ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Daddy Rock Legs สะดุดรักคุณพ่อขาร็อค {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #10 : ϟ chapter 8 : 100%

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 57


     

    DADDYROCKLEGS

     

    [CHAPTER8]

     

     

     

    ชีวิตแม่งอุดมไปด้วยแอพพิเคชั่นแห่งความเหี้ย

     

    . . . . .

     

     

    เหวี่ยงภาพฉากดราม่ามาที่อิงจังเด็กรุงรังแต่น่ารัก

     

     

    “นี่น้องชายฉัน โดคยองยอง”

     

    จงอินมองเด็กหัวโปกอายุไม่น่าเกินสิบขวบที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าปะแล่มๆไปทางยี๋ เด็กห่าอะไรว่าชื่อคยองยอง ชื่อแม่งเหี้ยมากเหมือนแม่ไม่ได้ตั้งใจตั้ง แค่เอาให้สอดคล้องกับชื่อพี่เฉยๆ

     

    “โด๋ นี่พี่จงอินนะ ที่พี่บอกว่าเขาจะมาดูแลเราเรื่องการบ้านไง”

     

     

    ชื่อจริงชื่อคยองยอง นิคเนมโด๋ ...โถอิสัด กูว่ามันไม่ได้เป็นที่แม่เขาแล้วละ มันน่าจะเป็นที่สันดานคนแต่งมากกว่า แม่งไม่เจียดเวลาแม้กระทั่งไปเสิร์ชหาชื่อเกาหลีดีๆจากกูเกิ้ลเลยนะ เล่นง่ายไปไหมครับกูขอถาม ถ้าดีโอมีน้องอีกคน สงสัยคนแต่งมันให้ชื่อโด่แน่ๆ

     

     

    จงอินกลอกตาให้กับเรื่องน่าเบื่อหน่ายในชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง คิดแล้วก็อยากจะขำ คนอย่างเขาต้องมาสอนพิเศษเด็กกะโหลกกะลานี่อ่ะนะ? เหมือนซ้อมตายแล้วฝันร้ายไม่มีผิด แล้วดูไอ้เด็กโด๋ดิ ทรงมันอยากเรียนด้วยม้ากมากก แม้แต่หน้า มันยังไม่เงยขึ้นมามอง

     

     

    คนกลางอย่างคยองซูถึงกับปวดหัว น้องชายวัยเก้าขวบว่ามึนแล้ว เจอไอ้บ้าห้าร้อยอย่างจงอินที่เพื่อนยัดเยียดมาฝากฝังถึงกับลมจะจับ

     

     

    “นี่คือโต๊ะทำงานของฉัน แต่หลังจากนี้จะยกให้เธอใช้สอนก็แล้วกัน” ขาสั้นเดินไปที่โต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆที่ตั้งอยู่กลางบ้าน ทั้งโต๊ะทั้งเบาะหนังให้สไตล์คาวาอิสมตัวเจ้าของ แต่จงอินคิดว่ามันไม่เหมาะกับเขาซักเท่าไหร่

     

     

    “เครื่องเขียนบนโต๊ะเธอใช้ได้หมดเลยทุกอย่างเลยนะ หรือถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกฉันได้”

     

    “อย่าเรียกผมว่าเธอได้ปะ”

     

    คยองซูหันมาเลิกคิ้วใส่ ไอ้เด็กเวรนี่คิดยังไงมาตั้งเงื่อนไขกับเจ้าหนี้(ปลอมๆ)อย่างเขาวะ “แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

     

    “ก็เรียกชื่อดิ หรือลุงจะเรียกนายก็ได้ แต่อย่าเรียกว่าเธอ”

     

    สรึดดดดด ทีมึงเรียกกูลุง กูนี่หน้าโยกเป็นม้านั่งเลยนะ

     

    คยองซูได้แต่ขบเขี้ยวในใจ ไอ้เด็กนี่แรงมากกกก กลิ่นตัวไอ้แบคยังไม่แรงเท่าอ่ะคิดดู

     

     

    “ฉันอายุเท่าแบคฮยอน เธอเรียกแบคฮยอนยังไงก็ควรจะเรียกฉันแบบนั้น”

     

    “เรียกกันกูมึง”

     

     

    อื้อหืออ พวกมึงเป็นมนุษย์ถ้ำกันหรือเปล่าวะ ไร้อารยธรรมชิบหาย นี่เกิดก่อนยุคเมโสโปเตเมียกันหรอสาสสส

     

    “เธอควรจะเรียกฉันว่าคุณ” 

     

    “จะเรียกลุง” อินจังมีการดื้อแพ่ง เอาสิก็จะเรียกลุงซะอย่าง หรือจะเอา เอาให้ได้นะ

     

     

    คนตัวเล็กกว่าเค้นเขี้ยวคับแค้น อยากจะตรงเข้าไปบีบคอดำๆนั่นแต่ก็ต้องคีพลุคไว้ก่อน “งั้นฉันก็จะเรียกเธอว่าเธอ”

     

    “ตามใจ”

     

    “เออ ตามใจ!

     

     

    ยกแรกของคุณครูจำเป็นกับเจ้าหนี้สี่ล้านผ่านไปอย่างไม่ค่อยจะลงรอยกันซักเท่าไหร่ จงอินนั่งขัดสมาธิขณะไล่อ่านโจทย์เลขในสมุดการบ้านของโดคยองยอง ...โหนี่ลายมือหรือลายแทงวะ เลขสองมึงสวยเหมือนหมาป่วยเลยครับ

     

     

    “ให้ยี่สิบแล้วไม่ต้องสอน เคป่ะ?” ไอ้เด็กโด๋ยื่นข้อเสนอที่ทำให้จงอินถึงกับตาลุกวาว แหมมซื้อบ้านได้เกือบเจ็ดหลังเลยครับยี่สิบบาทเนี่ย

     

    “ไม่อยากเรียนขนาดนั้นเลยรึไง”

     

    “ถ้าอยากจะจ้างน้ายี่สิบหรอ”

     

     

    อยากชกเด็กขึ้นมาแม่งซะเดี๋ยวนี้ หน้าตาก็กวนตีนผิดคนพี่ชิบหาย นิสัยนี่กวนประสาทเหมือนเอาแบคฮยอนยี่สิบคนกับโอเซฮุนสิบห้าคนมาเขย่ารวมกัน

     

     

    “ไม่อยากก็ต้องเรียน” เก๊กเสียงเข้มก่อนจะวางสมุดลงไปตรงหน้าของเด็กขี้เกียจ “ข้อนี่ต้องแก้สมการแบบนี้...”

     

             

    ปล่อยไอ้เด็กผิวคล้ำให้อยู่กับน้องชายสองต่อสองได้ซักพัก คยองซูก็เกิดอาการมนุษย์ป้าเข้าสิง อยากจะเข้าไปจับผิดไอ้ลูกเลี้ยงเพื่อนว่ามันจะได้เรื่องได้ราวหรือพาน้องชายเขาออกทะเลไปแล้วกันแน่ ว่าแล้วพี่ชายตัวเล็กก็ทำเนียนทำเป็นถือถาดใส่น้ำแดงเหมือนจะไปไหว้กุมารกับขนมที่หยิบติดมาจากออฟฟิศไปเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ แต่พอนั่งปุ๊บก็เนียนยาวนั่งแม่งตรงนั้นแหละ ตาก็แอบดู หูก็เงี่ยฟังการเรียนการสอนไปอย่างจับผิด ไม่น่าเชื่อว่าคนที่แบคฮยอนเคยเล่าว่าโคตรจะอภิมหานักเลงหัวไม้จะมีความรู้ทางด้านวิชาการขนาดนี้ อธิบายสมการสามตัวแปรให้เด็กเก้าขวบเข้าใจได้นี่ถือว่าต้องเทพระดับนึงเลยนะ แต่ที่คยองซูประหลาดใจไปกว่านั้นก็คือความใจเย็นประหนึ่งอมฮอลคูลก่อนมาสอน เพราะนอกจากจงอินจะไม่จิ๊จ๊ะเวลาโดนน้องเขากวนตีนใส่ ไอ้ดำมันยังมีขำตามจนตายิ้มเหมือนลูกหมี บางทีสอนเรื่องเดิมซ้ำเป็นสิบๆรอบก็ยังไม่ปริปากบ่น ท่าทางก็ไม่เหวี่ยงวีนเลยซักกะติ๊ดเดียว เหยดด...สมัยนี้มองคนแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆวะ

     

     

                “มองอะไร?” แต่สงสัยจะมองนานเกินไปหน่อย เป้าหมายเลยเกิดอาการรู้ทัน

     

    “ป...เปล๊าา”

     

    จงอินหรี่ตาจับผิด “เปล่าอะไร ก็เห็นว่ามองอยู่ชัดๆ”

     

    “ทำไม? ถ้ามองแล้วจะทำไมหรอ” รุ่นใหญ่ใจต้องนักเลงนิดนึง...อย่าได้คิดว่าสายตาคาดคั้นจะมีผลต่อโดคยองซูเลยไอ้น้อง แม้หัวใจพี่จะเต้นผิดจังหวะแต่พี่ก็บ่ยั่น

     

    หนุ่มผิวเข้มยักไหล่ไม่ยี่หระเพราะขี้เกียจเถียงต่อ เป็นจังหวะที่ลูกศิษย์ตัวน้อยแก้โจทย์สำเร็จพอดี

     

    “ถ้าถูกแล้วเลิกเรียนเลยนะ หิวละ” คยองยองยื่นเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเรียน แต่เรียนนานๆมันก็ล้าเป็นเรื่องปกติ จงอินพยักหน้าว่ากันตามนั้น มือใหญ่พลิกหน้ากระดาษเพื่อตรวจคำตอบ ก่อนจะใช้ดินสอวงข้อที่ผิด

               

    “อันนี้สอนไปสามรอบแล้วนะ มาให้ทำโทษซะดีๆ” ว่าแล้วอาจารย์พิเศษก็เงื้อดินสอในมือขึ้นสูง คยองยองหยีตาเตรียมรอรับโทษทัณฑ์ แต่แล้วการลงโทษก็เป็นเพียงแค่เคาะดินสอลงไปบนหน้าผากเบาๆเท่านั้น ทำเอาคนที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับซี้ดปาก

     

     

    เหยดดดดดดดดดดดด ลูก(ไม่แท้)เพื่อนนี่แม่งหล่อชิบหาย! วงสวิงตอนมันเคาะดินสอนี่กูยอมเลย

     

     

    “น้ำลายหกแล้วลุง”

     

    พอโดนแซวก็รีบหุบปากโดยอัตโนมัติ แหมก็เด็กมันแซ่บ ก็พลั้งบ้างเผลอบ้าง

     

    “แล้วพรุ่งนี้มาอีกปะ?” ระงับอาการถามเสียงปกติแต่ในใจนี่เต้นริกๆ เฮ้ยนานๆทีจะตกหลุมรักไค คนนี้ตอนแรกก็ว่าไม่ใช่ แต่ดูไปดูมาแล้วชักชอบ

     

    “เป็นผู้ใหญ่ประสาอะไรโคตรใจง่าย”

     

    “ใจง่ายบ้าบอไร อย่ามามั่ว”

     

    “มองตาก็รู้แล้ว นี่ไม่ง่ายนะขอบอก”

     

     

    โอ๊ยเด็กมันรู้ทันด้วยอ่ะ คยองซูอยากจะกรี๊ด อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!(นี่คือเสียงกรี๊ดของมึงหรอเนี่ย -_-) คือถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะโทรไปเม้าท์กับไอ้แบคซะ ณ บัดนาว พรุ่งนี้เช้ายกขันหมากไปสู่ขอไรงี้ โอเคขอพักเบรกไปสงบสติอารมณ์

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ตัดฉากมาที่แฝดคนน้องบ้างเพื่อไม่ให้เกิดการน้อยหน้า

     

    โอเซฮุนไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะกลับมาที่บ้องอ้อยภูธรเดอะพิซซ่าอีกครั้ง การมาครั้งนี้จะเรียกว่าพิสูจน์หัวใจตัวเองก็เห็นจะไม่ผิดนัก ก็ถ้ามันไม่สปาร์คกับพี่หาญแสนซนคนหน้าเหี่ยวจริงๆ ฮุนนี่ก็ขอถอยทัพยาวๆเพราะขี้เกียจสู้แล้วเหมือนกัน อุ๊ยหลุดปาก วันนี้ฮุนนี่เป็นเซฮุนนะทุกคนห้ามลืม

     

     

    ว่าแล้วเซฮุนก็เซ็ทหน้าตรงนมตั้ง เดินอย่างลูกผู้ชายตัวจริงไม่อิงเครื่องดื่มชูกำลัง ไปจองทำเลที่ดีที่สุดของการให้ท่าเด็กเสิร์ฟ แต่ที่ผิดแผนคือคนรับออร์เดอร์ไม่ใช่พี่หาญนี่สิ

     

     

    “บ้องอ้อยภูธรเดอะพิซซ่ายินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับเมนูอะไรดี” ระหว่างที่พนักงานหน้าตาแฉล้มแต่ไม่แคล้วสปีชี่ส์เดียวกับฮุนนี่เวอร์ชั่นตุ๊ดหัวโปกกำลังรอจดออร์เดอร์ด้วยรอยยิ้มหวานแหวว เซฮุนคนแมนก็หันซ้ายหันขวามองหาพี่หาญตาแทบปลิ้น ทว่าแม้แต่ตีนกาเดียวก็ไม่โผล่มาให้เห็น

     

     

    สุดท้ายก็จำใจสั่งเมนูพิซซ่าหนอนปลาร้าเพิ่มน้ำสำรองเซ็ทคอมโบ้ไปหนึ่งรายการ และหวังว่าคนยกมาเสิร์ฟจะเป็นคนที่อยากเจอมากที่สุดในขณะนี้ นี่อุตส่าห์ลงทุนสะบั้นผมจนเหมือนบอยแบรนด์ เสื้อผ้าก็ก้อปปี้มาจากบอยสตรีทตั้งแต่หมวกซูพรีมจรดรองเท้าแอร์จอร์แดน ตอนส่องกระจกนี่แทบจะตามจีบตัวเองอยู่ละ แต่ประเด็นคือคนเสิร์ฟก็เป็นพ่อตุ๊ดตูดงอนคนเดิมอีกนั้นแหละ เดินทิ้งสะโพกเรี่ยราดรายทางจนคนมองอยากจะถีบให้ซักทีแล้วตะโกนใส่หน้าดังๆว่า

     

     

    ไม่ต้องอ่อยค่ะอีปลวกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พวกเดียวกันนะคะ เก็ท?

     

    บ้าสิ พวกเดียวกันที่ไหน วันนี้เซฮุนเป็นผู้ชายนะ ว่าแต่พี่หาญจะไม่เข้าร้านจริงๆใช่ปะ เอาไงดี?

     

     

    “เอ่อขอโทษนะครับ พนักงานที่ชื่อพี่หาญไม่เข้าร้านหรอครับวันนี้” จนแล้วจนรอดก็สะกิดถามเด็กเสิร์ฟจอมอ้อนตีนเจ้าเก่า อีกฝ่ายลดสีหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะตอบชัดถ้อยชัดคำ “พี่ลู่หานลาออกไปแล้วฮะ”

     

     

    ลาออก...ลาออก?

     

     

    เหมือนมีใครจับเซฮุนไปตั้งไว้กลางเวทีคอนเสิร์ต The Lost Planet ปิดไฟทั้ง

    ฮอลแต่สาดสปอตไลท์มาที่เด็กหนุ่ม สายฝนเอฟเฟ็คโปรยปราย แฟนคลับพากับโบกป้ายไฟ แห้วแดกเต็มคอนเสิร์ตไปหมด

               

     

    แต่แล้วชีวิตนี้ก็ยังมีหวัง แฟนคลับพลิกด้านหลังของป้ายไฟแล้วแปรอักษรเป็นคำว่า สู้เขาไอ้ควายเผือก

               

     

    พนักงงานแอ๊บแต๋ว(ไม่มิด)ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “แต่พี่ลู่ฝากของไว้นะฮะ บอกว่าฝากถึงคนที่มาถามหาพี่หาญ”

     

                โอ้วมิตรรักแฟนเพลงมาทำฝันของเราให้เป็นจริงกันเถอะ #ปาดน้ำตา

     

                พนักงานคนนั้นหายไปหลังเคาท์เตอร์ก่อนจะวิ่งออกมาพร้อมกล่องเล็กๆในมือ เซฮุนรับไว้ด้วยสีหน้างุนงงแต่ในใจนี่หวีดร้องไปไกลถึงดาวพลูโตอันถูกตัดออกจากสารบบดาวเคราะห์ไปแล้วเรียบร้อย มือสั่นเทาแง้มเปิดกล่องด้วยใจระทึก เห็นโน้ตลายมือกึ่งเหรี้ยกึ่งห่วยแปะอยู่ที่ใต้ฝากล่องก็รีบแงะออกมาอ่านทันที

     

     

    ถึงคุณลูกค้าที่ผมไม่รู้ชื่อจริง

    ผมรู้สึกผิดเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ทำไปวันนั้น ผมไม่รู้จะติดต่อคุณยังไงก็เลยฝากของเอาไว้ที่ร้าน หวังว่าคุณจะกลับมาอีก ของที่ผมฝากไว้ให้อาจจะทดแทนของที่ผมทำพังไปไม่ได้ แต่ก็ขอให้คุณรับไว้แทนคำขอโทษของผม

    จาก คนที่คุณเรียกว่าพี่หาญ

     

     

    เซฮุนยกมือขึ้นปิดปากท่าเดียวกับมิสโคเรียตอนได้รางวัล ....คุณพระ อยากจะวิ่งกลับไปที่ร้านตัดผมแล้วรวบเอาผมที่ตัดทากาวแปะใส่หนังหัวให้เป็นเหมือนเดิม พี่หาญซื้อยางรัดผมมาคืนแทนอันที่ใช้กรรไกรตัดขาดไปเมื่อครั้งที่แล้ว ถึงจะเป็นยางสีดำห่วงใหญ่ๆดูไร้รสนิยมก็เถอะ แล้วนี่จะเอาไปรัดอะไรได้ ว่าแล้วก็แก้ปัญหาด้วยการสวมข้อมือเป็นกำไลแม่งเลยเก๋ๆ

     

     

    โอ๊ะแล้วนั่นอะไร! เบอร์โทร! พี่หาญทิ้งเบอร์โทรไว้หลังแผ่นกระดาษด้วย โอ๊ยโอเซฮุนแทบจะวิ่งแล้วไปศัลกรรมเป็นผู้ชายตลอดไป ก็ถ้าเปลี่ยนลุคมาแมนแล้วจะดวงเฮงขนาดนี้อ่ะนะ ...โอ๊ยอย่าเพิ่งพูดมาก โทรสิโทร!

     

     

    ฮัลโหลสวัสดีครับปลายสายรับโทรศัพท์ภายในห้าวินาที

     

    “...” พอได้ยินเสียงพี่หาญ คนตัวขาวก็เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก “อ..เอ่อ เอ่อนี่โอเซฮุนนะครับ ที่พี่ฝากยางรัดผมไว้ให้ที่ร้านพิซซ่า” พูดไปแล้วก็ได้แต่ลุ้นว่าพี่เขาจะงงมั้ย เดี๋ยวฮุนนี่ เดี๋ยวเซฮุน กลับลำจนหัวเรือจะหักอยู่แล้ว

     

    อ๋อครับๆพี่หาญตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ดูกระตือรือร้นขึ้นสามระดับ มีอะไรรึเปล่าครับ?

     

    “ไม่มีครับ...ว่าแต่ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหนหรอ?”

     

     

     

    หลังจากอาศัยความใจกล้าผสานหน้าด้านชนิดที่ว่าสูตรพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านคูณด้านยังอาย โอเซฮุนผู้ออกตัวแรงมาตั้งแต่ต้นก็เดินทางมาถึงสนามบาสของมหาวิทยาลัยEในที่สุด มาถึงก็กวาดสายตาหาเป้าหมาย พอเจอก็ล็อคเป้าเข้าไปชาร์จทันที แต่เดี๋ยวก่อน ตอนนี้พี่หาญกำลังเล่นบาสฟีทเจอริ่งกับเพื่อนๆอยู่ ถ้าเข้าไปตอนนี้พี่หาญอาจเสียแต้มแล้วจะพาลเกลียดขี้หน้าเอาได้ สำเหนียกเสร็จก็เดินไปนั่งรออยู่บนอัฒจรรย์ข้างสนามมองดูพี่หาญชู้ทลูกกลมๆสีส้มลงห่วงอย่างอารมณ์ดี เซฮุนลืมไปแล้วว่าตัวเองเล่นบาสครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะตอนม.2 มั้ง เขาจำกติกาได้ก็เลยดูกีฬาชนิดนี้สนุก สายลมเย็นสดชื่นที่พัดมาตลอดทำให้สบายตัวอย่างน่าประหลาด เซฮุนเอนหลังพิงอัฒจรรย์ขั้นต่อไป แทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองกำลังมีความสุขมากกว่าที่ควรจะเป็นเลยด้วยซ้ำ

     

     

    เด็กหนุ่มผิวขาวมองการแข่งขันอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งลูกบาสทรงกลมกลิ้งมาหยุดลงที่ปลายเท้า ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือกัปตันทีมมีเจตนาแอบแฝง แต่เขาก็โน้มตัวลงเก็บลูกกลมนั้นมาไว้ในมือแล้วส่งคืนเจ้าของที่ยืนยิ้มโชว์ร่องรอยแห่งวัยอยู่ตรงหน้า

     

     

    “อ้าวน้องฮุนนี่นี่เอง”

     

    “เรียกว่าเซฮุนดีกว่า”

     

    “ทำไมอ่ะ ผมคิดว่าตัวเองชินฮุนนี่มากกว่า”

     

    เจ้าของสองชื่อยิ้มเจื่อนๆ พอจะเป็นเซฮุนคนแมน พี่หาญก็ดูเหมือนจะชอบฮุนนี่มากกว่า “จะเรียกยังไงก็ได้ แล้วแต่” ท้ายประโยคพูดเบาหวิว อันที่จริงจะฮุนนี่หรือเซฮุนก็ไม่ได้สลักสำคัญไปมากกว่าตัวตนที่ไม่ต้องทำมันเพื่อใครอยู่แล้ว จริงอย่างที่แบคฮยอนว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนนั้นคนนี้เพื่อใคร เราก็แค่เป็นในสิ่งที่เราอยากเป็น

     

     

    ตามองตา ...เด็กหนุ่มได้แต่หวังว่าจะมีเรื่องราวดีๆเข้ามานับจากจุดเริ่มต้นที่แท้จริงจุดนี้ อย่างมากก็ความรัก อย่างน้อยก็สิ่งที่ดูคับคล้ายคับคลาว่าจะใช่

     

     

     

     

    . . . . .

     

     

     

     

    แบคฮยอน’s time (again)

     

    กว่าไอ้ชานยอลจะยอมปล่อยให้ผมไปทำงานได้ก็เล่นเอาสายสนิท ไปถึงก็โดนไอ้เพื่อนโด้ลากไปฟังมันพร่ำพรรณาถึงไอ้ดำลูกนอกไส้ด้วยบทบรรยายชวนขย้อนอ้วก นี่ผมอยู่กับอินจัง(ไร)มาซักพักแล้วยังไม่เห็นความดีความชอบของมันได้เท่าไอ้โด้ที่เจอกันวันเดียวเลยอ่ะ

     

     

    “เออมึงมีอีกเรื่อง นี่กูไม่ได้อยากจะสะกิดต่อมนะเว้ย แต่เรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้”

     

     

    “เรื่องภาพหลุดของไอ้ชานยอลกับคิมมีฮีใช่ปะ” ผมพูดพลางกลอกตาสามร้อยหกสิบองศา วันนี้ยังไงก็คงไม่พ้นต้องได้ยินเรื่องเหรี้ยนี่ทั้งวัน

     

     

    “แต่ที่กูจะเจาะประเด็นไม่ใช่เรื่องภาพเว้ย แต่มันคือนี่ต่างหาก” ว่าแล้วไอ้เหลือกก็เปิดโฟล์เดอร์ลับที่ซ่อนไว้สามตลบในไดร์ฟดีขึ้นมา โหลดหน้าต่างซักพักข้อมูลก็โชว์หราเป็นตารางยาวเหยียด ผมถึงกับงงและหันไปเลิกคิ้วใส่มันเป็นเชิงถามว่า อะไร??

     

     

    “บัญชีหนี้สินของคิมมีฮีไง ไม่ธรรมดาเลยนะเว้ย” พอมันพูดอย่างนั้นผมก็รีบชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จอคอมพ์พร้อมไล่สายตาอ่านตัวอักษรในนั้นคร่าวๆ

     

     

    “มึงไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหนวะ?”

     

     

    “ก็มีฮีจะทำสัญญาซื้อขายอะไหล่กับบริษัทเรา คุณหวังก็เลยให้กูไปสืบเครดิต

    ความน่าเชื่อถือ แล้วที่น่าแปลกใจกว่านั้นนะมึง สามีของมีฮีเพิ่งตายก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางกลับมาที่เกาหลี”

     

     

    “น่าแปลกตรงไหนวะ” ผมหันไปถามอีกครั้ง แฟนใหม่ตายก็กลับมาหาแฟนเก่า ไม่เห็นจะน่าประหลาดหาดนางรำตรงไหน

     

     

    ไอ้โด้หยักยิ้มปีศาจ มันเอามือป้องปากแล้วเรียกให้ผมยื่นหน้าเข้าไปฟังใกล้ๆ พอผมหลงกลยอมทำตาม มันก็เปล่งเสียงสยองเรียกไรขนอ่อนให้ลุกชันเบาๆ “มันน่าแปลกก็ตรงเงื่อนไขพินัยกรรมที่สามีนางทำเอาไว้ก่อนตายอ่ะดิ”

     

     

    “...”

     

     

    “กูว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีแผน”

     

     

     

     

     

     

     

     

    กูว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีแผน

    กูว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีแผน

    ประโยคนี้ก้องหัวผมมาตั้งแต่ออฟฟิศจนถึงบ้าน ผมเดินเหม่อลอยพลางครุ่นคิดถึงช่องทางที่จะได้เจรจากับมีฮีเป็นการส่วนตัว ไอ้โด้บอกผมว่าสามีของผู้หญิงคนนั้นเขียนกำกับไว้ในใบรับมรดกว่ามีฮีต้องได้เป็นผู้ปกครองของเด็กแฝดอย่างถูกต้องตามกฏหมายภายใน 50 วันหลังจากที่เขาเสียชีวิต ไม่เช่นนั้นทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกบริจาคเข้าโบสถ์และองค์กรการกุศลทันที นั่นก็แสดงว่าที่ผู้หญิงคนนั้นพยายมเร่งเร้าเอาใบหย่าของผมกับชานยอล ก็เพื่อที่ตัวเองจะได้มีสิทธิ์ในลูกแฝดที่ตัวเองไม่ได้เซ็นรับรองบุตรเอาไว้ตั้งแต่แรก ผมไม่รู้ว่าผมมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปรึเปล่า แต่จะให้เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นรักครอบครัวชานยอลด้วยหัวใจบริสุทธิ์จริงๆน่ะหรอ ...ผมคงปักใจเชื่อตามนั้นไม่ได้

     

     

     

    ผมเป็นคนแรกที่กลับถึงบ้าน ที่นี่อ้างว้างเงียบเหงา แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งนานผมก็ยิ่งผูกพันสีเทาๆของบ้านหลังนี้ ผมทิ้งร่างลงกับโซฟาสีเขียวสดก่อนจะควักมือถือขึ้นมากดทวิตเตอร์เล่นอีกครั้ง รู้สึกตกใจกับแทค #ชานยอลคนทรยศ จนไอโฟนแทบหลุดมือ นี่ด่ากันจนติดเทรนเกาหลีเลยหรอเนี่ย ไอ้เทรนโลกที่เล่นกันโดยสากลก็มี #FuckYouChanyeol ผมกดเข้าไปอ่านทวิตในแท็กต่อ ส่วนมากก็เป็นข้อความแสดงความผิดหวังและเสียใจในตัวศิลปินสุดที่รัก แต่ส่วนที่มีไม่น้อยก็คือข้อความให้กำลังใจแล้วก็พร้อมจะต่อสู้เคียงข้าง ผมถอนหายใจยาวเหยียด ความรู้สึกห่วงใยตีตื้นขึ้นมาจุกตรงคอหอย แล้วจู่ๆขอบตาก็เริ่มร้อนผะผ่าว นี่สินะความรู้สึกเจ็บแทนกันที่ผมเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมกำลังรักชานยอลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องข่าวเสียหาย ทั้งเรื่องผู้หญิงที่ไม่ประสงค์ดีคนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้ผมเป็นห่วงมันจนแทบอยากจะบ้า

     

     

    สุดท้ายผมก็ร้อนรนใจจนต้องยอมเสียฟอร์มโดยการเป็นฝ่ายโทรไปหามันก่อน แต่ทว่าชานยอลก็ไม่กดรับสาย

     

     

    ผมทิ้งแขนลงข้างลำตัว พรูลมหายใจยาวเหยียด เอาเถอะ...ลองโทรดูอีกซักครั้งจะเป็นไร ว่าแล้วผมก็กดโทรออกไปยังเบอร์เดิมเป็นครั้งที่สอง ...แต่ไม่ว่าจะครั้งที่สาม สี่ หรือห้า ไอ้คุณพ่อลูกแฝดจอมเอาแต่ใจนั่นก็ไม่ยอมกดรับซักที ผมชันเข่าขึ้นมากอดแล้วแนบใบหน้าที่ประดับด้วยแววเหนื่อยล้าลงไป

     

     

    ทำไมถึงไม่รับสายนะ? อยู่กับมีฮีอยู่หรอ? กำลังเตรียมแถลงข่าวว่าคบกันจริงๆแล้วใช่มั้ย? กำลังบีบให้เราหย่ากันใช่รึเปล่า?

     

     

    ผมได้แต่คิดไปต่างๆนานาจนในที่สุดน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างน่าอับอาย ผมกลัวตัวเอง กลัวความคิดตัวเองจนเหมือนคนบ้า แต่ถึงแม้จะรู้อย่างนั้น ผมก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

     

     

    เสียงลูกบิดดังขึ้นเบาๆแทรกเสียงสะอื้นของผม ผมรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา พยายามระงับร่างกายให้เป็นปกติ

     

     

    “กลับมาแล้วหรอ” ผมถามจงอินที่กลับบ้านมาเป็นคนที่สองหลังจากสอนหนังสือน้องไอ้โด้เสร็จแล้ว ว่าแล้วก็ขอชมมันซักหน่อยจะได้มีกำลังใจทำสิ่งดีๆต่อไป “เพื่อนฉันบอกว่านายสอนเก่งมาก ขอบใจมากนะ”

     

     

    เงียบครับ...นี่กูทำอะไรขวางหูขวางตามึงอีกล่ะ ได้ข่าวว่าเพิ่งดีกันไปเองไม่ใช่รึไง นั่นแล้วดูมัน นอกจากจะไม่ทักทายตอบแล้วยังเดินกระแทกเท้าหนีอีกต่างหาก แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมล่ะ ผมรีบเดินไปจับแขนมันเอาไว้ทันทีก่อนที่มันจะทันได้เดินขึ้นบันได

     

     

    “เป็นอะไร?” ผมยิงคำถามตรงๆ ระดับนี้ไม่มีอ้อมค้อมแล้วครับ อ้วนก็บอกว่าอ้วน ไม่ใช่มาบอกว่าบวมขี้

     

     

    “มีอะไรไม่พอใจฉันอีกรึไง” ผมจ้องดวงตาสีนิลเขม็ง “พูดสิฉันจะได้รู้ตัว”

     

     

    “พูดอะไรไว้จำไม่ได้เลยหรอ หรือว่าทุกคำพูดที่ออกจากปากมันไม่มีความหมายอะไร ก็แค่พ่นๆออกมาให้ปัญหามันจบ”

     

     

    ผมเท้าเอวพลางถอนหายใจ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายไปได้ยินอะไรมา จะจากปากคนอื่นหรือปากฉันเองก็แล้วแต่ ฉันยอมรับว่าเคยไม่ชอบครอบครัวนายจริงๆ แถมยังเคยคิดจะปลอกลอกพ่อนายไปเลี้ยงต้อยกิ๊กด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว และฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้นายเข้าใจ เอาเป็นว่านายไม่ต้องเข้าใจหรอก”

     

     

    “...”

     

     

    “การกระทำจะพิสูจน์เองว่าฉันจริงใจกับพวกนายแค่ไหน ไม่ต้องเชื่อฉันจากปาก แต่รอดูเอาเองก็แล้วกัน”

     

     

    “นายมีเวลาพิสูจน์ไม่ถึงเดือน” จงอินพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบ “ฉันกับเซฮุนคิดดีแล้วว่าจะไปอยู่กับแม่”

     

     

    เรี่ยวแรงของผมเหมือนถูกสูบจากเครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ มันอ่อนล้าจนไร้กำลัง กระทั่งจะทรงตัวโดยไม่ให้ขาสั่นยังทำแทบไม่ได้ ...เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ไม่ต้องการผม ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบไปด้วยพ่อแม่ลูกจะต้องการมือที่สามอีกทำไม? วินาทีนั้นผมกำหมัดแน่นและถามตัวเองในใจว่าผมมาทำอะไรที่นี่?

     

     

     

    เซฮุนกลับบ้านมาตอนหัวค่ำ โชคดีที่เราไม่ได้ปะทะคารมกันเหมือนที่ผมฉะกับจงอิน เซฮุนที่ดูผ่อนคลาย ขึ้นห้องไปพักผ่อนปล่อยให้ผมนั่งเหงาอยู่บนโซฟาคนเดียวอยางเดิม ผมเปิดทีวีดูแก้เบื่อแต่ก็เจอข่าวของชานยอลกับมีฮีแทบทุกช่อง สำนักข่าวต่างก็พากันใส่สีตีไข่ ทว่าต้นสังกัดก็ยังไม่ออกมาชี้แจงใดๆทั้งสิ้น

     

     

    กว่าชานยอลจะกลับมาก็เกือบเที่ยงคืน สีหน้าอิดโรยและเหนื่อยล้าราวกับสายตัวจะขาดสะบั้นทำให้ผมได้แต่นั่งนิ่ง ความน้อยใจที่มันไม่ยอมรับโทรศัพท์คล้ายว่าจะปลิวหายไปตั้งแต่เห็นดวงตาอ่อนเปลี้ยสาหัสราวกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบแบบนั้น

     

     

    “อยากกินอะไรหน่อยมั้ย?” เป็นประโยคเดียวที่ผมพอจะนึกออก ชานยอลส่ายหน้าก่อนจะจูงมือผมขึ้นไปยังห้องนอนด้วยกัน การกระทำนี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า หลังจากที่รั้งเอาไว้ด้วยกอดอุ่นๆจากทางข้างหลังและคำพูดเหมือนอ้อนให้อยู่ด้วย ชานยอลก็พาผมขึ้นไปที่ห้องนอน สวมกอดและฝังหน้าไว้กับหัวไหล่โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้เพียงซักคำเดียว ทว่าผมก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่กินพื้นที่จิตใจของชานยอลไปมากมายมหาศาล มันไม่ใช่ความกลัวหรือรู้สึกเจ็บใจที่ถูกจับได้ แต่เป็นความรู้สึกละอาย อยากขอโทษ เกลียดชังในความผิดของตัวเอง

     

     

    ผมกอดชานยอลไว้แล้วบังคับให้ร่างสูงใหญ่นอนลงบนเตียง หนุนศีรษะกับหมอนนุ่ม ยกมือลูบกลุ่มผมที่วันนี้ไม่ได้เซ็ททรงใดๆอย่างอ่อนโยน ผมปลอบมันด้วยสายตา อยากให้รู้ว่านี่คือพื้นที่ปลอดภัยที่จะไม่มีใครมาทำอันตรายมันได้ เพราะผมไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแย่ๆเกิดขึ้นในวงล้อมของตัวเองโดยเด็ดขาด

     

     

    “ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกู” ชานยอลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คล้ายว่าตื้นตัน ผมคลึงลำคอแกร่งเพื่อนวดคลายความเครียดเกร็ง จากนั้นก็ย้ายมาบีบเค้นที่หัวไหล่

     

     

    “กูแค่อยากทำหน้าที่คู่สมรสให้ดีที่สุดจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย...ซึ่งกูก็รู้ว่ามันกำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้” ประโยคที่สองผมพูดกับตัวเองในใจ ทุกอย่างกระชั้นชิดไปหมด “ถ้ากูมีอะไรจะบอก มึงจะเชื่อกูมั้ยชานยอล”

     

     

    เจ้าของชื่อไม่ตอบรับ ผมจึงจำต้องเสี่ยงพูดออกมาเอง ...หลังจากนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผมก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังเพราะอย่างน้อยก็ถือว่าได้เตือนเจ้าตัวแล้ว

     

     

    “มีฮีอาจจะกำลังหวังผลประโยชน์จากมึงอยู่ ผู้หญิงคนนั้นต้องการเป็นแม่ที่ถูกต้องตามกฏหมายก็เพื่อ...”

     

     

    “กูรู้...รู้หมดทุกอย่างแล้ว” ชานยอลพูดแทรกก่อนที่ผมจะพูดจบ ดวงตากลมโตทอดแววเจ็บปวด สั่นสะเทือน ตัดพ้อ

     

     

    “มึงรู้?” ผมเผลอขึ้นเสียงสูง “มึงรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

     

     

    “ก็คงจะพร้อมๆกับมึง พอข้อมูลของมีฮีรั่ว ก็ดูเหมือนว่าใครๆต่างก็พากันรู้ไปซะหมด” ชานยอลพูดเหมือนขำ แน่นอนว่าจริงๆแล้วใครมันจะไปขำออก มือใหญ่ล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาก่อนจะกดเข้ากล่องข้อความแล้วยื่นหน้าจอมาให้ผมดู ในนั้นเป็นข้อความจากผู้หญิงที่ชานยอลเมมไว้ว่า My ex-bae

     

     

    คุณจะหาว่าฉันทำลายชีวิตคุณไม่ได้นะชานยอล ในเมื่อคุณเลือกที่จะใจร้ายกับฉันก่อน

     

     

    “มีฮีคิดจะทำอะไรกันแน่?” ผมเผลอขมวดคิ้วเป็นปมขณะถาม ทำลายชีวิตชานยอลงั้นหรอ? เจ้าหล่อนมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนั้น แล้วคิดจะเอาอะไรมาต่อรองไม่ทราบ

     

     

    “มีฮีขู่จะบอกสื่อเรื่องที่กูมีลูกแล้วก็เรื่องที่เราเคยคบกัน” ผมจับมือชานยอลแน่นตอนที่มันตอบคำถาม มันหลุบสายตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำขึ้นสบตากับผม แก้วตาในนั้นระริกไหว “กูไม่ได้กลัวการเป็นข่าว แต่ที่กูกังวล...”

     

     

    “คือเรื่องเด็กๆใช่มั้ย? มึงกลัวเด็กแฝดเสียใจ”

     

     

    ชานยอลนิ่งไปทันทีที่ผมพูดต่อให้จนจบ ผมไม่อยากให้มันพูดออกมาเอง เพราะมันคงรวดร้าวที่สุดเท่าที่จะรวดร้าวได้ตอนที่คำพูดนั้นหลุดออกจากริมฝีปาก ทว่าหลังจากนั้นเพียงชั่วพริบตา ร่างกายใหญ่โตก็โถมกอดผมเอาไว้ด้วยสองปีกที่กางออกราวเทวดาบาดเจ็บ เราห่อหุ้มกันและกันด้วยทั้งหมดของความอบอุ่นที่เราสองคนพอจะมีได้ ลมหายใจของชานยอลสั่นสะท้าน น้ำตาเม็ดโตหยดแหมะลงกับหน้าตักของผม

     

     

    “กูจะบอกจงอินกับเซฮุนได้ยังไงว่ามีฮีไม่ได้รักพวกเขาจริง มีฮีเป็นสิ่งเดียวที่เด็กๆรอคอยและคาดหวังว่าจะเข้ามาเติมเต็มพวกเขาจากพ่อที่แย่อย่างกู... ถ้ากูเลือกจะตัดขาดจากมีฮี นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่เด็กๆรอมาทั้งชีวิต...”

     

     

    “แล้วมึงจะยอมเป็นคนเจ็บปวดหรอชานยอล ในเมื่อมึงรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูก

    หลอกใช้เป็นเครื่องมือหาเงินของผู้หญิงคนนั้น”

     

     

    “ครั้งนี้กูอยากทำเพื่อลูก”

     

     

    “มึงจะพูดง่ายๆแบบนี้ไม่ได้หรอกนะชานยอล มึงไม่มีสิทธิ์คิดแทนฝาแฝด...บางทีที่บ้านหลังนี้ไม่เป็นครอบครัวอาจจะเพราะทุกคนเอาแต่คิดแทนกัน ลองถามและฟังกันดูดีกว่ามั้ย”

     

     

    “...”

     

     

    “กูรู้ว่ากูเป็นคนนอก แต่กูแค่อยากจะบอกว่า ครอบครัวมันต้องเริ่มต้นที่ความเข้าใจ มึงเข้าใจลูก ลูกเข้าใจมึง กูคิดว่าเราควรจะเปิดประชุมกันนะ”

     

     

    ชานยอลเม้มปาก มีแต่ความหวาดหวั่นอยู่รอบกายผู้ชายคนนี้ “มึงรู้มั้ยแบคฮยอน...ตลอดเวลาหลายปีที่กูไม่พยายามที่จะเข้าใจลูก ก็เพราะกูกลัวว่าถ้ากูเข้าใจพวกเขา รู้ในสิ่งที่พวกเขาคิด แล้วกูจะดันไปรู้ว่าจริงๆแล้วเซฮุนกับจงอินไม่ได้รักกูเลย บางทีทั้งสองคนอาจจะไม่เคยยอมรับกูในสถานะพ่อเลยก็ได้”

     

     

    “ไม่..ชานยอล มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก” ผมดึงร่างสูงมาซบไว้ตรงไหล่ ชานยอลที่เคยกระด้างหยาบกำลังเปิดเผยความอ่อนแอออกมา ความรู้สึกนึกคิดของชานยอลที่ถูกระบายโดยไม่อาจกักกลั้นกำลังทำให้หัวใจผมเย็นยะเยือก “มึงอย่าคิดอย่างนี้เลยนะชานยอล ถ้าเซฮุนกับจงอินรู้ต้องเสียใจมากแน่ๆ”

     

     

    ชานยอลส่ายหน้าอยู่ตรงลาดไหล่ของผม เสียงร้องไห้ของมันทำเอาผมเข่าสั่น นี่คือช่วงเวลาที่ยากลำบากของร็อคเกอร์ชื่อดังที่ปากหมาที่สุดในปฐพี ผมรู้ว่าชานยอลคงเหมือนคนมืดแปดด้าน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องราวที่กระทบต่อจิตใจ หน้าที่การงาน ครอบครัว ความรัก ไม่มีซักทางที่สามารถจะไปด้วยกันได้

     

     

    ผมเจ็บปวดแต่จำต้องเข้มแข็งให้ได้มากกว่านั้น ถึงจะสำนึกรู้ตัวตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นแค่คนอื่น แต่ผมกลับเสนอหน้ารับเอาหน้าที่หัวหน้าครอบครัวมาครอบครอง ผมจำเป็นต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อพยุงแก้วบอบบางใบนี้ไม่ให้แตกสลาย แล้วถ้าวันสุดท้ายของผมมาถึง ผมก็พร้อมจะจากไปแต่โดยดี

     

     

    “เชื่อกูนะชานยอล มึงต้องคุยเรื่องนี้กับเด็กๆให้รู้เรื่องแล้วชิงแถลงข่าวบอกความจริงกับประชาชนก่อนที่มีฮีจะได้พูด มันอาจจะยากและเจ็บปวด แต่มันคือความจริง มึงไม่วันหนีความจริงพ้น เพราะถึงมึงเลือกจะแต่งงานกับมีฮีเพื่อลูกๆกับเลือกชื่อเสียง แต่มึงคิดหรอว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นความลับไปได้ตลอด ถ้าวันใดวันหนึ่งความเกิดแตกขึ้นมา นอกจากมึงจะเจ็บปวดไม่ต่างจากตอนนี้แล้วมึงยังต้องเสียเวลาอยู่กับคนที่ไม่รักมึงจริงๆอีกตั้งนานเท่าไหร่”

     

     

    “แล้วใครที่รักกูจริง?”

     

     

    โลกคล้ายหยุดหมุน... ผมรู้ว่าชานยอลต้องการให้ผมพูดอะไร แต่ผมจะไม่พูด เพราะการกระทำของผมได้บอกออกไปจนหมดแล้ว ความห่วงใยจากน้ำเสียง แววตา หรือแม้กระทั่งไออุ่นสุดท้ายของอ้อมแขน ผมมอบมันให้คนตรงหน้าแต่เพียงผู้เดียว

     

     

    ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บรรยากาศระหว่างเราไม่ได้จืดเจื่อนเจือกระด้างหยาบเหมือนเช่นทุกที มันกลายเป็นอบอุ่นอ่อนหวานอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ดวงตาของชานยอลใกล้เขามาเรื่อยๆคล้ายดาวเคราะห์ที่หมุนวงโคจรมาใกล้ดาวโลก ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับความละมุนละไมที่อีกฝ่ายค่อยๆหยิบยื่นและถ่ายทอดมาให้อย่างเชื่องช้า ริมฝีปากที่นุ่มหยุ่น มือที่กุมกันและประสานนิ้วทั้งสิบของเราทั้งสองขยับเคลื่อนหากันอย่างมีความหมาย ภาษากายสื่อนัยยะจากหัวใจได้โดยครบถ้วน

     

     

    เรารักกัน...นั่นคือสิ่งที่ผมรับรู้

     

     

     

     

     

    . . . . .

     

     

     

     

     

                ชานยอลตัดสินใจเปิดประเด็นเรื่องนี้กลางโต๊ะอาหารมื้อเช้าของวันถัดไป ซึ่งก็เป็นไปตามคาด สองแฝดไม่มีใครทำใจยอมรับได้แถมยังแตกรังออกจากบ้านกันไปทั้งสองคน แต่ชานยอลเดินเครื่องเต็มพิกัดตามที่ตัดสินใจแล้ว เขาไม่สามารถถอยหลังกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้อีก

     

    งานแถลงข่าวถูกจัดขึ้นในวันเดียวกัน แม้จะเป็นไปอย่างกะทันหันแต่สื่อมวลชนจากทุกสถาบันต่างก็พร้อมใจกันมาทำข่าวเพราะเรื่องนี้ยังเป็นกระแสสังคม สถานที่จัดงานถูกจัดและตกแต่งอย่างเรียบง่ายตามระยะเวลาที่บีบคั้น สมาชิกในวงที่ไม่เกี่ยวข้องกับข่าวเดทก็มีส่วนในงานแถลงการณ์ด้วย

     

     

    ภายในห้องหลังเวที ตัวต้นเรื่องนั่งนิ่งเฉยไม่แสดงอาการใดๆอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ความเรียบเฉยนั้นทำเอาอีกคนในห้องเป็นกังวลขึ้นมา เพราะกลัวจะเป็นคลื่นใต้น้ำหรือความเครียดที่เก็บงำไว้อยู่ข้างในแต่เพียงคนเดียว แบคฮยอนเอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ไว้หวังช่วยคลายความกังวล

     

     

    “กลัวไหม?” เสียงเจือหวานถามขณะที่มือเรียวยกขึ้นลูบไล้สันกรามไปจนถึงลำคอแกร่ง ชานยอลส่ายหน้า เขากระชับสูทเตรียมพร้อมต่อการเผชิญหน้ากับปัญหาเต็มที่

     

     

    “กลัว...แต่ปลอดโปร่งมากกว่า” เขาพูดยิ้มๆ มือหนายกขึ้นมากุมมือเล็กที่เอาแต่ลูบใบหน้าเขาไม่หยุด “รู้สึกดีที่ไม่ต้องกลัวความจริงอีกต่อไปแล้ว”

     

     

    แบคฮยอนใช้มืออีกข้างประสานมือของชานยอลไว้ “มึงกำลังทำในสิ่งที่ถูก”

     

     

    “อืม” เสียงทุ้มครางรับ เขาหยุดกลืนน้ำลายก่อนพูดต่อพร้อมสายตาปนอ่อนโยนที่ทำเอาคนถูกมองใจสั่นระรัว “ป๋ายเซียนต้องอยู่เป็นกำลังใจให้พี่นะ”

     

     

    “สรรพนามโคตรเลี่ยน”

     

     

    “เท่ดีออก เป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ อยากจะเรียกแบบไหนยังไงก็ได้”

     

     

    แบคฮยอนหัวเราะร่วนกับความคิดนั้น “ก็เอาที่สบายใจ แต่ตอนนี้มึงต้องขึ้นเวทีแล้วว่ะครับพี่ชานเลี่ย”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แสงจากสปอตไลท์ที่ฉาดฉายมาบนเวทีทำให้คุณพ่อขาร็อคต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้จะทำงานในวงการเพลงมานาน แต่แสงจ้าก็ยังเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจทำใจคุ้นชินได้อยู่ดี ร่างสูงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ให้ ทางซ้ายถัดไปเป็นสมาชิกคนอื่นๆในวง ส่วนทางด้านขวาเป็นตัวแทนบริษัท

     

     

    ตัวแทนผู้บริหารเป็นฝ่ายเปิดงานอย่างเป็นทางการ ซักพักจึงเป็นคราวของชานยอลและนักข่าวที่จู่โจมด้วยคำถามตรงประเด็น

     

     

    “คุณชานยอลจะอธิบายยังไงกับรูปที่หลุดออกมาคะ?”

     

     

    “ผมกับคุณคิมมีฮีคบกันจริงครับ แต่มันเป็นแค่อดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว” หลังจากเกริ่นจบก็มีเสียงวิจารณ์ดังขึ้นประปราย ชานยอลเว้นจังหวะจนเสียงซุบซิบเงียบลงเขาจึงพูดต่อ “ส่วนในรูปเราแค่นัดเจอกันเพื่อพูดคุยเรื่องของลูกครับ”

     

     

    คำว่า ลูกเรียกเสียงฮือฮาจากบรรดานักข่าวได้เป็นอย่างดี มีสื่อมวลชนหลายคนที่แย่งกันยกมือถาม แต่คุณพ่อลูกแฝดก็ชิงตอบให้เสียก่อน “ผมกับมีฮีมีลูกกันก่อนที่เราจะเลิก มีการตกลงกันว่าผมจะเป็นฝ่ายเลี้ยงลูก”

     

     

    “ลูกของพวกคุณอายุเท่าไหร่คะ?”

     

    “ขออนุญาตเก็บข้อมูลของเด็กเป็นความลับครับ ผมต้องการความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกๆ”

     

    “ลูกแท้หรอครับ?”

     

    ชานยอลยิ้มสุภาพ เขาจับไมค์จ่อใกล้ริมฝีปาก “เป็นลูกของผมครับ”

     

    “แล้วคุณชานยอลไม่กลัวผลกระทบต่อการเป็นนักร้องหรอคะ เพื่อนในวงล่ะคะมีความเห็นยังไงต่อเรื่องนี้บ้าง”

     

     

    เป็นทีของคริสกับสมาชิกคนอื่นๆที่ต้องตอบคำถาม ทุกคนตอบไปในเชิงเดียวกันคือยอมรับในการกระทำของเพื่อนร่วมวง เพราะพวกเขาเดบิวต์มาค่อนข้างนานแล้ว ฐานแฟนคลับที่เป็นยังเหนียวแน่นอยู่ในตอนนี้จึงเป็นแฟนคลับที่มีวุฒิภาวะทางด้านติ่งพอสมควร รองรับความเจ็บได้ดีกว่าติ่งรุ่นใหม่ๆ อีกทั้งภาพลักษณ์ของพวกเขาก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยซิงใสมาตั้งแต่ต้น แฟนๆจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายขนาดนั้น แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ทิ้งคำขอโทษอย่างจริงใจเอาไว้เพื่อบ่งบอกถึงความเจ็บปวดลึกๆที่มีต่อสถานการณ์นี้

     

     

    งานแถลงฯสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แม้ข่าวที่ตีพิมพ์ในวันถัดไปจะมีการใส่สีตีไข่เพิ่มก็ตาม กระแสสังคมเป็นไปในเชิงลบ ทว่าชานยอลก็นึกขอบคุณคำด่าทอ เพราะเขาถือว่ามันคือบทลงโทษต่อการปิดบังความจริงมาเนิ่นนานที่เขาสมควรจะได้รับ

     

     

    “เดี๋ยวพอเวลาผ่านไปอะไรๆคงดีขึ้น” แบคฮอยนพูดพลางวางซุปสาหร่ายลงบนโต๊ะอาหาร ควันอุ่นร้อนลอยอยู่เหนือถ้วยประหนึ่งม่านหมอกที่ชอบลงในยามเช้า

     

     

    “ฝาแฝดยังไม่ติดต่อกลับมาอีกหรอ” ชานยอลถามน้ำเสียงราบเรียบ แต่คนฟังก็ยังรับรู้ได้ถึงกระแสความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในเนื้อประโยค ใบหน้าจิ้มลิ้มส่ายแทนคำตอบก่อนจะหวีดร้องเสียงหลง เมื่อจู่ๆไฟทุกดวงในบ้านก็ดับพรึ่บลง

     

     

    “ใจเย็นนะ แค่ไฟตก” ร่างสูงลุกขึ้นตระคองกอดร่างนิ่มไว้ ทว่าร่างในอ้อมแขนกลับแน่นิ่งผิดปกติ

     

     

    “แบคฮยอน” คุณพ่อลูกแฝดเรียกชื่อคนรักในความมืด แต่ก็ไร้เสียงตอบรับใด “แบคฮยอน...ป๋ายเซียน” เขาเรียกซ้ำด้วยชื่อทั้งสองภาษา ความเงียบงันของร่างเล็กชักจะทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล

     

     

    แต่ก่อนที่ความวิตกจริตจะครอบงำไปมากกว่านั้น ชานยอลก็ถูกดึงดูดความสนใจด้วยเปลวไปดวงเล็กๆที่กำลังคืบคลานมาหยุดตรงหน้าของเขา

     

     

    เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เขาจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร วินาทีนั้นชานยอลนึกว่าเขาคงกำลังฝันไปแน่แล้ว แต่เมื่อเพลงจบและหลอดไฟนีออนกลับมาทำงานเป็นปกติ เขาก็รู้ได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องละเมอเพ้อพกแต่อย่างใด

     

     

    เซฮุนถือเค้กแบล็กฟอเรสต์ยื่นมาตรงหน้าคุณพ่อ ใบหน้าขาวประดับด้วยรอยยิ้มและหยดน้ำตาเล็กๆที่มีบ่อเกิดมาจากความคิดถึง ...เกือบสองอาทิตย์นับจากวันแถลงข่าวที่ทั้งคู่หนีออกจากบ้านไป เด็กแฝดได้มีเวลาคิดทบทวนเกี่ยวกับอนาคตที่พวกเขาสามารถเลือกเองได้ แน่นอนว่าสองแฝดยังคงรักแม่แท้ๆของตัวเองอยู่ แต่พวกเขาก็รักคุณพ่อขาร็อคที่ไม่ใช่พ่อแท้ๆคนนี้ด้วย

     

     

    “ไม่กลับไปกับมัมมี่หรอ” ชานยอลถาม ไม่ใช่เจตนาประชด แต่เขาแค่อยากจะเช็คดูเฉยๆว่าเขาเข้าข้างตัวเองได้แล้วจริงๆใช่ไหม เขาสามารถดีใจที่ลูกๆเลือกจะอยู่ด้วยได้แล้วจริงๆหรือเปล่า

     

     

    เซฮุนวางเค้กที่เป่าเทียนแล้วลงบนโต๊ะ แทนคำตอบด้วยการโผกอดแดดดี้สุดหล่อพร้อมเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น

     

     

    “ฮือออ คิดถึงแดดดี้ที่สุดเลย”

     

     

    ชานยอลยกแขนโอบรัดแฝดน้องตอบด้วยความรักไม่ต่างกัน เขาก้มลงหวังจะสูดกลิ่นหอมของแชมพูเด็กอย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว และเขาก็พบว่าเซฮุนนั้นสูงเกือบจะเท่าเขาแล้ว

     

     

    ชานยอลรู้สึกผิดที่เพิ่งจะมาสังเกตเอาป่านนี้ เขากระชับวงแขนก่อนจะมองลอดไหล่ของเซฮุนไปที่แฝดคนโตที่ยืนอยู่ข้างหลัง ภาพที่เคยทะเลาะกันในวันเก่าหลั่งไหลเข้ามา ชานยอลรู้สึกผิดอย่างแรงกล้าอีกครั้งที่เขาไม่เคยพยายามจะทำความเข้าใจเด็กผู้ชายคนนี้เลย

     

     

    จงอินจ้องกลับ เด็กหนุ่มผิวเข้มนึกไปถึงบทสัมภาษณ์ของชานยอลที่เกี่ยวกับตัวเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสามารถบอกใครต่อใครว่าพ่อของเขาชื่ออะไร ทำอาชีพอะไรได้ แต่ตอนนี้เขาสามารถทำมันได้แล้ว ชานยอลพิสูจน์แล้วว่าที่ปิดบังมาโดยตลอดมันไม่ใช่เพราะเห็นแก่ตัว กลัวจะเสียชื่อเสียง แต่เป็นเพราะต้องการจะปกป้องลูกๆทุกคนอย่างถึงที่สุด

     

     

    มือหนากวักเรียกฝาแฝดคนพี่ ซึ่งจงอินก็ยอมเดินไปรับอ้อมกอดนั้นแต่โดยดี เขาไม่เคยเรียกชานยอลว่าพ่อเลยด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าจะให้พูดตอนนี้เขาก็อายเกินกว่าที่จะทำมันได้อยู่ดี ชานยอลยีหัวจงอินแรงๆ พยายามกลั้นน้ำตาจนตาแดงก่ำไปทั้งสองข้าง

     

     

    “มาเริ่มต้นกันใหม่นะ ปาร์คชานยอลคนนี้สัญญาว่าจะทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวให้ดีที่สุด”

     

     

    เซฮุนยิ้มและชกหน้าท้องคนเป็นพ่อเบาๆ “ขี้โม้”

     

     

    “กล้าพูดอย่างนี้กับแดดดี้ได้ไง!

     

     

    “ฮ่าๆๆๆ”

     

     

    แบคฮยอนยิ้มให้กับภาพครอบครัวที่ตะแคงดูยังไงก็อบอุ่น เขาเหมือนได้เรียนรู้และเติบโตไปกับครอบครัวของชานยอล จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผูกพัน

     

     

    จู่ๆจงอินก็ผละออกจากวงล้อมการกอดที่แน่นเหนียว มือหนากวักเรียกคนตัวเล็กให้เขาไปร่วงวงด้วย “ขอโทษที่เคยปากไม่ดีใส่ ...แต่นายก็คือส่วนหนึ่งของเรานะ อย่าเอาแต่ยืนมองสิ”

     

     

    แบคฮยอนชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอีกฝ่ายว่าอนุญาตแน่หรอ? ซึ่งทั้งจงอินและเซฮุนต่างก็พยักหน้ายอมรับ ส่วนชานยอนั้นไม่จำเป็นต้องสอบถามอะไร สุดท้ายแบคฮยอนก็เดินไปร่วมวงแห่งอ้อมกอดด้วยอีกคน  ความรักและความทรงจำห่อล้อมพวกเขาทับอีกชั้นอย่างแน่นเหนียว แม้ว่าจะเป็นเป็นครอบครัวเพี้ยนๆที่ออกจะกระท่อนกระแท่นไปซักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยังได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว

     

     

     

     

    หลังจากจัดการเก็บซากงานวันเกิดย่อมๆของคุณพ่อขาร็อคเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนยังห้องส่วนตัว ชานยอลจูงแบคฮยอนเข้าห้องนอนตามความเคยชิน ก่อนจะปิดประตูลงกลอนเสร็จสรรพ

     

     

    “แบคฮยอน” เขาเรียกชื่อภรรยาด้วยน้ำเสียงที่ผิดแผกไปจากทุกที

     

     

    “หือ?”

     

     

    “เรื่องหนึ่งเดือน”

     

     

    พอได้ยินชานยอลเกริ่นอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ถึงกับหน้าถอดสี กระนั้นก็ยังฝืนยิ้มออกมาได้ “อ๋อออ กูจำได้ไม่ลืมหรอก อีกแค่ไม่กี่วันเองใช่มั้ย”

     

     

    “ไม่ใช่แบบนั้น” ร่างสูงเถียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับริมฝีปากที่ประกบลงไปบนอวัยวะเดียวกันอันแสนหอมหวาน ลิ้นร้อนแต้มลงบนมุมปากสวยแล้วกวาดลิ้นช้าๆเหมือนจะหยอกล้อ ไม่นานเขาก็ผละออกมาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม

     

     

    “นิ้วโล่งๆนะ” ว่าแล้วก็สวมแหวนเงินที่ฝังเพชรเม็ดเล็กไว้กลางวงลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของแบคฮยอนอย่างรวดเร็ว คนตัวเล็กนิ่งอึ้ง นานซักพักกว่าจะได้สติ

     

     

    “แหวนนี่มันยังไงเนี่ย แต่งงานกันตั้งนานแล้วเพิ่งเอามาให้เนี่ยนะ”

     

     

    “ก็ตอนวันงานเซฮุนแอบเอาไปจำนำ กูไปทวงคืนมาได้ แต่ก็ลืมสวมให้มึง

    จำได้มั้ยตอนนั้นที่กูหายไปก่อนขึ้นเวทีไง”

     

     

    แบคฮยอนพยายามคิดตามก่อนจะพยักหน้า พวงแก้มเรื่อสีชมพูจางๆจนคนมองต้องกดปลายจมูกลงไป

     

     

    “ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของกู”

     

     

    “อื้อ” ตอบได้แค่นั้นเพราะทั้งใบหน้าถูกรุกรานจากริมฝีปากอุ่น

     

     

    “ขอบคุณที่อดทนกับกูแล้วก็ฝาแฝดจนวันนี้มาถึงได้ ถ้าไม่มีมึง...” ร่างสูงมีอันต้องหยุดพูดเพราะนิ้วเรียวที่ทาบทาลงมาบนปากอิ่ม

     

     

    “ไม่ต้องเพ้ออะไรเยอะแยะแล้วได้มั้ย ขอคำเดียวเอาแบบสรุป” แบคฮยอนช้อนตาขึ้นมองราวกับจะออดอ้อนอยู่ในที วินาทีนั้นหัวใจในอกแกร่งเต้นรัวแรงอย่างไม่รู้จังหวะ คำพูดมากมายที่เขาอยากจะบอก อยากจะขอบคุณแบคฮยอน สุดท้ายเมื่อนำมากลั่นกรองและบีบอัด มันก็ได้ออกมาเป็นคำๆเดียว

     

     

    “รัก”

     

     

    คนตัวเล็กหัวเราะเสียงดังอย่างเปิดเผย “ฮ่าๆๆๆรักเหมือนกัน ฮ่าๆๆรักที่สุด”

     

     

    “จริงจังหน่อยดิ หัวเราะไปพูดไปยังกะล้อเล่น”

     

     

    “ก็คนมีความสุข จะให้ร้องไห้รึไง” พูดจบก็โดนชานยอลบีบจมูกข้อหาต่อล้อต่อเถียง ร่างเล็กเขย่งปลายเท้าเพื่อประทับจูบลงบนปลายคางและเลื่อนไปจนสุดสันกรามของคุณพ่อลูกแฝด เสียงหัวเราะหายไปแล้ว ที่ชัดเจนเห็นจะเป็นเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นดังยิ่งกว่า

     

     

    “รักมากๆเลย”

     

     

    “...”

     

     

    “เข้าใจมั้ยแบคฮยอน”

     

     

    “อื้อ รู้แล้วล่ะน่า”

     

     

    เพราะแววตาก็ฟ้องมาตั้งแต่ต้น

     

     

     

     

     

     

     

    END

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×