูงทำสีหน้าภูมิใจที่ได้บรรยายคุณลักษณะส่วนตัว ก่อนจะยัดเสื้อโค้ทใส่มือข้างที่ว่างอยู่ของแบคฮยอน

     

     

    “ใส่ซะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน”

     

     

    แบคฮยอนมองอย่างไม่พอใจ เขาพยายามบิดมือออกจากกอบกุม ทั้งยังไม่ยอมรับเสื้อกันหนาวที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้

     

     

    “อะไรของนายวะเนี่ย! ปล่อย!

     

     

    “ไม่ปล่อย! ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย”

     

     

    “นี่ถ้าไม่ปล่อยฉันจะแจ้งตำรวจนะ!

     

     

    “จรวด? จรวดอะไร”

     

     

    “โอ๊ยไอ้บ้า! ฉันหมายถึงตำรวจโว๊ย!

     

     

    ชานยอลดีดนิ้วเปราะ “อ๋อโพลิสแมนสินะ โทษที พอดีฉันภาษาเกาหลีไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ฉันว่ามันก็เป็นเสน่ห์ สาวๆมักจะชมว่าฉันอินเตอร์เป็นประจำ”

     

     

    “ไอ้บ้าโรคจิต! เลิกพรรณาตัวเองด้วยสายตาฟินๆแบบนั้นซักทีได้มั้ย ไอ้บ้า ไอ้หลงตัวเอง!” แบคฮยอนตะโกนด่าอย่างเหลืออด คนบ้าอะไร ชมตัวเองอยู่ได้! นี่มันพูดจริงจังหรือตั้งใจกวนประสาทเขากันแน่  แค่เรื่องในคืนนั้นที่มาจับก้นเขามันก็ย่ำแย่มากพออยู่แล้วนะ แล้วนี่อะไร? ยังมีหน้ามาปรากฏตัวให้เขาเห็นอีกหรอ ไอ้ผู้ชายคนนี้มันโรคจิตชัด!

     

     

    “นี่ใจเย็นหน่อยได้มั้ย ฟังฉันพูดบ้างสิ” ชานยอลส่งสายตาปริบๆไปให้ หวังว่าน้องบันนี่น้อยในชุดกระต่ายคืนนั้นจะยอมเห็นใจ

     

     

    “ไม่ฟัง! ปล่อย!” แต่แบคฮยอนไม่ได้มีจิตใจอารีแก่มนุษย์ร่วมโลก โดยเฉพาะกับผู้ที่เขาฟันธงไปแล้วว่ามีอาการทางประสาท  ร่างเล็กออกแล้วสะบัดมากขึ้น มืออีกข้างก็ตบตีชานยอลไปด้วย

     

     

    ฝ่ายร่างสูงเองก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับกระต่ายดื้อที่เอาแต่ดิ้นหล่านไม่หยุดดี  สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจใช้วิธีเดียวกับที่พระเอกหนังสไตล์ซาดิสม์ชอบทำเวลานางเอกดิ้นขัดขืน

     

     

    เขากะจะใช้เสื้อโค้ทของตัวเองมัดปากไม่ให้แบคฮยอนร้องตะโกน  แต่ผืนผ้าก็ดันเลื่อนลงไปถึงคอ จนกลายเป็นว่าเขาใช้เสื้อรัดคอแบคฮยอนซะอย่างนั้น

     

     

    “แค่กๆๆ นี่นายจะฆ่าฉันหรอ!!” ร่างเล็กจ้องมองอย่างโกรธแค้น ทั้งข่วนทั้งตีอีกฝ่ายสารพัด  ชานยอลที่เห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ จึงตัดสินใจรีบบอกความต้องการที่แท้จริงของตัวเองออกมา

     

     

    “ฉันไม่ได้จะฆ่านายนะ! ฉันแค่ต้องการให้นายมาเป็นของฉัน!!

     

     

    “ห๊ะ! นี่นายจะข่มขืนฉันหรอ!!” ได้ยินอย่างนั้นแบคฮยอนยิ่งดิ้นหนัก  ดิ้นจนล้มไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันต่อบนพื้นเย็นๆที่เต็มไปด้วยเกร็ดน้ำแข็ง

     

     

    “ไม่ใช่! คือฉันหมายความว่าอยากให้นายมาเป็นคนของฉัน มาทำงานกับฉัน!” ชานยอลรีบแก้ไขความเข้าใจผิด เขาเป็นคนไม่ว่องไวซักเท่าไหร่ในการขยับตัว เมื่อกี้มือก็เงอะงะจนเผลอฟาดหน้าแบคฮยอนไปหนึ่งที...ที่สำคัญคือแรงมากด้วย

     

     

    แบคฮยอนที่โดนตบจนเลือดกลบปากถึงกับแน่นิ่ง ...ขัดขืนคงไม่ได้ผล งั้นลองวิธีพูดจาไกล่เกลี่ยดูก็ได้

     

     

    “ทำงาน? ทำงานอะไรหรอครับ?”

     

     

    พอเห็นอีกฝ่ายยอมพูดจาดีๆ ชานยอลก็ผ่อนแรงขัดขืนลง ริมฝีปากแย้มยิ้มโปรยเสน่ พร้อมคำพูดที่ว่า

     

     

    “ฉันต้องการให้นายมาเลียของฉัน”

     

     

    !!!

     

     

    “ว๊ากกกกกก!!!! ไอ้บ้าไอ้โรคจิต!!!” คราวนี้แบคฮยอนดิ้นไม่คิดชีวิต ไม่สนแล้วว่าจะโดนฆ่าหมกป่าหรือไม่  เขาทั้งตีทั้งทุบ ทั้งขุดคำด่ามาหมดทั้งพจนานุกรมคำศัพท์หยาบคาย  ดิ้นพล่านๆจนชานยอลสู้แรงไม่ไหว หงายหลังล้มไปอีกทางในที่สุด

     

     

    พอพลุดจากพันธนาการมาได้แบคฮยอนก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วใช้เท้ายันร่างสูงให้หงายหลังไปอีกรอบ  แต่นั่นยังไม่เพียงพอกับความโกรธแค้นของเขา  เขาจึงเตะปากไอ้โรคจิตไปหนึ่งทีด้วยความสะใจ

     

     

    “สมน้ำหน้า!! แล้วต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับฉันอีกเข้าใจมั้ย!!” ตวาดเสร็จก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ชานยอลนอนกุมปากที่โดนเตะอยู่ท่ามกลางหิมะอันหนาวเย็นตามลำพัง

     

     

    หนุ่มหล่อแห่งโอแมนร้องซี้ดด้วยความเจ็บปวด ปากแตกหน้าหนาวนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ!

     

     

    “โอ๊ย..ซี้ดด.. ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นวะ แค่จะให้มาเป็นเลียของฉันเอง ..เลียของ?..อ๋า...จริงๆมันต้องพูดว่าเลขาใช่มะ ...นี่กลับมาก่อน!! เมื่อกี้ฉันหมายถึงเลขาโว๊ยยย!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แบคฮยอนเดินหงุดหงิดเข้ามาในบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆที่อยู่สุดซอย  เจ้าสุนัขพันธุ์เจแปนนิสสปิตซ์ตัวเล็กที่เห็นเจ้าของกลับมาแล้วก็ส่ายหางดุ๊กดิ๊กพร้อมเห่าต้อนรับเสียงดังลั่นไปทั้งซอย

     

     

    “จะเห่าทำไมนัก เดี๋ยวบ้านอื่นเขาก็ได้เดินมาด่าพอดี!” แบคฮยอนที่อารมณ์เสียยังติดพันไม่หายเหวี่ยงน้องหมาวัยห้าเดือนเข้าให้ เจ้าสปิทซ์ตัวขาวจั๊วะร้องงี๊ดๆ ช้อนตากลมโตสีดำขึ้นมองเจ้านายอย่างออดอ้อน

     

     

    แบคฮยอนเชิดหน้าไม่แยแสน้องหมา ก่อนจะปัดหิมะบนเสื้อผ้าแล้วเดินขึ้นบันไดไป  แต่ก็เดินขึ้นไปได้แค่สองขั้นเท่านั้น เท้าเล็กก็มีอันต้องหยุดชะงักอยู่กับที่

     

     

    แบคฮยอนถอนหายใจยาวเหยียด เสียงงี้ดๆของเจ้าหมาขี้ประจบทำให้เขาใจอ่อนอีกแล้ว  ร่างเล็กเดินกลับมาหาเจ้าเจแปนนิสสปิตซ์ขนปุกปุย ก่อนจะนั่งลงช้อนหมาน้อยขึ้นมาอุ้มแล้วระดมจูบไปเป็นสิบๆฟอด

     

     

    “โอ๋ ที่หลังจะไม่ดุแล้วเนอะ~ โอ๋ๆดีกันนะชานยอล~” แบคฮยอนสบตากับเจ้าตัวเล็กก่อนจะกระพริบตาปริบๆเหมือนจะง้องอน  เล่นกันอยู่ซักพักหญิงชราวัยเกินหกสิบปีก็เดินลงมาจากชั้นสอง

     

     

    “อ้าวแบคฮยอนกลับมาแล้วหรอ”

     

     

    “ยังครับแม่ คนนี้เจมส์จิรายุ” แบคฮยอนตอบคนเป็นแม่น้ำเสียงขี้เล่น ดวงตาเรียวรีพราวระยับสุกใสเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า

     

     

    “ไปส่องกระจกดูดีๆซิ แน่ใจนะว่าเจมส์จิรายุ คนอะไรขี้เหร่ซะไม่มี ดูซิเจ้าชานยอลมันเป็นหมา มันยังหล่อกว่าเลยเนี่ย”

     

     

    “แม่อ่ะ!!” แบคฮยอนตัดพ้อหน้าบึ้ง อารมณ์น้อยใจแม่แต่ทำอะไรไม่ได้ เลยพาลไปกัดหูหมาเล่นจนมันร้องงี๊ดๆ “นี่แหน่ะ เดี๋ยวจะกัดให้หูขาดเลย หล่อนักใช่มะ”

     

     

    “พอแล้วๆ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” คุณแม่วัยชราห้ามปรามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สำหรับเธอ ไม่ว่าแบคฮยอนจะอายุเท่าไหร่ ก็ยังคงดูเป็นเด็กน้อยผู้ใสบริสุทธิ์เสมอ

     

     

    “แล้วนี่แหวนแม่หายไปไหนอ่ะ เอาไปจำนำอีกแล้วหรอ” แบคฮยอนปล่อยลูกหมานามว่าชานยอลลงบนพื้น ก่อนจะขยับตัวไปนั่งใกล้ผู้เป็นแม่

     

     

    “ฮานึลไม่สบายอีกแล้วหรอครับ” คางมนเกยอยู่ที่ไหล่ของหญิงชรา ก่อนจะถูไถไปมาตามประสาเด็กขี้อ้อนขี้ประจบ

     

     

    “อือ ทำงานมาเหนื่อยๆก็ขึ้นไปนอนไป แม่ไปนอนก่อนนะ” หญิงชราเลี่ยงจะต่อความยาวสาวความยืด หล่อนยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินขึ้นบ้านชั้นสองไป

     

     

    พอแม่เลี้ยงที่รักเหมือนให้กำเนิดกันจริงๆเดินลับตาไป แบคฮยอนก็ทำหน้าหงอย ส่งเสียงครางงี๊ดๆเป็นลูกหมาแข่งกับเจ้าชานยอล

     

     

    “สงสารแม่อ่ะ งื้อออ”

     

     

    “โฮ่งๆๆ งี้ดดด”

     

     

    “คิดเหมือนกันใช่มั้ยชานยอล งื้อออ”

     

     

    “หงิงๆๆ”

     

     

    “หัวอกเดียวกันเลย”

     

     

    “หงิง”

     

     

    “งื้อ~

     

     

    แบคฮยอนช้อนน้องหมาสีขาวน่ารักมากอดแน่น หน้าผากมนถูไถอยู่กับกลุ่มขนนุ่มๆ....สงสัยว่าเขาต้องหางานทำเพิ่มอีกซักอย่างสองอย่างแล้วล่ะมั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ไอ้ลู่แกไล่แบคฮยอนออกจากงานให้หน่อยยนะ พลีสสส”

     

     

    น้ำเสียงเว้าวอนดังมาจากชายหนุ่มอิมพอร์ตนามสกุลปาร์ค ที่ตอนนี้นั่งกอดขวดเหล้ามองเพื่อนรักที่เคลียร์บัญชีผับอยู่หลังบาร์ตาปริบๆ  ลู่หานมองชานยอลกลับอย่างสมเพช

     

     

    “เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย”

     

     

    “ไล่ออกเดี๋ยวนี้เลย เนี่ยรีบโทรไปเลย”

     

     

    เสี่ยวลู่หานฟังเพื่อนตัวสูงพูดอย่างนั้นจบก็ถอนหายใจยาวเหยียด  “นี่แกเกลียดแบคฮยอนขนาดนั้นเลยหรอวะ  นี่เราก็โตๆกันแล้วนะเว้ย  เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยกโทษให้เด็กมันไปเหอะน่า”

     

     

    ถึงลู่หานจะเข้าใจเจตนาผิดเพี้ยนไป แต่ชานยอลก็ขี้เกียจจะแก้ให้ถูกต้อง  อันที่จริงมันก็น่าอายเหมือนกันที่จะบอกลู่หานว่าเขาต้องการให้แบคฮยอนมาอยู่ข้างๆเขา24 ชม. แทนการวิ่งวุ่นไปทำงานในที่ต่างๆ

     

     

    “แล้วนี่แต่งตัวบ้าอะไรวะเนี่ย เสื้อก็ลายดอก กางเกงก็ลายจุด แกนี่มันผู้ทำลายวงการแฟชั่นชัดๆ!

     

     

    โดนสบประมาทเข้าให้อย่างนั้นปาร์คชานยอลแห่งนิวยอร์กซิตี้ก็ถึงกับทนไม่ไหว ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้หมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาให้เพื่อนได้เห็นสารร่างชัดๆ

     

     

    “แกมันบ้านนอกไอ้ลู่! โหยย นี่ใคร นี่ปาร์คชานยอล ใส่อะไรก็หล่อ กินกับอะไรก็แซ่บเว้ย! ไปแล้ว เบื่อไนท์คลับหมาไม่แดกของแกชิบหาย!

     

     

    นางเหวี่ยงเสร็จแล้วนางก็เดินกลับ ค่าเหล้าค่าเบียร์ก็ไม่จ่ายซักวอนเดียว... ลู่หานส่ายหัวเอือมระอาให้กับความไม่เอาไหนของเพื่อนรักตัวเอง  โดนแม่เขี่ยออกจากกองมรดก แทนที่จะปรับปรุงตัวใหม่ หาการหางานทำ ดูมันดิ เช้าก็ชอปปิ้ง ตกดึกก็มาลั้ลล้าอยู่ในผับ แถมยังมาคะยั้นคะยอให้เขาไล่แบคฮยอนออกจากงานอีกต่างหาก

     

     

    จะบ้ารึไง สงสารเด็กมัน งานสมัยนี้หายากจะตาย

     

     

    เงินแต่ล่ะวอนนี่มันตัวแทนของหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาชัดๆ!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ใช่ซะที่ไหนกันล่ะ!!

     

     

    “ทำไมเงินแม่งหาง่ายงี้วะ!! แม่งง่ายกว่าปอกบานาน่าอีกว้อยยย!!” ปาร์คชานยอลแหกปากดีใจลั่นห้องพัก ก่อนจะกระโดดขย่มเตียงคิงไซส์เล่นอย่างอารมณ์ดี เมื่อทีมฟุตบอลที่เขาแทงไว้ทำระตูเข้าไปอีกดอก

     

     

    “วู้ววววววว!! คนมันเฮงก็งี้แหละว้อยยย คอยดูนะปาร์คพังพอน ลูกชายคนนี้จะรวยกว่าคนเป็นแม่ให้ดู!  พูดอย่างมาดมั่น ก่อนจะสปริงตัวขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วลงมานั่งดูบอลต่อดีๆ

     

     

    ตอนนี้นำสามต่อหนึ่ง... เงินมากองให้เห็นตรงหน้ายิ่งกว่าพิซซ่าเดลิเวอร์รี่!

     

     

    ปาร์คชานยอลแม่งโคตรเศรษฐีดวงดีทั้งปีทั้งชาติ!!

    หล่อแล้วยังรวย  โว๊ยยยย ณเดชน์ก็ณเดชน์เหอะวะ!!

     

     

     

    เสียงเฮในสนามดังขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงจดจ้องจอ LCD อย่างตื่นเต้น เตรียมดูช็อตการยิงประตูครั้งสำคัญอีกครั้ง ทีมที่เขาแทงกำลังทำประตูที่สี่ แต่เฮ้ย! แม่งไม่เข้า นั่นเตะโด่งเลี่ยงไปอีกทาง กองหน้าฝั่งตรงข้ามรับอย่างสวย กองหลังต่อเกมอย่างเทพ

     

     

    ไอ้ห่า...ยิงประตูไปได้อีกหนึ่ง!!

     

     

    ชานยอลมองทีวีอย่างเซ็งๆ แต่ไม่เป็นไร เหลือเวลาอีกแค่สิบห้านาที เล่นให้ตายยังไงก็ไม่ชนะ

     

     

     

    แต่เหมือนเทวดาจะเล่นตลก เกมพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังตีน นักเตะทีมที่เชียร์เล่นได้ง่อยสุดๆประหนึ่งขาเป็นสันนิบาต วิ่งเอื่อยเฉื่อยเป็นเด็กขาดสารอาหาร หนำซ้ำยังปล่อยให้สกอร์เสมอสามต่อสามไปอย่างรวดเร็ว

     

     

    เหลืออีกสามนาที... ได้โปรด ได้โปรดทำอีกซักประตูเพื่อเงินยี่สิบล้านวอนที่เขาลงทุนไป

     

     

     

     

     

    แล้วลูกกลมๆที่คนทั้งสนามแย่งกันเตะก็กลิ้งหลุนๆเข้าโกลไปอย่างรวดเร็ว...

     

     

    ปรี๊ดดด!!

     

     

    พร้อมเวลาการแข่งขันที่จบลงพอดิบพอดี

     

     

    “ชิบ...”

     

     

    บอกได้คำเดียวเลยว่า..

     

     

    “ชิบหาย!!!

     

     

     

    โอ๊ยย ซวยแล้วไง เสียพนันบอลยี่สิบล้าน ค่าชอปปิ้ง ค่ารถเช่า ค่าโรงแรมอีกมากมายก่ายกอง ไหนจะค่าน้ำร้อนน้ำชาที่เขาจ่ายผู้จัดการโรงงานน้ำอัดลมไปอีก

     

     

    แม่งเอ๊ย ไอ้แก่นั่นคิดค่าไล่แบคฮยอนออกตั้งล้านวอน จะบ้าเถอะ!!

     

     

     

     

     

     

     

     

    100%

     

     

     

    ดองนานล่ะเกิน 5555555555555555  เอาชานยอลน้อยมาอวด 555555555555

    Dogilike.com :: สปิทซ์ญี่ปุ่น ใครเห็นเป็นต้องอยากกอด
     





    แท็กทวิต #ป่าเห็ด นะจ๊ะ สกรีมกันได้ แต่เม้นก็ดี TT

    บอทฟิคตามนี้จ้า >

    @chanyeolmf

    @byunph

     


     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×